ThaiPublica > สู่อาเซียน > ASEAN Roundup เวียดนามทุ่ม 1 พันล้านดอลลาร์ฝึกวิศวกรเซมิคอนดักเตอร์ 50,000 คน

ASEAN Roundup เวียดนามทุ่ม 1 พันล้านดอลลาร์ฝึกวิศวกรเซมิคอนดักเตอร์ 50,000 คน

28 เมษายน 2024


ASEAN Roundup ประจำวันที่ 21-27 เมษายน 2567

  • เวียดนามทุ่ม 1 พันล้านดอลลาร์ฝึกวิศวกรเซมิคอนดักเตอร์ 50,000 คน
  • การส่งออกข้าวของเวียดนามจ่อทะลุเป้าปี 2567
  • มูลค่าการค้าเวียดนาม-สิงคโปร์เพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ต้นปี 2567
  • เวียดนามติดผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำรายใหญ่อันดับ 5 ให้สิงคโปร์
  • เวียดนามรั้งซัพพลายเออร์อันดับหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Apple
  • สิงคโปร์ยังคงครองที่หนึ่งเมืองศูนย์กลางทางทะเล Maritime City

    เวียดนามทุ่ม 1 พันล้านดอลลาร์ฝึกวิศวกรเซมิคอนดักเตอร์ 50,000 คน

    ที่มาภาพ: https://tuoitrenews.vn/news/business/20240420/vietnam-to-invest-1bn-in-training-50000-semiconductor-engineers/79462.html

    เวียดนามตั้งเป้าที่จะใช้เงินประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในการฝึกอบรมวิศวกรเซมิคอนดักเตอร์ 50,000 คนภายในปี 2573 ซึ่งการฝึกอบรมนี้เป็นโครงการริเริ่มเชิงยุทธศาสตร์ที่กระทรวงการวางแผนและการลงทุนคาดการณ์ไว้ว่าอาจสร้างรายได้ทางอ้อมประมาณ 15-16 พันล้านดอลลาร์ให้กับเศรษฐกิจ

    หวอ ซวน ฮหว่าย(Vo Xuan Hoai) รองผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมแห่งชาติเวียดนาม (National Innovation Center:NIC) ยืนยันกับหนังสือพิมพ์ Tuoi Tre (Youth) ว่า สถานประกอบการฝึกอบรม มหาวิทยาลัย และสถาบันทั่วประเทศมีความสามารถในการฝึกอบรมวิศวกรเซมิคอนดักเตอร์จำนวน 50,000 คน

    ตามคำสั่งของกระทรวงการวางแผนและการลงทุน NIC ได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างแผนพัฒนาภาคเซมิคอนดักเตอร์จนถึงปี 2030 โดยมีวิสัยทัศน์ถึงปี 2045 และเชื่อมโยงกับพันธมิตรในประเทศและต่างประเทศเพื่อสนับสนุนมหาวิทยาลัยและศูนย์ฝึกอบรมในเวียดนามเพื่อพัฒนา กำลังคนสำหรับภาคส่วนนี้

    ในระหว่างการเยือนสหรัฐอเมริกาของนายกรัฐมนตรีเวียดนาม ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ NIC ได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือกับ Synosys และ Cadence ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ซอฟต์แวร์การออกแบบชิปรายใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยข้อตกลงดังกล่าว NIC สามารถจัดหาซอฟต์แวร์ที่มีลิขสิทธิ์ให้กับมหาวิทยาลัยในท้องถิ่นได้ รองผู้อำนวยการ NIC กล่าว

    NIC ยังได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยรัฐแอริโซนาของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นสถาบันฝึกอบรมวิศวกรเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อพัฒนาโปรแกรมการฝึกอบรมและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา

    NIC ทำงานร่วมกับ Google เพื่อมอบทุนการศึกษาประมาณ 30,000 ทุนแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยทั่วประเทศต่อปี จำนวนทุนการศึกษาจะเพิ่มขึ้นเป็น 40,000 ทุนในปีนี้

