วิชาญ ศิริชัยเอกวัฒน์
4.กิจกรรมหลังการประชุม
ภายหลังการเข้าร่วมประชุม “World League for Freedom and Democracy (WLFD) Conference 2024” แล้ว ในครั้งแรก ผมได้วางแผนไว้ว่า จะเดินทางลงใต้ไปยังเมือง “เกาสง (Kaohsiung)” ซึ่งในความเข้าใจของผม คือ “เมืองหลวงของการประมงของไต้หวัน” เช่นเดียวกับ “จังหวัดสมุทรสาคร” ที่ผมอยู่ ซึ่งเป็น “เมืองหลวงของการประมงไทย” เพราะอยากไปดูว่า หลังจากได้รับ “ใบเหลือง” จาก EU ในปี พ.ศ. 2558 (ปีเดียวกันกับประเทศไทย) แล้ว เขาได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง และภายหลังจากการได้รับการยกใบเหลืองแล้ว การประมงของไต้หวันเป็นอย่างไร แต่เนื่องจากในช่วงนั้น เมืองเกาสงอยู่ในเส้นทางผ่านของ “พายุซุปเปอร์ไต้ฝุ่นกระท้อน” พอดี ผมจึงต้องยกเลิกแผนการเดินทางลงใต้ เปลี่ยนเป็นการไปเที่ยวชมสถานที่ที่น่าสนใจรอบ ๆ เมืองไทเป แทน ผมได้พบคนรู้จัก ได้เห็นสถานที่ สิ่งของ และกิจกรรมที่น่าสนใจหลายประเด็น จึงขอนำมาเสนอประกอบไว้เป็นบันทึกการเดินทางในครั้งนี้ด้วย
การเดินทางไปไต้หวันในครั้งนี้ สิ่งหนึ่งที่ผมมั่นหมายใจไว้ว่าจะต้องทำ คือ การไปดูเรื่องที่เกี่ยวกับการทำประมง และการไปพบปะพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ประมง ที่รู้จักพูดคุยกันผ่านทาง Facebook มาหลายปี เพราะเขารู้ว่าผมเป็นคนไทย มีอาชีพประมง และประเทศไทยได้รับ “ใบแจ้งเตือน (ใบเหลือง)” จากสหภาพยุโรป (EU) ในเรื่องการประมงผิดกฎหมาย (IUU Fishing) ก่อนไต้หวัน เขาจึงอยากเรียนรู้ว่าประเทศไทยเราแก้ปัญหาอย่างไร และที่สำคัญ เขา (รัฐบาลไต้หวัน) รู้สึกแปลกใจมากว่า “เหตุใดประเทศไทยจึงให้การรับรอง (ให้สัตยาบัน) อนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 188 ว่าด้วยว่าการทำงานในภาคการประมง ค.ศ. 2007 (the International Labour Organization (ILO) Work in Fishing Convention No. 188, 2007 /ILO C188)” ทั้ง ๆ ที่ไม่มีประเทศใดในเอเชีย รวมทั้งประเทศที่มีกิจกรรมการประมงทะเลอันดับต้น ๆ ของโลก ให้การรับรองอนุสัญญาฉบับนี้ ผมก็ตอบเขาไปว่าเพราะ “ประเทศไต้หวันของคุณ (รัฐบาล/รัฐมนตรี) ไม่มีใครอยากจะ Smart เหมือนประเทศไทย” ครับ

การพูดคุยของเรามีทั้งเรื่องดี ๆ ที่ฟังแล้วเบิกบาน และเรื่องที่ทำให้เศร้าใจครับ เพราะเรารู้สึกเหมือนกันว่า ทั้งประเทศไทยและไต้หวันต่างก็ได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมจากคณะกรรมาธิการยุโรป (EU) โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศจีนและรัสเซียที่เป็นปรากฏในรายงานขององค์กรการเฝ้าระวังการทำประมง IUU ว่าเป็น “เจ้าพ่อแห่ง IUU Fishing” หรือแม้แต่ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) บางประเทศที่มีผลคะแนนในเรื่อง IUU Fishing ต่ำกว่าประเทศไทยด้วยซ้ำ แต่คณะกรรมาธิการ EU ไม่เคยมีการออกประกาศให้ใบเหลือง หรือใบแดง แต่อย่างใด จะมีก็แต่การแจ้งเตือนกันเป็นการภายใน ซึ่งประเทศดังกล่าวก็ดูเหมือนจะ “No สน No แคร์” เห็นได้จากรายงานแต่การเฝ้าระวัง IUU Fishing ในปีนี้ ว่า มีคะแนนการประเมินที่ต่ำกว่าปีก่อนด้วย ในขณะที่ประเทศไทย (ที่ไม่ได้เป็นสมาชิก EU) แม้ว่า EU จะประกาศปลดใบเหลืองมาแล้วกว่า 5 ปี แล้วก็ตาม ก็ยังถูก EU เฝ้าติดตาม และเข้ามากำกับการดำเนินงานด้านการประมงของรัฐบาลไทยอย่างไม่ลดละ
ภายหลังการพูดคุย ผมทราบว่าประเด็นปัญหาที่ทำให้ไต้หวันได้ใบเหลือง และถูก EU จับตา คือ
(1) การประมงของกองเรือประมงไกลบ้าน (นอกน่านน้ำ) ที่มีปัญหาในหลายประเด็น ซึ่งไต้หวันก็แก้ไขเพื่อไม่ให้กระทบกับเรือประมงภายในประเทศโดย (ก) การออกกฎหมายว่าด้วยการประมงระยะไกล (Distant-water fisheries) เป็นการเฉพาะโดยให้สอดคล้องกับอนุสัญญากฎหมายทะเลฯ (UNCLOS 1982) รวมทั้งเพิ่มบทลงโทษให้เหมาะสม (ข) ปัญหาของระบบติดตามเรือและการจดบันทึกของ Electronic Logbook (ผลการจับสัตว์น้ำด้วยระบบอีเลกทรอนิกส์) ไต้หวันแก้ไขโดยการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และกำหนดให้เรือประมงทุกลำต้องติดตั้งระบบ (ค) การออกระเบียบให้ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดขององค์กรระหว่างประเทศที่กำกับดูแลเขตประมงในทะเลหลวง (RFMO)
(2) ปัญหาของเรือต่างชาติที่เข้าเทียบท่าในประเทศไต้หวัน โดยไต้หวันได้การดำเนินออกระเบียบตามข้อตกลงมาตรการรัฐเจ้าท่า (FAO Port States Measures Agreement)
(3) ประเด็นในเรื่องระบบการตรวจสอบย้อนกลับของสินค้าประมง ไต้หวันได้ดำเนินการโดยมีการปรับปรุงให้ครอบคลุมทั้งห่วงโซ่อุปทาน และ
(4) ประเด็นของการบังคับใช้กฎหมาย การเพิ่มงบประมาณและบุคคลากรให้เพียงพอต่อการบังคับใช้กฎหมายและการต่อสู้กับปัญหา IUU Fishing ซึ่งไต้หวันก็มีการตอบสนองโดยปรับปรุงให้เพียงพอและพร้อมที่จะต่อสู้กับการประมง IUU ฯลฯ

ในส่วนของประเทศไทย ประเด็นที่เป็นสาเหตุให้ EU ออกใบแจ้งเตือน หรือใบเหลือง ที่ปรากฏอยู่ในเอกสารคำวินิจฉัย ของ EU คือ
(1) กฎหมายประมงของไทยล้าสมัย และไม่สอดรับกับอนุสัญญากฎหมายทะเล (UNCLOS 1982) รวมทั้งไม่รองรับกับการแก้ไขปัญหา IUU Fishing (ซึ่งก็เป็นความจริงครับ)
(2) ระบบการตรวจสอบย้อนกลับของอาหารทะเล “ที่ไม่มีประสิทธิภาพ” (โดยเฉพาะการรับรองเอกสารเพื่อการส่งออกของกรมประมง และการจัดทำบัญชีสินค้าภายในของโรงงานปลาทูน่ากระป๋อง)
(3) การขาดการประสานงานกับต่างประเทศและความไม่รู้ข้อมูล/ไม่มีข้อมูล/ไม่มีการติดตาม (ของกรมประมง) กรณีเรือประมงนอกน่านน้ำของไทย
(4) ไม่มีการทำแผนปฏิบัติการแก้ปัญหาการประมงผิดกฎหมาย (NPOA – IUU)
