
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/
เพิ่มค่าครองชีพ ‘ขรก.-ลูกจ้าง’ ย้อนหลังตั้งแต่ 1 พ.ค. 2567 เว้นภาษี ‘เงินชดเชย’ ลูกจ้าง กรณีถูกเลิกจ้างสูงสุด 6 แสนบาท เห็นชอบไส้ในงบฯกลางปี’67 วงเงิน 1.22 แสนล้าน เร่งลงทะเบียนแจก ‘เงินหมื่น’ ก่อน 30 ก.ย.นี้ ‘เผ่าภูมิ’ ปัดตอบเข้าพบ ‘ทักษิณ’ ย้ำเป็นประเด็นส่วนตัว ‘จุลพันธ์’ เผยตลาดหุ้นขานรับข่าวศาลให้ประกันตัว ‘ทักษิณ’ เพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้า 4 เขื่อน 6.75 MW วงเงิน 959 ล้าน จัดครม.สัญจร ‘โคราช’ 1-2 ก.ค.นี้
เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2567 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ทั้งนี้ ในการประชุม ครม. วันนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ไม่ได้เข้าร่วมการประชุม อีกทั้งนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ติดภารกิจที่รัฐสภา จึงมอบหมายให้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นประธานการประชุม ครม.แทน
เว้นภาษี ‘เงินชดเชย’ ลูกจ้าง กรณีถูกเลิกจ้างสูงสุด 6 แสนบาท
ภายหลังการประชุม ครม. ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่าวันนี้ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างกฎกระทรวง ฉบับที่.. (พ.ศ. …) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การปรับปรุงการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับค่าชดเชยที่ลูกจ้างได้รับจากนายจ้างกรณีถูกเลิกจ้าง) รวมทั้งมีมติขยายเพดานการยกเว้นภาษีสำหรับเงินชดเชยเลิกจ้าง จาก 300,000 บาทแรก เป็น 600,000 บาทแรก
นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงรายละเอียดของมาตรการดังกล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. …) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การปรับปรุงการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าชดเชยที่ลูกจ้างได้รับจากนายจ้างกรณีถูกเลิกจ้าง) ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาร่างกฎกระทรวงดังกล่าวเป็นการล่วงหน้าร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ
นางรัดเกล้า กล่าวต่อว่า ร่างกฎกระทรวงฯ ดังกล่าว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับค่าชดเชยที่ลูกจ้างได้รับจากนายจ้าง กรณีถูกเลิกจ้างให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 โดยปรับเพิ่มเพดานของค่าชดเชยกรณีถูกเลิกจ้างที่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
“เดิมค่าชดเชยส่วนที่ไม่เกินค่าจ้าง หรือ เงินเดือนค่าจ้างของการทำงาน 300 วันสุดท้าย แต่ไม่เกิน 300,000 บาท ขยายเป็น ค่าชดเชยส่วนที่ไม่เกินค่าจ้าง หรือ เงินเดือนค่าจ้างของการทำงาน 400 วันสุดท้าย แต่ไม่เกิน 600,000 บาท สำหรับเงินค่าชดเชยกรณีถูกเลิกจ้างที่ได้รับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ไม่รวมถึงค่าชดเชยที่ลูกจ้างหรือพนักงานได้รับ เพราะเหตุเกษียณหรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง เพราะวัตถุประสงค์ คือ เพื่อเป็นการบรรเทาภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ลูกจ้างหรือพนักงาน สำหรับค่าชดเชยที่นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้างกรณีที่ถูกเลิกจ้าง (เช่น เหตุที่นายจ้างไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ เป็นต้น) และเพื่อให้การคุ้มครองแรงงานมีความสอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปที่เพิ่มสูงขึ้น” นางรัดเกล้า กล่าว
ทั้งนี้ กค. ได้ดำเนินการจัดทำประมาณการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่จะได้รับตามมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เห็นว่าจะทำให้สูญเสียรายได้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีละประมาณ 660 ล้านบาท แต่จะส่งผลให้ลูกจ้างและพนักงานที่เดือดร้อนจากการถูกเลิกจ้างได้รับการบรรเทาภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าชดเชยกรณีถูกเลิกจ้างที่ได้รับจากนายจ้าง ทั้งนี้ กรมสรรพากรอาจต้องมีการคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าชดเชยที่ได้รับในปีภาษี 2566 ที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีในปี 2567
เพิ่มค่าครองชีพ ‘ขรก.-ลูกจ้าง’ ย้อนหลังตั้งแต่ 1 พ.ค.2567
ดร.เผ่าภูมิ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการและลูกจ้างประจำของส่วนราชการ พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ โดยแก้ไขปรับปรุงกฎหมายฉบับเดิม เพื่อให้มีผลบังคับใช้ย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป และให้ดำเนินการควบคู่ไปกับการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการบรรจุใหม่ที่จะได้เงินเดือนแรกเข้ากลุ่มวุฒิการศึกษาปริญญาตรี 18,000 บาท ช่วยแก้ปัญหาฐานเงินเดือนของข้าราชการเดิม ให้ไม่เกิดการลักลั่นของเงินเดือนระหว่างกัน
“มติดังกล่าวได้กำหนดอัตราเพดานเงินเดือนใหม่ ทั้งขั้นต่ำและขั้นสูง จากเดิมเงินเดือนต่ำกว่า 13,285 บาทต่อเดือน ปรับใหม่เป็นเงินเดือนต่ำกว่า 14,600 บาทต่อเดือน ส่วนการปรับเพดานเงินเดือน หรือ ค่าจ้างขั้นต่ำ รวมกับเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวจากเดิม 10,000 บาทต่อเดือน ปรับใหม่เป็น 11,000 บาทต่อเดือน”
เมื่อถามถึงแหล่งงบประมาณ ดร.เผ่าภูมิ ให้ข้อมูลว่า ใช้งบประมาณจากงบกลางฯ โดยเบื้องต้นประเมินว่าจะใช้วงเงินงบประมาณ ประมาณ 2,400 ล้านบาท
ด้านนางรัดเกล้า กล่าวเพิ่มเติมว่า ร่างระเบียบกระทรวงการคลังฯ ดังกล่าวนี้ มีความสอดคล้องกับการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุ และการปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบการปรับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว ที่ ครม. เคยได้อนุมัติแล้วเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ เป็นการปรับปรุงระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการและลูกจ้างประจำส่วนราชการ พ.ศ. 2548 โดยส่วนที่แก้ไขเพิ่มเติม 2 จุดนั้น ยังคงหลักการเดิม และปรับอัตราเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว ดังนี้
-
1. การปรับเพดานเงินเดือนขั้นสูงที่มีสิทธิได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว สำหรับข้าราชการและลูกจ้างประจำ ซึ่งมีเงินเดือนหรือค่าจ้างไม่ถึง 14,600 บาท ให้ได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวเดือนละ 2,000 บาท แต่เมื่อรวมกับเงินเดือนหรือค่าจ้างแล้วต้องไม่เกินเดือนละ 14,600 บาท
