ThaiPublica > สู่อาเซียน > “จุดเปลี่ยน” ชายแดนเมียวดี!!!

“จุดเปลี่ยน” ชายแดนเมียวดี!!!

31 มกราคม 2024


ปัณฑพ ตั้งศรีวงศ์ รายงาน

กำลังพล BGF รัฐกะเหรี่ยง ที่มาภาพ : Karen Information Center

ตลอดสัปดาห์ที่แล้ว Karen Information Center ได้รายงานปรากฏการณ์หนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในรัฐกะเหรี่ยง ที่มีนัยสำคัญและต้องเฝ้าติดตาม เพราะจะมีผลกระทบกับประเทศไทยโดยตรง

ปรากฏการณ์ดังกล่าว ได้แก่ การประกาศแยกทางกับกองทัพพม่า ของกองกำลังพิทักษ์ชายแดน(Border Guard Force : BGF) รัฐกะเหรี่ยง โดย BGF ได้ปฏิเสธการรับเงินเดือนและการสนับสนุนทุกด้านจากกองทัพพม่า และเปลี่ยนสถานะตนเองเป็นกองกำลังติดอาวุธอิสระ ทั้งที่ BGF กับกองทัพพม่า เคยมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างกันมานานถึง 30 ปี

BGF เป็นอดีตทหารของกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธประชาธิปไตย(DKBA) ที่ได้ตัดสินใจแยกตัวออกมาจากสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง(KNU) ตั้งแต่ปี 2537 และยอมแปรสภาพเป็นกองกำลังพิทักษ์ชายแดนที่ต้องอยู่ภายใต้การกำกับของกองทัพพม่า ร่วมกับกองทัพพม่าสู้รบกับกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์กะเหรี่ยงกลุ่มอื่น โดยได้รับผลประโยชน์จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในพื้นที่รับผิดชอบของ BGF เป็นสิ่งแลกเปลี่ยน

ปัจจุบัน กำลังพลของ BGF มีอยู่ประมาณ 7,000 นาย แบ่งเป็น 13 กองพัน แต่ละกองพันมีกำลังทหารประมาณ 550 คน แบ่งพื้นที่การดูแลออกเป็น 4 เขตทหาร ได้แก่

เขตทหารที่ 1 มีฐานบัญชาการอยู่ที่เมืองหล่ายปวย ตอนกลางของรัฐกะเหรี่ยง มีกำลังพล 4 กองพัน ได้แก่ กองพันที่ 1011, 1012, 1015 และ 1016

เขตทหารที่ 2 มีฐานบัญชาการอยู่ที่เมืองผาปูน ทางตอนเหนือของรัฐกะเหรี่ยง ติดกับรัฐกะยา มีกำลังพล 2 กองพัน ได้แก่ กองพันที่ 1013 และ 1014

เขตทหารที่ 3 มีฐานบัญชาการอยู่ที่เมืองเมียวดี มีกำลังพล 5 กองพัน ได้แก่ กองพันที่ 1017, 1018, 1019, 1020 และ 1022

เขตทหารที่ 4 มีฐานบัญชาการอยู่ที่เมืองจาอินเซะจี ทางตอนใต้ของรัฐกะเหรี่ยง ติดกับรัฐมอญ มีกำลังพล 2 กองพัน ได้แก่ กองพันที่ 1021 และ 1023

ทหาร BGF ที่ประจำการอยู่แนวหน้า ได้รับคำสั่งให้ถอนกำลังกลับที่ตั้ง ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2567 เป็นต้นมา ที่มาภาพ : Karen Information Center

……

เขตทหารของ BGF ที่ใกล้ชิดคนไทยมาก คือเขตทหารที่ 3 ซึ่งเป็นเขตที่มีกำลังพลมากที่สุด มี พ.อ.ซอชิดตู่ หรือที่คนไทยมักคุ้นในชื่อ “หม่องชิดตู่” เป็นผู้บัญชาการ รับผิดชอบพื้นที่จังหวัดเมียวดี ตรงข้ามกับอำเภอแม่สอด แม่ระมาด และอีกบางอำเภอของจังหวัดตาก ฟากตะวันตกของประเทศไทย

เขตทหารที่ 3 นอกจากดูแลเมืองเมียวดี ประตูการค้าชายแดนที่ใหญ่ที่สุดของไทยกับเมียนมา มูลค่าสินค้าที่ซื้อขายผ่านช่องทางนี้แต่ละปีสูงนับแสนล้านบาทแล้ว