    ศูนย์แห่งนี้ยังได้ร่วมมือกับสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา(.S. Agency for International Development) เพื่อฝึกอบรมทรัพยากรมนุษย์สำหรับนวัตกรรมและระบบนิเวศของสตาร์ทอัพ

    NIC ยังได้ร่วมมือกับ Cadence และ FPT ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของเวียดนาม เพื่อเปิดตัวหลักสูตรการฝึกอบรมสำหรับนักเรียน และมอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนที่ออกแบบชิปที่มีความโดดเด่น

    นอกจากนี้ยังได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยแห่งชาติเวียดนาม ในโฮจิมินห์ซิตี้ และมหาวิทยาลัยแห่งชาติเวียดนาม ในฮานอย เพื่อจัดโปรแกรมการฝึกอบรมสำหรับอาจารย์ผู้สอนโดยใช้ซอฟต์แวร์ของ Cadence

    มหาวิทยาลัยและสถานฝึกอบรมในเวียดนามสามารถป้อนวิศวกรที่มีทักษะสูงได้ 50,000 คนจนถึงปี 2573 ฮหวาย ยืนยัน โดยอ้างผลสำรวจของกระทรวงการวางแผนและการลงทุน ด้วยโปรแกรมการฝึกอบรมแบบสั้นที่ดี ก็สามารถฝึกอบรมวิศวกรที่มีคุณภาพสูงขึ้นได้มากขึ้น และในอีกไม่นาน เวียดนามจะยังคงดึงดูดบริษัท FDI ให้เข้ามามีส่วนร่วมในขั้นตอนการบรรจุ การทดสอบ การผลิต และการออกแบบ

    การส่งออกข้าวของเวียดนามจ่อทะลุเป้าปี 2567

    ที่มาภาพ:https://www.mpi.gov.vn/en/Pages/2023-9-14/EVFTA-facilitates-Vietnamese-goods-entry-into-Frenn4agxl.aspx
    เวียดนามสามารถส่งออกข้าวได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 7.6 ล้านตันในปี 2567 ในแง่ปริมาณ เมื่อดูจากข้อมูลที่ออกมาในทางบวกตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ เหงียน หง็อก นัม(Nguyen Ngoc Nam) ประธานสมาคมอาหารเวียดนาม กล่าวในการประชุมในเมืองเกิ่นเทอ เมืองสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง เมื่อวันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา

    นัมกล่าวว่า กระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบท (MARD) คาดการณ์ปริมาณการส่งออกข้าวของประเทศว่าจะมากกว่า 4.3 ล้านตันในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 อย่างไรก็ตาม ในเดือนเมษายนเพียงเดือนเดียว ตัวเลขดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะทำให้ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้สูงถึง 3 ล้านตัน และในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้อาจเกินกว่าที่ MARD คาดการณ์ไว้ได้

    เล แทงห์ ฮวา(Le Thanh Hoa) รองผู้อำนวยการฝ่ายคุณภาพ การแปรรูป และการพัฒนาตลาดของ MARD กล่าวว่า จากปรากฏการณ์เอลนิโญและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผลผลิตข้าวทั่วโลกในการเพาะปลูกปี 2566-2567 คาดว่าจะลดลงเหลือมาที่เกือบ 518 ตัน ขณะที่ความต้องการบริโภคอยู่ที่ 525 ล้านตัน ซึ่งหมายความว่าโลกจะเผชิญกับการขาดแคลนธัญพืชประมาณ 7 ล้านตันในปีนี้

    ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ส่งออกข้าว รวมถึงเวียดนาม ในปีนี้เวียดนามสามารถจัดหาข้าวให้กับโลกได้ 8.13 ล้านตัน ขณะเดียวกันก็ดูแลความมั่นคงทางอาหารภายในประเทศไว้ด้วย

    ปริมาณข้าวเพื่อการส่งออกในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตธัญพืชที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ในปี 2567 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 7.6 ล้านตัน

    อย่างไรก็ตาม ฮวา มองว่าเวียดนามยังคงเผชิญกับความท้าทายมากมายในการส่งออกข้าวในปีนี้ จากการที่พึ่งพาตลาดดั้งเดิมบางแห่ง และไม่ได้มีความพยายามที่เพียงพอในการพัฒนาตลาด