(5) มีเรือประมงมากกว่าทรัพยากร และส่วนหนึ่งไม่มีทะเบียนเรือและใบอนุญาตทำการประมง (อาชญาบัตร) ไม่มีการบันทึกผลการทำประมงและระบบการติดตามเรือ (VMS)
(6) ประเทศไทยไม่สามารถปฏิบัติตามความรับผิดชอบของตนในฐานะรัฐเจ้าของท่าที่ต้องดำเนินการเพื่อให้แน่ใจว่า สัตว์น้ำที่นำเข้ามาสู่ท่าเรือของตนเป็นสัตว์น้ำที่จับได้โดยถูกกฎหมาย ฯลฯ
นอกจากนี้ ในคำวินิจฉัยยังระบุว่า “ประเทศไทยไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามพันธกรณีของกฎหมายสากล ทั้งในฐานะรัฐเจ้าของธง รัฐเจ้าของท่าเรือ รัฐชายฝั่ง และรัฐเจ้าของตลาด และไม่มีการดำเนินการที่เพียงพอในการป้องกัน ยับยั้งและขจัดการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม”
สรุป ก็คือ นอกจากปัญหาที่เกิดจาก “ระบบ” แล้ว EU ยังชี้เป้าไปที่ “ความไม่มีประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่ของรัฐ” หลายหน่วยงาน อีกด้วย
แต่ในการแก้ปัญหา ไทยเรากลับไปติดกับดัก “ความไม่มีความรู้” ของรัฐบาล ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่ ที่ไม่ประสีประสากับเรื่องประมงทะเล ไม่สามารถชี้แจงให้ EU ได้รับทราบข้อมูลและข้อเท็จจริงที่มีอยู่ได้ ทำให้ EU ได้รับข้อมูลผิดพลาดในหลายประเด็น เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับเรือประมงนอกน่านน้ำของไทยที่มีใบอนุญาต/สัมปทานการทำประมงอย่างถูกต้องจากประเทศเจ้าของน่านน้ำ ซึ่งเรือเหล่านี้ทุกลำมีการติดตั้งระบบติดตามเรือ (VMS) และอยู่ภายใต้การติดตามควบคุมของประเทศที่ให้ใบอนุญาตทำประมงอยู่แล้ว แต่กรมประมงก็ไม่เคยสนใจที่จะรับทราบ หรือเก็บรวบรวมข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อนำมาชี้แจงต่อ EU (การทำประมงนอกน่านน้ำเอกชนจะเป็นผู้ติดต่อขออนุญาต/สัมปทานกับหน่วยงานราชการของประเทศเจ้าของน่านน้ำกันเอง เวลาที่เกิดปัญหาเอกชนก็ต้องดิ้นรนแก้ไขปัญหากันเอง ไม่เคยได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือจากหน่วยงานราชการไทย)
แม้ว่าประเทศไทยจะได้รับการปลดใบเหลืองสำเร็จในเวลาเพียง 3 ปีเศษ แต่ก็สร้างความ “Ship-หาย” ให้กับอุตสาหกรรมประมงไทยทั้งระบบ ที่ผมเคยประเมินไว้ว่าคิดเป็นมูลค่าทางการเงินปีละไม่ต่ำกว่า 200,000 ล้านบาท และที่สำคัญ การดำเนินการของรัฐไทย ทำให้กองเรือประมงนอกน่านน้ำที่เคยมีอยู่ก่อนหน้าประมาณ 1,000 ลำ ต้องตกอยู่ในสภาพ “จอด จม และ (เจ้าของ) เจ้ง” เหลือออกทำการประมงในทุกวันนี้เพียง 2 ลำเท่านั้น ในขณะที่เรือประมงนอนน่านน้ำของไต้หวันยังคงออกทำการประมงได้ตามปกติทั้งหมด

ประเด็นความแตกต่างในการแก้ไขปัญหา IUU fishing ระหว่างไทยกับไต้หวัน ที่สำคัญ คือ (1) เจ้าหน้าที่ประมงของไต้หวันเขารู้เรื่องประมงทะเลเป็นอย่างดี (2) เขารับฟังข้อมูล ปัญหา และความคิดเห็นผู้ประกอบการ (เขาแก้ในประเด็นที่ EU เสนอ ไม่มากเกินไป/อธิบายในส่วนที่ EU เข้าใจผิด/ต่อรองในส่วนที่อาจเสียหาย) และ (3) เขารู้และคิดได้ว่าถ้าทำตามที่ EU ต้องการ การประมงของประเทศเขาจะ “Ship-หาย” อย่างไร กล่าวโดยสรุป คือ เขาแก้ปัญหาบนความรู้/ความเข้าใจในธุรกิจ รับฟังความเห็นของภาคเอกชน และปกป้องความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับการประมงทะเลของเขา ทำให้เขาแทบจะไม่ได้รับผลกระทบจากการได้รับ “ใบเหลือง” จาก EU เลย แต่ของเรา (1) ไม่รู้ (2) ไม่ต่อรอง (3) “Yes sir” ด้วยการจัดให้ในทุกสิ่งที่ EU ต้องการ แถมยัง (4) ทำเกินไปกว่าที่เขาขอ (5) ทำเกินกว่าที่กติกาสากลกำหนดไว้ด้วย เพื่อเอาใจ สุดท้ายก็เสีย “ค่าโง่” ไปประมาณปีละ 200,000 ล้านบาท มาจนถึงทุกวันนี้ (รวม 9 ปี ก็ประมาณ 1.8 ล้านล้านบาท) ครับ
ตั้นสุ่ย (Tamsui) เป็นเมืองเล็ก ๆ ริมทะเล ที่มีเสน่ห์ครับ ในเกือบจะทุกครั้งที่ผมมีโอกาสไปไต้หวัน ผมจะนั่งรถไฟฟ้าสายสีแดง (MRT Tamsui) จากสถานีรถไฟกลางไทเป (Taipei Main Station) ไปจนสุดสาย (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที) เมืองนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่หลายแห่ง ครับ ไม่ว่าจะเป็นตลาดเก่า (Tamsui Old Street) สะพานคู่รัก (Tamsui Lover’s Bridge) วัดเทียนหยวน (Tianyuan Temple) และท่าเรือประมงพาณิชย์ (Fisherman’s Wharf) ฯลฯ (ถ้าจำไม่ผิด ผมเคยไปนอนเล่นที่แถวท่าเรือ 2 ครั้ง เพื่อดื่มด่ำกับธรรมชาติยามเย็น และดูวิถีชีวิตแบบ “Slow life” ของชาวไต้หวันและนักท่องเที่ยวที่มาเยือน)
ครั้งนี้ ผมตั้งใจจะไปดูพระอาทิตย์ตก และแวะไปดูท่าเรือประมงพื้นบ้าน ออกจากสถานีรถไฟฟ้าแล้ว ผมเดินต่อไปยังท่าเรือประมงพื้นบ้าน (Fisherman’s Wharf) ซึ่งก็ไม่ผิดหวังครับ ผมได้เห็นเรือประมงเล็ก ๆ จอดเรียงรายกันอยู่กันอย่างเป็นระเบียบ จนทำให้รู้สึกอิจฉาว่า นอกจากการสร้างท่าเรือใหญ่ให้กับเรือประมงพาณิชย์แล้ว ประเทศนี้เขายังให้ความสำคัญกับประมงพื้นบ้านด้วยการจัดที่จอดเรือที่สะดวกและปลอดภัย (จากคลื่นลม) ซึ่งต่างไปจากประเทศของเราที่มีเฉพาะท่าเทียบเรือประมงพาณิชย์ และมีเฉพาะในบางจังหวัดเท่านั้น ซึ่งในความเห็นของผม ผมเห็นว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีอำนาจหน้าที่ในการดูแลพื้นที่นั้น ๆ น่าจะจัดสร้างท่าเรือที่ปลอดภัยให้เรือประมงทั้ง 2 กลุ่มในพื้นที่นั้นได้ครับ

