ASEAN Roundup ประจำวันที่ 11-17 กุมภาพันธ์ 2567
อินโดนีเซียเตรียมให้สิทธิประโยชน์จูงใจนักลงทุนสร้างโรงงาน EV
รัฐบาลอินโดนีเซียได้เตรียมสิทธิประโยชน์จูงใจให้แก่ผู้เล่นในภาคธุรกิจที่ต้องการลงทุนเพื่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicles:EV) ในอินโดนีเซีย นาย อกุส กูมิวาง คาร์ตาซัสมิตา(Agus Gumiwang Kartasasmita) รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าว“เราได้เตรียมสิ่งจูงใจเพื่อให้ความสามารถในการแข่งขันของอินโดนีเซียทัดเทียมกับประเทศไทย” รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวหลังจากเข้าร่วมงาน Indonesia International Motor Show 2024 ที่กรุงจาการ์ตาเมื่อวันพฤหัสบดี
นายคาร์ตาซัสมิตาให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันอินโดนีเซียเป็นที่ตั้งของโรงงาน EV ของบริษัทยานยนต์ต่างประเทศ 4 แห่ง อย่างไรก็ตามถือว่ากำลังการผลิตของโรงงานค่อนข้างต่ำ
“อินโดนีเซียมีโรงงาน 4 แห่ง ซึ่งแต่ละแห่งเป็นเจ้าของโดย Wuling, DFSK, Hyundai และ Chery ผมคิดว่ากำลังการผลิตยังอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากโรงงานเหล่านี้สามารถผลิต EV ได้ต่ำกว่า 100,000 คันต่อปีเท่านั้น” นายคาร์ตาซัสมิตากล่าว
รัฐมนตรีชี้ว่า การมีโรงงาน EV เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้อินโดนีเซียบรรลุเป้าหมายในการรองรับตลาดของยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและแข่งขันได้ในระดับนานาชาติ
กระทรวงอุตสาหกรรมจะเสนอสิทธิประโยชน์จูงใจในขณะที่ยังคงใช้การจูงใจด้วยสิทธิภาษี EV ต่อไป แต่ไม่ทิ้งความพยายามที่จะบรรลุเป้าหมายด้านส่วนประกอบในประเทศ
“เราจะดำเนินโครงการต่อไปในขณะที่ยังคงติดตามเป้าหมายด้านส่วนประกอบในประเทศ อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เราจะมุ่งเน้นไปที่ส่วนประกอบในประเทศของแบตเตอรี่สำหรับการใช้งานหนักมากขึ้น” นายคาร์ตาซัสมิตากล่าว
กระทรวงอุตสาหกรรมได้ตั้งเป้าหมายการขายรถยนต์ไฟฟ้า โดยคาดว่าจะขายได้ 400,000 คัน และ 600,000 คันภายในปี 2568 และ 2573 ตามลำดับ
ด้วยกฎกระทรวงการลงทุนฉบับที่ 6 ปี 2023 รัฐบาลอินโดนีเซียเสนอการยกเว้นอากรนำเข้าและภาษีการขายสำหรับสินค้าฟุ่มเฟือยที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าในปริมาณที่กำหนด กฎระเบียบดังกล่าวมุ่งเป้าไปที่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ยินดีพัฒนาธุรกิจของตนเองในอินโดนีเซีย
ประธานาธิบดีโจโกวีย้ำรถยนต์ไฟฟ้าคืออนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์อินโดนีเซีย
ประธานาธิบดีโจโค วิโดโด หรือโจโกวี เน้นย้ำว่า รถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า คืออนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ของอินโดนีเซีย
ประธานาธิบดีโจโกวีกล่าวกับผู้สื่อข่าวหลังเป็นประธานเปิดงาน Indonesia International Motor Show (IIMS) ประจำปี 2024 ที่จาการ์ตา ในวันพฤหัสบดี (15 ก.พ.)
“ผมเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีการนำรถยนต์ไฟฟ้าจำนวนมากมาโชว์ และผมคิดว่าอนาคตของยานยนต์อินโดนีเซียนั้นอยู่ที่รถยนต์ไฟฟ้าอย่างแน่นอน เพราะเรามีนิกเกิลและวัตถุดิบอื่นๆ” ประธานาธิบดีกล่าว
ในส่วนของการสนับสนุนการพัฒนาระบบนิเวศของยานยนต์ไฟฟ้า ประธานาธิบดีกล่าวว่า รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการลดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับผลิตภัณฑ์ยานยนต์ไฟฟ้า ก่อนหน้านี้ในปี 2566 รัฐบาลยังได้จัดเตรียมสิทธิประโยชน์จูงใจเพื่อส่งเสริมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า
“ในขณะที่ยังไม่มี [แรงจูงใจเพิ่มเติมใดๆ] แต่เรากำลังผลักดันให้มีการลดภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่แล้ว ผมคิดว่าสิ่งนี้จะช่วยกระตุ้นยอดขายและจะผลักดันโรงงานรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในอินโดนีเซียให้ผลิตมากขึ้นในที่สุด ผมคิดว่าเรากำลังก้าวไปสู่ทิศทางดังกล่าวเพื่อให้สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ได้หากเราประสบความสำเร็จในการจัดหาส่วนประกอบในประเทศและแบตเตอรี่ทั้งหมด เราจะเห็นว่าจากนี้ไปเราจะสามารถแข่งขันกับประเทศอื่นได้เช่นกัน” ประธานาธิบดีกล่าว
ประธานาธิบดีกล่าวย้ำปิดท้ายด้วยว่า รัฐบาลยังคงสนับสนุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อการขนส่งสาธารณะต่อไป
“เราผลักดันผู้ผลิต EV ทุกรายโดยมีเป้าหมายให้ทุกคนผลิตผลิตภัณฑ์ของตนในอินโดนีเซีย ผู้ผลิต EV ทุกแบรนด์จะผลิตผลิตภัณฑ์ของตนในอินโดนีเซีย เนื่องจากเรามีข้อได้เปรียบในฐานะผู้ผลิตแบตเตอรี่ EV หลัก” เขากล่าว
VinFast ลงนาม LoI กับตัวแทนจำหน่ายรุกตลาดอินโดนีเซีย
VinFast ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของเวียดนามลงนามใน หนังสือแสดงเจตจำนงกับตัวแทนจำหน่าย 5 รายแรกในอินโดนีเซียเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ภายในงาน Indonesia International Motor Show (IIMS) ที่บริษัทเข้าร่วม
การลงนามครั้งนี้ถือเป็นความก้าวหน้าอีกก้าวหนึ่งในแผนงานของ VinFast ที่จะขยายเครือข่ายการจัดจำหน่ายในอินโดนีเซีย ตลอดจนเสริมสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์และความสามารถในการแข่งขันในตลาด EV ทั่วโลก
ตัวแทนจำหน่ายทั้ง 5 ราย ได้แก่ BAM, GNA และ GSU ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในกรุงจาการ์ตา MCA ตั้งอยู่ในเมดานและ Majesty ในบาตัม ซึ่งจะจำหน่ายรุ่น VF 5, VF e34, VF6 และ VF7 ทันทีหลังจากเปิดตัวในตลาดอินโดนีเซีย
รายละเอียดราคาและการขาย รวมถึงเวลาสั่งซื้อและนโยบายหลังการขายจะประกาศในช่วงครึ่งแรกของปีนี้
เจิ่น กว็อก ฮุย(Tran Quoc Huy) ซีอีโอของ VinFast อินโดนีเซีย กล่าวว่า VinFast รู้สึกภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับตัวแทนจำหน่ายชั้นนำในอินโดนีเซีย เพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกที่หลากหลายสำหรับโซลูชั่นการขนส่งที่ชาญฉลาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ความร่วมมือดังกล่าวไม่เพียงแต่จะวางรากฐานการพัฒนาที่แข็งแกร่งสำหรับ VinFast และพันธมิตรเท่านั้น แต่ยังเป็นการปลดปล่อยศักยภาพอันไร้ขอบเขตของภาคการขนส่งสีเขียวในท้องถิ่นและภูมิภาคโดยรวม
