ThaiPublica > สู่อาเซียน > ASEAN Roundup สิงคโปร์-มาเลเซียเปิดโอนเงินข้ามแดนบุคคลต่อบุคคลเรียลไทม์

ASEAN Roundup สิงคโปร์-มาเลเซียเปิดโอนเงินข้ามแดนบุคคลต่อบุคคลเรียลไทม์

19 พฤศจิกายน 2023


ASEAN Roundup ประจำวันที่ 12-18 พฤศจิกายน 2566

  • สิงคโปร์-มาเลเซียเปิดบริการโอนเงินข้ามแดนบุคคลต่อบุคคลเรียลไทม์
  • อินโดนีเซีย-สิงคโปร์เปิดตัวการเชื่อมโยงระบบการชำระเงินข้ามแดนด้วย QR
  • เวียดนามมีสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ 3 แห่ง
  • นายกฯกัมพูชาให้คำมั่นลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพิ่ม
  • รัฐบาลลาวจะผลักดันการชำระเงินส่งออก-นำเข้าผ่านระบบธนาคารมากขึ้น
  • จีนนักลงทุนเบอร์ 1 ในลาวกว่า 900 โครงการ มูลค่ากว่า 13,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
  • รถไฟด่วนบรรทุกสินค้าขบวนแรกจากจีน-ลาว-ไทยเริ่มเดินรถแล้ว
  • สิงคโปร์-มาเลเซียเปิดบริการโอนเงินข้ามแดนบุคคลต่อบุคคลเรียลไทม์

    ที่มาภาพ: https://news.yahoo.com/instant-fund-transfers-on-mobile-phones-now-possible-between-singapore-and-malaysia-134622814.html

    สิงคโปร์และมาเลเซียเปิดตัวการเชื่อมโยงระบบการชำระเงินแบบเรียลไทม์ข้ามพรมแดนระหว่างสิงคโปร์และมาเลเซีย ซึ่งส่งผลให้การโอนเงินข้ามพรมแดนแบบบุคคลสู่บุคคล (P2P) สามารถใช้ได้แล้วผ่าน PayNow และ DuitNow โดยผู้ใช้สามารถโอนเงินระหว่างทั้งสองประเทศได้ทันที เพียงใช้หมายเลขโทรศัพท์มือถือของผู้รับหรือที่อยู่การชำระเงินเสมือนจริง หรือ Virtual Payment Address

    Virtual Payment Address คือ การระบุตัวตนที่ใช้โดยสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารของสิงคโปร์ ซึ่งเชื่อมโยงกับบัญชีธนาคารของบุคคลโดยเฉพาะ

    วันที่ 17 พฤศจิกายน 2566 ภายในงาน Singapore FinTech Festival 2023 ​​ธนาคารกลางสิงคโปร์ (Monetary Authority of Singapore-MAS) โดยนายราวี เมนอน กรรมการผู้จัดการ MAS และธนาคารกลางมาเลเซีย(Bank Negara Malaysia-BNM) โดยนายอับดุล ราชีด กาฟโฟร์ ผู้ว่าการ BNM ได้ร่วมกันเปิดตัวระบบการชำระเงินบุคคลต่อบุคคลแบบเรียลไทม์ที่เชื่อมโยงระหว่าง PayNow ของสิงคโปร์และ DuitNow ของมาเลเซีย

    โครงการริเริ่มนี้เกิดขึ้นหลังจากการเชื่อมโยงการชำระเงินผ่าน QR ที่ประกาศเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2566 ที่เปิดใช้การชำระเงินผ่าน QR ข้ามพรมแดนให้กับร้านค้า

    การเชื่อมโยง PayNow-DuitNow ช่วยให้สามารถโอนเงิน หรือรับโอนเงินระหว่างบุคคลกับบุคคล(P2P) ได้ทันที ปลอดภัย และประหยัดต้นทุนระหว่างทั้งสองประเทศ การเชื่อมโยงระบบการชำระเงินแบบเรียลไทม์นี้ถือเป็นครั้งแรกที่รวมการมีส่วนร่วมของสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารจากทั้งสองประเทศ ทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้ในวงกว้างขึ้น ขณะนี้ลูกค้าของสถาบันการเงินที่เข้าร่วม สามารถส่งและรับเงินได้สูงสุด 1,000 สิงคโปร์ดอลลาร์หรือ 3,000 ริงกิตต่อวันโดยใช้หมายเลขโทรศัพท์มือถือของผู้รับหรือ VPA