ผมเดินเล่นรอเวลาดวงอาทิตย์ลับฟ้า ซึมซับบรรยากาศโดยรอบจุดชมวิว ผมเห็นความมีชีวิตชีวาของผู้คนที่มีทั้งคนท้องถิ่นในพื้นที่ คนจากในเมือง และนักท่องเที่ยวที่แวะมาพักผ่อน ซึ่งมีทั้งเด็ก คนหนุ่มสาว ผู้ใหญ่วัยทำงาน ผู้สูงอายุ ทั้งที่มาคนเดียว มาเป็นคู่ มาเป็นครอบครัว และมากับสัตว์เลี้ยง ทุกคนมีสีหน้า ที่มีความสุขและผ่อนคลาย หลายคนดื่มด่ำกับเสียงเพลงจากนักร้อง/นักดนตรีสมัครเล่น หลายคนซื้ออาหารมานั่งรับประทาน หลายคนก็มาถ่ายรูปอาทิตย์อัสดงที่แม้จะดูอ่อนล้าโรยแรง แต่ก็ยังเต็มไปด้วยพลังที่บ่งบอกว่า พร้อมจะกลับมาส่องแสงเจิดจ้าอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น
ผมอดไม่ได้ที่จะอิจฉาคนเมืองนี้ และคนไต้หวัน ที่พวกเขามีพื้นที่แห่งความสุขที่ทุกคนสามารถมาพักผ่อนคลายความเครียด ความเหนื่อยล้าจากการทำงาน เพื่อใช้เวลาในยามเย็น/ยามว่างกันได้ เพราะที่จังหวัดสมุทรสาครบ้านผม ก็มีสถานที่ที่มีบรรยากาศแบบนี้ครับ แต่น่าเสียดายที่ขาดการออกแบบ ขาดการวางแผน การจัดการและการประชาสัมพันธ์ที่ดี จึงไม่มีใครแวะไปเที่ยว หรือไปพักผ่อน สถานที่ที่ว่าคือ “ลานกิจกรรม” หน้าศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ป้อมวิเชียรโชฎก ที่มหาชัย ครับ
อันที่จริง ผมเคยเสนอแนวคิดในการพัฒนาพื้นที่บริเวณ “ป้อมวิเชียรโชฎก” มาหลายครั้ง ทั้งเสนอผ่านเวทีจังหวัด (ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดมาแล้ว 6-7 คน) เวทีท้องถิ่น เวทีสาธารณะ แต่ก็ไม่มีใครสนใจครับ มีบางช่วงที่ผู้ว่าราชการฯ บางคน นำไปทำโครงการพัฒนาเฉพาะเรื่อง/เฉพาะจุด ใช้งบประมาณแผ่นดินกันไป แต่สุดท้ายก็ไม่เห็นพัฒนาการใด ๆ “ป้อมวิเชียรโชฎก” ยังคงเงียบเหงามีเพียงคนในพื้นที่กลุ่มเล็ก ๆ มาใช้พักผ่อน
ลองเปรียบเทียบบรรยากาศลานชมวิวที่มหาชัยกันดูนะครับ ผมว่าบรรยากาศอาทิตย์อัสดงในยามเย็นที่มหาชัย ก็งดงามไม่แพ้ตั้นสุ่ย แต่ที่สู้เขาไม่ได้ ก็คือ (1) Vision ของผู้นำ (2) แนวคิดในการพัฒนาพื้นที่ให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชน สังคม และสาธารณะ (3) การบริหารจัดการที่ดีเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์พื้นที่อย่างยั่งยืนครับ
ตลาดหนานเหมิน (Nanmen Market) เป็นตลาดเก่าแก่ของเมืองไทเป มีอายุกว่า 100 ปี สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2450 ในช่วงที่ไต้หวันอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น โดยใช้ชื่อว่า “ตลาดเฉียนสุ่ย (Chiensui Market)” หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ในปี พ.ศ. 2489 ญี่ปุ่นส่งคืนไต้หวันกลับสู่การปกครองของจีน ตลาดได้รับการเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “ตลาดหนานเหมิน (Nanmen Market)” และย้ายมาตั้งอยู่ที่ถนนรูสเวลต์ (Roosevelt Road) ซึ่งเป็นที่ตั้งตลาดในปัจจุบัน ในช่วงปี พ.ศ. 2524 มีการปิดตลาดเพื่อปรับปรุง โดยย้ายตลาดไปอยู่ที่บริเวณถนนหางโจว (Hangzhou Road) ก่อนที่จะย้ายกลับมา จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2562 มีการปิดตลาดเพื่อปรับปรุงใหม่อีกครั้ง โดยในครั้งนี้ มีการสร้างอาคารตลาดแห่งใหม่ขึ้นในที่ตั้งเดิม และเพิ่งกลับมาเปิดให้บริการใหม่อีกครั้ง เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา
ความน่าสนใจสำหรับผม คือ ตลาดแห่งนี้ เป็นตลาดที่ทันสมัย ตั้งอยู่ภายในอาคารสูง (บนดิน) 12 ชั้น (และมีชั้นใต้ดิน อีก 5 ชั้น) โดยใช้ชั้นล่าง 4 ชั้น เป็นพื้นที่ตลาด มีพื้นที่รวม 7,452 ตารางเมตร ส่วนชั้นที่เหลือเป็นที่ทำการของสำนักงานเมืองไทเป
ด้วยที่ตั้งของอาคารที่อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าอนุสรณ์สถานเจียงไคเชก (Chiang Kai-Shek Memorial Hall Station) และ “อนุสรณ์สถานเจียงไคเชก (Chiang Kai-Shek Memorial Hall)” แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ประกอบกับการออกแบบสถาปัตยกรรมของอาคารภายใต้แนวคิด “ชีพจรแห่งไทเป (Pulse of Taipei)” ที่คำนึงถึง “ระบบนิเวศ การอนุรักษ์พลังงาน การลดของเสีย และสุขลักษณะ/สุขอนามัย” รวมทั้งการให้เอกชนเข้ามาเป็นผู้พัฒนาตลาดตามแนวคิดของรัฐผู้เป็นเจ้าของพื้นที่ด้วยการเปิดประมูลแบบ “Turn key” ตลาดแห่งนี้จึงเป็นตัวอย่างของการพัฒนาตลาดดั้งเดิมของชุมชนในเขตเมืองใหญ่ ที่ส่วนมากมักมีสภาพแวดล้อมที่เก่า ทรุดโทรม สกปรก ขาดมาตรฐานด้านสุขลักษณะและสุขอนามัย ให้เป็นตลาดที่ทันสมัย ได้มาตรฐานสากล ทั้งในเรื่องความสะอาด สุขลักษณะ สุขอนามัย และสิ่งแวดล้อม จนทำให้ตลาดแห่งนี้ เป็น “ตลาดสีเขียว”
ในส่วนที่เป็นพื้นที่ตลาด มีการจัดหมวดหมู่ร้านค้าให้สะดวกต่อผู้เข้ามาใช้บริการ โดยแบ่งที่ตั้งร้านค้าตามประเภทอาหารและสินค้าที่ขายเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่หนึ่ง ชั้นใต้ดิน (2 ชั้น) เป็นตลาดอาหารสำเร็จรูป และอาหารแห้ง ส่วนที่สอง ชั้นเหนือพื้นดิน (2 ชั้น) เป็นตลาดอาหารปรุงเสร็จพร้อมรับประทาน โดยชั้นที่หนึ่ง เป็นตลาดสำหรับผู้ที่ซื้อกลับไปรับประทานที่บ้าน ส่วนชั้นที่สอง เป็นศูนย์อาหาร (Food court) สำหรับนั่งรับประทาน โดยแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นร้านขายสินค้าอุปโภค เช่น เสื้อผ้า เครื่องประดับ และของที่ระลึกต่าง ๆ ด้วย นอกจากนี้ การจัดพื้นที่ตลาดให้มีช่องทางเดินที่กว้างขวาง สะอาด และมีแสงที่สว่างไสว รวมทั้งระบบการชำระเงินแบบ “ไร้เงินสด (cashless payment)” ทำให้ตลาดแห่งนี้เป็นตลาดที่ “น่าเดิน/น่าซื้อ” ที่ไม่เพียงมีชาวไต้หวันที่มาใช้บริการ แต่ยังเป็นหมุดหมายที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปเยือนเพื่อเลือกชิมอาหารท้องถิ่น และเลือกซื้อของฝากของที่ระลึกกลับบ้านอีกด้วย