    ฟาน ถิ ห่าง (Phan Thi Hang)รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า ขอให้หน่วยงานและท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสมาคมอาหารเวียดนามร่วมมือกับธุรกิจส่งออกข้าวเพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหารของชาติในทุกสถานการณ์ สร้างเสถียรภาพให้กับตลาดภายในประเทศและส่งเสริมการส่งออกไปพร้อมๆ กัน

    โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการส่งเสริมการประสานงานระหว่างธุรกิจและผู้ปลูกข้าวเพื่อให้มั่นใจถึงอุปทานและคุณภาพข้าวที่มั่นคง ซึ่งเป็นการตอกย้ำเครื่องหมายการค้าของข้าวเวียดนามในตลาดโลก

    นอกจากนี้ยังเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเจรจา และการลงนามข้อตกลงเกี่ยวกับการกักกันพืชและกฎระเบียบทางเทคนิคเกี่ยวกับคุณภาพข้าวเปลือกและข้าว เพื่อสร้างเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยต่อผู้ประกอบการส่งออกข้าวของเวียดนาม

    ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2567 เวียดนามจัดส่งข้าวไปต่างประเทศ 2.18 ล้านตันมูลค่า 1.43 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 17.6% ในด้านปริมาณและมูลค่า 45.5% เนื่องจากราคาที่เพิ่มขึ้น 23.6% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

    เวียดนามติดผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำรายใหญ่อันดับ 5 ให้สิงคโปร์

    ที่มาภาพ: https://en.vietnamplus.vn/vietnam-ranks-fifth-among-aquatic-product-suppliers-for-singapore/285107.vnp

    เวียดนามก้าวกระโดดขึ้นหนึ่งอันดับกลายเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำรายใหญ่อันดับ 5 ไปยังสิงคโปร์เป็นครั้งแรกในไตรมาสแรกของปีนี้ จากการเปิดเผยของสำนักงานการค้าเวียดนามในสิงคโปร์

    การส่งออกสัตว์น้ำของเวียดนามไปยังสิงคโปร์มีมูลค่ามากกว่า 24 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (17.64 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม โดยมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น 8.58%

    สถิติจากหน่วยงานกำกับดูแลองค์กรของสิงคโปร์แสดงให้เห็นว่าในช่วงนั้น สิงคโปร์นำเข้าผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำมูลค่าเกือบ 340 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์จากเกือบ 100 ประเทศและดินแดน ลดลง 5.67% จากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2566 โดยนำเข้ากุ้งเป็นหลัก ปู สัตว์น้ำที่มีเปลือกแข็ง ปลาสด ปลาแช่แข็ง เนื้อปลา ปลาแช่แข็ง และหอย

    ผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำอันดับต้นๆ ไปยังสิงคโปร์ในช่วงเดียวกัน ได้แก่ มาเลเซียโดยมีส่วนแบ่งตลาด 13.6% นอร์เวย์ 11.45% อินโดนีเซีย 11.13% จีน 10.15% เวียดนาม 8.58% และญี่ปุ่น 8.34%

    ที่ปรึกษาเฉา ซวน แทง(Cao Xuan Thang) หัวหน้าสำนักงานการค้าเวียดนามในสิงคโปร์กล่าวว่า สิงคโปร์ได้ขยายและกระจายแหล่งอุปทานอย่างต่อเนื่องเพื่อรับประกันความมั่นคงด้านอาหาร แต่สิ่งนี้ยังได้เพิ่มการแข่งขันระหว่างผู้ส่งออกอาหารทะเลในประเทศด้วย

    นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นยังเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมประมงของประเทศที่ส่งออกไปยังสิงคโปร์ รวมถึงเวียดนาม อะไรก็ตามที่สามารถใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบด้านโลจิสติกส์และลดต้นทุนให้น้อยที่สุด จะมีความได้เปรียบทางการแข่งขันมากขึ้นในการส่งออกไปยังสิงคโปร์