    ผู้เข้าร่วมจากสิงคโปร์ ได้แก่ Liquid Group (สถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร), Maybank Singapore, OCBC และ UOB ส่วนผู้เข้าร่วมจากมาเลเซีย ได้แก่ CIMB Bank Malaysia Berhad, Malayan Banking Berhad และ TNG Digital Sdn. Bhd. (สถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร) DBS ของสิงคโปร์และ Hong Leong Bank ของมาเลเซียจะเข้าร่วมในภายหลัง

    บริการนี้จะพร้อมให้บริการแก่ลูกค้าในสิงคโปร์ของ Liquid Group, Maybank Singapore, OCBC และ UOB เป็นระยะๆ โดยสถาบันเหล่านี้จะค่อยๆ เพิ่มจำนวนกลุ่มผู้ที่มีสิทธิ์ใช้บริการตั้งแต่วันนี้จนถึงสิ้นเดือนมกราคม 2567 ทั้งนี้ให้ลูกค้าทำความคุ้นเคยกับบริการ สำหรับผู้ใช้ในมาเลเซีย บริการนี้จะเปิดให้ใช้งานสำหรับผู้ใช้ CIMB, Maybank และ TNG Digital ทุกคนก่อน โดยหลังจากนั้นสถาบันการเงินอื่นๆ จะทยอยเริ่มให้บริการ

    สำหรับผู้ใช้บริการ TNG Digital บริการจะเปิดเป็นระยะ โดยบริการขาออก (เช่น มาเลเซียไปยังสิงคโปร์) จะพร้อมใช้งานทันที และบริการขาเข้า (สิงคโปร์ไปยังมาเลเซีย) จะเปิดใช้ในเดือนธันวาคม 2566

    การเชื่อมโยง PayNow-DuitNow เป็นผลมาจากการขยายความร่วมมือระหว่างธนาคารกลาง ผู้ดำเนินการระบบการชำระเงิน เจ้าของโครงการ และสถาบันการเงินที่เข้าร่วมของทั้งสองประเทศ ถือเป็นก้าวสำคัญในการปรับปรุงค่าใช้จ่าย ความเร็ว การเข้าถึง และความโปร่งใสของการชำระเงินข้ามพรมแดน ผู้ใช้จากทั้งสองประเทศจะได้รับประโยชน์จากความคุ้มค่า ความครอบคลุม และการเข้าถึงของการเชื่อมโยงนี้ นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการริเริ่มการเชื่อมโยงการชำระเงินของอาเซียน(ASEAN Payment Connectivity Initiative )และแผนงาน G20 เพื่อเสริมสร้างการชำระเงินข้ามพรมแดน(G20 Roadmap for Enhancing Cross-border Payments)

    ในปี 2022 ธุรกรรม P2P และการโอนเงินระหว่างทั้งสองประเทศมีมูลค่า 2.3 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หรือ 7.8 พันล้านริงกิต

    นายราวี เมนอน กรรมการผู้จัดการ MAS กล่าวว่า “การเชื่อมโยง PayNow-DuitNow ถือเป็นก้าวสำคัญของความมุ่งหวังร่วมกันของสิงคโปร์และมาเลเซียในการอำนวยความสะดวกในการชำระเงินข้ามพรมแดนระหว่างทั้งสองประเทศ การเชื่อมโยงนี้ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งสู่วิสัยทัศน์ของอาเซียนในการเชื่อมโยงการชำระเงินระดับภูมิภาค

    นายอับดุล ราชีด กาฟโฟร์ ผู้ว่าการ BNM กล่าวว่า “การชำระเงินข้ามพรมแดนที่รวดเร็ว ปลอดภัย และคุ้มค่า มีประโยชน์มหาศาล โดยเฉพาะสำหรับบุคคลและธุรกิจขนาดเล็กในประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิด เช่น มาเลเซียและสิงคโปร์ การเชื่อมโยง PayNow-DuitNow ช่วยให้ได้รับผลประโยชน์เหล่านี้จากการเติบโตและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันของสองประเทศ ขณะเดียวกันก็วางรากฐานสำหรับเครือข่ายการชำระเงินข้ามพรมแดนที่ขยายได้ทั่วและนอกภูมิภาคอาเซียน”

