ThaiPublica > คอลัมน์ > มนุษย์ควรต้อง “ทำหลายอย่าง รักหลายคน และทนหลายสิ่ง”

มนุษย์ควรต้อง “ทำหลายอย่าง รักหลายคน และทนหลายสิ่ง”

30 กันยายน 2024


เปรมปพัทธ ผลิตผลการพิมพ์

คำคมนั้นเป็นวาทศิลป์หนึ่ง ซึ่งก็เฉกเช่นคุณสมบัติของวาทศิลป์อื่น คือ เมื่อจับคำกลุ่มหนึ่งเข้ามาอยู่ในรูปศิลป์ทางภาษาแล้ว ก็จะยิ่งช่วยให้กลุ่มคำนั้นที่หลายครั้งไม่ได้มีเหตุมีผลหรือมีความสัมพันธ์กันฟังแล้วน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับบรรดาสุภาษิต สำนวนไทย คำขวัญ ที่มักถูกสอนเพื่อท่องจำและนำไปใช้ตัดสินการกระทำในชีวิตประจำวัน มากกว่าตั้งคำถามถึงตัววาทศิลป์นั้นเอง สิ่งนี้รวมไปถึงคำคล้องจอง ที่ปัจจุบันกลายเป็นสิ่งตกยุค หากจะมีใครซักคนนำมาตั้งเป็นชื่อบทความ งานเสวนา หรือหัวข้อใด ๆ

อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้ มีคนบนโลกออนไลน์แบ่งปันสิ่งที่พอจะเรียกได้ว่า คำคม จากทอล์กโชว์หนึ่งที่ผู้สรุปกล่าวว่า เป็นข้อคิดล้ำค่าจากการนั่งฟังตลอดเวลานานนับชั่วโมง โดยสนับสนุนให้คนเราควรที่จะ “ทำบางสิ่ง รักบางคน ทนบางอย่าง”

ผมจำคำคมหนึ่งจากบุคคลเดียวกันในช่วงหลายปีก่อนได้คือ อย่ารีบประสบความสำเร็จ ตัวผมเองในขณะนั้นมีอายุ 23 ปี และเริ่มทำงานตั้งแต่ยังเรียนอยู่ ได้แต่คิดว่า ผู้คิดคำ ๆ นี้คงไม่เข้าใจหรอกว่า คนไม่น้อยมีวัยเด็กที่ไม่ได้น่าอภิรมย์ วัน ๆ ต้องแหกตาตื่นไปโรงเรียนแย่ ๆ และยังต้องช่วยพ่อแม่หาเงินมาใช้หนี้ที่ไม่รู้เมื่อไรจะหมด คนจำนวนมากเหล่านี้จึงต้องการก้าวข้ามภาวะดังกล่าว รีบทำงานหามรุ่งหามค่ำ เรียกร้องการขึ้นค่าแรง พยายามเข้าถึงกองทุนหมู่บ้าน ต้องการการแข่งขันที่เป็นธรรม ทั้งยังต้องมากอบกู้สิ่งที่คนรุ่นก่อนทำไว้ ดังที่คุณจอม เพชรประดับกล่าวว่า “ถ้ามัวรื่นรมย์กับวันและวัยเด็กอยู่ ป่านนี้ก็คงรับจ้างตัดยางไปจนตาย”

ไอเดียล่าสุดเรื่อง ทำบางสิ่ง รักบางคน ทนบางอย่าง เป็นอีกวาทศิลป์ที่กำลังผลักให้คนกลายเป็นปัจเจกและปฏิเสธความรับผิดชอบเชิงโครงสร้างในฐานะพลเมือง กำลังผลักให้คนยืนอยู่บนหลักการใช้ชีวิตโดยมีแต่ตัวเองเท่านั้น และมีตัวเองเป็นศูนย์กลางสรรพสิ่ง และมากกว่านั้น เป็นคนเห็นแก่ตัว

การจะมีส่วนร่วมและรับผิดชอบต่อสังคมเชิงโครงสร้างได้ ต้องทำหลายสิ่ง รักหลายคน และทนหลายอย่าง ต้องรักและทำงานกับคนที่อาจจะไม่ชอบด้วย เพื่อผลลัพธ์ที่นอกเหนือจากความสุขสบายส่วนตัว การสนับสนุนให้ทำแค่บางสิ่งที่พอทำได้ นอกจากเป็นการจำกัดศักยภาพของตนเองในการก้าวข้ามพรมแดน (ไม่ว่าจะโดยมิติใด ๆ ความรู้ เศรษฐานะ การศึกษา การเมือง ฯลฯ) ยังเป็นสิ่งที่ปราศจากสำนึกทางชนชั้นและการกดขี่ เพื่อจะเอาชนะการกดขี่เชิงโครงสร้างที่เป็นอยู่ได้ มนุษย์จำเป็นต้องทำหลายอย่าง ทั้งเรื่องเกี่ยวกับข้องตัวเองโดยตรง (จัดผ้าปูที่นอน) และเกี่ยวข้องกับสังคมโดยรวม (จัดระเบียบสังคม)