2. การปรับเพดานเงินเดือนขั้นต่ำของเงินเดือน รวมกับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว สำหรับข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว และทหารกองประจำการ ซึ่งมีเงินเดือนหรือค่าจ้างไม่ถึง 11,000 บาท ให้ได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวเพิ่มขึ้นจากเงินเดือนหรือค่าจ้างอีกจนถึงเดือนละ 11,000 บาท
ทั้งนี้ สำหรับข้าราชการ ลูกจ้างประจำ และลูกจ้างชั่วคราว ที่มีวุฒิการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่ 1 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป รวมถึงจะมีการจ่ายย้อนหลังด้วย
รวมทั้งได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินค่าครองชีพชั่วคราว โดยกำหนดให้ถือปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเดือน เงินบำเหน็จบำนาญ เงินประจำตำแหน่ง เงินเพิ่ม และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน หรือระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจ่ายค่าจ้างลูกจ้างของส่วนราชการ รวมทั้งหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติที่ กค. กำหนด แล้วแต่กรณีโดยอนุโลม ทั้งนี้ ให้เก็บหลักฐานการจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวไว้ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินเดือนข้าราชการ หรือค่าจ้างลูกจ้างของส่วนราชการที่ กค. กำหนดในปัจจุบัน
กค. ได้รายงานประมาณการการสูญเสียรายได้ตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ แล้ว คาดว่าในการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว และทหารกองประจำการ จะใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นประมาณ 200 ล้านบาทต่อเดือน หรือประมาณ 2,400 ล้านบาทต่อปี โดยเบิกจ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่าย (งบบุคลากร) ซึ่งจะช่วยให้บุคคลดังกล่าวสามารถดำรงชีพอยู่ได้ในสภาพเศรษฐกิจและค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน และเพื่อให้สอดคล้องกับการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุและการปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบ
‘เผ่าภูมิ’ ปัดตอบเข้าพบ ‘ทักษิณ’ ย้ำเป็นประเด็นส่วนตัว
ผู้สื่อข่าวถามถึงประเด็นการเดินทางไปบ้านจันทร์ส่องหล้า เพื่อเข้าพบนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯเมื่อวานนี้ (17 มิ.ย.2567) โดย ดร.เผ่าภูมิ ตอบว่า “เราคุยกันในประเด็นสาธารณะดีกว่า ซึ่งประเด็นนั้นเป็นประเด็นส่วนตัว ผมไม่ได้บอกว่าได้ไปหรือไม่ไป ขอบอกแค่ว่าจะให้คอมเมนต์ในประเด็นสาธารณะ อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ เเละประเทศจะให้คอมเมนต์ ส่วนการเดินทางไปบ้านจันทร์ส่องหล้า เป็นประเด็นส่วนตัว จึงไม่ขอให้คอมเมนต์”
‘จุลพันธ์’ เผยตลาดหุ้นขานรับข่าวศาลให้ประกันตัว ‘ทักษิณ’
ด้านนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงภาวะตลาดหุ้นเมื่อวานนี้ (17 มิ.ย.2567) ที่ปรับตัวลดลงเหลือ 1,296 จุด ว่า ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงเป็นผลจากปัจจัยระยะสั้น แต่ไม่ได้กระทบต่อพื้นฐานตลาดหุ้นไทย
“ก็ค่อยๆ จบไปทีละเรื่อง อย่างเรื่องอดีตนายกฯ (นายทักษิณ ชินวัตร) ก็จบลง ปัจจัยความลังเลความไม่เชื่อมั่นระยะสั้น ก็ผ่านพ้น และกลับมาอยู่ในระดับปกติ” นายจุลพันธ์ กล่าว
นายจุลพันธ์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมีแผนทำนโยบายที่จะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนและเศรษฐกิจมากขึ้น โดยขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างจัดทำรายละเอียด และคาดว่าจะเป็นหนึ่งในปัจจัยบวกที่ทำให้ตลาดการลงทุนของไทยกลับมาคึกคักได้
เมื่อถามถึงแผนพยุงตลาดหุ้น นายจุลพันธ์ ตอบสั้นๆ ว่า “ยังไม่มีแผนดังกล่าว”
มติ ครม. มีดังนี้

ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th
เห็นชอบงบฯกลางปี’67 วงเงิน 1.22 แสนล้าน เร่งลงทะเบียนแจก ‘เงินหมื่น’ ก่อน 30 ก.ย.นี้
วันนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ของหน่วยรับงบประมาณ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ รวมทั้งมีมติเห็นชอบให้สำนักงบประมาณนำรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีไปรับฟังความคิดเห็นตามมาตรา 77 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2562 ที่กำหนดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องประกอบการจัดทำร่างกฎหมายไม่น้อยกว่า 15 วัน โดยสำนักงบประมาณจะขอให้มีการรับฟังความคิดเห็นการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เป็นระยะเวลา 7 วัน ระหว่างวันที่ 19 – 25 มิถุนายน 2567
ทั้งนี้ คำขอรับงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวน 122,000 ล้านบาท [แบ่งออกเป็น (1) รายจ่ายประจำ จำนวน 24,400 ล้านบาท และ (2) รายจ่ายลงทุน จำนวน 97,600 ล้านบาท] โดยมีแหล่งที่มาของเงิน ประกอบด้วย (1) รายได้รัฐบาลจำนวน 10,000 ล้านบาท และ (2) งบประมาณขาดดุล จำนวน 112,000 ล้านบาท
สาระสำคัญ
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2567 เห็นชอบแนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ซึ่งกำหนดให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ในวันอังคารที่ 18 มิถุนายน 2567 นั้น เพื่อดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว สำนักงบประมาณขอเสนอ ดังนี้
