ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯแจก ‘เงินหมื่น’ อายุ 60 ปีขึ้นไป-เปราะบาง 4 ล้านคน ก่อนตรุษจีนปีหน้า–ถกแบงก์พักดบ. 3 ปี ช่วย 3 กลุ่ม

นายกฯแจก ‘เงินหมื่น’ อายุ 60 ปีขึ้นไป-เปราะบาง 4 ล้านคน ก่อนตรุษจีนปีหน้า–ถกแบงก์พักดบ. 3 ปี ช่วย 3 กลุ่ม

19 พฤศจิกายน 2024


เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 นางสาว แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2567 ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/

นายกฯเคาะแจก ‘เงินหมื่น’ ให้คนชราอายุเกิน 60 ปี 4 ล้านคน ไม่เกินตรุษจีนปี’68 – เตรียมนัดแบงก์ถกพักชำระดอกเบี้ย 3 ปี ช่วยลูกหนี้บ้าน – รถยนต์ – สินเชื่อส่วนบุคคล ค้างจ่ายไม่เกิน 1 ปี ปรับโครงสร้างหนี้ – พร้อมเดินหน้าโครงการแจกเงินเกษตรกรอีกไร่ละ 1,000 บาท

เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 นางสาว แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2567 ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ,นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ และนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมกันแถลงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจได้มีการพิจารณาและมีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลหลายโครงการ หลักๆประกอบไปด้วย 1. มาตรการเพิ่มรายได้ให้กับภาคธุรกิจและประชาชน 2. มาตรการลดรายจ่าย 3. มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ภาคครัวเรือน และหนี้ของ SMEs และ 4. มาตรการกระตุ้นการลงทุนทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เช่น ภาคการเกษตร, ภาคอังหาริมทรัพย์ และภาคการท่องเที่ยว เป็นต้น

“สำหรับมาตรการเพิ่มรายได้ วันนี้ที่ประชุมคณะกรรมการฯก็มีมติเห็นชอบให้กระทรวงการคลังเร่งดำเนินการโอนเงิน 10,000 บาท เฟสที่ 2 ต่อเนื่องจากเฟสแรก เพื่อกระตุ้นการอุปโภคและการบริโภคภาคครัวเรือน ให้กับกลุ่มคนที่มีความจำเป็นก่อน ในระหว่างที่รัฐบาลกำลังเตรียมวางระบบ Digital Wallet เพื่อรองรับโครงการเติมเงินในเฟสต่อไป หลังจากที่มีการทดสอบระบบเรียบร้อยแล้ว วันนี้ที่ประชุมคณะกรรมการฯจึงตัดสินใจแบ่งเป็นเฟสๆ เพื่อให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น โดยการโอนเงินสด 10,000 บาท ให้กับกลุ่มคนที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป มีจำนวนประมาณ 3-4 ล้านคน ส่วนกลุ่มคนที่เหลือนั้น คาดว่าจะโอนเงินได้ในช่วงเดือนเมษายน – มิถุนายน 2568 ” นายพิชัย กล่าว

ด้านนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเสริมว่า สำหรับโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ให้กับผู้ที่มีอายุ 60 ปี ขึ้นไปนั้น เราพิจารณาให้เฉพาะกลุ่มเปราะบาง ไม่ได้โอนเงินให้ทุกคน และที่สำคัญต้องเป็นผู้สูงอายุที่มาลงทะเบียนผ่านแอปฯ “ทางรัฐ” ในช่วงที่เปิดให้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ Digital Wallet ก่อนหน้านี้ ซึ่งผ่านการตรวจสอบสิทธิ์ ไม่เคยได้รับเงิน 10,000 บาท จากโครงการโอนเงินเฟสแรกมาก่อน และยืนยันตัวตนครบถ้วนแล้วมีจำนวนประมาณ 4 ล้านคน ใช้เงินงบประมาณ 40,000 ล้านบาท

“ถ้าดูตามกรอบเวลา คาดว่าจะโอนเงิน 10,000 บาท เป็นเงินสดให้กับกลุ่มผู้สูงอายุกลุ่มนี้ได้ไม่เกินวันตรุษจีนปีหน้า ส่วนกลุ่มผู้สูงอายุที่ไม่มีสมาร์ทโฟน หรือ มือถือ ก็จะพยายามเร่งเปิดลงทะเบียนโดยเร็ว หากทำไม่ทัน ก็จะโอนเงินให้พร้อมกับกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนผ่านแอปฯ ทางรัฐ ส่วนการโอนเงินดิจิทัล 10,000 บาท ให้กับประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนผ่านแอป “ทางรัฐ” ไว้แล้ว อาจจะต้องมีการทำ Sand Box เพื่อทดสอบระบบให้มีความมั่นคงปลอดภัยก่อน เพราะเป็นระบบ Payment System ของรัฐที่ทุกคนสามารถใช้ได้ สำหรับประชาชนทั่วไปคาดว่าจะเริ่มโอนเงินได้ช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีหน้า (เม.ย.-มิ.ย. 2568)” นายจุลพันธ์ กล่าว