    แทงกล่าวว่าเพื่อรักษา เพิ่มอันดับ ตลอดจนส่วนแบ่งการตลาด และเพิ่มมูลค่าการส่งออกในตลาดนี้ เวียดนามต้องปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์ต่อไป

    ธุรกิจยังต้องศึกษาและใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรีที่เวียดนามเข้าร่วม พร้อมทั้งปรับปรุงกฎระเบียบท้องถิ่นอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในเรื่องมาตรฐานคุณภาพและการติดฉลาก และยังได้รับคำแนะนำให้เข้าร่วมในงานแสดงสินค้า ส่งเสริมแบรนด์และผลิตภัณฑ์ เพิ่มการมองเห็นของสินค้าเวียดนามในตลาดต่างประเทศ ยกระดับความสามารถในการแข่งขัน และรับประกันคุณภาพที่สม่ำเสมอ

    อีกทั้งควรระมัดระวังในการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับพันธมิตร และการส่งมอบสินค้าและการชำระเงิน เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการทำธุรกรรมทางธุรกิจ

    มูลค่าการค้าเวียดนาม-สิงคโปร์เพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ต้นปี 2567

    ที่มาภาพ: https://en.vietnamplus.vn/vietnamsingapore-trade-on-the-rise-since-start-of-2024/285080.vnp

    การค้าระหว่างเวียดนามและสิงคโปร์ มีมูลค่าสูงถึง 2.54 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (1.87 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในเดือนมีนาคม เพิ่มขึ้น 4.29% เมื่อเทียบเป็นรายปี จากข้อมูลของสำนักงานการค้าเวียดนามในสิงคโปร์

    การส่งออกของเวียดนามไปยังสิงคโปร์เมื่อเดือนที่แล้วเพิ่มขึ้น 7.69% เป็น 603.3 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ในขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้น 3.27% เป็นมากกว่า 1.93 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์

    ในไตรมาสแรก การค้าทวิภาคีมีมูลค่าทะลุ 7.71 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 4.21% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เวียดนามมีการส่งออกมายังสิงคโปร์มากกว่า 1.83 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 15.22%และมีการนำเข้าจากสิงคโปร์เกือบ 5.89 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 1.2% ด้วยเหตุนี้ เวียดนามยังคงเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับที่ 10 ของสิงคโปร์ สำนักงานการค้ากล่าว

    ในบรรดาการส่งออกที่สำคัญ 3 กลุ่มของเวียดนาม มีเพียงเครื่องจักรและอุปกรณ์ โทรศัพท์มือถือและส่วนประกอบ และชิ้นส่วนอะไหล่ที่มีการเติบโตในอัตรา 25.14% ส่วนที่เหลืออีก 2 กลุ่มมีรายได้ลดลง ได้แก่ เครื่องปฏิกรณ์ หม้อไอน้ำ เครื่องมือกล และชิ้นส่วนอะไหล่ของเครื่องจักรเหล่านั้น (ลดลง 8.25%) เช่นเดียวกับน้ำมันเบนซิน น้ำมัน และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (ลดลง 18.79%)

    สินค้าโภคภัณฑ์บางรายการการส่งออกพุ่งสูงขึ้น เช่น น้ำมันและไขมันจากสัตว์และพืช (เพิ่มขึ้นเกือบ 500 เท่า) ข้าวและธัญพืช (เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า) และเหล็ก (เพิ่มขึ้นมากกว่า 1.8 เท่า) ส่วนอื่นๆ การขนส่งไปยังสิงคโปร์ลดลง ทั้งเกลือ กำมะถัน ดินและหิน ปูนปลาสเตอร์ ปูนขาวและซีเมนต์ (ลดลง 33.64%) รวมถึงไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ (ลดลง 35.65%)

    ในส่วนของการนำเข้าจากสิงคโปร์ สินค้าโภคภัณฑ์ 12 กลุ่มจาก 21 กลุ่มมีการนำเข้าลดลง ซึ่งรวมถึงเครื่องปฏิกรณ์ หม้อต้ม เครื่องมือกล และอะไหล่ของเครื่องจักรเหล่านั้น (ลดลง 46%)