เมื่อเห็นแล้ว ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะนึกถึงตลาดในบ้านเราครับ ไม่ว่าจะเป็นในกรุงเทพ หรือในเมืองใหญ่ ๆ (แม้แต่สมุทรสาครบ้านผม) ที่มีตลาดสดดั้งเดิมอยู่คู่กับชุมชน ซึ่งมีอาหาร และสินค้า ที่เป็นเอกลักษณ์อยู่มากมายหลายแห่ง แม้ว่าตลาดบางแห่งจะมีการปรับปรุงอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเพียงเรื่องความสะอาด ไม่มีแนวคิดหรือ “Concept” ของการจัดตลาดสมัยใหม่ที่มองในมิติต่าง ๆ อย่างครบถ้วนอย่าง “ตลาดสีเขียว” แบบนี้
ผมอยากเชิญชวนผู้บริหารท้องถิ่นในทุกระดับ ครับ ทั้ง กทม./อบจ./อบต./เทศบาล ลองไปศึกษาข้อมูล หรือไปดูงานว่าเขาทำกันอย่างไร และจะนำแนวคิดนี้ไปประยุกต์ใช้กับตลาดบ้านเราได้อย่างไร เพื่อทำตลาด (สด) แบบเก่าๆ ให้เป็นตลาด “น่าเดิน/น่าซื้อ” รวมถึง “น่าเที่ยว” แบบเขาบ้าง (https://www.archdaily.com/1013275/south-gate-market-nanmen-market-bio-architecture-formosana)
ทุกครั้งที่ผมไปต่างประเทศ สถานที่แห่งหนึ่งที่ผมมักจะไปเสมอถ้ามีโอกาส คือ “ตลาดปลา” ครับ เพราะด้วยจิตวิญญาณของชาวประมง ผมจึงสนใจว่าในต่างประเทศเขาซื้อ-ขาย/กินปลากันอย่างไร เหมือนหรือต่างจากประเทศเรา ถึงแม้ว่าผมจะเคยไป “ตลาดปลาไทเป” มาแล้วหลายครั้ง แต่ครั้งนี้ผมก็ไม่พลาดที่จะไป เพราะอยากไปเห็นว่าตลาดยังเหมือนเดิมหรือเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ที่สำคัญ ผมตั้งใจจะไปหาอาหารทะเลสด ๆ และอร่อยกินครับ
ที่กรุงไทเปนี้ มีตลาดปลาแบบค้าส่งที่มีระบบการประมูลอยู่ 2 แห่งครับ คือที่
(1) ตลาดค้าส่งผักและผลไม้ไทเปแห่งที่หนึ่ง/ตลาดค้าส่งปลาวันด้า (The Taipei City First Fruit and Vegetable Wholesale Market/Wanda Fish Wholesale Market) ตั้งอยู่ที่ถนนวันดา (Wanda) เป็นตลาดค้าส่งแห่งแรก และใหญ่ที่สุดของไต้หวัน มีปริมาณการซื้อขายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและทางทะเลสูงสุดในประเทศ แต่ด้วยสภาพแวดล้อมที่เก่าแก่ และมีปัญหาด้านสุขลักษณะและสุขอนามัยมายาวนาน ปัจจุบันตลาดแห่งนี้กำลังได้รับการพัฒนาโดยมีเป้าหมายเพื่อ “จัดการด้านความปลอดภัยของอาหาร ระบบการขนส่ง และการท่องเที่ยว (food hygiene management, logistics, and tourism)” โดยมีการออกแบบอาคารและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้ตลาดแห่งนี้เป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าขนาดใหญ่ ขณะเดียวกันก็คงอัตลักษณ์อันยาวนานของตลาดไว้
(2) ตลาดค้าส่งผักและผลไม้ไทเปแห่งที่สอง/ตลาดค้าส่งปลาปินเจียง (The Taipei City Second Fruit and Vegetable Wholesale Market/Binjiang Fish Wholesale Market) ตั้งอยู่ที่ถนนมินซูตะวันออก (Minzu East) สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2528 นอกจากจะเป็นตลาดที่มีระบบการประมูลผักและผลไม้ที่ครอบคลุมและทันสมัยที่สุดแล้ว ตลาดแห่งนี้ยังจำหน่ายวัตถุดิบอาหารที่ได้รับการคัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน ทั้งในเรื่องคุณภาพ ความสดใหม่และความปลอดภัย โดยเฉพาะเรื่องอาหารทะเล
ทั้งตลาดปลาวันดา และตลาดปลาปินเจียง เป็นตลาดที่มีการประมูลปลา รู้จักกันในนามตลาดปลา “ซึกิจิแห่งไทเป” เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินิยมมาเยี่ยมชม ชาวไต้หวันที่คุ้นเคยกับตลาดปลาต่างรู้ดีว่า ถ้าต้องการซื้ออาหารทะเลสด ๆ จะต้องไปถึงตลาดปลาไม่เกินเวลา 2 นาฬิกา หรือตี 2 ของวันใหม่ ซี่งเป็นเวลาที่สินค้าประมงจากทั่วไต้หวันถูกส่งเข้าสู่ตลาด และเริ่มการประมูล หลังจากผู้ค้าปลาที่ได้รับใบอนุญาตประมูลสินค้าประมงมาแล้ว พวกเขาจะเริ่มนำปลาไปตัดแต่ง ทำความสะอาด และบรรจุลงห่อ เตรียมส่งไปยังร้านค้า ร้านอาหาร และจำหน่ายให้ผู้บริโภคในบริเวณขายปลีกของตลาด
สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกอิจฉาชาวประมงของไต้หวัน ก็คือ ตลาดปลาของเขาทำหน้าที่ “ส่งเสริมวัฒนธรรมการกินปลาในเชิงรุก และดำเนินการตรวจสอบความปลอดภัยของอาหารเพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกมั่นใจในการกินปลาและสัตว์น้ำอื่น ๆ ” รวมทั้ง “ร่วมมือกับชาวประมงและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง พัฒนาผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านช่องทางการตลาดที่หลากหลาย” ในแบบที่บ้านเราไม่เคยทำกัน ครับ
“ตลาดปลาปินเจียง” ที่ผมไปดู แม้ว่าจะเป็นตลาดที่มีการประมูลปลา แต่ก็เป็นกิจกรรมที่ตลาดไม่ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวหรือผู้ซื้อปลีกเข้าชม ต่างไปจากตลาดค้าส่งปลาแห่งอื่น ๆ ที่ส่วนใหญ่จะมีการซื้อขายกันด้วยระบบการประมูลปลา และสัตว์น้ำที่ส่งตรงมาจากท่าเรือ หรือเรือประมง ให้เห็น เช่น สะพานปลาในบ้านเรา หรือหลายแห่งก็จะมีธุรกรรมแบบเบ็ดเสร็จ ทั้งการประมูล การค้าส่ง การค้าปลีก รวมทั้งร้านอาหารทะเลพร้อมทาน ทั้งรับปรุง และปรุงสำเร็จอยู่ในอาณาบริเวณเดียวกัน เช่น ตลาดซึกิจิ (Tsukiji) (ตลาดเดิม) หรือตลาดโทโยสุ (Toyosu) (ตลาดใหม่) ในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และตลาดปลาซิดนีย์ (Sydney) ประเทศออสเตรเลีย เป็นต้น
พื้นที่ส่วนที่เรียกว่า “Addiction Aquatic Development” หรือตลาดประมูลปลา ที่ผมเห็นมีเพียงการจำหน่ายอาหารทะเลแบบขายปลีกให้เลือกซื้อ ส่วนที่รับปรุงอาหารให้สุก และอาหารปรุงเสร็จพร้อมรับประทานไว้จำหน่าย ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้ว ก็คล้าย ๆ กับ “ภัตตาคาร Seafood Market” ที่ถนนสุขุมวิทในบ้านเรา เพียงแต่มีชนิดของสัตว์น้ำที่หลากหลายกว่า โดยมีสัตว์น้ำที่ขายแบบเป็น ๆ และมีเครื่องปรุง/เครื่องเคียงขาย ที่เราอาจเรียกได้ว่าเป็น “ซุปเปอร์มาร์เก็ตอาหารทะเลและผลิตภัณฑ์อาหารทะเล” ด้วย
