ThaiPublica > เกาะกระแส > ควักเงินออมสิน 1 แสนล้าน จัด ‘ซอฟต์โลน’ ผ่านแบงก์พาณิชย์ – ลุยปล่อยกู้ SMEs ดัน GDP ปี’67 โต 3%

ควักเงินออมสิน 1 แสนล้าน จัด ‘ซอฟต์โลน’ ผ่านแบงก์พาณิชย์ – ลุยปล่อยกู้ SMEs ดัน GDP ปี’67 โต 3%

10 มิถุนายน 2024


วันที่ 10 มิถุนายน 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ 2/2567 ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/

ครม.เศรษฐกิจไฟเขียว 3 มาตรการ กระตุ้นท่องเที่ยว – ล้างท่องบลงทุน – สั่ง BOI จี้ต่างชาติเร่งสร้างโรงงาน – ควักเงินออมสิน 1 แสนล้าน จัด ‘ซอฟต์โลน’ ดอกเบี้ย 0.1% ผ่านแบงก์พาณิชย์ – ลุยปล่อยกู้ SMEs พร้อมชง ครม.ไฟเขียว PGS-11 ค้ำประกันสินเชื่ออีก 50,000 ล้านบาท พรุ่งนี้! ตั้งเป้าดัน GDP ปี’67 โต 3%

วันที่ 10 มิถุนายน 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ 2/2567 ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง แถลงผลการประชุม ครม.เศรษฐกิจ ครั้งที่ 2/2567 ร่วมกับนายจุลพันธุ์ อมรวิวัฒน์ และดร. เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงผลการประชุม ครม.เศรษฐกิจ ครั้งที่ 2/2567 ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยตอนนี่ขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพ , ต่ำกว่าประเทศในภูมิภาคนี้ และประเทศเพื่อนบ้าน โดยที่ผ่านมาได้มีการคาดการณ์ว่า GDP ณ สิ้นปี 2567 จะเติบโตที่ 2.4 – 2.5% ต่อปี แต่เป้าหมายที่รัฐบาลอยากเห็น คือ ต้องการให้เศรษฐกิจไทยเติบโต 3% และในระยะยาวต้องการให้เติบโตถึง 5% ดังนั้นจึงกำหนด 3 มาตรการหลัก เพื่อขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจเติบโตได้ตามเป้าหมายที่กำหนด

นายพิชัย กล่าวว่า มาตรการแรก คือ การท่องเที่ยว มีการคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวในปี 2567 จะอยู่ที่ 35.7 ล้านคน แต่รัฐบาลตั้งคำถามว่า ถ้านักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีก 1 ล้านคน เป็น 36.7 ล้านคน จะมีผลต่อจีดีพีเท่าไร ยิ่งกว่านั้นคือ ทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวอยู่นานขึ้น เพื่อให้มีการใช้จ่ายมากขึ้น และหากทำได้จะสามารถดันจีดีพีขึ้นมาอีก 0.12%

มาตรการที่ 2 เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ โดยเฉพาะงบลงทุนของภาครัฐ’ นายพิชัย กล่าวว่า ปี 2567 มีงบลงทุนประมาณ 8.5 แสนล้านบาท แต่มีการเบิกจ่ายเม็ดเงินจริง และรอการเซ็นสัญญาจัดซื้อจัดจ้างรวมกันแล้ว 51% ซึ่งรัฐบาลจะต้องการขับเคลื่อนการเบิกจ่ายงบลงทุนให้ได้ 70%

นายพิชัย ย้ำว่า หากสามารถผลักดันงบลงทุนได้ 70% ภายในปีนี้ จะสามารถเพิ่มจีดีพีได้อีก 0.24% โดยหลังจากนี้จะหารือกับหน่วยงานที่ยังใช้งบประมาณต่ำกว่าเป้าหมาย เพื่อถามว่ามีปัญหาคืออะไร และจะทำอย่างไรให้มีการขับเคลื่อนการใช้งบประมาณอย่างสมเหตุสมผลและถูกต้อง

