‘ภูมิธรรม’แก้ กม.ช่วยชาวบ้านทำกินในเขตอุทยานฯ 6 แห่ง ได้ 20 ปี – ไม่ผิดอาญา ‘ออมสิน’ ปล่อยกู้รายละ 5 หมื่น คิดดอก 0.75% สู้หนี้นอกระบบ ธอส.จัดสินเชื่อซื้อ-ซ่อม-สร้างบ้าน 55,000 ล้าน แบ่งงาน 4 รองนายกฯ คุมส่วนราชการในภูมิภาค เพิ่มวันหยุดราชการปี ’68-69 เป็นกรณีพิเศษ ตั้ง ‘สกาวใจ พูนสวัสดิ์’ ดาราดัง – กุนซือ รมว.วัฒนธรรม
เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทั้งนี้ เนื่องจากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อม ด้วยนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และคณะออกเดินทางเยือนนครลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา เพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเซียแปซิฟิก หรือ เอเปค ครั้งที่ 31 รวมทั้งการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู ระหว่างวันที่ 10 – 18 พฤศจิกายน 2567
แก้ กม.ช่วยชาวบ้านทำกินในเขตอุทยานฯ 6 แห่ง 20 ปี – ไม่ผิดอาญา
นายภูมิธรรม รายงานว่า ที่ประชุม ครม. วันนี้ มีประเด็นสำคัญ 3 เรื่อง โดยมี 2 เรื่องเป็นนโยบายที่เสนอโดยกระทรวงการคลัง ซึ่งจะมอบหมายให้ ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้ชี้แจงรายละเอียดต่อไป และเรื่องถัดมาเกี่ยวกับกฎหมาย ซึ่งเสนอโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
นายภูมิธรรม กล่าวถึงเรื่องที่เสนอโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมว่า เป็นเรื่องที่มีผลกระทบและสำคัญที่เกี่ยวข้องกับประชาชน โดยเฉพาะประชาชนผู้มาเรียกร้องที่ทำเนียบ โดยมีร่างกฎหมาย 2 ฉบับ ได้แก่
-
• ร่าง พ.ร.ฎ. การอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ ตามมาตรา 64 พ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562
• ร่าง พ.ร.ฎ. โครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ตามมาตรา 121 แห่ง พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562
โดยร่าง พ.ร.ฎ. ทั้งสองฉบับ มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. กำหนดให้มีโครงการอนุรักษ์ และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติในเขตอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามีระยะเวลา 20 ปี นับตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลบังคับใช้ เพื่อให้ประชาชนอยู่อาศัย หรือ ทำกินในพื้นที่ดังกล่าว
2. กำหนดให้โครงการดำเนินการในพื้นที่ตามที่ระบุในท้ายบัญชี พ.ร.ฎ. ให้มีแนวเขตโครงการที่กำหนดในเขตพื้นที่จำนวน 6 แห่ง สอดคล้องกับ One Map ซึ่งมีข้อยุติแล้ว ประกอบด้วย (1) อุทยานแห่งชาติ 4 แห่ง ได้แก่ อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์, อุทยานแห่งชาติเขาคิชกูฏ จังหวัดจันทบุรี, อุทยานแห่งชาติเขา 15 ชั้น จังหวัดจันทบุรี และอุทยานแห่งชาติตาดหมอก จังหวัดเพชรบูรณ์ และ (2) เขตห้ามล่าสัตว์ป่า 2 แห่ง ได้แก่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูผาแดง จังหวัดเพชรบูรณ์ และเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จังหวัดลพบุรี
3. ผู้อยู่อาศัยหรือทำกินภายใต้โครงการ ต้องเป็นผู้ที่มีรายชื่อตามผลสำรวจการถือครองที่ดินของกรมอุทยานฯ ไม่เกินครอบครัวละ 20 ไร่ และกรณีครัวเรือนตั้งแต่ 2 ครอบครัวขึ้นไปที่ทำกินร่วมกันในสถานที่หรือพื้นที่ทำกินเดียวกัน ให้อยู่อาศัยหรือทำกินได้ไม่เกิน 40 ไร่
4. ผู้อยู่อาศัยหรือทำกินภายใต้โครงการ แบ่งเป็น (1) ผู้ครอบครองที่ดิน (2) สมาชิกในครอบครัวหรือครัวเรือน โดยต้องมีคุณสมบัติ หรือ ไม่มีลักษณะต้องห้าม เช่น มีสัญชาติไทย ไม่มีที่ดินทำกินหรือที่อยู่อาศัย ไม่เคยต้องทำพิพากษาถึงที่สุด หรือความผิดเกี่ยวกับการทำลายป่าหรือล่าสัตว์ป่า ฯลฯ
5. ผู้ครอบครองที่ดินจะโอนการครอบครอง หรือ ยินยอมให้บุคคลอื่นที่ไม่ใช่สมาชิกในครอบครัว หรือครัวเรือนที่อยู่อาศัยไม่ได้
6. ผู้อยู่อาศัยหรือทำกินภายใต้โครงการ มีหน้าที่ในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู ดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ
“ซึ่งได้เสนอให้กฤษฎีกาดู และรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามนี้แล้ว แต่มีปัญหาข้อขัดแย้งอยู่บ้าง และกฤษฎีกาต้องออกมา และคิดว่าอาจจะมีผลกับประชาชน พ.ร.บ. อุทยานฯ นี้ได้ใช้มา 5 ปีแล้ว ได้เวลาต้องทวน” นายภูมิธรรม กล่าว
นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ครม. มอบหมายให้คณะกรรมการที่ดินแห่งชาติ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมมือกันจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อทบทวนดูแลและแก้ไขปรับปรุงกฎหมายฉบับนี้ต่อไป
สั่ง คกก.ที่ดินแห่งชาติ เร่งแก้ พ.ร.บ. อุทยานฯ
ด้านนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และประธานคณะกรรมการที่ดินแห่งชาติ กล่าวถึงรายละเอียดของ ร่าง พ.ร.ฎ. การอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ และร่าง พ.ร.ฎ. โครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ว่า “ก่อนที่จะนำ ร่าง พ.ร.ฎ. ทั้งสองฉบับผ่านความเห็นชอบของ ครม. รัฐบาลได้ทำความเข้าใจกับประชาชนที่มาร้องสิทธิ์ และวันนี้ ครม. ได้ผ่านความเห็นชอบร่างฯ ทั้งสองฉบับ”
นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า สาระสำคัญของร่างฯ ดังกล่าวคือการช่วยเหลือประชาชนที่ไม่มีที่ดินทำกิน และสามารถอยู่อาศัยในเขตอุทยานแห่งชาติได้ หรือในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า หรือ เขตห้ามล่าสัตว์ป่า เนื่องจากแต่เดิมประชาชนไม่มีสิทธิในที่ดิน ในพื้นที่จังหวัดจันทุบรี ลพบุรี และเพชรบูรณ์
“รัฐบาลได้ทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนถึงสิทธิที่จะได้โดยตลอด เป็นที่มาของความจำเป็นในการนำร่าง พ.ร.ฎ. ผ่านความเห็นชอบของ ครม. เนื่องจากเป็นเวลาที่สิ้นสุดหลังจากที่เราเคยขยายเวลาการนำเข้ามาแล้ว” นายประเสริฐ กล่าว
นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า นายภูมิธรรม ได้มอบหมายในที่ประชุม ครม. ให้คณะกรรมการที่ดินแห่งชาติและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เป็นผู้ดำเนินการเรื่องการแก้ไขกฎหมาย พ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ซึ่งเป็นกฎหมายแม่ และการแก้ไขจะทำให้กฎหมายมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
“ขออนุญาตเรียนพี่น้องสื่อมวลชนว่า ขณะนี้รัฐบาลได้ดำเนินการในการแก้ไขปัญหาของประชาชน พ.ร.ฎ. ทั้งสองฉบับเป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชน” นายประเสริฐ กล่าว
‘กฤษฎีกา’ ชี้หากชาวบ้านอยู่อาศัยมาก่อน กม.มีผล – ต้องเพิกถอนพื้นที่อุทยาน
ด้านนายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวในช่วงการแถลงข่าวของคณะโฆษกประจำนักนายกรัฐมนตรีว่า หลักการสำคัญของ ร่าง พ.ร.ฎ. การอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ และร่าง พ.ร.ฎ. โครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ว่า “ให้คนที่ตอนนี้อยู่ในป่าสามารถทำมาหากินและอยู่อาศัยในพื้นที่ได้ในระหว่างที่มีการตรวจสอบหรือพิสูจน์สิทธิในที่ดินว่า ตกลงแล้วอยู่มาก่อนหรืออยู่มาหลัง มีการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติ หรือ เขตห้ามล่า เขตรักษาพันธุ์ตามกฎหมายสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า”
“ตามกฎหมายเดิมที่เป็นกฎหมายอุทยานแห่งชาติและสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ใครก็ตามเวลาอยู่ในเขตพื้นที่ป่าจะต้องมีความผิดทางอาญาสถานเดียว ทำให้เกิดปัญหาข้อโต้แย้งระหว่างประชาชนกับราชการ มีการพิสูจน์สิทธิต่อเนื่องถึงปัจจุบัน ถ้าไม่มีการแก้กฎหมาย ถือว่าการอยู่และทำมาหากินในพื้นที่ป่า กลายเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายอาญาทันที เลยมีการแก้กฎหมายนี้ในปี 2562” นายปกรณ์ กล่าว
นายปกรณ์ กล่าวต่อว่า พ.ร.บ. อุทานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ได้กำหนดบทเฉพาะกาลที่เกี่ยวข้องกับประชาชนที่อาศัยในป่าและอยู่ในระหว่างการพิสูจน์สิทธิในที่ดินว่า ให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่สามารถอยู่อาศัยและทำมาหากินระหว่างพิสูจน์สิทธิได้โดยไม่เป็นความผิดทางอาญา ไม่ได้เป็นการตัดสิทธิประชาชนที่จะพิสูจน์สิทธิในที่ดินที่อยู่มาก่อนประกาศเขตอุทยาน เขตรักษาพันธุ์ฯ หรือเขตห้ามล่า ซึ่งยังต้องมีการพิสูจน์สิทธิกันต่อไป และเป็นการบรรเทาความผิดอาญาที่เกิดขึ้นจากกฎหมายเก่า