ส่วนที่โดดเด่นและเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวของตลาดปลาแห่งนี้ คือ ตลาดในส่วนร้านรับปรุงอาหารให้สุกและอาหารปรุงสุกพร้อมรับประทาน เป็นตลาดติดแอร์ มีบรรยากาศหลากหลายผสมผสานกัน คล้าย ๆ กับ ห้างสรรพสินค้าที่มีทั้งการการซื้อ-ขายสัตว์น้ำ การพักผ่อนหย่อนใจ การท่องเที่ยว การชอปปิ้ง และวัฒนธรรมการกินปลา/อาหารทะเล ที่มีหลายหลายสไตล์ ทั้งอาหารชุดแบบญี่ปุ่น หม้อไฟแบบจีน และอาหารปิ้งย่างหลายประเภท รวมทั้งขนมหวานชนดต่าง ๆ ทำให้นักท่องเที่ยว และผู้เข้าไปใช้บริการรู้สึกสนุกกับการเลือกซื้อ เลือกชิมอาหารทะเลที่หลากหลาย ต่างไปจากตลาดปลา/ร้านขายอาหารทะเลแบบดั้งเดิมที่เราเคยไปกัน
ผมทราบว่า “อาหารทะเล” ที่จำหน่ายในร้านค้าที่อยู่ใน “ตลาดปลาไทเป” ได้รับการ “ตรวจสอบและรับรอง” จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วว่า มีความสด สะอาด ปราศจากสารพิษ และสารตกค้างต่าง ๆ สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคในเรื่องความปลอดภัย ซึ่งเป็นจุดขายที่ดีอย่างหนึ่งด้วย
ในช่วงที่ผมเป็นกรรมธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา และมีโอกาสเดินทางไปศึกษาดูงานที่ตลาดปลาซิดนีย์ (Sydney Fish Market) ออสเตรเลีย (ที่วันนี้เขาลงทุนเป็นหมื่นล้านบาท) ผมเคยเสนอไว้ในรายงานการดูงานว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรศึกษา และนำแนวคิดการบริหารจัดการตลาดปลาซิดนีย์ (รวมทั้งตลาดประมูลอื่น ๆ เช่นตลาดปลาซึกิจิ ตลาดดอกไม้เนเธอร์แลนด์ ฯลฯ) มาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาสะพานปลา (รวมทั้งตลาดสินค้าเกษตร) ในบ้านเราที่มีศักยภาพหลายแห่ง ให้เป็นตลาดปลา/ค้าส่งผลผลิตทางการเกษตร ที่มีคุณภาพ และสามารถเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งต่อผู้ขาย (ชาวประมง) และผู้ซื้อ เช่น สะพานปลากรุงเทพ สะพานปลาสมุทรสาคร สะพานปลาอ่างศิลา สะพานปลาสงขลา สะพานปลาภูเก็ต สะพานปลาปัตตานี ฯลฯ แต่ไม่เคยได้รับการตอบสนองจากผู้บริหารขององค์การสะพานปลาแต่อย่างใด
หลังจากใช้เวลาเดินดูสินค้า และเก็บภาพบรรยากาศต่าง ๆ ใน “ตลาดปลาไทเป” จนใกล้มื้อเที่ยง ผมและภรรยาก็ตัดสินใจเลือกซื้อ “ก้ามปูยักษ์ Hokkaido” นึ่ง มาทานกันคนละกล่องครับ แม้จะมีรสชาติที่เค็มไปหน่อย แต่ในเรื่องความสด และคุณภาพของเนื้อปู ก็อร่อยไม่ต่างไปจากที่ผมไปกินที่ Hokkaido เมื่อเดือนที่แล้วเลยครับ
ตลาดค้าส่งผักและผลไม้ปินเจียง (Binjiang Fruit and Vegetable Wholesale Market) เป็นตลาดค้าส่งผักและผลไม้แห่งที่สองของเมืองไทเป อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของ “Taipei Agricultural Products Marketing Corporation” หรือ “องค์การตลาดเพื่อผลผลิตทางเกษตรกรรม” ไทเป ซึ่งผมคิดว่าคล้าย ๆ กับ “ตลาด อ.ต.ก.” ของไทย ครับ เพราะมีวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งตลาดจะคล้าย ๆ กัน จะต่างกันก็แต่เป้าหมาย ที่ “Taipei Agricultural Products Marketing Corporation” ทำงานเพื่อช่วยเหลือ “เกษตรกรของไต้หวัน” ให้ขายผลผลิตได้ และได้พบเพื่อเรียนรู้ความต้องการสินค้าของผู้บริโภคโดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง ในขณะที่ “ผู้บริโภคในเมืองไทเป” ได้บริโภคผัก ผลไม้ที่มีคุณภาพ สดใหม่ ปลอดภัย และราคายุติธรรม ไปพร้อม ๆ กัน ส่วน “องค์กรตลาดเพื่อเกษตรกร” ของไทยเรา เท่าที่ผมเคยไปซื้อหาสินค้า ผมคิดว่าการทำงานน่าจะเพื่อ “ผู้บริโภคชาวกรุงเทพฯ” (โดยเฉพาะกลุ่มที่มีฐานะทางเศรษฐกิจ) มากกว่าช่วยเหลือ “เกษตรกรของไทยครับ” ครับ
ที่ผมกล้าพูดเช่นนี้ เพราะสมัยที่ผมเป็นกรรมธิการการเกษตรและสหกรณ์ ของวุฒิสภา ผมเคยไปดูงานที่ “อ.ต.ก.” ข้อมูลที่ผมได้รับแสดงให้เห็นว่า การทำงานของตลาด อ.ต.ก. บ้านเรา มุ่งเน้นไปที่ “ผลกำไร” มากกว่าการช่วยเหลือเกษตรกรไทยอย่างจริงจัง ผมคิดว่าหลายคนที่เคยไปหาซื้อสินค้าที่ ตลาด อ.ต.ก. จะเห็นได้ว่าสินค้าที่นำมาจำหน่ายเป็น “ผลผลิตที่มาจากเกษตรกรโดยตรง” น้อยมากครับ สินค้าส่วนใหญ่ที่ขายอยู่เป็นของที่พ่อค้า/แม่ค้าคนกลางไปรับซื้อจากเกษตรกรแล้วนำมาขายต่ออีกทอดหนึ่ง แถมสินค้าเกษตรที่ขายกันโดยเฉพาะผลไม้ ส่วนหนึ่งยังเป็น “ผลไม้ที่นำเข้าจากต่างประเทศ” อีกด้วย ส่วนราคาสินค้าก็สูงมากเมื่อเทียบกับตลาดทั่วไป (ส่วนหนึ่งที่ผมทราบ คือเป็นเพราะต้นทุนราคาค่าเช่าแผงขายสินค้าสูงมาก ทำให้ต้องขายสินค้าแพง)
ตลาดขายส่งผักและผลไม้ปินเจียง ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2528 ภายใต้ค่านิยมหลักคือ การส่งเสริม “วัฒนธรรมท้องถิ่น” “ชีวิตท้องถิ่น” และ “อาหารท้องถิ่น” จำหน่ายสินค้าเกษตรที่ผ่านการ “ตรวจสอบ” คุณภาพอย่างเข้มงวดก่อนที่จะนำมาขายในตลาด รวมทั้งมีการวางระบบการประมูลผักและผลไม้ที่ครอบคลุมและทันสมัยที่สุด และให้บริการอย่างมืออาชีพแก่ผู้ผลิต ผู้จัดหา (supplier) ผู้ขาย และผู้บริโภค ที่แตกต่างจากตลาดแบบดั้งเดิม โดยการค้าในตลาดจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ (1) ส่วนการประมูล (2) ส่วนการค้าส่ง และ (3) ส่วนการค้าปลีก
ในวันที่ผมไปนั้น ผมไม่ได้ติดต่อขออนุญาตดูงานไปล่วงหน้า จึงได้เห็นเฉพาะส่วนการค้าส่ง และค้าปลีก รวมทั้งผมไปถึงตลาดในช่วงบ่าย ที่ “ตลาดวาย” แล้ว พ่อค้าแม่ค้าเริ่มทยอยกันเก็บร้าน ส่วนผู้ซื้อก็แทบจะไม่มี ผมจึงได้แต่รูปร้านค้ามาฝากครับ