    อินโดนีเซีย-สิงคโปร์เปิดตัวการเชื่อมโยงระบบการชำระเงินข้ามแดนด้วย QR

    ที่มาภาพ:https://www.asiabiztoday.com/2023/11/17/singapore-indonesia-malaysia-launch-cross-border-payment-linkages/
    วันที่ 17 พฤศจิกายน 2566 ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (Bank Indonesia -BI) และธนาคารกลางสิงคโปร์ (Monetary Authority of Singapore-MAS) ได้เปิดตัว การเชื่อมโยงการชำระเงินข้ามพรมแดนผ่าน QR ระหว่างประเทศอินโดนีเซียและสิงคโปร์ การเชื่อมโยงนี้ช่วยให้ลูกค้าของสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ สามารถชำระเงินรายย่อยข้ามพรมแดนได้อย่างราบรื่นโดยใช้แอปพลิเคชันธนาคารบนมือถือที่มีอยู่เพื่อสแกน QRIS (QR Codeมาตรฐานอินโดนีเซีย) หรือรหัส NETS QR(โซลูชัน QR code ที่ดำเนินการโดยเครือข่ายการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ของสิงคโปร์) ที่แสดงโดยผู้ค้าในอินโดนีเซียและสิงคโปร์ตามลำดับ

    โดยนายเพอร์รี วาร์จิโย ผู้ว่าการ BI และนายราวี เมนอน กรรมการผู้จัดการ MAS ร่วมกันเปิดตัวการเชื่อมโยงด้วยการชำระเงินผ่าน QR ข้ามพรมแดนแบบเรียลไทม์ที่งาน Singapore FinTech Festival 2023

    สถาบันการเงินที่เข้าร่วมจากสิงคโปร์ ได้แก่ OCBC และ UOB ส่วน DBS จะเข้าร่วมในภายหลัง สถาบันการเงินที่เข้าร่วมจากอินโดนีเซีย ได้แก่ PT Bank Central Asia Tbk, PT Bank CIMB Niaga Tbk, PT Bank Pembangunan Daerah Bali, PT Bank Permata Tbk, PT Bank Syariah Indonesia Tbk, PT Bank Mega Tbk, PT Bank Sinarmas Tbk, PT Bank Rakyat Indonesia Tbk, PT Espay Debit Indonesia Koe, PT Netzme Kreasi Indonesia.

    การเชื่อมโยงการชำระเงินผ่าน QR ข้ามพรมแดนถือเป็นก้าวสำคัญในความพยายามของ BI และ MAS เพื่อส่งเสริมการบูรณาการเศรษฐกิจดิจิทัลและระบบนิเวศทางการเงินให้มากขึ้น ตลอดจนส่งเสริมการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างอินโดนีเซียและสิงคโปร์ ด้วยความสะดวกในการชำระเงินที่มากขึ้น การเชื่อมโยงนี้ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดเล็กสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ในระบบเศรษฐกิจของกันและกันได้ นอกจากนี้ยังจะเป็นประโยชน์ต่อนักเดินทางจำนวนมากระหว่างทั้งสองประเทศ โดยการเดินทางฟื้นตัวหลังการแพร่ระบาด ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 มีนักท่องเที่ยวเดินทางจากสิงคโปร์ไปยังอินโดนีเซีย 600,000 คน และนักเดินทาง 1.1 ล้านคนจากอินโดนีเซียไปยังสิงคโปร์

    BI และ MAS ยังได้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (LOI) เพื่อสร้างกรอบการชำระเงินเป็นสกุลเงินท้องถิ่น(Local Currency Settlement Framework-LCT Framework) เมื่อดำเนินการในปี 2567 กรอบการทำงานจะอำนวยความสะดวกในการชำระเงินข้ามพรมแดน รวมถึงการชำระเงินด้วย QR Code การค้าและการลงทุนระหว่างอินโดนีเซียและสิงคโปร์ในสกุลเงินท้องถิ่นของแต่ละประเทศ ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจและผู้ใช้รายอื่นลดความเสี่ยงและต้นทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน

    การลงนามใน LOI มีขึ้นหลังจากการลงนามบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับกรอบความร่วมมือเพื่อส่งเสริมธุรกรรมทวิภาคีในสกุลเงินท้องถิ่น (LCT Framework) โดยธนาคารกลางทั้งสองแห่งในเดือนสิงหาคม 2565 และสอดคล้องกับความพยายามบูรณาการทางการเงินของอาเซียนเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการทำธุรกรรมภายในอาเซียนในวงกว้าง

    นายเพอร์รี วาร์จิโย ผู้ว่าการธนาคารกลางอินโดนีเซีย กล่าวว่า “การเชื่อมโยงการชำระเงินด้วย QR ข้ามพรมแดนระหว่างอินโดนีเซียและสิงคโปร์จะส่งเสริมการชำระเงินข้ามพรมแดนที่รวดเร็ว ถูกกว่า โปร่งใสมากขึ้น และครอบคลุมมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจขนาดย่อม ขนาดเล็ก และกลางจะได้ประโยชน์ การเชื่อมโยงเป็นผลของความมุ่งมั่นระหว่างสมาชิกอาเซียนในเรื่องการเชื่อมโยงการชำระเงินระดับภูมิภาค และแผนระบบการชำระเงินของอินโดนีเซียปี 2025(Indonesian Payment Systems Blueprint 2025) ที่จะจัดให้มีวิธีการชำระเงินที่สะดวกและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นสำหรับผู้ใช้ ในความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของเรา เรายังรู้สึกตื่นเต้นที่จะประกาศความคิดริเริ่มเชิงกลยุทธ์ของเราเพื่อส่งเสริมการใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการทำธุรกรรมทวิภาคีในวงกว้างผ่านกรอบ LCT ซึ่งคาดว่าจะนำมาใช้ในปี 2567 หลังจากนำกรอบ LCT ไปใช้ การชำระเงิน QR ข้ามพรมแดน ความคิดริเริ่มในการเชื่อมโยงจะใช้การเสนอราคาอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินท้องถิ่นโดยตรงที่จัดทำโดยธนาคารที่ได้รับการแต่งตั้ง(Appointed Cross Currency Dealer-ACCD)

    นายราวี เมนอน กรรมการผู้จัดการของ MAS กล่าวว่า “การเชื่อมโยงการชำระเงินด้วยคิวอาร์โค้ดของ QRIS-NETS จะส่งเสริมกิจกรรมอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนและการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวทั่วสิงคโปร์และอินโดนีเซีย จากบุคคลและธุรกิจขนาดเล็ก กรอบการชำระเงินในสกุลเงินท้องถิ่นที่กำลังจะมีขึ้นโดย BI และ MAS จะช่วยเสริมการเชื่อมโยงการชำระเงินนี้ โดยการอำนวยความสะดวกในการใช้รูปียะฮ์อินโดนีเซียและดอลลาร์สิงคโปร์สำหรับการชำระเงินข้ามพรมแดน โครงการริเริ่มเหล่านี้เป็นอีกก้าวสำคัญสำหรับการเชื่อมโยงการชำระเงินข้ามพรมแดนของสิงคโปร์กับเศรษฐกิจที่สำคัญในภูมิภาค”

    เวียดนามมีสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ 3 แห่ง

    ที่มาภาพ: https://hanoitimes.vn/hanoi-stock-exchange-to-stop-listing-new-stocks-from-july-2023-317026.html
    เมื่อเร็วๆ นี้ กระทรวงการคลังได้อนุญาตให้มีการจัดตั้งสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือเพิ่มอีกหนึ่งแห่ง ส่งผลให้จำนวนสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือในเวียดนามเพิ่มขึ้นเป็น 3 แห่ง ได้แก่ FiinRatings, Saigon Ratings และ VIS Rating

    ตลาดหลักทรัพย์ฮานอย (HNX) กล่าวว่า การมีสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ทำให้ธุรกิจต่างๆ จะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสถานะทางการเงินต่อสาธารณะ และความสามารถในการปฏิบัติตามภาระหนี้ได้ตรงเวลา

    ในปีหน้า คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์แห่งชาติ (State Securities Commission-SSC) จะยังคงกำกับดูแลหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการทบทวนและปรับxi6’กฎระเบียบทางกฎหมาย ปรับปรุงการจัดการและการกำกับดูแล และจัดการกับการละเมิดใด ๆ อย่างเคร่งครัดเพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนของตลาดตราสารหนี้

    SSC มอบหมายให้ HNX ทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไปเพื่อติดตามภาระผูกพันในการรายงานและการเปิดเผยข้อมูลโดยผู้ออกในตลาดตราสารหนี้องค์กรให้สอดคล้องกับกฎระเบียบ

    นอกจากนี้ HNX ยังได้รับมอบหมายให้จัดระเบียบและดำเนินการตลาดตราสารหนี้ให้สอดคล้องกับกฎระเบียบภายในประเทศและแนวปฏิบัติระหว่างประเทศ ซึ่งจะช่วยยกระดับสภาพคล่องและการจัดการตลาด

    ณ ปลายเดือนตุลาคม การเสนอขายตราสารหนี้เอกชนในนักลงทุนในวงจำกัดในตลาดแรกประสบความสำเร็จในการออกตราสารหนี้ 173 ครั้ง โดยมีมูลค่ารวม 184.79 ล้านล้านดอง (7.69 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) ลดลง 43.87% ต่อปี

    เมื่อพิจารณาจากตัวเลขแล้ว บริษัทอสังหาริมทรัพย์มีสัดส่วน 41.4% ของตลาด และสถาบันสินเชื่อมีสัดส่วน 45.4% ในบรรดาหุ้นกู้ที่ออกแล้ว สัดส่วน 46.9% มีหลักประกัน

    นายกฯกัมพูชาให้คำมั่นลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพิ่ม

    ที่มาภาพ: https://akp.gov.kh/post/detail/291395
    รัฐบาลกัมพูชากำลังวางแผนที่จะสร้างถนนและสะพานเพิ่มเติมเพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ และอำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนและการขนส่งสินค้า

    การสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนและมีส่วนช่วยในการพัฒนาเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรี ฮุน มาเน็ต กล่าวในพิธีเปิดสะพานเกาะโนรี ในกรุงพนมเปญ เมื่อเร็วๆนี้

    นายฮุน มาเนต กล่าวว่า รัฐบาลกำลังวางแผนสร้างสะพานอีก 2 แห่งในกรุงพนมเปญ สะพานหนึ่งเชื่อมระหว่างเมืองหลวงกับย่านอารีย์ กษัต และตั้งชื่อว่าสะพานมิตรภาพกัมพูชา-เกาหลี ส่วนอีกสะพานหนึ่งข้ามแม่น้ำโตนเลบาสัก

    โครงการสะพานมิตรภาพกัมพูชา-เกาหลีจะสร้างขึ้นด้วยเงินกู้แบบผ่อนปรนที่ได้รับจากรัฐบาลเกาหลี ส่วนการก่อสร้างอีกสะพานคาดว่าจะเริ่มได้ก่อนสิ้นปีนี้

    “รัฐบาลจะยังคงสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างการเชื่อมโยงที่ดีขึ้นด้วยประสิทธิภาพ ปรับปรุงการคมนาคมขนส่ง และสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ” นายกรัฐมนตรีกล่าว

    นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงโครงการขนาดใหญ่ของคลองฟูนันเตโช ซึ่งลงนามในกรอบความตกลงเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2566 ในประเทศจีน ว่า จะทำการศึกษาความเป็นไปได้โดยละเอียด

    กัมพูชาได้สร้างถนน 31 สายที่มีความยาวรวม 3,077 กิโลเมตร ด้วยงบประมาณ 2.18 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายใต้เงินกู้และเงินกู้แบบผ่อนปรนจากจีน นอกเหนือจากสะพานหลัก 10 แห่งที่มีความยาวรวม 10.89 กิโลเมตรด้วยงบประมาณ 372 ล้านเหรียญสหรัฐ จากข้อมูลของสภาเพื่อการพัฒนาประเทศกัมพูชา (Council for the Development of Cambodia -CDC)

    นายสุน จันทอล รองนายกรัฐมนตรีและรองประธานคนที่ 1 ของ CDC กล่าวว่าถนนใหม่ 6 เส้นอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งมีความยาวรวม 557 กิโลเมตร โดยใช้งบประมาณประมาณ 675 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และกำลังก่อสร้างสะพานยาว 1,761 เมตรข้ามแม่น้ำโขงในจังหวัดกระแจะ โดยใช้งบประมาณ 111 ล้านเหรียญสหรัฐ