ร่าง พ.ร.ฏ.ใหม่ทั้งสองฉบับมีอายุ 20 ปี ให้มีการพิสูจน์สิทธิให้เรียบร้อย เป็นเจตนารมณ์ของกฎหมาย แต่ไม่ได้เขียนไว้ในตัวบทกฎหมาย และทำให้ประชาชนสามารถอยู่ในพื้นที่ได้โดยชอบด้วยกฎหมาย และทำมาหากินได้ตามปกติ ไม่ถือเป็นความผิดทางอาญาต่อไป
“ถ้าพิสูจน์ได้ว่าเขาอยู่มาก่อนจริง ทางราชการก็ต้องเพิกถอนพื้นที่นั้นออกจากการเป็นอุทยาน เขตรักษาพันธุ์ เขตห้ามล่า เป็นไปตามหลักกฎหมายปกติเพื่อความเป็นธรรมอยู่แล้ว ซึ่งรัฐบาลพยายามทำเรื่องนี้มาโดยตลอด จะเห็นว่าพี่น้องประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ป่าจะมีมติ ครม. เมื่อไม่นานมานี้ว่า ให้สามารถต่อน้ำต่อไฟให้ใช้ระหว่างที่ประชาชนลำบาก มีการพิสูจน์สิทธิอยู่ได้ เป็นมาตรการที่เรียงลำดับกันมา ไม่ได้ทอดทิ้งประชาชนแต่อย่างใดและไม่ได้ตัดสิทธิประชาชนที่เรียกร้องสิทธิของเขา” นายปกรณ์ กล่าว
เพิ่มวันหยุดราชการปี ’68-69 เป็นกรณีพิเศษ
นายภูมิธรรม รายงานเรื่องการกำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ ประจำปี 2568 และ 2569 ดังนี้
-
• ปี 2568 กำหนดให้วันจันทร์ที่ 2 มิถุนายน 2568 เป็นวันหยุดเพิ่มเติม เพื่อเชื่อมต่อวันหยุดตั้งแต่วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน และวันอังคารที่ 3 มิถุนายน รวมทั้งหมดเป็นวันหยุดติดต่อกัน ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินี
• ปี 2568 กำหนดให้วันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม 2568 เป็นวันหยุดเพิ่มเติม เพื่อเชื่อมต่อวันหยุดตั้งแต่วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม วันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม และ วันอังคารที่ 12 สิงหาคม
• ปี 2569 กำหนดให้วันที่ 2 มกราคม 2569 เป็นวันหยุดเพิ่มเติม เพื่อเชื่อมต่อวันหยุดช่วงปีใหม่ ตั้งแต่วันพุธที่ 31 ธันวาคม 2567 วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม 2568 และวันเสาร์ที่ 3 มกราคม และวันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม
‘ออมสิน’ ปล่อยกู้รายละ 5 หมื่น คิดดอก 0.75% สู้หนี้นอกระบบ
ด้านดร. เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบมาตรการสินเชื่อตามที่กระทรวงการคลังนำเสนอเรื่องเข้า ครม. 2 มาตรการ มีรายละเอียดดังนี้
1. ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบการแยกบัญชีโครงการสินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพของธนาคารออมสิน (โครงการสินเชื่อฯ) เป็นบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ [Public Service Account : (PSA)] พร้อมทั้งมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ดังนี้
1.1 จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว รวมถึงต้นทุนการผลิตและระดับราคาสินค้าทั่วไปปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ค่าครองชีพและต้นทุนในการประกอบอาชีพของประชาชนปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย ส่งผลให้ประชาชนประสบกับปัญหาด้านสภาพคล่องและมีรายได้ไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ได้ตามกำหนด ทั้งผู้ที่เป็นหนี้ในระบบและหนี้นอกระบบบจนเกิดเป็นปัญหาเรื้อรัง ดังนั้น เพื่อให้ปัญหาดังกล่าวบรรเทาลงและได้รับการแก้ไขธนาคารออมสินจึงขอดำเนินโครงการสินเชื่อฯ (ซึ่งเป็นโครงการที่ธนาคารออมสินดำเนินการเองโดยไม่ได้ของบประมาณจัดสรรเพิ่มเติม) โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
“ถามว่าทำไมถึงสูง ต้องบอกว่าสินเชื่อนี้เราตั้งใจเข้าไปต่อสู้กับสินเชื่อนอกระบบในการดึงสินเชื่อนอกระบบเข้าสู่ในระบบ ดอกเบี้ยสูงกว่าสินเชื่อในระบบปกติ แต่ต่ำกว่าสินเชื่อนอกระบบเยอะ เราต้องการให้พี่น้องประชาชนเอาสินเชื่อก้อนนี้ไปชดเชย เพื่อดึงดูดสินเชื่อนอกระบบเข้าสู่สินเชื่อในระบบธนาคารออมสินตัดกำไรในส่วนนี้ ไม่ของบประมาณของภาครัฐสักบาท ต้องชื่นชมไปที่ธนาคารออมสิน ยื่นขอได้ภายในสิ้นปี’68” ดร.เผ่าภูมิ กล่าว