    มูลค่าการนำเข้าเครื่องจักร อุปกรณ์ โทรศัพท์มือถือ ส่วนประกอบ และอะไหล่ของสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 4.84% ในขณะที่น้ำมันเบนซิน น้ำมัน และปิโตรเลียม เพิ่มขึ้น 46.72% การนำเข้าอื่นๆ ยังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น สังกะสีและผลิตภัณฑ์สังกะสี (เพิ่มขึ้น 4.18 เท่า) และไข่มุก อัญมณี และเครื่องประดับ (เพิ่มขึ้น 16 เท่า)

    เวียดนามรั้งซัพพลายเออร์อันดับหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Apple

    ที่มาภาพ: https://en.vietnamplus.vn/prime-minister-receives-apple-ceo/284623.vnp

    บริษัท Apple ของสหรัฐฯ มีจำนวนซัพพลายเออร์ในเวียดนามมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปีที่แล้ว และสูงเป็นอันดับสี่ทั่วโลก

    จากรายชื่อซัพพลายเออร์ที่ Apple ประกาศเมื่อเร็วๆ นี้ ว่าในรอบปีบัญชี 2566 ซึ่งสิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายน 2566 เวียดนามมีซัพพลายเออร์ของ Apple 35 ราย

    ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Apple มีซัพพลายเออร์ที่ไทย 24 ราย มาเลเซีย 19 ราย และฟิลิปปินส์ 17 ราย ตามหลังเวียดนาม ในระดับโลกเวียดนามเป็นรองจีน ที่มีจำนวนซัพพลายเออร์ 158 ราย ไต้หวันมี 49 ราย และญี่ปุ่นมี 44 ราย

    ช่วงปี 2016-2023 เวียดนามมีซัพพลายเออร์เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งที่สุดจากการเข้ามาของ Foxconn, Luxshare และอื่นๆ

    โรงงานในเวียดนามผลิตชิ้นส่วนสำหรับ AirPods, iPad และ Apple Watch ของ Apple

    นักวิเคราะห์คาดว่าเวียดนามจะมีสัดส่วนในการซัพพลาย 65% ของในกลุ่ม Airpods ใน iPad ราว 20% และ Apple Watch และ 5% ของ Macbook ภายในปี 2568

    ทิม คุก ซีอีโอของ Apple เดินทางเยือนเวียดนามและพบกับนายกรัฐมนตรีเวียดนามเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

    บริษัทกล่าวว่าจะซื้อชิ้นส่วนเพิ่มเติมที่ผลิตโดยซัพพลายเออร์ในเวียดนาม และสัญญาว่าจะสนับสนุนการผลักดันด้านนวัตกรรมของประเทศ

    จีนยังคงอยู่ในอันดับต้นๆ ของห่วงโซ่อุปทานของ Apple โดยคิดเป็น 42% ของการผลิตทั้งหมด

    สิงคโปร์ยังคงครองที่หนึ่งเมืองศูนย์กลางทางทะเล Maritime City

    ที่มาภาพ: https://www.businesstimes.com.sg/companies-markets/transport-logistics/s-15-million-addition-to-maritime-cluster-fund-among-moves-to-improve-sector-s-sustainability

    จากรายงาน DNV Leading Maritime Cities ฉบับล่าสุดที่ได้เผยแพร่แล้ว รายงานว่า การจัดอันดับเมืองศูนย์กลางทางทะเลจะพิจารณาจากองค์ประกอบ 5 ด้านได้แก่ ศูนย์การขนส่ง การเงินและกฎหมาย เทคโนโลยี ท่าเรือและโลจิสติกส์ และความน่าสนใจและความสามารถในการแข่งขัน หมวดหมู่ต่างๆ ได้รับการประเมินผ่านตัวบ่งชี้ที่แตกต่างกัน 45 ตัว (ปีนี้นับเป็นปีแรกที่การจัดอันดับรวมปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนผ่านสีเขียว) โดยผู้เชี่ยวชาญ 190 คนมีส่วนร่วมในการประเมิน โดยกระจายอย่างเท่าเทียมกันในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์หลักของการขนส่ง