สถานีรถไฟกลางไทเป (Taipei main station) จริง ๆ แล้วไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวครับ แต่เป็นชุมทางการคมนาคมหลักของเกาะไต้หวัน ที่ชาวไต้หวัน และนักท่องเที่ยวต้องใช้บริการเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางต่าง ๆ บนเกาะแห่งนี้ แต่ที่นี่ เป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่มีสิ่งที่ทำให้ผมหลงใหล และอยากไปแวะใช้เวลาทุกครั้งที่เดินทางไปไต้หวัน 3 สิ่งนั้น ก็คือ

(1)การออกแบบที่ลงตัว ในมิติของ “การใช้งาน (Function)” ที่ประกอบไปด้วย เส้นทางรถไฟสายต่าง ๆ ทั้งรถไฟ (Taiwan Railway) รถไฟฟ้าใต้ดิน (Taipei MRT) และรถไฟความเร็วสูง (High Speed Rail) รวมทั้งรถไฟที่เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสนามบินเถาหยวน (Taoyuan Airport MRT) ส่วนที่เป็น “Shopping mall” ใต้ดินหลายแห่ง เช่น Taipei Underground Street, Eslite Underground Street, Zhanqian Underground Street และ Zhongshan Underground Street และส่วนชั้นบนดิน ที่ประกอบด้วย จุดจำหน่ายตั๋ว จุดประชาสัมพันธ์ ศูนย์แนะนำการท่องเที่ยว ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายของที่เรียกว่า Breeze Square (ร้านขายอาหารสำเร็จรูปและขนมแบบ “ซุ้ม (outlet)”) ที่ครองพื้นที่ (ชั้นล่าง) ของสถานีไปเกือบทั้งหมด และลานกว้างในบริเวณโถงใหญ่ (ที่ทั้งกว้างและสูงโปร่ง) เรียกว่ามีครบทั้งรถไฟสายต่าง ๆ ศูนย์การค้า/อาหาร และสถานที่ทำงานของการถไฟเองครับ
(2)อาหารอร่อย โดยเฉพาะในส่วนของชั้นล่างที่เป็นอาหารสำเร็จรูปและขนมต่าง ๆ ที่พร้อมทานเพื่อซื้อกลับบ้านหรือเป็นของฝาก (ส่วนใหญ่เป็นร้านในเครือของ Breeze) และชั้น 2 เป็นส่วนของร้านอาหาร ที่มีทั้งอาหารญี่ปุ่น จีน อิตาเลี่ยน ฯลฯ ร้านกาแฟ และศูนย์อาหารประเภทนั่งทาน แบบว่า “ใครหิว ก็ขึ้นไป” ซึ่งผมใช้บริการแล้วทั้ง 2 ชั้น บอกได้คำเดียวว่า “น่ากิน น่าซื้อ และอร่อย” ครับ
(3)ลานอเนกประสงค์ (Multi-functions) ส่วนโถงของสถานีที่กว้าง และสูงโปร่ง สามารถใช้เป็นที่จัดนิทรรศการเล็ก จุดนัดพบเพื่อไปต่อ นั่งพักผ่อนหรือนอนเล่นสบาย ๆ แบบ “พักแป๊บ” (กับพื้น) โดยไม่มีใครมาไล่ บอกตรง ๆ ผมชอบส่วนนี้มากเลยครับ และเคยไปนั่งพัก ไปยืน action ถ่ายรูปหลายครั้ง แถมในครั้งนี้ ทางไต้หวันมีการใช้พื้นเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ด้วยการติดสติกเกอร์คำว่า “ยิ้ม” ในหลากหลายภาษา และรูปอิโมจิ รวมทั้ง “ภาษาไทย” ของเรา เพื่อต้องรับคนไทยที่เป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มสำคัญของเขาด้วย ซึ่งผมเชื่อว่า ใครที่เห็นภาษาของตัวเองติดอยู่บนพื้นลานเองก็คงอดที่จะ “ยิ้ม” ตามไม่ได้
ทุกครั้งที่ผมเดินทางไป 3 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลี สิ่งหนึ่งที่ผมมักจะต้องไปดูและเปรียบเทียบกัน คือ การบรรจุภัณฑ์ของสินค้าชุมชน หรือที่เราเรียกกันว่า “สินค้า OTOP” ซึ่งผมเห็นว่า “ญี่ปุ่น” นั้น เป็นต้นตำหรับ ครับ และผมสังเกตว่า “ไต้หวัน และเกาหลี” กำลังเร่งพัฒนาตามอย่างกระชั้นชิด แต่ก็ยังตามไม่ทัน เพราะความประณีต พิถีพิถันของคนญี่ปุ่นนั้นเป็นวัฒนธรรมที่ฝังรากลึกมานานนับร้อยปี ในการออกแบบและนำเสนอบรรจุภัณฑ์ นั้น แสดงให้เห็นถึง “ความใส่ใจ” ทั้ง (1) ตัวสินค้า (2) หีบห่อชั้นใน (กระดาษ/ฟอยล์/ใบไม้/วัสดุธรรมชาติ) (3) หีบห่อชั้นนอก (กล่อง) และ (ง) ถุงหิ้วที่ใส่ผลิตภัณฑ์ ซึ่งทั้งหมดนี้ “เพิ่มมูลค่า” ทำให้ “ผลิตภัณฑ์” ดูน่าซื้อ และมีราคามากขึ้น ซึ่งจุดที่มักมีการแสดง “วิธีการบรรจุหีบห่อ (Packaging)” ให้ชม คือ ร้านค้าในสถานีรถไฟ และในห้างสรรพสินค้าทั่วไปครับ เวลาที่มาไต้หวัน ผมก็จะแวะมาดูที่ Taipei Main Station นั่นเอง ซึ่งในคราวนี้ก็เช่นเดียวกัน ครับ
ผมเคยเสนอให้สถาบันการศึกษาหลายแห่ง (รวมทั้งเคย post Facebook) ที่มีการเรียนการสอนเกี่ยวกับ “การแปรรูปอาหาร/สินค้าเกษตร (Food science)” ว่าน่าจะได้ส่งคนมาเรียนและนำไปสอนในบ้านเรา เพราะผมเชื่อว่า สินค้าที่มี “บรรจุภัณฑ์ (Packaging)” ที่สวยงาม จะดึงดูดความสนใจ และทำให้สินค้าดูน่าซื้อมากขึ้น กว่าการใส่กล่องหรือถุงหิ้วพลาสติก แล้วติดสติกเกอร์ อย่างที่ผู้ผลิตในบ้านเราชอบทำกันแค่นั้น (ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ “ต้นทุน” ที่สูงขึ้น ทำให้หลายคนอาจคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นก็ได้ครับ)
ผมเองเคยถูกความสวยงาม ความประณีตของบรรจุภัณฑ์ดึงดูดให้ยอมควักเงินซื้อขนม ทั้งของ ญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลี มาแล้วหลายครั้ง โดยคิดว่า “ห่อขนมยังสวยขนาดนี้ ขนมข้างในก็น่าจะต้องอร่อย” แต่หลายครั้ง ขนมที่อยู่ในกล่องนั้นก็ “ไม่ได้เรื่อง” เลยครับ เข้าข่าย “สวยแต่รูป จูบไม่หอม (ไม่น่ากินสักนิด)” ครับ
ช่วงเดือนตุลาคม ยังอยู่ในช่วงฤดูฝนของไต้หวัน ครับ สิ่งที่ผมสังเกตเห็น คือ บริเวณทางออกตามสถานีรถไฟใต้ดิน/บนดินต่าง ๆ ทั่วกรุงไทเป จะมีร่มสีเขียวแขวนอยู่จำนวนหลายคัน ด้วยความอยากรู้ จึงได้แวะเข้าไปดูครับ ผมพบว่า เจ้าร่มสีเขียวนี้ คือ ร่มที่เขาจัดไว้ให้เช่าครับ โดยอัตราค่าเช่ามีทั้งรายชั่วโมงและรายวัน (ค่าบริการระหว่าง 19-39 บาท) ซึ่งถ้าจะถามว่าแพงไหม ผมคิดว่าค่อนข้างแพงอยู่นะครับ เมื่อเทียบกับราคาซื้อร่มสักคัน เพราะเท่าที่ผมเข้าไปดูในร้านขายร่ม มีราคาตั้งแต่คันละ 300-2,000 บาท แล้วแต่คุณภาพ (ผมซื้อมา 1 คัน ราคา 1,200 บาทครับ จะว่าแพงก็คงไม่ผิด แต่ร่มที่ผมได้มานั้น สวยกว่า ขนาดใหญ่กว่า และแข็งแรงกว่าร่มที่ขายในบ้านเรา (ที่ส่วนใหญ่มาจากจีน) สัก 10 เท่าได้) แต่เข้าใจว่าคนที่ลืมพกร่มมาจากบ้าน ถ้าให้เลือกระหว่างต้องรอให้ฝนหยุด หรือเปียกเพราะตากฝน แลกกับการเสียค่าเช่าร่ม ก็น่าจะคุ้มครับ ซึ่งเขาก็อำนวยความสะดวกให้เราสามารถนำไปคืนไว้ที่จุดบริการเช่าร่มอื่น ๆ ได้ โดยไม่ต้องนำกลับมาคืนที่จุดเดิม