1.2 การแยกบัญชีโครงการสินเชื่อฯ เป็นบัญชี PSA จะทำให้เกิดความโปร่งใส ในการกำกับดูแล การตรวจสอบและการประเมินผลการดำเนินงานของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ในการทำหน้าที่เป็นกลไกของรัฐเพื่อฟื้นฟูและช่วยเหลือกลุ่มประชาชน และธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งป้องกันความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น
1.3 การดำเนินการดังกล่าว ไม่เข้าข่ายลักษณะของกิจกรรม มาตรการ หรือ โครงการตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เนื่องจากเป็นโครงการที่ธนาคารออมสินดำเนินการเอง โดยไม่ได้ขอรับงบประมาณชดเชยเพิ่มเติมจากรัฐบาลแต่อย่างใด
ธอส.จัดสินเชื่อซื้อ-ซ่อม-สร้างบ้าน 55,000 ล้าน
2. ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบมาตรการสินเชื่อซื้อ – ซ่อม – สร้าง ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และอนุมัติงบประมาณวงเงินรวม 6,372.88 ล้านบาท จากงบประมาณจ่ายประจำปี เพื่อดำเนินมาตรการฯ พร้อมทั้งมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป เพื่อเป็นการสนับสนุนภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รองรับความต้องการที่อยู่อาศัยของประชาชน ส่งเสริม และสร้างโอกาสให้กับผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางได้เข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัยภายใต้เงื่อนไขที่ผ่อนปรน เหมาะกับศักยภาพการผ่อนชำระหนี้ รวมทั้งเป็นการเสริมสร้างวินัยทางการเงินของประชาชน เพื่อไม่ให้เกิดภาระทางการเงินในอนาคต ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ สาระสำคัญของเรื่องมีดังนี้
1) ธอส. ได้ดำเนินโครงการสินเชื่อบ้าน Happy Home และโครงการสินเชื่อบ้าน Happy Life ซึ่งได้รับผลตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี โดยปัจจุบัน ธอส.สามารถปล่อยสินเชื่อเต็มกรอบวงเงินโครงการแล้ว และยังคงมีประชาชนสนใจยื่นขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยอีกจำนวนมาก ดังนั้น เพื่อเป็นการสนับสนุนภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยของประชาชนให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมกับศักยภาพการชำระหนี้ และเพื่อเป็นการสร้างวินัยทางการเงินให้กับประชาชน โดย ธอส. สนับสนุนให้ลูกค้าเดิมมีวินัยในการผ่อนชำระหนี้สามารถยื่นขอสินเชื่อเพิ่ม เพื่อต่อเติมหรือซ่อมแซมอาคารหรือเพื่อซื้ออุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัย ธอส. จึงได้เสนอมาตรการฯ ซึ่งประกอบด้วย 1) มาตรการสินเชื่อซื้อ – สร้าง วงเงินโครงการ 50,000 ล้านบาท
2) มาตรการสินเชื่อซ่อม – แต่ง วงเงินโครงการ 5,000 ล้านบาท โดยมีสาระสำคัญของหลักเกณฑ์และเงื่อนไขมาตรการสรุปได้ ดังนี้
“ถามว่าทำไมต้องมีมาตรการนี้ เกิดขึ้นจากการที่เราได้มีมาตรการอสังหาริมทรัพย์ในช่วงเวลาที่แล้ว เรื่องสินเชื่อ Happy Home, Happy Life ทั้งสองโครงการถูกใช้หมดเต็มวงเงิน หมายถึงมีความต้องกรของประชาชนในภาคอสังหาริมทรัพย์ กระทรวงการคลังเห็นความจำเป็นต้องต่อยอดนโยบายนี้” ดร.เผ่าภูมิ กล่าว
จัด ครม.สัญจรเชียงใหม่ 28 พ.ย.นี้
นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รายงานว่า ครม. จะจัดการประชุม ครม. นอกสถานที่ จังหวัดเชียงใหม่ ในวันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2567 และกำหนดตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ระหว่างวันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน – 1 ธันวาคม 67 โดยมีประเด็นการตรวจราชการ คือ (1) เร่งฟื้นฟูและเยียวยาให้ผู้ประสบอุทกภัยและภัยพิบัติ (2) การเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติในพื้นที่ที่เสี่ยงดินโคลนถล่ม (3) การบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบเพื่อแก้ไขปัยหาอุทกภัยและภัยแล้งในระยะยาว
นายกฯ สั่งทุกหน่วยเตรียมรับมือพายุ “หยินซิ่ง-โทราจี”