    สิงคโปร์ได้รับการจัดอันดับสูงสุดใน 3 ด้าน ได้แก่ ความน่าสนใจ ท่าเรือและศูนย์การขนส่ง และติด 5 อันดับแรกในด้านเทคโนโลยีและการเงิน ส่วนด้านการวัดเทคโนโลยี “สีเขียว” ยังครองอันดับหนึ่งอีกด้วย เมื่อนำมารวมกัน ปัจจัยเหล่านี้ก็มากพอแล้วที่จะทำให้สิงคโปร์อยู่ในอันดับต้น ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าความสำเร็จของสิงคโปร์ มาจากการพิจารณานโยบายของรัฐบาลอย่างรอบคอบเพื่อสนับสนุนและขยายภาคการเดินเรือ รวมไปถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องของธุรกิจในสิงคโปร์ในการพัฒนาขีดความสามารถและปรับปรุงให้ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง ภูมิศาสตร์ที่เปลี่ยนไปของกิจกรรมการขนส่งก็มีส่วนหนุนเช่นกัน

    “ศูนย์กลางการค้าระหว่างประเทศกำลังค่อยๆ เคลื่อนไปทางตะวันออกหรือเอเชีย โดยมีเจ้าของเรือจำนวนมากขึ้นจากภูมิภาคนี้ การเปลี่ยนแปลงนี้สามารถยกระดับเมืองทางทะเลในเอเชียเช่นเซี่ยงไฮ้และสิงคโปร์ได้” ผู้เข้าร่วมในการศึกษาคนหนึ่งจากเซี่ยงไฮ้กล่าว

    ส่วนอันดับสูงสุดทั้ง 4 อันดับยังคงเหมือนกับรายงานครั้งล่าสุด โดยมีรอตเตอร์ดัม ลอนดอน และเซี่ยงไฮ้ ตามหลัง สิงคโปร์ แต่ใน 10 อันดับแรกมีการขยับกันมากขึ้น ออสโล นิวยอร์ก ฮัมบวร์ก และโคเปนเฮเกนขยับอันดับขึ้น และปูซานขยับไปอยู่อันดับที่ 10 เป็นครั้งแรก อันดับของฮ่องกงลดลงอย่างเห็นได้ชัด จากอันดับ 4 ในปี 2562 มาเป็นอันดับที่ 6 ในปี 2565 และอันดับที่ 12 ในปีนี้

    ศูนย์กลางขนาดใหญ่ของตะวันออกกลางเลื่อนอันดับสูงขึ้น อาบูดาบีปรับขึ้นอย่างโดดเด่นโดยกระโดดจากอันดับที่ 32 มาอยู่อันดับที่ 22 “นี่เป็นผลมาจากนโยบายสาธารณะเชิงยุทธศาสตร์และการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ทำให้เมืองนี้เป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้มีความสามารถและบริษัทต่างๆ” DNVระบุ ผู้เข้าร่วมการศึกษาอีกรายคาดการณ์ว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างดูไบน่าจะก้าวเข้าสู่ 5 อันดับแรกในอีกไม่กี่ปี

    เอเธนส์ยังคงอันดับที่ 2 ในรายชื่อศูนย์ขนส่งหลัก ซึ่งสะท้อนถึงการกระจุกตัวของเจ้าของเรือและผู้ดำเนินการในระดับสูง และอยู่ในอันดับที่ 35 โดยรวม ปัจจุบันมีกองเรือที่ใหญ่ที่สุดและมีมูลค่ามากที่สุดในบรรดาเมืองทางทะเล และกองเรือดังกล่าวยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง “อย่างไรก็ตาม ยังคงเป็นที่รับรู้ว่าเอเธนส์ให้บริการแก่บริษัทขนส่งในท้องถิ่นของกรีกเป็นหลัก มากกว่าบริษัทขนส่งระหว่างประเทศ” DNV ระบุ “ด้วยเหตุนี้ ผู้เชี่ยวชาญจึงหันไปเชื่อมั่นในศูนย์ขนส่งที่โดดเด่นอื่นๆ โดยเฉพาะสิงคโปร์และดูไบ เมืองเหล่านี้จึงกลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับกิจกรรมการขนส่งทั่วโลก”