วิชาญ ศิริชัยเอกวัฒน์

1.ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขในครั้งนี้ เพราะ
1)เป็นการแก้ไขเฉพาะส่วน ทั้งๆที่มีความจำเป็นในการแก้ไขทั้งฉบับ
2)ยอมรับได้ เพราะไม่มีทางเลือก แต่ก็พยายามร่วมแก้ในประเด็นต่างๆที่เห็นว่าเหมาะสม เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่ชาวประมงกำลังเผชิญอยู่
2.การแก้ไขในครั้งนี้
1)ไม่มีการแก้ไขในหลักการ หลักคิด ที่เกี่ยวข้องกับเรือ การเดินเรือ การอนุรักษ์ การประมง และผู้กระทำความผิด โดยมองเฉพาะตัวบท และข้อกฎหมาย
2)แทบจะไม่มีการนำร่างกฎหมายฉบับที่พรรคการเมืองต่างๆ นำเสนอ ที่สภาฯ ได้รับหลักการมาพิจารณาเลย เอาเพียงฉบับของคณะรัฐมนตรีมาพิจารณาเท่านั้น
3)แก้โดยมีกรมประมงและกฤษฎีกาเป็นผู้คัดค้านหลัก ซึ่งไม่เคยลงเรือประมง ไม่มีความรู้ในเรื่องการประมงทะเล การประมงนอกน่านน้ำ และตีความอนุสัญญาฯและกติการะหว่างประเทศอย่างผิดๆ
4)แก้โดยพยายามเอาใจชาวประมงพื้นบ้าน ที่อ้างว่าตนเองเป็นคนตัวเล็ก (คนจน) ที่รัฐต้องเอาใจเป็นพิเศษ โดย (1) ไม่แตะต้องในทุกกรณี (2) มีการขยายเขตการประมงให้โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยในทะเล (3) ไม่จำกัดจำนวนเรือ จำนวนที่พึงครอบครองแต่บุคคล (ทั้งๆที่อ้างว่าเป็นคนจน แต่มีเรือได้ไม่จำกัดจำนวน และใช้สิทธิในฐานะของคนจนที่สามารถทำลายใช้พื้นที่อนุรักษ์และทำลายทรัพยากรได้โดยไม่มีเงื่อนไข)
5)ไม่กำหนดเงื่อนไขใดๆ ทั้งๆที่ ในหลักการของการจัดการทรัพยากร ทุกกลุ่มจะต้องมีการควบคุมและจัดการภายใต้กติกาเดียวกัน ฯลฯ และที่สำคัญ ไม่เคยมองถึงกลุ่มชาวประมงพื้นบ้านที่กฎหมายนี้กำหนด มีเรือถึง 3 ขนาด ที่ควรแยกออกให้ชัดเจน ประกอบด้วย (1) เรือขนาด 1-5 ตันกรอส (2) เรือขนาด 5-10 ตันกรอส และ (3) เรือขนาด 10-15 ตันกรอส เพื่อการให้สิทธิ การกำหนดเขตทะเล การส่งเสริม/สนับสนุน การกำหนดเงื่อนไขและการดูแลที่ต่างกัน รวมทั้งโดยสภาพ (ก) เรือเล็ก/เครื่องมือขนาดเล็ก ที่ควรส่งเสริม/สนับสนุน (ข) เรือเล็กเครื่องมือขนาดใหญ่ ที่ควรจำกัดเงื่อนไข และ (ค) เรือใหญ่/เครื่องมือขนาดใหญ่ ที่ควรแยกออกจากประมงพื้นบ้าน
6)แก้ไขโดยการประณีประนอมผลประโยชน์ระหว่างกรมประมง/ชาวประมงพาณิชย์ และชาวประมงพื้นบ้าน
7)แก้ไขบนพื้นฐานของความกลัวคำขู่ของสหภาพยุโรป และองค์กรเอกชนต่างประเทศ ที่อ้างว่า “หากมีการแก้ไขในบางประเด็น สหภาพยุโรป จะกลับมาให้ “ใบเหลือง” อีกครั้ง”
8)ฯลฯ
3.หลักการที่ไม่มีการแก้ไข