1. หน่วยรับงบประมาณ เสนอคำของบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ที่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐมนตรีเจ้าสังกัด รวมคำขอทั้งสิ้น จำนวน 122,000 ล้านบาท เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ สำนักงบประมาณได้พิจารณาถึงเหตุผล ความจำเป็น ความพร้อมของหน่วยรับงบประมาณ และความสอดคล้องกับแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 โดยให้ความสำคัญกับการดำเนินการตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลเพื่อเติมเงินในระบบเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง กระจายไปทุกพื้นที่ให้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจถึงระดับฐานราก เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพของประชาชนและภาคธุรกิจ โดยดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2567 ที่ให้ความเห็นชอบแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2567 ที่ให้ความเห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เพื่อดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการดำเนินการให้สอดคล้องตามมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ซึ่งกำหนดให้การจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ให้กระทำได้เมื่อมีเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องใช้จ่ายเงินระหว่างปีงบประมาณ โดยไม่สามารถรองบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณถัดไปได้ และให้ระบุที่มาของเงินที่จะใช้จ่ายตามงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมด้วย ดังนั้น การดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ดังกล่าว จะต้องลงทะเบียนผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการใช้จ่ายให้ทันภายในวันที่ 30 กันยายน 2567 ซึ่งมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2567 ได้กำหนดคุณสมบัติกลุ่มเป้าหมายประชาชนที่จะเข้าร่วมโครงการฯ จะต้องเป็นผู้มีอายุเกิน 16 ปี ณ เดือนที่มีการลงทะเบียน สัญชาติไทย มีที่อยู่ในทะเบียนบ้าน ไม่เป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินเกิน 840,000 บาทต่อปีภาษี และมีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ได้ตามวัตถุประสงค์และสอดคล้องกับสถานการณ์ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จึงอาจพิจารณาผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการที่เป็นประชาชนกลุ่มเปราะบาง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเป้าหมายในโครงการ Digital Wallet ทั้งนี้ งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ได้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 รวมทั้งกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องครบถ้วนแล้ว
2. วงเงินและโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567
วงเงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2567 จำนวน 122,000 ล้านบาท เมื่อรวมกับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จํานวน 3,480,000 ล้านบาท รวมเป็นวงเงินทั้งสิ้น 3,602,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จํานวน 417,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.1 ประกอบด้วย
2.1 โครงสร้างงบประมาณรายจ่าย ประกอบด้วยประมาณการรายจ่าย ดังต่อไปนี้
-
(1) รายจ่ายประจำ จำนวน 24,400 ล้านบาท เมื่อรวมกับรายจ่ายประจำตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวน 2,540,468.6 ล้านบาท จะทำให้มีรายจ่ายประจำ จำนวน 2,564,868.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จำนวน 162,328.9 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 71.2 ของวงเงินงบประมาณรวม ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 75.4
(2) รายจ่ายลงทุน จำนวน 97,600 ล้านบาท เมื่อรวมกับรายจ่ายลงทุนตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวน 710,080.5 ล้านบาท จะทำให้มีรายจ่ายลงทุน จำนวน 807,680.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จำนวน 118,200.6 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.1 และคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 22.4 ของวงเงินงบประมาณรวม เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 21.7
2.2 รายได้รัฐบาล จำนวน 10,000 ล้านบาท เมื่อรวมกับรายได้รัฐบาลสุทธิปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2566 ที่กำหนดไว้ จำนวน 2,787,000 ล้านบาท จะทำให้มีรายได้สุทธิทั้งสิ้น จำนวน 2,797,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จำนวน 307,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.3 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.1 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
2.3 งบประมาณขาดดุล จำนวน 112,000 ล้านบาท เมื่อรวมกับประมาณการขาดดุล ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2566 ที่กำหนดไว้ จำนวน 693,000 ล้านบาท จะมีการขาดดุลงบประมาณทั้งสิ้น จำนวน 805,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จำนวน 110,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.8 และคิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 4.3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
3. งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 สรุปดังนี้
3.1 จำแนกตามกลุ่มงบประมาณ ตามมาตรา 14 ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 เป็นกลุ่มงบประมาณรายจ่ายงบกลาง (1 รายการ) วงเงินรวมทั้งสิ้น 122,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 100 ของวงเงินงบประมาณ
3.2 สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล จำนวน 142 ประเด็น ตามนโยบายระยะสั้น การสร้างรายได้ นโยบาย Digital Wallet วงเงินรวมทั้งสิ้น 122,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 100 ของวงเงินงบประมาณ
3.3 จำแนกตามยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ ได้ดำเนินการภายใต้ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ พ.ศ. 2567 สำหรับรายการค่าดำเนินการภาครัฐ จำนวน 122,000 ล้านบาท
4. การยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2562 เรื่อง การดำเนินการเพื่อรองรับและขับเคลื่อนการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมาย และการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 ในส่วนของคำแนะนำของคณะกรรรมการพัฒนากฎหมาย เรื่อง การรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องประกอบการจัดทำร่างกฎหมาย โดยให้มีการรับฟังความคิดเห็นการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เป็นระยะเวลา 7 วัน ระหว่างวันที่ 19 – 25 มิถุนายน 2567 ตามปฏิทินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เพื่อประโยชน์สำคัญของประเทศเกี่ยวกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 สำนักงบประมาณจึงขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว
ไฟเขียว มท.ใช้ผังเมืองรวมชุมชนองครักษ์ จ.นครนายก
นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การใช้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนองครักษ์ จังหวัดนครนายก พ.ศ. …. ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลบางปลากด ตำบลทรายมูล ตำบลคลองใหญ่ และตำบลองครักษ์ จังหวัดนครนายก เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมือง และบริเวณที่เกี่ยวข้อง หรือ ชนบทในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินการคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งมีนโยบายและมาตรการเพื่อจัดระบบการใช้ประโยชน์ที่ดิน โครงข่ายคมนาคมขนส่งและบริการสาธารณะให้มีประสิทธิภาพ สามารถรองรับและสอดคล้องกับการขยายตัวของชุมชนในอนาคต รวมทั้งส่งเสริมและพัฒนาเศรษฐกิจ โดยได้มีการกำหนดแผนผังและการใช้ประโยชน์ที่ดินภายในเขตผังเมืองรวมจำแนกออกเป็น 11 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทจะกำหนดลักษณะกิจการที่ให้ดำเนินการตามวัตถุประสงค์การใช้ที่ดินแต่ละประเภทนั้น ๆ รวมทั้งกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินตามแผนผังโครงการคมนาคมและขนส่ง ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2562 และคณะกรรมการผังเมืองได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว
ผ่านร่างผังเมืองรวมชุมชนอู่ทอง จ.สุพรรณบุรี
นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี พ.ศ. …. ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลหนองโอ่ง ตำบลอู่ทอง ตำบลกระจัน ตำบลเจดีย์ ตำบลจระเข้สามพัน และตำบลยุ้งทะลาย อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม โดยส่งเสริมอนุรักษ์และพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ทั้งนี้ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการผังเมือง ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ.2562 แล้ว และคณะกรรมการผังเมืองได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว
เวนคืนที่ดิน อ. เมือง จ.อุดรธานี สร้างทางหลวงชนบท
นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลหนองบัว ตำบลหนองนาคำ ตำบลหนองขอนกว้าง ตำบลบ้านจั่น และตำบลโนนสูง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี โดยร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลหนองบัว ตำบลหนองนาคำ ตำบลหนองขอนกว้าง ตำบลบ้านจั่น และตำบลโนนสูง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี เพื่อสร้างและขยายทางหลวงชนบท ถนนสาย ก 7 ถนนสาย ง 8 และถนนสาย จ ตามโครงการผังเมืองรวมอุดรธานีและถนนต่อเชื่อม มีระยะเวลาใช้บังคับ 5 ปี โดยให้เริ่มเข้าสำรวจที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ภายในแนวเขตที่ดินที่จะเวนคืน ภายใน 180 วัน นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาบังคับใช้
นายคารม กล่าวว่า ลักษณะของโครงการก่อสร้างและขยายทางหลวงชนบท ถนนสาย ก 7 ถนนสาย ง 8 และถนนสาย จ ตามโครงการผังเมืองรวมอุดรธานีและถนนต่อเชื่อม มีดังนี้ 1) ถนนสาย ก 7 ถนนสาย ง 8 เป็นถนนขนาด 4 ช่องจราจรพร้อมเกาะกลาง ชนิดผิวจราจรคอนกรีตเสริมเหล็ก ช่องจราจรกว้างช่องละ 3.25 – 3.50 เมตร ใหล่ทางกว้างข้างละ 3.00 เมตร ทางเท้ากว้างข้างละ 2.90 เมตร เขตทางกว้างข้างละ 16.00 – 3.50 เมตร 2) ถนนสาย จ เป็นถนนขนาด 4 ช่องจราจร ชนิดผิวจราจรคอนกรีตเสริมเหล็ก ช่องจราจร กว้างช่องละ 3.50 เมตร ไหล่กว้างข้างละ 2.50 เมตร ทางเท้ากว้าง 9.00 เมตร เกาะกลางแบบยกกว้าง 8.50 – 27.70 เมตร เกาะกลางแบบร่องกว้าง 9.00 เมตร เขตทางกว้างประมาณ 60.00 เมตร รวมเป็นระยะทางทั้งสิ้น 15.17 กิโลเมตร มีที่ดินที่ถูกเวนคืนประมาณ 367 ไร่ มีอาคารและสิ่งปลูกสร้างที่ถูกเวนคืนประมาณ 243 รายการ
เวนคืนที่ดิน อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด สร้างทางหลวงแผ่นดิน
นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนในท้องที่ตำบลเหนือเมือง และตำบลดงลาน อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด พ.ศ. …. ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนในท้องที่ตำบลเหนือเมือง และตำบลดงลาน อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 23 บ้านไผ่ – อุบลราชธานี ตัดกับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 232 ถนนวงแหวนรอบเมืองร้อยเอ็ด (ทางแยกบ้านโนนเมือง) ทั้งนี้ เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องได้มาโดยแน่ชัด โดยมีกรอบระยะเวลาในการดำเนินการภายในระยะเวลา 5 ปี และดำเนินกระบวนการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินตลอดทั้งโครงการ ทั้งนี้ เพื่อส่งมอบพื้นที่ให้สามารถเข้าดำเนินการสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 23 บ้านไผ่-อุบลราชธานีตัดกับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 232 ถนนวงแหวนรอบเมืองร้อยเอ็ด (ทางแยกบ้านโนนเมือง) ซึ่งมีระยะทางประมาณ 0.447 กิโลเมตร
นายคารม กล่าวว่า โครงการดังกล่าว ได้มีการวิเคราะห์ความคุ้มค่าของการดำเนินงานทางแยกจุดตัดทางหลวงบนทางหลวงหมายเลข 23 กับทางหลวงหมายเลข 232 (แยกบ้านโนนเมือง) เป็นจุดตัดทางแยกที่มีปริมาณกจรจราจรหนาแน่น เนื่องจากเป็นแนวเส้นทางขนส่งสินค้า โดยมีความกว้างเขตทางของทางหลวงหมายเลข 23 และ 232 คือ 40.0 เมตร และ 60.0 เมตร ตามลำดับ ปัจจุบันทางแยกดังกล่าวเป็นสี่แยกที่มีไฟสัญญานจราจรควบคุม ซึ่งได้มีการวิเคราะห์ความคุ้มค่าของโครงการ อัตราผลตอบแทนการลงทุน (EIRR) ของโครงการ เท่ากับ 12.09 % จึงมีความจำเป็นที่จะต้องได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ เพื่อประโยชน์สาธารณะในการสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 23 บ้านไผ่ – อุบลราชธานี ตัดกับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 ถนนวงแหวนรอบเมืองร้อยเอ็ด (ทางแยกบ้านโนนเมือง) ทั้งนี้ เพื่อให้การสร้างทางดังกล่าวเป็นไปตามแผนการที่กำหนดไว้ รวมทั้งเพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งทางบก อันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อนำที่ดินไปชดเขยให้เกิดความเป็นธรรมแก่เจ้าของที่ดินที่ถูกเวนคืน
เห็นชอบ ขรก.ลาอุปสมบท – บวชชี เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ ไม่ถือเป็นวันลา