ด้านนางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม หรือ ศปช. รับทราบจากกรมอุตุนิยมวิทยา ว่าในวันนี้ (12 พฤศจิกายน 67) พายุโซนร้อน “หยินซิ่ง”บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบนได้เคลื่อนเข้าใกล้ชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนกลางแล้วคาดว่าพายุนี้จะอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันและหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงตามลำดับ ส่วนพายุโซนร้อน “โทราจี” บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน จะเคลื่อนเข้าใกล้เกาะไหหลำ ประเทศจีนและประเทศจีนตอนใต้ในช่วงวันที่ 14 – 15 พฤศจิกายน 2567 และจะอ่อนกำลังลงตามลำดับโดยพายุทั้งสองนี้ไม่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย
“แม้พายุทั้งสองลูกจะไม่เข้าสู่ประเทศไทยโดยตรง แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้อากาศเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ และอีสานที่อากาศจะเย็นลงกับมีหมอกในตอนเช้า รัฐบาลจมีความห่วงใยพี่น้องประชาชน โดยขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าดำเนินการดูแลประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ฟื้นฟูจากเหตุอุทกภัยก่อนหน้านี้ พร้อมขอให้ประชาชนในพื้นที่ดูแลรักษาสุขภาพ เนื่องจากสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงไว้ด้วย” นางสาวศศิกานต์ กล่าว
นางสาวศศิกานต์ กล่าวต่อว่า กรมทรัพยากรธรณีได้ประกาศแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 14 พฤศจิกายน2567 เฝ้าระวังเหตุ ดินกล่ม-น้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ของสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ยะลา นราธิวาสและปัตตานี
“นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำทุกหน่วยงานให้เตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์สาธารณภัยที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ แม้พายุโซนร้อนทั้งสองลูก (หยินซิ่ง,โทราจี) จะไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยโดยตรงแต่รัฐบาลก็ไม่ประมาทได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานเตรียมความพร้อมของบุคลากร และเครื่องมือให้พร้อมใช้งานตลอดเวลา ซึ่งรัฐบาลเองขอขอบคุณความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เสียสละเพื่อดูแลพี่น้องประชาชนคนไทย” นางสาวศศิกานต์ กล่าว
แบ่งงาน 4 รองนายกฯ คุมส่วนราชการในภูมิภาค
นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) เสนอ คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี จำนวน 2 ฉบับ เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค)
โดยเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 315/2567 เรื่อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ลงวันที่ 16 กันยายน 2567 ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบไว้เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2567
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค จำนวน 2 ฉบับ สรุปได้ ดังนี้
1. คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 378/2567 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ลงวันที่ 24 ตุลาคม 2567
(1) รองนายกรัฐมนตรี (นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค) กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการ ดังนี้
- เขตตรวจราชการที่ 3 กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 1 ประกอบด้วย จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดราชบุรี และจังหวัดสุพรรณบุรี
- เขตตรวจราชการที่ 5 กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย ประกอบด้วย จังหวัดชุมพร จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดพัทลุง จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดสงขลา
- เขตตรวจราชการที่ 8 กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 1 ประกอบด้วย จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดชลบุรี และจังหวัดระยอง
(2) รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย ชุณหวชิร) กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการ ดังนี้
- เขตตรวจราชการที่ 1 กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ประกอบด้วย จังหวัดชัยนาท จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดลพบุรี จังหวัดสระบุรี จังหวัดสิงห์บุรี และจังหวัดอ่างทอง