เมียวดียังเป็นที่ตั้งของธุรกิจสีเทาโดยเฉพาะอาชญากรรมฉ้อโกงทางออนไลน์ของกลุ่มคนจีนหรือพวกจีนเทาที่ได้มาลงทุนไว้เป็นจำนวนมาก ไม่แพ้ที่เมืองเล่าก์ก่าย เขตปกครองตนเองโกก้าง ชายแดนเมียนมา-จีน ในภาคเหนือของรัฐฉาน ที่เพิ่งถูกกวาดล้างราบคาบไปเมื่อปลายปี 2566 จากปฏิบัติการ 1027

ธุรกิจสีเทาในเมียวดี มีทั้งคาสิโน บ่อนการพนันออนไลน์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ นำมาซึ่งอาชญากรรมต่อเนื่องอีกหลากหลายชนิด ทั้งการค้ายาเสพติด การค้าประเวณี และการค้ามนุษย์ คนหนุ่ม คนสาวชาวไทยหลายร้อยคน ลักลอบข้ามแม่น้ำเมยไปทำงานกับธุรกิจสีเทาเหล่านี้ในเมืองเมียวดี มีทั้งที่เต็มใจไปเอง และถูกหลอกให้ไป

พ.อ.ซอชิดตู่ ผบ.BGF เขตทหารที่ 3 ที่มาภาพ : Karen Information Center

กิจการของจีนเทาในเมียวดีที่คนไทยรู้จักดี คือโครงการเมืองใหม่ “ฉ่วยก๊กโก” ซึ่งแปลว่า “จามจุรีทอง” ตั้งอยู่ที่บ้านก๊กโก ทางเหนือของตัวเมืองเมียวดี โดย พ.อ.ซอชิดตู่ ผบ.เขตทหารที่ 3 ได้ให้สัมปทานแก่บริษัท Yatai International Holding Group จากจีนไปตั้งแต่ปี 2559

โครงการนี้เป็นการพัฒนาพื้นที่ 30,000 เอเคอร์ หรือประมาณ 75,900 ไร่ สร้างเป็นเมืองใหม่ขนาดใหญ่ ภายในประกอบด้วย คาสิโน บ่อนพนันออนไลน์ แหล่งบันเทิงครบวงจร โรงแรมขนาด 1,200 ห้อง นอกจากนี้ ยังมีเขตพาณิชย์ เขตอุตสาหกรรม และเขตที่พักอาศัย ใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีอายุสัมปทาน 50 ปี และสามารถต่อได้อีก 20 ปี

Yatai International Holding Group ได้ร่วมทุนกับบริษัทชิดลินมาย ซึ่งเป็นบริษัทลงทุนของ BGF จดทะเบียนตั้งบริษัท Myanmar Yatai International ขึ้นเพื่อทำโครงการเมืองใหม่ฉ่วยก๊กโก เริ่มการก่อสร้างในปี 2560

Yatai International Holding Group มี เสอ จื้อเจียง(She Zhijiang) เป็นประธาน อย่างไรก็ตาม เสอ จื้อเจียง ถูกตำรวจไทยจับกุมตัวได้ที่กรุงเทพเมื่อเดือนสิงหาคม 2565 เนื่องจากมีหมายจับจากทางการจีน และถูกส่งตัวกลับไปดำเนินคดีและรับโทษที่จีนแล้ว…

ปี 2566 เป็นต้นมา ทางการจีนมีนโยบายเด็ดขาดต้องการกวาดล้างธุรกรรมฉ้อโกงทางออนไลน์ที่กลุ่มจีนเทาได้มาใช้พื้นที่ชายแดนเมียนมาเป็นแหล่งประกอบอาชญากรรม เริ่มจากชายแดนรัฐฉาน-จีน โดยเฉพาะเมืองเล่าก์ก่ายเป็นจุดแรก จากนั้นได้กดดันให้รัฐบาลทหารของสภาบริหารแห่งรัฐ(SAC) เมียนมา และกองทัพพม่า ลงมือกวาดล้างธุรกิจสีเทาที่ตั้งอยู่ชายแดนรัฐกะเหรี่ยง-ไทย เป็นเป้าหมายถัดไป

แต่เนื่องจากศูนย์กลางธุรกิจของจีนเทาในรัฐกะเหรี่ยงอยู่ที่เมืองเมียวดี ซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบของ BGF เขตทหารที่ 3 กองทัพพม่าจึงได้กดดันต่อลงมายัง พ.อ.ซอชิดตู่ ให้เข้าปราบปราม มีรายงานว่า พล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่าย ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด กองทัพพม่า ได้เรียก พ.อ.ซอชิดตู่ ผบ.BGF เขตทหารที่ 3 ให้เดินทางไปพบที่กรุงเนปิดอหลายครั้งเพื่อคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ พ.อ.ซอชิดตู่ ไม่ยอมไปพบ และนำมาซึ่งการประกาศแยกทางกับกองทัพพม่าที่ปรากฏเป็นข่าวออกมาในสัปดาห์ก่อน