1)ต้องเข้าใจว่าหน่วยงานของรัฐไทย แบ่งออกตามอำนาจหน้าที่ของกฎหมายเฉพาะกำหนด แต่ในพระราชกำหนดนี้ ยังมีบทบัญญัติที่มีอำนาจเหนือหน่วยงานข้ามกระทรวง/กรม เช่น เรื่องของเรือ/การเดินเรือ แรงงาน/สวัสดิการ ฯลฯ ปรากฎอยู่โดยไม่มีการแก้ไข
2)การบังคับให้ “เรือประมง” ตามพระราชบัญญัติเรือไทย ต้องมีใบอนุญาตทำการประมงก่อน จึงจะจดทะเบียนได้ ทั้งๆที่ “เรือประมง” ที่ระบุไว้ เป็นเพียงการบ่งบอกสภาพ (ภายนอก)/ประเภทของเรือ ที่ไม่ได้หมายถึงการจะต้องมีใบอนุญาตหรือไม่ก็ตาม ที่เป็นหลักสากล
3)การกำหนดให้ผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดที่ไม่ชัดแจ้ง เป็นการเหมารวม ทั้ง ๆ ที่การกระทำความผิดนั้นเป็นกรรมเดียว ซึ่งตามหลักสากลถือว่า ผู้กระทำความผิดในทะเล คือ “เรือ (โดยผู้ควบคุมเรือเพียงคนเดียว ไม่เกี่ยวกับเจ้าของเรือหรือลูกเรือ)” ซึ่งในหลักการ ควรมีผู้กระทำความผิดที่แยกจากกัน ระหว่าง ผู้รับใบอนุญาต เจ้าของเรือ/ผู้ครอบครอง และนายเรือ (ไต้ก๋ง) ฯลฯ
4)การกล่าวหาผู้กระทำความผิด แม้มิได้มีเจตนา
5)การไม่กำหนดวิธีการให้ผู้ถูกกล่าวหาสามารถต่อสู้คดีโดยไม่ถูกบังคับให้ต้องยอมจำนน เช่น การไม่กำหนดให้สามารถสู้คดีในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการเปรียบเทียบ คณะกรรมการปกครอง การประกันเรือ/เครื่องมือ/สัตว์น้ำ ฯลฯ รวมทั้งการปรับโดยไม่แจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบล่วงหน้า
6)ในส่วนของการประมงนอกน่านน้ำ ไม่มีการยอมรับสิทธิของรัฐชายฝั่งเหนือเรือประมงไทยและกิจกรรมที่เกิดขึ้นบนเรือนั้น ที่อยู่ในน่านน้ำของรัฐชายฝั่งนั้นๆ
7)มีการกำหนดให้การกระทำผิดชางประการเป็นความผิดร้ายแรง ที่ไม่สอดรับกับอนุสัญญาระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี (UNFSA) กำหนดเกินกว่าที่อนุสัญญาฯบัญญัติ
8)ฯลฯ
4.มีการแก้ไขหลักการเกินกว่าที่สภาผู้แทนราษฎรได้รับหลักการไว้
กล่าวคือ ร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้ สภาผู้แทนราษฎรได้รับหลักการในมาตรา 31 โดยให้มีการยกเลิก หมวด 11 ทั้งหมวด ตั้งแต่มาตรา 121-170 และเขียนขึ้นใหม่ทั้งหมด แต่คณะกรรมาธิการฯ ที่สภาได้ตั้งขึ้น กลับไปพิจารณาปรับแก้เป็นรายมาตราแทน ซึ่งขัดกับหลักการดังกล่าว โดยไม่มีการแจ้งให้สภาผู้แทนราษฎรได้ทราบในระหว่างการประชุมวาระ 2-3 จนเกิดกรณีทักท้วงของสมาชิกท่านหนึ่ง (นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว)
5.ฯลฯ
ดูเพิ่มเติม https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2025/01/การจัดการการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรปลากะ.pdf