- เขตตรวจราชการที่ 2 กลุ่มจังหวัดภาคกลางปริมณฑล ประกอบด้วย จังหวัดนนทบุรี จังหวัดปทุมธานี จังหวัดนครปฐม และจังหวัดสมุทรปราการ
- เขตตรวจราชการที่ 9 กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 2 ประกอบด้วย จังหวัดจันทบุรี จังหวัดตราด จังหวัดนครนายก จังหวัดปราจีนบุรี และจังหวัดสระแก้ว
2. คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 407/2567 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ลงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567
(1) รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการ ดังนี้
- เขตตรวจราชการที่ 10 กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 ประกอบด้วย จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดเลย จังหวัดหนองคาย จังหวัดหนองบัวลำภู และจังหวัดอุดรธานี
- เขตตรวจราชการที่ 15 กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 ประกอบด้วย จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดลำปาง และจังหวัดลำพูน
- เขตตรวจราชการที่ 16 กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ประกอบด้วย จังหวัดเชียงราย จังหวัดน่าน จังหวัดพะเยา และจังหวัดแพร่
(2) รองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการ ดังนี้
- เขตตรวจราชการที่ 11 กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 ประกอบด้วย จังหวัดนครพนม จังหวัดมุกดาหาร และจังหวัดสกลนคร
- เขตตรวจราชการที่ 17 กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 ประกอบด้วย จังหวัดตาก จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดสุโขทัย และจังหวัดอุตรดิตถ์
- เขตตรวจราชการที่ 18 กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 2 ประกอบด้วย จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดพิจิตร และจังหวัดอุทัยธานี
ตั้ง ‘สกาวใจ พูนสวัสดิ์’ ดาราดัง – กุนซือ รมว.วัฒนธรรม
นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ และผู้บริหารระดับสูงหน่วยงานของรัฐ โดยรายละเอียดดังนี้
1. การมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการ มอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามความในมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 จำนวน 2 ราย ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ ดังนี้
-
1. นายนภินทร ศรีสรรพางค์
2. นายสุชาติ ชมกลิ่น
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป
2. การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงคมนาคม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอแต่งตั้ง ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงคมนาคม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้
-
1. นายธนิต วงศ์ปิยนันทกุล ผู้อำนวยการศูนย์ (ผู้อำนวยการสูง) ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการขนส่งทางอากาศ (นักวิชาการขนส่งทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2567
2. นายศุภกร ภัพรวิเชียร ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านโยบายและยุทธศาสตร์ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนเชี่ยวชาญ) กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการขนส่งทางน้ำ (นักวิชาการขนส่งทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2567
3. นายธิติ เศรษฐมานพ ผู้อำนวยการสำนักงาน [ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (วิศวกรรมโยธา) สูง] สำนักงานทางหลวงที่ 14 กรมทางหลวง ให้ดำรงตำแหน่ง วิศวกรใหญ่ ที่ปรึกษาวิชาชีพเฉพาะด้านวิศวกรรมโยธา (ด้านบำรุงรักษา) (วิศวกรโยธาทรงคุณวุฒิ) กรมทางหลวง ตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2567
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง
3. การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้
-
1. นางสาวอลินี ธนะวัฒน์สัจจะเสรี ที่ปรึกษาระบบราชการ (นักทรัพยากรบุคคลทรงคุณวุฒิ) สำนักงาน ก.พ. ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการ ก.พ. สำนักงาน ก.พ.