เช่นเดียวกับการรักบางคน มนุษย์เราควรรักทุกคนหากเป็นไปได้ และหากเป็นไปไม่ได้เราก็ควรรักหลายคน อาจไม่ใช่ในแง่ความสัมพันธ์การเพศ แต่ในแง่ของการสร้างสังคมส่วนรวม (collective) ปัญหาของโลกไม่อาจแก้ได้ด้วยพลังอำนาจของปัจเจก เฉกเช่นที่ไลฟ์โค้ชจำนวนมาก รวมถึงนักการศึกษาอีกโขยงใหญ่ชอบยกตัวอย่างบุคคลใดบุคคลหนึ่งในฐานะผู้เปลี่ยนแปลงโลก ภาวะโลกร้อนไม่อาจแก้ได้ด้วยมหาเศรษฐีคนใดคนหนึ่ง หรือ ปัจเจกบุคคลที่สร้างบ้านดินทำผ้ามัดย้อม แต่ต้องอาศัยกลุ่มคนจำนวนมากทั้งสังคมเข้าแก้ ความรักในเพื่อนมนุษย์เป็นสิ่งร้อยโยงให้เกิดการรวมกลุ่มทั้งเพื่อต่อรอง ต่อสู้ และเปลี่ยนแปลง

เป็นเหตุให้มนุษย์ในสังคมยุคใหม่จำเป็นต้องทนหลายอย่าง การทนบางอย่าง (เช่น ทนต่อความสัมพันธ์ ในตัวอย่าง) เป็นการมองโลกโดยเห็นแต่ตัวเอง เราจำเป็นต้องมีความอดทนอดกลั้นต่อหลายสิ่งหลายอย่าง มากกว่า จะตัดทอนสิ่ง ๆ นั้นออกไป เพียงเพราะบทความชีวิตดี ๆ แนะนำให้เราตัดเพื่อน Toxic ออก ผมกลับเห็นว่า เรายิ่งควรต้องสร้างมิตรสัมพันธ์กับคนซึมเศร้า คน Toxic คนที่แตกต่างจากเรา เมื่อใดก็ตามที่เราเลือกที่จะรายล้อมไปด้วยคนที่เห็นด้วยทางการเมืองแบบเดียวกันเรา สังคมยิ่ง Polarization และตัวเราเองก็ยิ่งวิ่งวนอยู่ในวงจรเสียงสะท้อน

ใจหนึ่งผมก็แปลกใจว่า ทำไมถึงมีคนยอมเสียเงิน เสียเวลาไปฟัง-ซื้อหาหนังสือฮาวทูให้คำแนะนำที่แสนสามัญธรรมดาอย่าง “เริ่มต้นที่ตัวเอง” “ความสุขเริ่มที่ตัวเรา” “จงมีวินัย” แต่อีกใจก็เข้าใจว่า การที่ชอบอ่านหนังสือฮาวทู หนังสือให้กำลังใจ จะเพราะอะไรน่ะหรือ ? ก็ในเมื่อโอกาสในการรวยโคตร ๆ แบบตัวเอกในละคร หรือบุคลากรในสื่อ เช่น ทหาร ,นักการเมือง ,ข้าราชการ มันยากซะเหลือเกิน (ในขณะที่สื่อก็ดูจะมีพื้นที่ให้แต่คนเหล่านี้ คือถ้าไม่หล่อ ก็ต้องรวย ถ้าไม่รวยด้วย ก็ต้องตลก) หนทางรวยชวนฝันเช่นหวย และหนังสือฮาวทูจึงเป็นคำตอบ คอร์ไลฟ์โค้ชจึงขายดีตลอดมา เช่นเดียวกับเพจ คำคม ซึ่งสั้นและง่าย ก็ได้รับความสนใจมหาศาล

และอย่างไรก็ตาม แม้คนจำนวนมากจะถูกระบบทุนนิยม ความเหลื่อมล้ำ สงคราม ความขาดแคลน ความอยุติธรรมเบียดขับต่อหน้าต่อตา แต่บนโลกที่ทุกอย่างดูซับซ้อน สับสน รวดเร็ว และเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลานั้น คำแนะนำทำนองนี้จึงเป็นกลไกป้องกันตัวเองที่เข้าท่าในการกลับมาหาความสุขเล็ก ๆ ในตัวเรา ก็เพียงพอ 🙂