มาตรการที่ 3 เร่งรัดการลงทุนของภาคเอกชน นายพิชัย กล่าวว่าเป็นประเด็นที่เราประเมินได้ยาก แต่จากข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ตัวเลขการลงทุนจาก BOI ที่นักลงทุนเซ็นสัญญา และพร้อมเริ่มงานภายใน 3 ปี มีประมาณ 800,000 ล้านบาท และถ้าสามารถดึงเม็ดเงิน 30,000 – 40,000 ล้านบาทมาลงภายในปี 2567 ก็จะเพิ่มจีดีพีได้ แต่ทั้งนี้ตัวเลขยังไม่แน่นอน

“นี่คือ 3 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในเบื้องต้น เราคงต้องมานั่งดูกันอีกว่ามีมาตรการเรื่องอะไร หรือ driver ตัวไหนที่เป็นสาระสำคัญ เราจะเร่งดำเนินการ” นายพิชัย กล่าว

นอกจากนี้ นายพิชัย กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจ หารือเรื่องราคาปาล์มตกต่ำ ซึ่งเป็นปัญหาเนื่องจากปาล์มเป็นพืชฤดูกาล (cycle) อีกทั้งยังมีผลผลิตปาล์มออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก ขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันดีเซลภายในประเทศอยู่ที่วันละ 40 ล้านลิตร ในจำนวนนี้มีการนำน้ำมันไบโอดีเซล B100 ไปใช้ผลิต B7 อยู่ที่วันละ 7 ล้านลิตร

ดังนั้น มาตรการระยะสั้น ก็คือ ผู้ซื้อต่อรองราคากับเจ้าของโรงงานไบโอดีเซล B100 เพื่อกำหนดราคาที่ใกล้เคียงกับราคาอ้างอิงที่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.)ประกาศ โดยขอความร่วมมือและทำความเข้าใจกับผู้ค้ามาตรา 7 ว่ามาตรการนี้เป็นการช่วยเหลือเกษตรกร ซึ่งถ้าทำได้จะทำให้ราคาปาล์มขึ้นไปถึง 5 บาท ขณะที่ช่วงที่ราคาตกต่ำราคาจะอยู่ที่ 3.7 – 3.8 บาทเท่านั้น ทั้งนี้ ในที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจจึงได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงพลังงาน รับเรื่องดังกล่าวไปดูแล

นายพิชัย ยังกล่าวถึงสถานการณ์คนตกงานว่า ช่วงที่ผ่านมามีคนตกงานประมาณ 300,000 คน แต่ในจำนวนนี้สามารถกลับเข้าไปในระบบได้ครึ่งหนึ่ง เท่ากับว่า ยังมีอีกประมาณ 200,000 คน ที่ตกงาน ขณะเดียวกันทุกๆ ปีประเทศไทยมีเยาวชนรุ่นใหม่ที่สำเร็จการศึกษาออกมาหางานประมาณ 500,000 คน เมื่อรวมแล้วจะมีคนที่ต้องทำงานประมาณ 600,000 – 700,000 คน หากนำไปเปรียบเทียบกับข้อมูลการรับสมัครงานที่ลงประกาศตามเว็บไซต์ต่างๆแล้วมีความต้องการแรงงานประมาณ 500,000 คน ดังนั้น จึงมีกลุ่มที่ต้องเข้าไปแก้ปัญหาว่างงานประมาณหลักแสนคน ที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจจึงมอบหมายให้กระทรวงแรงงาน รับเรื่องไปพิจารณา

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง พร้อมกับนายจุลพันธุ์ อมรวิวัฒน์ และดร. เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมกันแถลงผลการประชุม ครม.เศรษฐกิจ ครั้งที่ 2/2567
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/