ฮาร์โตโน คูร์นิอาวาน ผู้บริหาร BAM กล่าวว่า เขาคาดหวังว่าความร่วมมือเชิงกลยุทธ์จะทำให้ตลาดอินโดนีเซียมีรถยนต์มาตรฐานสากลมากขึ้น ด้วยการออกแบบที่ทันสมัย ราคาที่แข่งขันได้ และนโยบายหลังการขายที่ดี ซึ่งจะช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในท้องถิ่น
VinFast ตั้งเป้าขยายการจำหน่าย EV ในเมืองใหญ่ๆ ทั่วอินโดนีเซียในปี 2024 ความเคลื่อนไหวดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ VinFast ที่จะกลายเป็นแบรนด์ EV ยอดนิยมของผู้บริโภคอินโดนีเซียอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ระดับโลก รวมถึงเป้าหมายในการส่งเสริมการปฏิวัติการขนส่งที่ปล่อยก๊าซเป็นศูนย์เพื่ออนาคตสีเขียวสำหรับทุกคน
บริษัทจะสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศอินโดนีเซีย โดยคาดว่าจะมีกำลังการผลิต 50,000 คันต่อปี
โรงงานที่วางแผนไว้นี้คาดว่าจะสร้างงานได้หลายพันตำแหน่ง และมีส่วนช่วยในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศที่แข็งแกร่ง เมื่อดำเนินการแล้ว โรงงานแห่งนี้จะเป็นจุดเชื่อมโยงหลักในห่วงโซ่อุปทานยานยนต์ไฟฟ้าระดับโลกของ VinFast
เวียดนามแก้ไขกฎหมายที่ดินให้ทันสมัย
ในการประชุมสมัยวิสามัญครั้งที่ 5 เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2567 สมัชชาแห่งชาติชุดที่ 15 ได้ให้สัตยาบันอย่างเป็นทางการต่อกฎหมายที่ดินของเวียดนามฉบับแก้ไข พ.ศ. 2567
กฎหมายที่ดินฉบับแก้ไขประกอบด้วย 16 บทและ 260 มาตรา โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับการถือครองที่ดิน การเป็นตัวแทนของรัฐในการเป็นเจ้าของที่ดินโดยรวม การจัดการที่ดินแบบครบวงจร และสิทธิและหน้าที่ของพลเมืองและผู้ใช้ที่ดินทั่วอาณาเขตของประเทศ
กฎหมายที่ดินฉบับแก้ไขของเวียดนามปี 2567 นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการประเมินราคาที่ดิน การชำระค่าเช่า เงื่อนไขการใช้ที่ดิน และกลไกการระงับข้อพิพาทในประเทศ กฎหมายฉบับแก้ไขมีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืนในประเทศ โดยมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงแนวทางการจัดการที่ดินให้ทันสมัยและส่งเสริมความเป็นธรรม
กฎหมายที่ดินของเวียดนามปี 2567 จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2568 แทนกฎหมายที่ดินฉบับปี 2556 ที่เรียกกันว่ากฎหมายที่ดินฉบับที่ 45/2556/QH13 อย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นสำหรับการเปลี่ยนผ่านนี้ ซึ่งรวมถึงข้อกำหนดต่อไปนี้
-
มาตรา 190 กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการบุกรุกทางทะเล ซึ่งจะมีผลใช้บังคับในเดือนเมษายน 2567
มาตรา 248 กฎระเบียบที่แก้ไขมาตราต่างๆ ของกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ ซึ่งคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในเดือนเมษายน 2567 เช่นกัน
มาตรา 60.9 กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดและการอนุมัติการวางแผนการใช้ที่ดิน ซึ่งจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่มติที่ 61/2565/QH15 ได้รับการรับรองโดยสมัชชาแห่งชาติเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2565
กฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมได้รับการสนับสนุนอย่างมากสมัชชาแห่งชาติ โดยมีผู้แทน 432 คนจาก 477 คนลงคะแนนเห็นชอบ คิดเป็น87.63% ของผู้แทนทั้งหมด นายวู ฮอง แทงห์ ประธานคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ สมัชาแห่งชาติ ตระหนักถึงผลกระทบที่หลากหลายต่อภาคส่วนและชุมชน โดยได้เน้นย้ำถึงความสำคัญและความซับซ้อนของกฎหมายในระหว่างขั้นตอนการพิจารณา ตลอดระยะเวลาของการออกกฎหมาย ร่างแก้ไขที่เสนอได้รับการตรวจสอบในการประชุมสมัชชาแห่งชาติ 4 ครั้ง การประชุมผู้แทนเต็มเวลา 42ครั้ง และการประชุมอย่างเป็นทางการ 8 ครั้งของคณะกรรมาธิกาประจำ ที่สำคัญ กระบวนการนี้เกี่ยวข้องกับข้อมูลเชิงลึกที่แตกต่างกันจากหน่วยงาน องค์กร ผู้เชี่ยวชาญ นักวิทยาศาสตร์ และความคิดเห็นที่มีประโยชน์จากสาธารณชนกว่า 12 ล้านความคิดเห็น ตอกย้ำถึงวิธีการการทำงานร่วมกันของกรอบกฎหมาย
กฎหมายที่ดินฉบับแก้ไขทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญต่อกลไกการประเมินมูลค่าและราคาที่ดินในเวียดนาม ซึ่งต่างไปจากกรอบเดิม โดยยกเลิกการประกาศราคาที่ดินเป็นระยะๆ ซึ่งยากที่จะตามทันกับมูลค่าตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของที่ดินเมื่อเวลาผ่านไป แต่กฎหมายใหม่กลับกำหนดรายการราคาที่ดินประจำปีเพื่อให้ราคาที่ดินสอดคล้องกับสภาวะตลาดในปัจจุบันได้ดีขึ้น คณะกรรมการประชาชนประจำจังหวัดจะรับผิดชอบในการเสนอให้มีการปรับปรุงรายการนี้เป็นประจำทุกปี ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าการประเมินมูลค่าจะสะท้อนถึงแนวโน้มของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างแม่นยำ
นอกจากนี้ กฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมยังได้ปรับปรุงวิธีการประเมินราคาที่ดินตามที่ระบุไว้ใน พระราชกฤษฎีกาฉบับ 44/2557/ND-CP แม้ฉบับก่อนหน้านี้เสนอวิธีการประเมินมูลค่า 5 วิธี ซึ่งรวมถึงการเปรียบเทียบโดยตรงและตามรายได้ กฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมได้ยกเลิกวิธีการหักออก และให้แนวทางที่ครอบคลุมสำหรับการใช้อีก 4 วิธีที่เหลือ กฎหมายฉบับแก้ไขมีการระบุสถานการณ์ที่จะใช้วิธีการแต่ละวิธี เพื่อมีความโปร่งใสมากขึ้นและมีความสม่ำเสมอในการประเมินราคาที่ดินทั่วประเทศ
การแก้ไขเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามร่วมกันในการปรับปรุงกระบวนการประเมินราคาที่ดินให้ทันสมัย โดยมีเป้าหมายสูงสุดเพื่อให้แน่ใจว่าราคาจะสะท้อนถึงพลวัตของตลาดได้แม่นยำยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมความเป็นธรรมและประสิทธิภาพในการทำธุรกรรมที่ดิน
ภายใต้กฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติม มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเกี่ยวกับการชำระค่าเช่าที่ดิน ก่อนหน้านี้ กฎหมายขาดข้อกำหนดที่ชัดเจนสำหรับผู้เช่าที่ดินในการเปลี่ยนจากการชำระครั้งเดียวเป็นการชำระรายปี อย่างไรก็ตาม มาตรา 30.2 อนุญาตให้องค์กรทางเศรษฐกิจ บุคคล ชาวเวียดนามที่เป็นพนักงานของบริษัทต่างชาติ และองค์กรทางเศรษฐกิจที่มีเงินลงทุนจากต่างประเทศ สามารถเลือกชำระค่าเช่าที่ดินรายปีได้
การปรับเปลี่ยนการจ่ายค่าเช่าให้มีความยืดหยุ่นนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อรองรับความต้องการของผู้ใช้ที่ดิน แต่ยังมีคำถามเกิดขึ้นเกี่ยวกับการคืนเงินค่าเช่าที่ดินแบบครั้งเดียวเมื่อเปลี่ยนไปใช้การชำระเงินรายปี กฎหมายระบุว่า “ค่าเช่าที่ดินที่ชำระแล้วจะถูกหักออกจากค่าเช่าที่ดินรายปีที่ต้องชำระ” โดยเสนอว่าค่าเช่าที่ดินที่จ่ายแล้วยังคงอยู่กับรัฐ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกระแสเงินสดขององค์กร
กฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมอนุญาตให้ชำระเงินค่าเช่าที่ดินล่วงหน้าในสถานการณ์ต่อไปนี้
-
1)ที่ดินที่กำหนดสำหรับโครงการเกษตรกรรม ป่าไม้ การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และการผลิตเกลือ
2)ที่ดินที่จัดสรรให้กับนิคมอุตสาหกรรม นิคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ที่พักคนงาน และวัตถุประสงค์สาธารณะหรือเชิงพาณิชย์ เช่น กิจกรรมการท่องเที่ยวและสำนักงาน และ
3)ที่ดินที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างที่อยู่อาศัยให้เช่าตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
สำหรับผู้ใช้ที่ดินปัจจุบันที่ชำระค่าเช่าล่วงหน้าหรือค่าเช่ารายปีก่อนที่กฎหมายใหม่จะมีผลบังคับใช้ สามารถดำเนินการด้วยวิธีการชำระเงินที่เลือกใช้สำหรับระยะเวลาการเช่าที่เหลืออยู่ อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นดังนี้
-
1)ผู้เช่าที่ดินเป็นรายปีแต่มีสิทธิ์ที่จะชำระเงินล่วงหน้า สามารถเปลี่ยนไปใช้การชำระเงินล่วงหน้าสำหรับระยะเวลาที่เหลือได้ โดยจะมีการคำนวณค่าธรรมเนียมใหม่
2)ผู้ใช้ที่เช่าที่ดินล่วงหน้าตลอดระยะเวลาอาจเลือกชำระเงินรายปี โดยค่าธรรมเนียมที่ชำระก่อนหน้านี้จะถูกหักออกจากค่าเช่ารายปี
กฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมยังได้ปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับเงื่อนไขการใช้ที่ดินสำหรับโครงการบ้านจัดสรร แม้กฎหมายฉบับก่อนหน้าจะอนุญาตให้ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยที่มาพร้อมกับสิทธิการใช้ที่ดินสามารถใช้ที่ดินที่มีความมั่นคงในระยะยาวได้ แต่ฉบับปี 2567 ได้ยกเลิกข้อกำหนดนี้
นอกจากนี้ มาตรา 148.6 ยังกำหนดให้มีการออกใบรับรองสิทธิการใช้ที่ดินและกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่มาพร้อมกับที่ดินสำหรับอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย ซึ่งแสดงถึงความเป็นไปได้ที่ผู้ซื้อจะมีสิทธิการใช้ที่ดินในโครงการบ้านจัดสรรที่มั่นคงในระยะยาว
กฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมกำหนดข้อจำกัดเกี่ยวกับกองทุนที่ดินสำหรับโครงการบ้านจัดสรรเชิงพาณิชย์ ผู้ลงทุนสามารถรับสิทธิการใช้ที่ดินผ่านการคืนที่ดินของรัฐ หรือข้อตกลงการรับโอนสิทธิการใช้ที่ดินจากผู้ใช้ที่ดินรายอื่น
ที่น่าสังเกตคือ มาตรา 79 ได้ขยายขอบเขตกรณีการเรียกคืนที่ดิน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อโครงการบ้านจัดสรรเชิงพาณิชย์ขนาดเล็กที่ไม่ตรงตามเกณฑ์เฉพาะ นอกจากนี้ ข้อกำหนดสำหรับการวางแผนโดยละเอียดและเงื่อนไขอื่นๆ ในการประมูลสิทธิการใช้ที่ดินยังทำให้กระบวนการมีความซับซ้อนมากขึ้น
มาตรา 235.1 และ 236.5 เหี่ยวข้องกับการไกล่เกลี่ยทางการค้าและอนุญาโตตุลาการเชิงพาณิชย์ เป็นวิธีที่เพิ่มเข้ามา สำหรับการแก้ไขข้อพิพาทเรื่องที่ดิน ซึ่งช่วยให้องค์กรมีทางเลือกมากขึ้นในการจัดการกับข้อพิพาทที่เกิดจากกิจกรรมเชิงพาณิชย์ที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน ซึ่งสอดคล้องกับกรอบทางกฎหมายสำหรับอนุญาโตตุลาการเชิงพาณิชย์และการไกล่เกลี่ย