2. นางสาววราภรณ์ ตั้งตระกูล ที่ปรึกษาระบบราชการ (นักทรัพยากรบุคคลทรงคุณวุฒิ) สำนักงาน ก.พ. ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการ ก.พ. สำนักงาน ก.พ.
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ซึ่งเป็นวันที่มีคำสั่งให้รักษาราชการแทนในตำแหน่งดังกล่าว และตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
4. คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอ แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 3 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างและสับเปลี่ยนหมุนเวียน ดังนี้
-
1. นายณัฐวัฒน์ กฤษณามระ ตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ
2. นายจิตติพัฒน์ ทองประเสริฐ ตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบิร์น สมาพันธรัฐสวิส ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
3. นางสาวพรรณนภา จันทรารมย์ ตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ รัฐอิสราเอล ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบิร์น สมาพันธรัฐสวิส
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ซึ่งการแต่งตั้งข้าราชการให้ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศทั้ง 3 รายดังกล่าว ได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับแล้ว
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง
5. การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง นายปรากรมศักดิ์ ชุณหะวัณ เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป
6. การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงวัฒนธรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเสนอแต่งตั้ง นางสาวสกาวใจ พูนสวัสดิ์ เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป
7. การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้ง นายชุตินทร คงศักดิ์ เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป
8. การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงมหาดไทย)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้ง นางสาวกานต์กนิษฐ์ แห้วสันตติ เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย [ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์]
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป
9. การแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง นายสามารถ มะลูลีม เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้ง ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบแล้ว
10. การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (กระทรวงคมนาคม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอแต่งตั้ง นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง แทน นายสุเมธ องกิตติกุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากขอลาออก
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป
11. ขออนุมัติแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการการไฟฟ้านครหลวง (กระทรวงมหาดไทย)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้ง นายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการการไฟฟ้านครหลวง แทนกรรมการอื่นเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากขอลาออก
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป
12. การแต่งตั้งประธานกรรมการ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการศูนย์คุณธรรม (กระทรวงวัฒนธรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเสนอแต่งตั้ง ประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการศูนย์คุณธรรม รวม 6 คน เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี ดังนี้
-
1. คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ประธานกรรมการ
2. ศาสตราจารย์เกียรติคุณรณชัย คงสกนธ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
3. ศาสตราจารย์สุรศักดิ์ ลิขสิทธิ์วัฒนกุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
4. นางเมธินี เทพมณี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
5. นางสีลาภรณ์ บัวสาย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
6. รองศาสตราจารย์ณกมล ปุญชเขตต์ทิกุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป
13. การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2550 (กระทรวงวัฒนธรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอแต่งตั้ง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ จำนวน 10 รูป/คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี ดังนี้
-
1. พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต)
2. ผู้ช่วยศาสตราจารย์อับดุลเลาะ หนุ่มสุข
3. นายธงชัย ประดับชนานุรัตน์
4. นายอรุณ กุมาร
5. นายกิตติพันธ์ ใจดี
6. พลอากาศเอก วีรวิท คงศักดิ์
7. นายประเสริฐ เล็กสรรเสริญ
8. นายธาดา เศวตศิลา
9. นางพิมพ์กาญจน์ ชัยจิตร์สกุล
10. นายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป
อ่าน มติ ครม. ประจำวันที่ 12 พฤศจิกายน 2567 เพิ่มเติม