“วันนี้นักลงทุนต่างชาติ ตั้งเงื่อนไขในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย 2 ประการ คือ (1) แรงงานที่มีทักษะด้านอิเล็กทรอนิกส์ และ (2) พลังงานสีเขียว ตัวที่เราพลาดไม่ได้เลย แม้วันนี้เราจะเริ่มหลังมาเลเซียและเวียดนาม คือ การขับเคลื่อน Semi – Conductor ซึ่งเราต้องผลักดันอย่างจริงจัง วันนี้ที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจจึงเห็นควรให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ ขึ้นดูแลความต้องการของนักลงทุนต่างชาติ Skill ประเภทไหนที่ต้องการ ซึ่งเราจะทำงานร่วมกัน เช่น ควรให้มหาวิทยาลัยไหนสอนเรื่องอะไร สอง ต้องมีที่ฝึกงานให้กับนักศึกษา ซึ่งได้มีการติดต่อไว้หลายประเทศ โดยเฉพาะไต้หวัน เพื่อส่งเด็กไปฝึกงาน และเราก็มีบุคลากรที่มีความเข้าใจด้านนอิเล็กทรอนิกส์ แต่ต้องอัพเกรด โดยเฉพาะที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปี ให้เข้ามาเรียนในหลักสูตร และUp Skill”

อย่างไรก็ตาม นายพิชัย กล่าวถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนว่า ปัจจุบันมีปัญหาเรื่องการเข้าสินเชื่อ หรือ แหล่งเงิน ส่วนหนึ่งจากมาตรการเครดิตบูโร 5+3 ที่มาจากต่างประเทศ ซึ่งมีการจัดเก็บประวัติเครดิตบูโรหลังพ้น 5 ปีไปแล้ว ซึ่งกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ กลุ่มที่ประสบปัญหาโควิด-19 เมื่อปี 2563 เพราะยังติดเครดิตบูโรอยู่ ดังนั้น รัฐบาลจึงได้หารือกับ ธปท.ให้ใช้มาตรการ 3+3 เพื่อให้ลูกหนี้บางกลุ่มหลุดออกจากระบบเครดิตบูโร และหากใช้มาตรการนี้จะทำให้ กลุ่มที่เคยรับผลกระทบจากโควิด-19 ประมาณ 4 ล้านคน หลุดออกจากเครดิตบูโรได้ทั้งหมดภายในปี 2568

นายพิชัย กล่าวต่อว่า ธนาคารออมสินเป็นธนาคารที่มีวินัยทางการเงินที่เข้มแข็ง และทำงานเพื่อสังคมในเวลาเดียวกัน รัฐบาลเห็นว่า ธนาคารออมสินในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ สามารถร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์ได้ จึงให้ธนาคารออมสินออกมาตรการสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ หรือ “soft loan” วงเงิน 100,000 ล้านบาท ปล่อยให้กับธนาคารพาณิชย์ในอัตรา 0.1% เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์นำเงินดังกล่าวไปปล่อยสินเชื่อต่อให้ลูกค้า SMEs รายใหม่ ซึ่งยังไม่ได้กำหนดดอกเบี้ยที่แน่ชัด แต่คาดว่าดอกเบี้ย 1 – 3 ปีแรก อาจอยู่ที่ 3.5% และปีที่ 4 – 5 อาจอยู่ที่ 5 – 6%

“ออมสินปล่อย 0.1% ต้นทุน 1.7% บวกค่าจัดการนิดหน่อยเป็น 2% ต้นๆ ก็มีผลต่อกำไรขาดทุนประมาณ 1,000 ล้าน ตามวิสัยออมสิน” นายพิชัย กล่าว

เมื่อถามว่าธนาคารออมสินจะหาเงิน 1 แสนล้านบาทจากไหน มาปล่อยกู้แบงก์พาณิชย์ นายพิชัย ตอบว่า “soft loan แสนล้านง่ายนิดเดียวสำหรับธนาคารปล่อยสินเชื่อเกือบ 4 ล้านล้านบาท”

นอกจากนี้กระทรวงการคลังก็จะมีการเสนอมาตรการค้ำประกันสินเชื่อ หรือ PGS-11 ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) วงเงิน 50,000 ล้านบาท เข้าสู่ที่ประชุม ครม.ในวันพรุ่งนี้ เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น