ลาวตั้งเป้าหลุดสถานะประเทศพัฒนาน้อยที่สุดภายในปี 2569
รัฐบาลลาวให้คำมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) และนำประเทศออกจากสถานะประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (Least Develop Country:LDC) ภายในปี 2569 โดยมุ่งเน้นที่การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การควบคุมเศรษฐกิจ และการลดความยากจนนายคำเจน วงโพสี รัฐมนตรีกระทรวงการวางแผนและการลงทุนของลาว ให้คำมั่นเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ในระหว่างการแถลงข่าวภายหลังการประชุมเสวนาโต๊ะกลมปี 2566 โดยมุ่งเน้นที่การเร่งดำเนินการตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี ฉบับที่ 9
แผน 5 ปีมุ่งเน้นไปที่การเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับทรัพยากรมนุษย์ ด้วยคุณภาพของระบบการศึกษาที่ดีขึ้นตั้งแต่วัยเด็ก ให้ความสำคัญกับการพัฒนาสีเขียว ส่งเสริมภาคการผลิต เช่น พืชผล ปศุสัตว์ ป่าไม้ และการประมง และปรับปรุงมาตรฐานการครองชีพ แผนดังกล่าวยังเตรียมความพร้อมสำหรับการหลุดพ้นจากสถานะประเทศพัฒนาน้อยที่สุดของลาวอีกด้วย
รัฐบาลลาวยังเดินหน้าลดความแตกต่างระหว่างการพัฒนาเมืองและชนบท ขจัดความรุนแรงต่อสตรีและเด็ก ลดความยากจน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจในประเทศโดยการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ
เพื่อสนับสนุนความคิดริเริ่มเหล่านี้ รัฐบาลจะใช้กลยุทธ์ทางการเงินที่เหมาะสมและเสริมสร้างการดำเนินงานป้องกันและควบคุมภัยพิบัติ ซึ่งรวมถึงการปรับปรุงระบบเตือนภัยล่วงหน้า การศึกษาความเสี่ยง และการสนับสนุนชุมชนที่มีความเสี่ยงสูงเพื่อเพิ่มการเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์สภาพอากาศที่รุนแรง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคำเจนยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือ โดยระบุว่ากระทรวงการวางแผนและการลงทุนจะประสานงานกับหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อติดตามแนวทางที่แนะนำเพื่อให้การดำเนินงานประสบความสำเร็จ แนวทางการทำงานร่วมกันนี้เป็นสิ่งสำคัญในการบรรลุเป้าหมาย SDGs และพ้นจากสถานะ LDC
แม้ปัจจัยต่างๆ เช่น การตกต่ำของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อที่สูงมีแนวโน้มลดลงในประเทศ รัฐบาลลาวยังคงดำเนินการตามแผนเศรษฐกิจและสังคมระยะ 5 ปี ฉบับที่ 9 ต่อไป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายที่กว้างขึ้นในการบรรลุเป้าหมาย SDGs และพ้นจากสถานะ LDC
รัฐบาลลาวไฟเขียวโครงการพลังงานลม 1,200 MW ใหญ่สุด
เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ในนครหลวงเวียงจันทน์รัฐบาลลาวได้ลงนามในข้อตกลงพัฒนาโครงการ (Project Development Agreement:PDA) กับ Savan Vayu Renewable Energy Co., Ltd.(SVARE ) ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมพลังงานทดแทนขนาดใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โครงการนี้เป็นโครงการพลังงานลมขนาด 1,200 เมกะวัตต์ ในพื้นที่อำเภอเซปอน จังหวัดสะหวันนะเขต ถือเป็นการพัฒนาพลังงานลมที่ใหญ่ที่สุดในลาวในปัจจุบัน และคาดว่าจะผลิตไฟฟ้าได้เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ ตลอดจนมีส่วนสนับสนุนความมั่นคงด้านพลังงานของภูมิภาค .