นอกจากร่มแล้ว ก็ยังมีบริการให้เช่าจักรยานที่ผู้เช่าสามารถนำไปคืนไว้ที่จุดบริการเช่าอื่น ๆ ได้ ต่างกันที่จักรยานมีจุดให้บริการมากกว่า นอกจากตามสถานีรถไฟแล้ว ในย่านชุมชน และแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ก็มีจุดให้เช่าจักรยานอยู่หลายแห่ง โดยแต่ละแห่งมีจักรยานสีเหลือง-ขาว จอดเรียงรายกันอยู่อย่างเป็นระเบียบ ที่ไต้หวันนี้ ผู้ใช้จักรยานสามารถขี่จักรยานได้ในทางจักรยาน (bike lane) ที่มีอยู่บนถนนทุกสาย นอกจากนี้ ถนนบางสายที่มีทางเท้ากว้าง ๆ เขาก็อนุญาตให้ใช้จักรยานขี่ไปมาในทางจักรยานที่ทำไว้ด้วย ครับ
ผมไม่แน่ในครับว่า จุดเช่าร่ม และจักรยาน เป็นบริการของรัฐ ของท้องถิ่น หรือของเอกชนแต่เป็นความคิดที่ดี ครับ ที่นอกจากจะเป็นการอำนวนความสะดวกให้แก่ประชาชน และนักท่องเที่ยวแล้ว ในอีกมุมหนึ่งก็เป็นการสนับสนุนให้ประชาชนออกกำลังกาย และช่วยลดมลพิษจากการใช้รถยนต์ด้วย ซึ่งถ้าจำไม่ผิด กทม.ของเราก็เคยจัดให้มีบริการเช่ารถจักรยานทำนองนี้เหมือนกัน ผมไม่แน่ใจว่าประสบผลสำเร็จหรือไม่อย่างไรครับ แต่ปัญหาหนึ่งที่ผมเห็น คือ ทางจักรยาน (bike lane) ของเราล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เพราะเราทำเส้นทางจักรยาน โดยตีเส้นด้วยสีบนพื้นถนนฝั่งซ้ายริมทางเท้า ที่ปกติจะมีทั้งรถยนต์ และจักรยานยนต์ ใช้เป็นที่จอดขวางอยู่ ถนนบางสายก็มีเก้าอี้บ้าง ถังขยะบ้าง ป้ายร้านค้าบ้าง ถูกนำมาตั้งขวางไว้บนทางจักรยาน ทำให้ผู้ใช้จักรยานต้องหลบออกไปในช่องทางการเดินรถยนต์ ซึ่งเป็นการเสี่ยงอันตราย ทั้งต่อชีวิต และทรัพย์สินมาก และน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ไม่นิยมใช้จักรยาน ยังไม่นับรวมการที่ต้องสูดดมมลพิษจากรถยนต์ อีกด้วย
ผมคิดว่าลำพังเพียงการจัดสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น บริการจักรยานให้เช่า หรือมีทางจักรยานที่สะดวก ปลอดภัย คงไม่ทำให้ประชาชนนิยมออกมาใช้จักรยานได้ (ถ้าไม่เป็นที่นิยมคงไม่มีจุดให้บริการหลายแห่ง) สิ่งที่สำคัญ คือ การเคารพในกฎหมายจราจร ทั้งในฝั่งผู้บังคับใช้ และผู้ถูกใช้บังคับ ทัศนคติเชิงบวกในการใช้จักรยาน และจิตสาธารณะของประชาชนที่มีต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม ครับ
สนามบินเถาหยวน (Taoyuan international Airport) เป็นสนามบินนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดของไต้หวัน สร้างขึ้นเพื่อทดแทนสนามบินซงซาน (Songshan international Airport) หรือที่เรียกกันว่าสนามบินไทเป ซึ่งเป็นสนามบินเก่า ที่มีขนาดเล็ก ตั้วอยู่กลางเมืองไทเป ซึ่งเข้าใจว่าในปัจจุบันใช้เฉพาะสายการบินเช่าเหมาลำและการบินภายในระหว่างเกาะเท่านั้น แม้จะเป็นสนามบินเถาหยวน ใหม่ที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 แต่เนื่องจากมีสายการบินที่ใช้บริการไม่มากนัก จึงมีขนาดไม่ใหญ่ เมื่อเทียบกับสนามบินสุวรรณภูมิของเราครับ แต่ถ้ามองในเรื่องของการออกแบบที่เรียบง่าย การ flow ของผู้โดยสาร ระบบการจัดการ/การให้บริการต่าง ๆ ผมว่าใช้ได้ดีทีเดียวครับ และเมื่อเข้าไปหาข้อมูลใน Google ผมพบว่าในปี 2559 สนามบินนี้ได้รับการจัดอันดับโดย Airports Council International ให้เป็นสนามบินที่ดีที่สุดสำหรับสนามบินในขนาดเดียวกัน ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และในปี พ.ศ. 2561 สนามบินนานาชาติแห่งนี้ สามารถรองรับผู้โดยสารสูงสุดเป็นประวัติการณ์จำนวน 46.5 ล้านคน ถือเป็นสนามบินที่มีผู้โดยสารใช้บริการมากเป็นอันดับ 11 ของโลก ส่วนในด้านการขนส่งสินค้า สามารถให้บริการถึงปีละ 2.3 ล้านตัน ซึ่งถือเป็นอันดับที่ 8 ของโลกในแง่ของการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศด้วย จึงถือว่า “ไม่ธรรมดา” ครับ
ในส่วนที่ผมประทับใจสนามบินแห่งนี้ นอกจากการบริการที่สะดวก และเป็นมิตรแล้ว ยังมีอีก 3 อย่างที่ผมประทับใจและไม่ค่อยเคยเห็นที่สนามบินอื่นครับ คือ ผมรู้สึกว่าประเทศนี้เขาพยายามใช้สนามบินเป็นเครื่องมือสื่อสารกับนักเดินทาง (ผู้โดยสาร) ถึงอัตลักษณ์ความเป็นไต้หวัน (อาจเป็นเพราะนโยบายจีนเดียว ทำให้ไต้หวันต้องถูกโดดเดี่ยวจากประชาคมโลก ผู้นำไต้หวันจึงพยายามสร้างตัวตน เพื่อให้คนทั่วไป (ที่มิใช่รัฐ) รู้จัก และยอมรับถึงการมีอยู่ของประเทศ) ซึ่งผมสัมผัสได้อย่างน้อย 5 ประเด็นครับ ประกอบด้วย
1)กำแพงวรรณกรรม (Wall of Literature) บริเวณทางเดินหลังจากผ่านการตรวจลงตราหนังสือเดินทางขาออกแล้ว เพื่อไปสู่ห้องพักผู้โดยสารและ Gate ต่าง ๆ ซึ่งที่กำแพงนี้ เขาเขียนเป็นภาษาจีนด้วยตัวอักษรดั้งเดิมแบบ “อักษรประดิษฐ์ (calligraphy)” เข้าใจว่าเป็น “บทกวี” สมัยใหม่ที่คัดสรรแล้ว ซึ่งใคร ๆ ผ่านก็อยากรู้ว่าเขาเขียนถึงอะไร บางคนก็เข้าไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ซึ่งผมก็เป็นคนหนึ่งครับ เนื่องจากเป็นสถานที่สุดท้ายที่ผู้คนก้าวเข้ามาก่อนออกจากไต้หวัน (ฉันรู้อยู่แล้ว) Ever Rich มอบหมายให้ Fang Wen-shan นักแต่งเพลงเจ้าของรางวัล Golden Melody Award มาแต่งเพลง Airport Song ~ On the Road ซึ่งเป็นตัวละครในชื่อเรื่องที่เขียนโดย นักเขียนอักษรวิจิตรชื่อดัง Zhu Chen-nan เพื่อให้ผู้โดยสารขาออกได้นำความทรงจำอันอบอุ่นและน่ารักของไต้หวันออกไป