ตามข้อมูลของ Karen Information Center ซึ่งอ้างแหล่งข่าวจากผู้ใกล้ชิดกับ BGF ระบุว่า เหตุผลที่ BGF ต้องประกาศแยกตัวจากกองทัพพม่า เนื่องจากขณะนี้ความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ราบรื่นเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว

การประกาศแยกทางกับกองทัพพม่าของ BGF เกิดขึ้นหลังเสร็จสิ้นการประชุมสุดยอดระหว่างสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง(KNU) กับผู้นำสูงสุดของกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์กะเหรี่ยงอีก 3 กลุ่ม ประกอบด้วย สภาแห่งชาติกะเหรี่ยงสันติภาพ(KNU/KNLA-PC) กองกำลังกะเหรี่ยงพุทธประชาธิปไตย(DKBA) และ BGF เมื่อวันจันทร์ที่ 15 มกราคม 2567

วันที่ 19 มกราคม 2567 อู หม่องหม่องโอง รัฐมนตรีกระทรวงสารสนเทศ เมียนมา ได้เดินทางไปหา พ.อ.ซอชิดตู่ ถึงบ้านพักในเมืองหล่ายปวย เพื่อเจรจาต่อรองให้ พ.อ.ซอชิดตู่ กับ BGF ทั้งหมดเปลี่ยนใจกลับมาร่วมมือกับกองทัพพม่าเหมือนเดิมอีกครั้ง แต่ พ.อ.ซอชิดตู่ ปฏิเสธ

วันที่ 23 มกราคม 2567 พล.อ.อาวุโส โซวิน รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด กองทัพพม่า เดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์มายังเมืองผาอัน เมืองหลวงของรัฐกะเหรี่ยง และได้เชิญนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาของ BGF ประกอบด้วย พล.ต.ซอทูนไหล่ ประธาน BGF พล.ต.จาอิน พล.ต.พานูย รวมถึง พ.อ.ซอชิดตู่ เข้าร่วมประชุม เพื่อเกลี้ยกล่อมไม่ให้ BGF แยกทางจากกองทัพพม่า แต่การเกลี้ยกล่อมของ พล.อ.อาวุโส โซวิน ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ

Karen Information Center ยังมีรายงานอีกว่าตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม เป็นต้นมา ตลอดทั้งสัปดาห์ที่แล้ว กองบัญชาการใหญ่ BGF ได้มีคำสั่งถอนกำลังทหารจากแนวหน้าที่เคยปฏิบัติการร่วมอยู่กับกองทัพพม่าในหลายพื้นที่ของรัฐกะเหรี่ยง โดยให้กำลังพลทั้งหมดกลับไปยังฐานที่ตั้งของแต่ละหน่วย รวมถึงมีการย้ายครอบครัวของทหาร BGF ซึ่งประจำการอยู่ในพื้นที่เมืองใหม่ฉ่วยก๊กโก ไปอยู่ยังที่ปลอดภัย…

ธุรกิจของจีนเทาในเมืองเมียวดีไม่ได้เป็นประเด็นที่ถูกให้ความสำคัญจากรัฐบาลเมียนมากับรัฐบาลจีนเพียงเท่านั้น รัฐบาล โดยเฉพาะหน่วยงานความมั่นคงของไทย ทั้งในส่วนกลางและตลอดแนวชายแดน ก็ไม่ได้ดูเบาในเรื่องนี้

ประเด็นเรื่องการกวาดล้างธุรกิจสีเทาในเมียวดี เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้นำทหารระดับสูงของกองทัพไทย ต้องเดินทางไปพบ และเจรจาโดยตรงกับ พล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่าย ต่อเนื่องกันถึง 3 ครั้ง ในชั่วเวลาเพียงไม่ถึง 1 เดือน

เริ่มจากวันที่ 27 ธันวาคม 2566 พล.ท.จักรพงษ์ จันทร์เพ็งเพ็ญ เจ้ากรมยุทธการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย นำคณะเดินทางไปประชุมร่วมกับพล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่าย ที่กรุงเนปิดอ เพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องการปราบปราบธุรกิจของจีนเทาในเมืองเมียวดีโดยเฉพาะ

การประชุมทางออนไลน์ ระหว่าง พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี กับ พล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่าย เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2567