นายคารม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบ ให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้าง หน่วยงานของรัฐและพนักงานรัฐวิสาหกิจลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบทและบวชชีพรหมโพธิเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยไม่ถือเป็นวันลา ดังนี้
-
1. ให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ระหว่างวันที่ 18 – 30 กรกฎาคม 2567 เป็นเวลา 13 วัน โดยไม่ถือเป็นวันลา เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการหรือปฏิบัติงาน และได้รับเงินเดือนตามปกติ
2. ให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ที่เป็นสตรี ที่เข้าร่วมบวชชีพรหมโพธิถวายเป็นพระราชกุศลในครั้งนี้ สามารถลาปฏิบัติธรรมเป็นเวลา 13 วัน โดยไม่ถือเป็นวันลาเสมือนเป็นการปฏิบัติราชการหรือปฏิบัติงาน และได้รับเงินเดือนตามปกติ ทั้งนี้ ต้องได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาก่อน และขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี (4 ธันวาคม 2550) ในส่วนของการลาปฏิบัติธรรม ครั้งหนึ่งตลอดอายุราชการเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 1 เดือน แต่ไม่เกิน 3 เดือน และยกเว้นการปฏิบัติธรรมในสถานที่ปฏิบัติธรรม ตามประกาศสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เรื่อง แนวทางและขั้นตอนการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี ในการให้ข้าราชการเจ้าหน้าที่และลูกจ้างของหน่วยงานภาครัฐ ที่เป็นสตรี ไปถือศีลและปฏิบัติธรรมในสำนักปฏิบัติธรรมที่ พ.ศ. รับรอง ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2551
จัดครม.สัญจร ‘โคราช’ 1-2 ก.ค.นี้
นางสาวเกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบกำหนดจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 4/2567 ณ จังหวัดนครราชสีมา และติดตามการตรวจราชการกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 (จังหวัดชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ และสุรินทร์) ระหว่างวันที่ 1-2 กรกฎาคม 2567 มีประเด็นตรวจราชการสำคัญประกอบด้วย
-
1. การส่งเสริมการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ การยกระดับเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การบริการ และการท่องเที่ยว
2. การยกระดับขีดความสามารถของภาคเกษตร ภาคผลิต และภาคอุตสาหกรรม
3. การยกระดับการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล
4. การส่งเสริม พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค และ
5. การเสริมสร้างความมั่นคง ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และส่งเสริมการดำเนินการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส
โดยมีบัญชามอบหมายภารกิจ อาทิ
- มอบหมายคณะรัฐมนตรีลงพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 เพื่อติดตามการดำเนินงานตามนโยบายและปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ และให้ที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รวบรวมข้อมูลการลงพื้นที่ของคณะรัฐมนตรี
- มอบหมายรองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) ซึ่งกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่ดังกล่าวเป็นประธานการประชุมบูรณาการการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 ร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอประเด็นและวาระการพัฒนากลุ่มจังหวัดต่อที่ประชุม ครม. และให้ สศช. สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) สำนักงบประมาณ และกระทรวงมหาดไทย (มท.) เป็นฝ่ายเลขานุการ
- ให้ สลค. เตรียมสถานที่จัดประชุมคณะรัฐมนตรี ดำเนินการจัดประชุม ตลอดจนรวบรวม กลั่นกรองข้อเสนอโครงการ/แผนงานสำหรับวาระกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 ที่จะนำเสนอในการประชุม ครม.
- ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีประสานกับศูนย์ดำรงธรรม มท. ในการดูแลการรับเรื่องร้องเรียนและปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน
- ให้กรมประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก และโฆษกกระทรวงดำเนินการประชาสัมพันธ์ และสร้างการรับรู้แก่ประชาชน
ไฟเขียวให้ ‘สภากาชาดไทย’ ออกสลากประจำปี’67
นางสาวเกณิกา กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบให้สภากาชาดไทย หรือเหล่ากาชาดจังหวัด หรือกิ่งกาชาดอำเภอ ซึ่งเป็นตัวแทนของสภากาชาดไทย ผู้รับใบอนุญาต จัดให้มีการเล่นการพนันสลากกินแบ่งหรือสลากบำรุงสภากาชาดไทยประจำปี 2567 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อหารายได้มอบให้สภากาชาดไทย เสียภาษีในอัตราร้อยละ 0.5 แห่งยอดราคาสลาก ซึ่งมีผู้รับซื้อก่อนหักรายจ่ายตามข้อ 12 (4) แห่งกฎกระทรวงฉบับที่ 17 (พ.ศ. 2503) ออกตามความในพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 และที่แก้ไขเพิ่มเติมได้
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ที่ผ่านมา สภากาชาดไทยร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และสภาบันการศึกษา จัดทำสลากบำรุงสภากาชาดไทยในทุกๆ ปี โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อหารายได้โดยเสด็จพระราชกุศลบำรุงสภากาชาดไทย ทั้งนี้ การเล่นการพนันสลากกินแบ่ง หรือ สลากบำรุงสภากาชาดไทย ตามบัญชี ข. หมายเลข 16 ท้ายพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 ซึ่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 17 (พ.ศ. 2503) ออกตามความในพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 ข้อ 12 (4) แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 43 (พ.ศ. 2543) กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตการเล่นสลากกินแบ่งที่มีวัตถุประสงค์เพื่อนำรายได้ไปใช้ในกิจการสาธารณกุศล โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี เสียภาษีในอัตราร้อยละ 0.5 แห่งยอดราคาสลาก ซึ่งมีผู้รับซื้อก่อนหักรายจ่าย (หากไม่ใช่การออกสลากกินแบ่งที่มีวัตถุประสงค์เพื่อนำรายได้ไปใช้ในกิจการสาธารณกุศล ผู้รับใบอนุญาตฯ ต้องเสียภาษีร้อยละ 5 หรือร้อยละ 10 แล้วแต่กรณี) และในครั้งนี้ สภากาชาดไทยจึงเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบให้สภากาชาดไทย ผู้รับใบอนุญาตจัดให้มีการเล่นการพนันสลากกินแบ่งหรือสลากบำรุงสภากาชาดไทย ประจำปี 2567 เสียภาษีในอัตราร้อยละ 0.5 แห่งยอดราคาสลากเช่นเดียวกับทุกๆ ปีที่ผ่านมา