นายพิชัย กล่าวถึงมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน และหนี้ SMEs ว่า เรื่องนี้เป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่กระทรวงการคลัง ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ศึกษามาตรการสนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้ภาคครัวเรือนที่เป็นหนี้ระยะสั้น ค้างชำระหนี้ไม่เกิน 1 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่พอจะช่วยเหลือตัวเองได้ในช่วงของการฟื้นตัว หากมีการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับคนกลุ่มนี้ เช่น กลุ่มลูกหนี้สินเชื่อบ้าน กลุ่มลูกหนี้รถยนต์ และกลุ่มลูกหนี้สินเชื่อเพื่อการอุปโภคและบริโภค คิดเป็นวงเงินสินเชื่อรวมประมาณ 1.2-1.3 ล้านล้านบาท โดยรัฐบาลจะให้โอกาสไม่ต้องชำระดอกเบี้ยเป็นเวลา 3 ปี เมื่อลูกหนี้ได้รักการพักชำระดอกเบี้ย 3 ปี ก็จะมีเงินไปลงุทน หรือ บริโภคมากขึ้น นอกจากนี้ทางคณะกรรมการฯยังพิจารณาในเรื่องของการชำระเงินต้นด้วย โดยในช่วง 3 ปีแรก อาจชำระเงินต้นน้อยหน่อย ทั้งหมดนี้ก็เป็นหลักการใหญ่ๆที่คณะกรรมการฯได้พิจารณา

“ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ดูแลเรื่องนี้มาตลอด และพร้อมให้การสนับสนุน อย่างเรื่องการพักชำระดอกเบี้ย 3 ปี อาจจะใช้วิธีการยืดหนี้ให้ผ่อนชำระ 5-10 ปี โดยหลักการแล้วสำหรับคนที่ปฏิบัติได้ดีผ่อนชำระครบช่วง 3 ปีแรก อาจจะได้รับส่วนลดดอกเบี้ยไปเลย แต่ถ้าใครปฏิบัติไม่ดี ก็ต้องรับภาระดอกเบี้ยต่อไป ซึ่งทั้งหมดนี้ยังไม่ทราบตัวเลขที่แน่นอน แต่วันนี้ทางกระทรวงการคลังก็ได้รายงานให้คณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจรับทราบในหลักการแล้ว ช่วง 3 ปีแรก ลูกหนี้ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย ส่วนแหล่งเงินที่จะนำมาช่วยเหลือลูกหนี้ในโครงการนี้ ก็จะมาจากกระทรวงการคลังและธนาคารพาณิชย์”นายพิชัย กล่าว

ถามว่ามาตรการปรับโครงสร้างหนี้ภาคครัวเรือนทำไมช้า นายพิชัย กล่าวว่า การปรับโครงสร้างนี้ภาครัวเรือนครั้งนี้ไม่เหมือนกับเมื่อปี 2540 ซึ่งมีจำนวนลูกหนี้แค่ 1,000 ราย แต่การปรับโครงสร้างหนี้ภาคครัวเรือนครั้งนี้เป็นลูกหนี้รายย่อยมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 1 ล้านราย ซึ่งทางผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยก็เห็นด้วย และยินดีให้การสนับสนุนและทำงานร่วมกับกระทรวงการคลังมาอย่างต่อเนื่อง และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยก็รับปากจะทำให้ดีที่สุด หลักการก็คือ กลุ่มลูกหนี้ที่ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ และสามารถปฏิบัติได้ตามเกณฑ์ที่กำหนดก็จะหลุดพ้นจากการเป็น NPLs สามารถไปขอสินเชื่อใหม่จากสถาบันการเงินได้

นายจุลพันธ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ยังมีมติเห็นชอบมาตรการสนับสนุนภาคการเกษตรในระยะยาว เช่น การจัดโซนนิ่ง ส่วนในระยะสั้นก็มีมติเห็นชอบให้มีการจ่ายเงินสนับสนุนเกษตรกรไร่ละ 1,000 บาท เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพให้กับเกษตรกร ส่วนรายละเอียดให้กระทรวงการคลังประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยไม่ให้เป็นภาระงบประมาณในระยะยาว ซึ่งอาจมีการปรับรายละเอียดของโครงการบางส่วน ซึ่งจะมีการหารือกันต่อไป

“ส่วนเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้ภาคครัวเรือน วันนี้ยังเคาะไม่ได้ เพราะเรื่องนี้มีผลกกระทบหลายมิติ โดยเฉพาะผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งยังต้องหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม ต้องขอขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการคลัง สมาคมธนาคารไทยและธนาคารแห่งประเทศไทย ที่รับโจทย์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไปพิจารณา ซึ่งทุกหน่วยงานก็พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือประชาชนลดหนี้สิน ซึ่งจะมีการนัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุม เพื่อหาข้อสรุปกันอีกครั้ง” นายจุลพันธ์ กล่าว