ข้อตกลงสำคัญนี้สอดคล้องกับบันทึกความเข้าใจ (MOU) ที่มีอยู่เกี่ยวกับความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างลาวและเวียดนามที่ลงนามในปี 2559 และข้อตกลงความร่วมมือด้านพลังงานที่ลงนามในปี 2562 โครงการนี้มีศักยภาพในการส่งออกไฟฟ้าส่วนเกินไปยังเวียดนาม
โครงการนี้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จครั้งสำคัญในการเดินหน้าของลาวสู่พลังงานสะอาดและการพัฒนาที่ยั่งยืน มาตรการนี้จะไม่เพียงแต่สนับสนุนความต้องการพลังงานภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างสถานะของลาวในฐานะผู้ส่งออกพลังงานที่เชื่อถือได้ในภูมิภาค โดยเฉพาะไปยังเวียดนาม ซึ่งมีส่วนช่วยในการสร้างความมั่นคงและความร่วมมือด้านพลังงานในระดับภูมิภาค
SVARE ได้ศึกษาความเป็นไปได้ในวงกว้างในเขตเซปอน ประเทศลาว โดยพบว่าศักยภาพของทรัพยากรลมอยู่ในระดับสูง ด้วยกำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,200 เมกะวัตต์ โครงการนี้ต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จะสร้างพลังงานสะอาดและมีส่วนช่วยในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในระดับภูมิภาค สร้างโอกาสในการทำงานที่สำคัญตลอดทั้งการก่อสร้างและการดำเนินงาน
ฟาร์มกังหันลมนี้คาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ภายในต้นปี 2569 ซึ่งจะช่วยส่งเสริมกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนของลาวอย่างมีนัยสำคัญ และสนับสนุนเป้าหมายในการบรรลุเป้าหมายพลังงานหมุนเวียนภายในปี 2573
อาเซียนเดินหน้าสู่ความมั่นคงด้านพลังงาน
หน่วยงานด้านพลังงานของอาเซียนได้ร่วมดำเนินการร่วมกันเพื่อให้บรรลุความมั่นคงด้านพลังงานในระบบโครงข่ายไฟฟ้าระดับภูมิภาค โดยเรื่องนี้และเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาพลังงานจะถูกนำมาหารือในการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียนครั้งที่ 43(43rd Asean Ministers on Energy meeting) ที่ประเทศลาวการประชุมพิเศษเจ้าหน้าที่อาวุโสพลังงานอาเซียนซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ที่หลวงพระบาง ประเทศลาว รายงานการดำเนินงานที่ได้ดำเนินการในปี 2566 และสรุปงานที่วางแผนไว้สำหรับปีนี้ภายใต้แผนปฏิบัติการอาเซียนเพื่อความร่วมมือด้านพลังงานระยะที่ 2 ตั้งแต่ปี 2559-2568( Asean Plan of Action for Energy Cooperation from 2016-2025) และเตรียมจัดการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสพลังงานอาเซียนในเดือนมิถุนายน
ที่ประชุมเห็นชอบแผนงานสำคัญ 8 แผนสำหรับปีนี้ ซึ่งรวมถึงความคืบหน้าที่สำคัญในการสรุปข้อตกลงผู้รับช่วงโครงการโครงข่ายไฟฟ้าอาเซียนและการค้าพลังงานพหุภาคีในภูมิภาค ผู้เข้าร่วมประชุมยังเห็นพ้องที่จะผลักดันความคืบหน้าที่สำคัญในการสรุปข้อความของข้อตกลงใหม่หรือข้อตกลงผู้รับช่วงที่เกี่ยวข้องกับความตกลงความมั่นคงปิโตรเลียมอาเซียน
นอกจากนี้จะมีการลงนามในพิธีสารเพื่อแก้ไขบันทึกความเข้าใจด้านท่อส่งก๊าซทรานส์อาเซียน(Trans-Asean Gas Pipeline Memorandum of Understanding) และยกระดับนโยบายและกฎระเบียบระดับภูมิภาค เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในภาคพลังงานและการปล่อยก๊าซคาร์บอนเข้มข้น
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การบรรลุเป้าหมายในปีแรกของแผนงานที่มุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีและแหล่งที่มาของพลังงานทดแทนที่เฉพาะเจาะจง
หน่วยงานของอาเซียนจะริเริ่ม “เกณฑ์มาตรฐานการพัฒนาอุตสาหกรรมและแนวทางปฏิบัติด้านพลังงานสำหรับอุตสาหกรรม” และการประชุมแนวโน้มพลังงานของอาเซียนครั้งที่ 8(8th Asean Energy Outlook) เพื่อยกระดับการติดตามโครงการเชื่อมต่อโครงข่ายไฟฟ้าของอาเซียน(Asean Power Grid Interconnectors Project)