ผ่านร่าง MOU แบ่งปันคาร์บอนเครดิต ‘ไทย-ญี่ปุ่น’ 35 โครงการ
นางสาวเกณิกา กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบ (ร่าง) บันทึกความร่วมมือว่าด้วยกลไกเครดิตร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น พร้อมเอกสารแนบ ข้อ Attachment 1-3 และมอบหมายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทน เป็นผู้แทนฝ่ายไทยลงนามใน (ร่าง) บันทึกความร่วมมือฯ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ทส. รายงานว่าผลการดำเนินงานและปริมาณคาร์บอนเครดิตภายใต้ร่างความร่วมมือทวิภาคีฯ ที่ผ่านมา โครงการในประเทศไทยที่ได้รับการสนับสนุนเงินลงทุนจากรัฐบาลญี่ปุ่น และต้องแบ่งปันคาร์บอนเครดิตที่เกิดจากการดำเนินโครงการให้กับฝ่ายญี่ปุ่นเป็นการตอบแทน รวมจำนวน 53 โครงการ โดยปัจจุบันมีการรับรองคาร์บอนเครดิตจากโครงการที่ได้รับการขึ้นทะเบียนแล้ว จำนวน 5 โครงการ รวม 4,032 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และได้แบ่งปันคาร์บอนเครดิตที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้กับฝ่ายญี่ปุ่นแล้ว จำนวน 2,017 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (ร้อยละ 50 ของคาร์บอนเครดิตที่ได้รับการรับรอง)
โดยคณะกรรมการร่วม (Joint Committee) ฝ่ายไทย และคณะกรรมการร่วม (ไทยและญี่ปุ่น มีมติเห็นชอบ (ร่าง) บันทึกความร่วมมือฯ พร้อมเอกสารแนบ ข้อ Attachment 1-3 ซึ่งจะนำมาใช้แทนความร่วมมือทวิภาคีฯ ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
-
1. (ร่าง) บันทึกความร่วมมือฯ มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งกลไกเครดิตร่วม Joint Crediting Mechanism (JCM) เพื่อส่งเสริมการลงทุนและการใช้เทคโนโลยีชั้นนำในการลดการปล่อยคาร์บอน รวมทั้งส่งเสริมการดำเนินงานลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศไทย โดยคาร์บอนเครดิตส่วนหนึ่งที่เป็นผลจากการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นภายใต้ (ร่าง) บันทึกความร่วมมือฯ อาจนำไปเป็นผลการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศญี่ปุ่นในรูปแบบของผลการลดก๊าซเรือนกระจกที่ถ่ายโอนระหว่างประเทศ (internationally transferred mitigation outcomes : ITMOs) ทั้งนี้ (ร่าง) บันทึกความร่วมมือฯ ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศ และรัฐบาลฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจยุติ (ร่าง) บันทึกความร่วมมือฯ โดยแจ้งให้อีกฝ่ายทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 6 เดือน (ไม่มีกำหนดเวลาสิ้นสุด)
2. Attachment 1: Rules of Implementation for the Joint Crediting Mechanism (JCM) track under Premium T-VER (กฎเกณฑ์ของการดำเนินงานกลไกเครดิตร่วมภายใต้ Premium T-VER) และ Attachment 2: Rules of Implementation for the Joint Crediting Mechanism (JCM) for Existing Projects (กฎเณฑ์ของการดำเนินงานกลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism : JCM) สำหรับโครงการที่ดำเนินการอยู่แล้ว) เป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการร่วมผู้ตรวจประเมินโครงการ การพัฒนาระเบียบวิธีลดก๊าซเรือนกระจกซึ่งจะใช้คำนวณปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินกิจกรรมโครงการ การรับรองผู้ตรวจประเมินโครงการ ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบความใช้ได้ของเอกสารข้อเสนอโครงการที่จะนำไปใช้ขอขึ้นทะเบียนโครงการและทวนสอบความถูกต้องของปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินกิจกรรมโครงการ และขั้นตอนในการพัฒนาโครงการ โดย Attachment 1 เป็นข้อกำหนดสำหรับโครงการที่จะดำเนินงานในอนาคต ซึ่งผู้พัฒนาโครงการต้องขอขึ้นทะเบียนโครงการเป็นโครงการ JCM ภายใต้ Premium T-VER และรับรองคาร์บอนเครดิตกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) แทนคณะกรรมการ่วม ส่วน Attachment 2 เป็นข้อกำหนดสำหรับโครงการที่คงค้างอยู่ในระบบ ซึ่งผู้พัฒนาโครงการขอขึ้นทะเบียนโครงการเป็นโครงการ JCM และรับรองคาร์บอนเครดิตกับคณะกรรมการร่วม
3. Attachment 3: Rules of Procedures of the Joint Committee for the Joint Crediting Mechanism (ระเบียบวิธีปฏิบัติของคณะกรรมการร่วม (Joint Committee) สำหรับกลไกเครดิตร่วม) เป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับองค์ประกอบของคณะกรรมการร่วม หน้าที่ของฝ่ายเลขานุการ การจัดประชุมคณะกรรมการร่วม วิธีการลงมติของคณะกรรมการ่วม ผู้เข้าร่วมประชุม การจัดประชุม ภาษาที่ใช้ในการจัดประชุม การจัดตั้งคณะผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยในการดำเนินกลไก การรักษาความลับและการเผยแพร่มติของคณะกรรมการร่วมสู่สาธารณะ ทั้งนี้ คณะกรรมการร่วมประกอบด้วยผู้แทนจากรัฐบาลญี่ปุ่น รัฐบาลไทย และบุคคลอื่นที่ได้รับการแต่งตั้งจากแต่ละฝ่าย รวมจำนวนฝ่ายละไม่เกิน 10 คน
ประโยชน์ที่จะได้รับ กลไกเครดิตร่วม (JCM) ซึ่งเริ่มดำเนินงานนับแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2558 ทำให้ผู้พัฒนาโครงการในประเทศไทยได้รับการสนับสนุนเงินลงทุนจากรัฐบาลญี่ปุ่น เพื่อใช้ในการก่อสร้าง จัดซื้อ/ติดตั้งเครื่องจักร/อุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำที่ทันสมัย หรือ รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จำนวน 2,855 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 31 เมื่อเทียบกับมูลค่าการลงทุนรวม 9,084 ล้านบาท และยังทำให้เกิดการจ้างงาน และการพัฒนาที่ยั่งยืนในประเทศไทย โดยประเทศไทยต้องถ่ายโอนผลการลดก๊าซเรือนกระจก หรือ คาร์บอนเครดิตที่เกิดจากโครงการร้อยละ 50 ให้กับฝ่ายญี่ปุ่นเป็นการตอบแทน คณะกรรมการร่วม (Joint Committee) ฝ่ายไทยจึงได้กำหนดแนวปฏิบัติสำหรับการพัฒนาโครงการใหม่ภายหลังการลงนามบันทึกความร่วมมือฯ ฉบับปรับแก้ไข เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศ ดังนี้