    “โดยรวม โครงการที่ใช้เงินกู้แบบผ่อนปรนและเงินให้เปล่าจากจีน ทั้งที่สร้างเสร็จแล้วและอยู่ระหว่างการก่อสร้าง มีมูลค่ารวม 3.34 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ”

    รัฐบาลลาวจะผลักดันการชำระเงินส่งออก-นำเข้าผ่านระบบธนาคารมากขึ้น

    นายสอนไซ สีพันดอน นากยรัฐมนตรีสปป.ลาว ที่มาาภพ:https://www.vientianetimes.la/sub-new/Previous_167_y23/freeContent/FreeConten_167_PM_y23.php
    รัฐบาลให้คำมั่นว่าจะดูแลให้การชำระเงินนำเข้าและส่งออกอย่างน้อย 50% ผ่านระบบธนาคาร ภายในสิ้นปี 2566 ซึ่งสอดคล้องกับมติสมัชชาแห่งชาติได้ให้ความเห็นชอบเมื่อกลางปีนี้

    นายกรัฐมนตรีสอนไซ สีพันดอน ให้คำมั่นขณะที่ตอบข้อซักถามของสมาชิกสมัชชาแห่งชาตินการประชุมสมัชชาแห่งชาติที่ยังไม่หมดสมัยการประชุม

    การควบคุมเงินตราต่างประเทศเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของรัฐบาลในการจัดการกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ลาวกำลังเผชิญอยู่ และรวมถึงมาตรการที่นำมาใช้เพื่อให้แน่ใจว่าอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ที่ได้รับจากการส่งออกและการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศผ่านทางระบบธนาคารมากขึ้น

    “เราจะให้ความสำคัญอย่างมากกับการจดทะเบียนบริษัทนำเข้า-ส่งออก และสนับสนุนให้พวกเขาทำธุรกรรมทางการเงินผ่านธนาคารพาณิชย์ที่ตั้งอยู่ในลาว” นายกรัฐมนตรี สอนไซ ชี้แจงฝ่ายนิติบัญญัติ

    นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าในปี 2565 การชำระเงินนำเข้าและส่งออกเพียง 34%เท่านั้นที่ชำระผ่านระบบธนาคารของลาว แต่เพิ่มขึ้นเป็น 41.32% ในเดือนกันยายนปีนี้

    นายกฯ สั่งให้ดำเนินการจัดการกับกิจกรรมผิดกฎหมายที่มุ่งบิดเบือนอัตราแลกเปลี่ยน และมอบหมายให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องติดตามและระบุกลุ่มเป้าหมายที่ดำเนินกิจกรรมแลกเงิน

    ขณะนี้รัฐบาลอยู่ระหว่างการจำกัดการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือย โดยการเพิ่มภาษีสรรพสามิตสำหรับสินค้าบางประเภท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการเพื่อลดจำนวนสกุลเงินต่างประเทศที่ใช้ในการนำเข้า

    นายกรัฐมนตรีสอนไซกล่าวว่า รัฐบาลจะพยายามจัดการกับการค้าที่ผิดกฎหมาย โดยเฉพาะการลักลอบขนสินค้าผิดกฎหมายตามแนวชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน

    นอกจากนี้ รัฐบาลจะสนับสนุนให้ชาวลาวเพิ่มการผลิตทางการเกษตรเพื่อการส่งออก และส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์ของลาวเพื่อลดการนำเข้าและประหยัดเงินเงินตราต่างประเทศให้กับประเทศ

    เมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา ธนาคารแห่ง สปป. ลาว ได้ออกคำสั่ง เพื่อให้ดำเนินขับเคลื่อนนโยบายสินเชื่อของรัฐบาลที่มุ่งกระตุ้นเศรษฐกิจ

    ภายใต้โครงการดังกล่าว รัฐบาลได้จัดสรรเงินจำนวน 2,500 พันล้านกีบ เพื่อกระตุ้นการผลิตและขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยการลดดอกเบี้ยให้กับสินเชื่อที่ธุรกิจได้รับจากธนาคารพาณิชย์

    นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้จัดสรรเงินจำนวน 4,500 พันล้านกีบ เพื่อกระตุ้นการผลิตในประเทศและกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ภายใต้นโยบายสินเชื่อใหม่เพื่อกระจายเงินทุนไปยังท้องถิ่นมากขึ้น