2) หนังสือแจก หลังจากเราเดินผ่าน “กำแพงวรรณกรรม” มาไม่เกิน 50 เมตร เราก็จะพบกับโต๊ะประชาสัมพันธ์ของบริษัท Ever Rich ซึ่งเป็นผู้ได้รับสัมปทานร้าน Duty Free ในสนามบินแห่งนี้ ด้านหน้าโต๊ะประชาสัมพันธ์จะมีชั้นหนังสือที่ทางบริษัทฯ จัดพิมพ์ไว้สำหรับแจกให้แก่ผู้ที่สนใจ มีทั้งที่เป็นภาษาจีน ภาษาอังกฤษ หรือ หลายภาษาในเล่มเดียวกัน
ผมหยิบหนังสือเล่มที่ผมเห็นว่าน่าสนใจมา 2 เล่มครับ (เฉพาะที่มีภาษาอังกฤษและอ่านออก) คือ “Standards for Being a Good Student and Child” (เล่มนี้มี 2 ภาษา จีน/อังกฤษ) และ “108 Adages of Wisdom” (เล่มนี้มี 3 ภาษา จีน/อังกฤษ/เกาหลี) ส่วนเล่มอื่น ๆ เป็นภาษาจีนครับ (ผมเคยเห็นเล่มอื่นที่เป็นภาษาอังกฤษเหมือนกัน แต่เข้าใจว่าหมดและยังไม่ได้พิมพ์ใหม่) ที่ผมสนใจหยิบมา เพราะเห็นว่าเป็นหนังสือที่ให้ข้อคิดเกี่ยวกับการดำเนินชีวิต ที่ส่วนใหญ่จะเป็นแนวคิดของปรมาจารย์ “ขงจื๊อ” ครับ โดยเฉพาะเรื่อง “Standards for Being a Good Student and Child” ผมตั้งใจว่าจะส่งต่อไปให้โรงเรียนของผมนำไปดูว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการสอนลูกศิษย์ของเราได้อย่างไรครับ

หนังสือแจก 2 เล่มที่ผมหยิบมาจากสนามบินเถาหยวน

3) ห้องรับรองผู้โดยสารก่อนขึ้นเครื่องบินใน Terminal 1 นี้ มีทั้งหมด 18 ห้องครับ ในแต่ละห้อง บริษัท Ever Rich ร่วมกับสนามบินเถาหยวนและกระทรวงวัฒนธรรมของไต้หวัน นำเสนอวิถีชีวิตของชาวไต้หวันในแง่มุมต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมไต้หวันและศิลปินท้องถิ่น และยังมีการจัดร้านค้าในพิพิธภัณฑ์อีก 11 แห่งด้วย ซึ่งผมไม่เคยเห็นการนำเสนอในลักษณะนี้ที่สนามบินที่ไหนมาก่อนครับ ใครสนใจอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมก็ลองเข้าไปดูรายละเอียดตาม link นี้ได้ครับ https://web.taoyuan-airport.com/waiting_room?lang=en หรือ https://moodiedavittreport.com/ the-wonderful-world-of-airports-a-new-series-1-ever-rich-duty-free-takes-public-service-to-new-heights-at-taoyuan-international/

4) ร้านอาหารดี และอร่อย ที่ราคาไม่แพง
อีกหนึ่งความประทับใจที่ผมพบเห็นจากการเดินทางในครั้งนี้ คือ อาหารครับ
ปกติเวลาที่ผมเดินทางไปไหน สถานที่แห่งหนึ่งที่ผมมักจะไม่ซื้อของหรือทานอาหาร คือ ตามสถานีต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณ “สนามบิน” ครับ ซึ่งผมมีเหตุผลง่ายๆ คือ (1) ไม่อร่อย และ (2) แพง ครับ แต่ที่สนามบินเถาหยวน ไม่ทั้งสองอย่าง คือ ทั้ง “อร่อย และราคาถูก” ครับ
5)สินค้าใน Duty free Shop
จากการสังเกตเกี่ยวกับสินค้าใน Duty free Shop ที่สนามบินแห่งนี้ ผมพบว่า สินค้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่เรียกว่า “Made in Taiwan” เป็นหลัก ซึ่งผมขอชื่นชมครับ

เมื่อครั้งที่เราสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ ผมเคยหวังว่ารัฐบาลไทยในสมัยนั้น จะนำแนวคิดในลักษณะเดียวกันมาส่งเสริมการขาย “สินค้า OTOP” ซึ่งในช่วงเวลานั้นรัฐบาลเพิ่งจะมีนโยบายส่งเสริมให้ชุมชน/ท้องถิ่นมีการผลิตสินค้า OTOP กันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน มีการจัดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดบินไปดูงานถึงประเทศญี่ปุ่น แต่สุดท้าย บริษัทฯ ที่เขาประมูลพื้นที่ขายสินค้าได้ ก็มุ่งเน้นแต่การนำสินค้าของประเทศอื่นมาขายเพื่อทำกำไรเป็นหลัก โดยเฉพาะสินค้าประเภท Brand-name เหล้า/บุหรี่ น้ำหอมและเครื่องสำอาง มาวางขาย (จนแทบจะไม่มีที่เดิน) โดยแบ่งเพียงพื้นที่เล็ก ๆ สำหรับขายสินค้าไทย ๆ ซึ่งถ้าไม่ตั้งใจหาก็ไม่พบ เมื่อเปรียบเทียบกับร้างค้าในสนามบินนานาชาติเถาหยวนแล้ว เห็นความแตกต่างกันได้อย่างชัดเจนเลยครับ
ผมขอชื่นชมทั้งบริษัท Ever Rich ผู้รับสัมปทาน สนามบิน และรัฐบาลไต้หวัน ที่ใช้สนามบินเป็นจุดขายสุดท้ายในการส่งเสริมสินค้า “Made in Taiwan” ให้แก่ผู้โดยสารที่จะนำกลับไปยังบ้านเมืองของตน
นอกจากที่ผมได้เล่ามาข้างต้นแล้ว ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอื่น ๆ ที่ผมได้พบจากการเดินทางในครั้งนี้อีก เช่น การเปิดพื้นที่พักผ่อนสำหรับประชาชน โดยใช้ประโยชน์พื้นที่ใต้ทางด่วน ด้วยการสร้างเป็นที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจ โดยมีการตกแต่งด้วยศิลปะให้สวยงาม มีโต๊ะ เก้าอี้ให้นั่งพักผ่อนหรือทานอาหาร ผมเคยผ่านไปเห็นคนมานั่งเล่นดนตรีในยามบ่าย การช่วยอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว/นักเดินทาง โดยการทำป้ายประชาสัมพันธ์ และแผนที่ขนาดใหญ่ติดตั้งไว้ตามจุดต่าง ๆ เพื่อให้ข้อมูลว่าขณะนี้ตนเองอยู่ที่ไหน โดยในแผนที่มีการแนะนำสถานที่หรือแหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียงที่น่าสนใจ พร้อมทั้งแสดงทิศทาง และวิธีการเดินทางไปยังจุดต่าง ๆ ด้วย ในเรื่องความปลอดภัย และการจัดการพื้นที่ก่อสร้างในเขตเมือง เขาก็ให้ผู้ก่อสร้างต้องคลุมปิดอาคารให้มิดชิด เพื่อมิให้มีของตกหล่นใส่คนที่อยู่ด้านล่าง (ของไทยเราก็มี แต่เท่าที่เห็นส่วนใหญ่เป็นการคลุมเพื่อไม่ให้ผิดกฎหมายมากกว่าคำนึงถึงความปลอดภัย) รวมทั้งมีการส่งเจ้าหน้าที่/วิศวกรคุมงานเข้าไปอยู่ในพื้นที่ หรือจัดให้มีการป้องกันความปลอดภัยสาธารณะด้วยการมีเจ้าหน้าที่คอยกันคนภายนอกให้อยู่ห่างจากจุดวิกฤติ กรณีที่มีการทำงานหรือเหตุการณ์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การยกแผ่นเหล็ก แท่งปูนขึ้นที่สูง เป็นต้น

เป็นอันว่า ผมจบการเดินทางไปไต้หวัน ในหัวข้อเมื่อผมต้องสวมหมวก “มนุษย์ประชาธิปไตย” ไปประชุม “WLFD” แต่เพียงเท่านี้ครับ
คราวหน้าคงมีเรื่องราวของประเทศอื่นมาเล่าให้ฟังอีกครับ
สวัสดีครับ