- คัดเลือกโครงการที่มีคุณลักษณะครบถ้วนตามข้อกำหนดของแนวทางและกลไกการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิต และผู้พัฒนาโครงการต้องได้รับการสนับสนุนเงินลงทุนหรือการถ่ายทอดเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ และกำหนดให้แบ่งปันคาร์บอนเครดิตกับฝ่ายญี่ปุ่นในสัดส่วนเดียวกับสัดส่วนเงินสนับสนุนจากฝ่ายญี่ปุ่นต่อเงินลงทุนของโครงการ ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศไทยสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มมากขึ้น และปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยหลังจากปรับบัญชีก๊าซเรือนกระจกแล้วมีค่าลดลง
- กำหนดให้ผู้พัฒนาโครงการต้องขอขึ้นทะเบียนโครงการ และขอรับรองปริมาณคาร์บอนเครดิตที่เกิดจากโครงการตามมาตรฐานขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) แทนการขอขึ้นทะเบียนและขอรับรองคาร์บอนเครดิตตามมาตรฐานของญี่ปุ่น ซึ่งจะทำให้การกำกับดูแลโครงการลดก๊าซเรือนกระจกที่จะมีการถ่ายโอนผลการลดก๊าซเรือนกระจกให้กับประเทศอื่นเป็นไปอย่างมีเอกภาพ
เพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้า 4 เขื่อน 6.75 MW วงเงิน 959 ล้าน
นางรัดเกล้า กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำตะคอง เขื่อนลำปาว เขื่อนห้วยแม่ท้อ และเขื่อนกระเสียว กำลังผลิตติดตั้งรวม 6.75 เมกะวัตต์ โดยมีวงเงินขออนุมัติ 959.76 ล้านบาท แบ่งเป็น (1) เงินตราต่างประเทศ 243.83 ล้านบาท และ (2) เงินบาท 715.93 ล้านบาท โดยให้สามารถเกลี่ยงบประมาณระหว่างโครงการได้ ทั้งนี้ ให้ถือว่า กฟผ. ได้รับอนุมัติงบประมาณ เพื่อการลงทุนตามแผนการประมาณการเบิกจ่ายประจำปี 2567 ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำตะคอง เขื่อนลำปาว เขื่อนห้วยแม่ท้อ และเขื่อนกระเสียว เป็นโครงการที่บรรจุอยู่ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561-2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (แผน PDP2018 Rev.1) ซึ่งทั้ง 4 โครงการเป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่ติดตั้งท้ายเขื่อนของกรมชลประทาน โดยเป็นการดำเนินการแบบบูรณาการร่วมกับเขื่อนเพื่อให้สามารถบริหารการจัดการน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด และไม่กระทบต่อวัตถุประสงค์หลักเดิมของการสร้างเขื่อน รวมทั้งก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยมาก เนื่องจากเป็นพลังงานสะอาดและมีอายุการใช้งานยาวนานกว่าพลังงานหมุนเวียนประเภทอื่นๆ
กฟผ. ได้ดำเนินการศึกษาความเหมาะสมของทั้ง 4 โครงการ โดยคณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565 ได้มีมติเห็นชอบรายงานการศึกษาดังกล่าวแล้ว รายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
วัตถุประสงค์ – เพื่อช่วยเพิ่มสัดส่วนกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่มีอยู่ภายในประเทศ และดำเนินการตามนโยบายภาครัฐตามแผน PDP 2018 Rev.1 และแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP) รวมทั้งยังเป็นการสนับสนุนตามนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศไทย
แผนการเบิกจ่าย – ปี พ.ศ. 2567 วงเงิน 495.28 ล้านบาท ปี พ.ศ. 2568 วงเงิน 358.21 ล้านบาท ปี พ.ศ. 2569 วงเงิน 106.27 ล้านบาท รวม วงเงิน 959.76 ล้านบาท
แหล่งเงิน – เงินรายได้ของ กฟผ. ร้อยละ 40 และแหล่งเงินทุนอื่นๆ (เงินกู้) ร้อยละ 60 โดย กฟผ. จะพิจารณาแหล่งเงินทุนสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายโครงการฯ ดังนี้
-
(1) ค่าใช้จ่ายในส่วนเงินบาท ใช้จากแหล่งใดแหล่งหนึ่งหรือหลายแหล่งรวมกันจากธนาคาร/สถาบันการเงินในประเทศ การออกพันธบัตรลงทุนในประเทศ การระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานและเงินรายได้ของ กฟผ.
(2) กรณีที่จำเป็นต้องใช้เงินตราต่างประเทศ ใช้จากแหล่งใดแหล่งหนึ่งหรือหลายแหล่งรวมกันจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศ ธนาคาร/สถาบันเพื่อการนำเข้า-ส่งออก ธนาคาร/สถาบันการเงินต่างประเทศและ/หรือในประเทศ การออกพันธบัตรลงทุนต่างประเทศ
การดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อม
(1) โครงการฯ ไม่เข้าข่ายต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบในด้านต่าง ๆ ดังนี้
-
– รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment: EIA)
– รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการ กิจการหรือการดำเนินการที่อาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิตของประชาชนในชุมชนอย่างรุนแรง (Environmental and Health Impact Assessment: EHIA)
– รายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (Initial Environmental Examination: IEE)
– รายงานการประเมินสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ (Environmental Site Assessment: ESA)
(2) โครงการฯ ต้องจัดทำรายงานสิ่งแวดล้อมสำหรับการขอรับใบอนุญาตผลิตไฟฟ้า (รายงานสิ่งแวดล้อมฯ) ตามระเบียบคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานว่าด้วยการจัดทำรายงานสิ่งแวดล้อมสำหรับการขอรับใบอนุญาตผลิตไฟฟ้า พ.ศ. 2563
[ปัจจุบันโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำตะคองและเขื่อนลำปาวได้รับความเห็นชอบรายงานสิ่งแวดล้อมฯ เรียบร้อยแล้ว ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนห้วยแม่ท้อและเขื่อนกระเสียวอยู่ระหว่างการดำเนินการจัดทำรายงานสิ่งแวดล้อมฯ]ประโยชน์ที่ได้รับจากการดำเนินโครงการ
1. เพิ่มสัดส่วนกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนภายในประเทศตามแผน PDP2018 Rev.1 เพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในจังหวัดและในภูมิภาค ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงนำเข้าจากต่างประเทศ เป็นไปตามนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศไทย
2. ประชาชนในประเทศได้ใช้พลังงานสะอาดที่มีเสถียร เนื่องจากสามารถเดินเครื่องจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบได้รวดเร็วภายในเวลา 5 นาที และสามารถเพิ่มหรือลดพลังงานได้ตามความต้องการของระบบไฟฟ้า และไม่สางผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
3. ชุมชนรอบโรงไฟฟ้าได้รับสิทธิประโยชน์ตามที่กฎหมายกำหนด
4. ส่งเสริมงานวิจัยเครื่องผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำขนาดเล็ก และพัฒนาความรู้ของบุคลากร กฟผ.
5. เป็นการบูรณาการบริหารจัดการน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด
6. ส่งเสริมงานประชาสัมพันธ์ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและส่งแวดล้อมขององค์กรและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ กฟผ.