    รัฐบาลยังได้ให้คำมั่นที่จะควบคุมราคาอาหารเพื่อลดผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงให้กับประชาชน โดยจะแทรกแซงราคาตลาดในเวียงจันทน์และบางจังหวัด

    นายกรัฐมนตรีสอนไซ กล่าวว่า การควบคุมราคาอาหารสัตว์และปุ๋ยเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อช่วยให้เกษตรกรสามารถรักษาต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรเพื่อการส่งออก และรายงานต่อสมัชชาแห่งชาติว่า รัฐบาลกำลังมองหาแหล่งเงินทุนเพื่อชำระหนี้ต่างประเทศและเพื่อป้องกันไม่ให้ลาวถูกลากเข้าสู่การผิดนัดชำระหนี้

    จีนนักลงทุนเบอร์ 1 ในลาวกว่า 900 โครงการ มูลค่ากว่า 13,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

    พิธีลงนาม MoUเกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการเขตเศรษฐกิจเขตเศรษฐกิจใหม่แห่งนิคมอุตสาหกรรมพลังงานไฟฟ้าระหว่างรัฐบาลลาวกับ Laos China Power Investment และ Development Co., Ltd. ที่มาภาพ:https://www.seetao.com/details/203684.html
    นายคำเจน วงโพสี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการวางแผนและการลงทุน กล่าวในการประชุมแลกเปลี่ยนระหว่างรัฐบาลลาวและนักธุรกิจจีน ครั้งที่ 7 ที่กรุงเวียงจันทน์ เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ซึ่งมี นายปั่ง ชาง เอกอัครราชทูตจีนประจำ สปป.ลาว พร้อมด้วยรัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงฯ ตัวแทนหอการค้าจีน และผู้ที่เกี่ยวข้องจากทั้งสองฝ่ายเข้าร่วมว่า การลงทุนของจีนในสปป.ลาวมีมากกว่า 900 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 13,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

    ปัจจุบันจีนเป็นประเทศที่มีการลงทุนอันดับ 1 ใน สปป. ลาว ในทุกภาคส่วน มีโครงการมากกว่า 900 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ และเป็นประเทศที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุดใน สปป. ลาว

    ในปี 2565 การลงทุนจากประเทศจีนที่ได้ลงทุนในการควบคุมกิจกรรมและสัมปทานในบริษัททั้ง 30 แห่ง มูลค่าการลงทุนรวม 339 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้แก่ การลงทุนในภาคเหมืองแร่ โครงการพลังงาน ภาคบริการที่ปรึกษา อุตสาหกรรมและหัตถกรรม สาธารณสุข 1 โครงการ ภาคอื่นๆ

    การประชุมครั้งนี้เพื่อรายงานความสะดวก ความยากลำบาก และข้อเสนอของบริษัทจีนที่กำลังดำเนินธุรกิจใน สปป. ลาว อีกทั้งยังเป็นโอกาสอันดีที่ทั้งสองฝ่ายจะได้พบปะและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นโดยตรงและหาแนวทางแก้ไขร่วมกันเพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ

    รถไฟด่วนบรรทุกสินค้าขบวนแรกจากจีน-ลาว-ไทยเริ่มเดินรถแล้ว

    ที่มาภาพ: https://news.cgtn.com/news/2023-11-19/First-China-Laos-Thailand-express-freight-train-departs-from-Chengdu-1oQZOYRv8cw/index.html
    รถไฟด่วนบรรทุกสินค้าขบวนแรกจากจีน-ลาว-ไทย ได้เคลื่อนตัวออกจาก Chengdu International Railway Port ในเฉิงตู เมืองหลวงแห่งมณฑลเสฉวน ประเทศจีน แล้ว เมื่อวันที่ 17 พ.ย. ที่ผ่านมา เพื่อเข้าสู่จุดหมายปลายทางในประเทศไทย

    รถไฟด่วนบรรทุกสินค้าจะย่นระยะเวลาการส่งมอบสินค้าจากเฉิงตูมายังประเทศไทยภายในเวลาไม่ถึง 5 วัน ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการเชื่อมโยงและการพัฒนาร่วมกันระหว่างสามประเทศ