ที่ประชุมยังได้รับรองรายงานงานย่อย 7 งานที่ดำเนินการในปี 2566 ภายใต้แผนปฏิบัติการอาเซียนเพื่อความร่วมมือด้านพลังงานปี 2564-2568 พบว่า 33.4% ของงานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทดแทนได้บรรลุผลแล้ว ในขณะที่ 24.5% ของงานที่จำเป็นเพื่อส่งเสริมและประหยัดพลังงานได้ดำเนินการไปแล้ว
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้นำเสนอร่างแผนปฏิบัติการอาเซียนเพื่อความร่วมมือด้านพลังงานหลังปี 2568 ซึ่งระบุงานที่ต้องดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย 7 ภารกิจย่อยที่จะแล้วเสร็จในปี 2568 ซึ่งเป็นหนึ่งในวัตถุประสงค์โดยรวมของการสร้างประชาคมอาเซียน
ปัจจุบัน ลาวมีความเชื่อมโยงด้านพลังงานกับไทย เวียดนาม กัมพูชา ประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ และจีน ซึ่งเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานในภูมิภาคหนึ่งในนั้นคือโครงการบูรณาการพลังงานลาว-ไทย-มาเลเซีย ซึ่งลาวขายไฟฟ้าให้กับมาเลเซียผ่านระบบส่งไฟฟ้าของไทย
การติดตั้งโครงการบูรณาการพลังงานขนาด 300 เมกะวัตต์แล้วเสร็จในปี 2564 และปัจจุบันสามารถส่งพลังงานได้ 32,863,055 กิโลวัตต์ชั่วโมง มูลค่ากว่า 2.1 ล้านเหรียญสหรัฐ
อินโดนีเซีย-สิงคโปร์ลงนาม LOI โครงการกักเก็บคาร์บอนข้ามพรมแดน
อินโดนีเซียและสิงคโปร์ได้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (LOI) เพื่อสร้างความร่วมมือในการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) ข้ามพรมแดน เพื่อให้บรรลุการปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593“ความคิดริเริ่มนี้ทำให้อินโดนีเซียเป็นผู้เล่นหลักในภูมิทัศน์ CCS ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการนำเสนอโมเดลความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน” โจดี มาฮาร์ดี Deputy for Maritime Sovereignty and Energy at the Coordinating Ministry for Maritime Affairs and Investment กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดี(15 ก.พ.)
มาฮาร์ดีชี้ว่า ด้วยการร่วมมือกับสิงคโปร์ อินโดนีเซียได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเชื่อว่า ความร่วมมือนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงแนวทางเชิงรุกของอินโดนีเซียในการใช้เทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน
คีธ ตัน รองเลขาธิการ (อุตสาหกรรม) กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมของสิงคโปร์ กล่าวว่า CCS ข้ามพรมแดนเป็นโซลูชั่นที่เกิดขึ้นใหม่ในเอเชีย และ CCS หนุนการเปลี่ยนผ่านแปลงของสิงคโปร์ไปสู่อนาคตที่มีคาร์บอนต่ำ
“สิงคโปร์เป็นประเทศแรกที่ลงนาม LOI กับอินโดนีเซีย หลังจากที่มีการประกาศกฎระเบียบของประธานาธิบดีว่าด้วย CCS ข้ามพรมแดน” ตันกล่าว ด้วย LOI นี้ ตันยืนยันว่าสิงคโปร์และอินโดนีเซียสามารถเป็นผู้บุกเบิกในการเร่งดำเนินโครงการ CCS ข้ามพรมแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ภายใต้ LOI อินโดนีเซียและสิงคโปร์ยืนยันถึงความสำคัญของ CCS ที่เป็นวิธีการลดคาร์บอน และทั้งสองประเทศยังเน้นย้ำถึงศักยภาพของ CCS ในการสนับสนุนกิจกรรมทางอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่
นอกจากนี้ คณะทำงานที่ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่รัฐบาลสิงคโปร์และอินโดนีเซียจะทำงานร่วมกันเพื่อจัดทำข้อตกลงทวิภาคีที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย ข้อตกลงดังกล่าวจะช่วยให้สามารถขนส่งและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ข้ามพรมแดนระหว่างสิงคโปร์และอินโดนีเซียได้
ข้อตกลงนี้จัดทำขึ้นตามกฎข้อบังคับประธานาธิบดีของอินโดนีเซียหมายเลข 14 ปี 2567 ว่าด้วยการดำเนินการกิจกรรมดักจับและกักเก็บคาร์บอน กฎระเบียบดังกล่าวอนุญาตให้ผู้ดำเนินการกักเก็บคาร์บอนสามารถจัดให้มีการกักเก็บคาร์บอนระหว่างประเทศได้