ทั้งนี้ สลค. มีข้อสังเกตว่า จากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันอันเนื่องมาจากสภาวะโลกร้อนเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การควบคุมการผลิตพลังงานไฟฟ้าในลักษณะดังกล่าวไม่สามารถคาดการณ์กำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าได้อย่างแม่นยำ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ไฟฟ้าที่อยู่ในพื้นที่และบริเวณใกล้เคียง โดยในห้วงปี 2558 และปี 2566 ที่ผ่านมาเคยเกิดสถานการณ์ระดับน้ำในเขื่อนลำตะคองแห้งขอดเนื่องจากสภาวะภัยแล้งและฝนทิ้งช่วงเป็นระยะเวลานาน ส่งผลให้กรมชลประทานต้องลดการระบายน้ำออกจากเขื่อนเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้สำหรับการอุปโภคและบริโภค รวมถึงเก็บไว้ใช้เพื่อการเกษตร ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบจากกรณีดังกล่าว กฟผ. จึงควรจัดทำแผนรองรับกรณีดังกล่าวในอนาคต และควรศึกษาถึงศักยภาพของการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานหมุนเวียนรูปแบบอื่นๆ ที่เหมาะสม รวมถึงสอดคล้องกับความต้องการใช้ไฟฟ้าและลักษณะทางกายภาพของแต่ละพื้นที่เพิ่มเติม เช่น โรงงานไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำ และโรงไฟฟ้าพลังงานลม โดยประเมินลกระทบและความเป็นไปได้ในการผลิตพลังงานจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบอื่นให้ครอบคลุมในทุกมิติ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน และเสริมสร้างความมั่นคงของระบบไฟฟ้าควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
จัดงบฯ 273 ล้าน ลงทุน 9 โครงการใน 3 จังหวัด ‘นคร’
นางรัดเกล้า กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบในหลักการโครงการของจังหวัด จำนวน 9 โครงการ ภายในกรอบวงเงิน 272,718,200 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการของจังหวัดนครพนม จำนวน 3 โครงการ ภายในวงเงิน 108,193,200 บาท จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 5 โครงการ ภายในวงเงิน 134,525,000 บาท และจังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 1 โครงการ ภายในวงเงิน 30,000,000 บาท โดยให้ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ทั้งนี้ ขอให้จังหวัดจัดทำโครงการและรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. 2562 ตามขั้นตอนต่อไป โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ผลสัมฤทธิ์ และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากการใช้จ่ายงบประมาณ ตามนัยของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 รวมทั้งให้จังหวัดนำโครงการบรรจุในแผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สืบเนื่องจากการตรวจราชการของนายกรัฐมนตรีในพื้นที่จังหวัดนครพนม (17 กุมภาพันธ์ 2567) นครราชสีมา (24 มีนาคม 2567) และนครศรีธรรมราช (8 เมษายน 2567) และได้มีข้อสั่งการให้จังหวัดจัดทำข้อเสนอแผนงาน/โครงการ เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเร่งด่วนของประชาชนและพัฒนาพื้นที่ตามนโยบายรัฐบาล ต่อมาทั้ง 3 จังหวัดได้จัดทำข้อเสนอแผนงาน/โครงการตามข้อสั่งการฯ จำนวน 9 โครงการ ภายในกรอบวงเงิน 272,718,200 บาท ซึ่งมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการ แต่ยังไม่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ และไม่อยู่ระหว่างการขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากแหล่งงบประมาณอื่น และได้ผ่านการพิจารณากลั่นกรองและเห็นชอบจากคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจจังหวัด (กรอ. จังหวัด) แล้ว สรุปดังนี้
1. จังหวัดนครพนม จำนวน 3 โครงการ ภายในวงเงิน 108,193,200 บาท โดยโครงการดังกล่าวมีความสอดคล้องกับแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 (จังหวัดสกลนคร นครพนม และมุกดาหาร) แลแผนพัฒนาจังหวัดนครพนม ประกอบด้วย
- โครงการสร้างอัตลักษณ์เมือง (DNA) และ Marketing ภายใต้ 5 Must (Visit, Eat, Shop, Mu, Rest) เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดและการยกระดับเมืองรองสู่เมืองหลัก โดยมีกิจกรรมที่ต้องดำเนินการ เช่น จัดทำเส้นทางการท่องเที่ยว 5 เส้นทาง พัฒนาสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชนและบริการการท่องเที่ยว และผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชน 60 ผลิตภัณฑ์
- โครงการส่งเสริมและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวอนุสรณ์สถานประธษนโฮจิมินห์ ตำบลหนองญาติ อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม
- โครงการก่อสร้างสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบส่งน้ำ บ้านนาขมิ้น ตำบลนาขมิ้น อำเภอโพนสวรรค์ จังหวัดนครพนม
2. จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 5 โครงการ ภายในวงเงิน 134,525,000 บาท โดยโครงการดังกล่าวมีความสอดคล้องกับแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 (จังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสุรินทร์) แลแผนพัฒนาจังหวัดนครราชสีมา ประกอบด้วย
- โครงการก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กข้ามคลองผักขม ตำบลพันดุง อำเภอขามทะเลสอ จังหวัดนครราชสีมา ความยาว 20 เมตร จำนวน 1 แห่ง
- โครงการก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กข้ามบ้านทองหลาง ตำบลในเมือง-บ้านหัวทำนบ ตำบลสัมฤทธิ์ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ความยาว 60 เมตร จำนวน 1 แห่ง
- โครงการก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กพร้อมเชิงลาดสะพาน ถนนสายบ้านวังม่วง-บ้านกระเบื้อง ตำบลทุ่งสว่าง อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา ความยาว 60 เมตร จำนวน 1 แห่ง
- โครงการก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กข้ามคลองสะแก บ้านหนองรัง ตำบลแชะ อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา ความยาว 15 เมตร และความยาว 20 เมตร จำนวน 2 แห่ง
- โครงการพัฒนาระบบบริการและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานเพื่อยกระดับการบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข จังหวัดนครราชสีมา (ครุภัณฑ์ทางการแพทย์)
- โครงการปรับปรุงถนน นศ.4073 แยกทางหลวงหมายเลข 4014-หาดในเพลา อำเภอขนอม และอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช ระยะยทาง 14.17 กิโลเมตร
3. จังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 1 โครงการ ภายในวงเงิน 30,000,000 บาท โดยโครงการดังกล่าวมีความสอดคล้องกับแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย (จังหวัดชุมพร นครศรีธรรมราช พัทลุง สุราษฎร์ธานี และสงขลา) แลแผนพัฒนาจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้แก่
หลักเกณฑ์การพิจารณาข้อเสนอแผนงาน/โครงการของจังหวัด จะต้องเป็นแผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที หากได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และเป็นแผนงาน/โครงการที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด โดยเป็นรายจ่ายที่ไม่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ แต่มีภารกิจจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการ รวมทั้งเป็นไปตามเกณฑ์การพิจารณาของ กรอ. จังหวัด ของแต่ละจังหวัด
อ่าน มติ ครม. ประจำวันที่ 18 มิถุนายน 2567 เพิ่มเติม