สองสัปดาห์ถัดมา วันที่ 12 มกราคม 2567 พล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่าย ได้ประชุมผ่านระบบออนไลน์กับ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กองทัพไทย ประเด็นของการพูดคุยยังคงเป็นเรื่องการปราบปรามธุรกิจสีเทาของอาชญากรชาวจีนในเมืองเมียวดี

ถัดมาอีดไม่ถึงสัปดาห์ วันที่ 17 มกราคม 2567 พล.อ.กิตติศักดิ์ บุญพระธรรมชัย ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก และหัวหน้าศูนย์ประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้าน ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก นำคณะนายทหารเดินทางไปประชุมร่วมกับ พล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่าย ที่กรุงเนปิดอ ประเด็นการพูดคุย ยังคงมุ่งเน้นไปที่การจัดการกับอาชญากรรมฉ้อโกงทางออนไลน์ ซึ่งมีฐานอยู่ในเมืองเมียวดี…

23 มกราคม 2567 วันเดียวกับที่ พล.อ.อาวุโส โซวิน ร่วมประชุมอยู่กับเหล่าผู้บังคับบัญชาของ BGF ในเมืองผาอัน สำนักข่าว Karen News ได้นำเสนอบทความเรื่องธุรกิจฉ้อโกงทางออนไลน์ของเหล่าจีนเทาในเมืองเมียวดี โดยระบุว่า ขณะที่ผู้นำกองทัพไทยกับพม่าได้ประชุมพูดคุยกันไปแล้วถึง 3 ครั้ง ถึงการกวาดล้างธุรกิจสีเทาในเมืองเมียวดี แต่ทุกวันนี้ ธุรกิจสีเทาเหล่านั้นยังคงเฟื่องฟู เดินหน้าขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้สะดุดลงแต่อย่างใด

พล.อ.กิตติศักดิ์ บุญพระธรรมชัย ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก นำคณะไปพบกับ พล.อ.อาวุโส มินอ่องหล่าย เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2567

ตามข้อมูลของ Karen News ระบุว่าเฉพาะในเมืองเมียวดี มีบ่อนการพนันหลากหลายรูปแบบถึงกว่า 300 แห่ง ทุกแห่งล้วนได้รับอนุญาตให้เปิดกิจการจาก BGF และฝ่ายปกครองท้องถิ่น ที่ตั้งของบ่อนเหล่านี้กระจายตัวอยู่ในพื้นที่เมืองใหม่ฉ่วยก๊กโก , เมืองใหม่ KK Park , ย่านแม่ต่อตะเล , อำเภอวาเลย์ ฯลฯ

Karen News อ้างแหล่งข่าวที่เป็นคนทำงานในธุรกิจสีเทา รวมถึงตัวแทนผู้จัดหางานในเมียวดี ระบุว่า กิจการสีเทาหลายแห่งยังคงประกาศรับสมัครพนักงานใหม่หลายตำแหน่งงาน เช่น เจ้ามือไพ่ เจ้าหน้าที่คอลเซ็นเตอร์ พนักงานบัญชีในคาสิโน เสนอเงินเดือนให้ตั้งแต่ 8,000-25,000 บาท

……

ความเคลื่อนไหวของ BGF และกองทัพพม่าที่เกิดขึ้นตลอดช่วงสัปดาห์ที่แล้ว เป็นเหมือนการส่งสัญญานบางอย่างเกี่ยวกับอนาคตของธุรกิจของจีนเทาในเมืองเมียวดี ซึ่งเป็นแหล่งผลประโยชน์ สร้างรายได้มหาศาลให้กับ BGF

บทบาทเมืองเมียวดีไม่ได้เป็นเพียงศูนย์รวมธุรกิจจีนเทา แต่ยังเป็นประตูการค้าที่สำคัญที่สุดของไทยกับเมียนมา ที่มาภาพ : Karen News

แต่บทบาทที่แท้จริงของเมืองเมียวดีที่มีต่อประเทศไทย ไม่ได้เป็นเพียงศูนย์รวมที่ตั้งของธุรกิจสีเทาเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่ชายแดนที่อยู่ใกล้กับประเทศไทย มีเพียงแม่น้ำเมยขวางกั้น เป็นประตูการค้า และเป็นต้นทางของสินค้าทุกชนิดที่ผู้ประกอบการไทยขายเข้าไปในเมียนมา ซึ่งมีมูลค่าสูงถึงปีละมากกว่า 1 แสนล้านบาท

สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเมียวดี ย่อมส่งผลกระทบต่อประเทศไทยโดยตรง อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้…

  • จาก”เล่าก์ก่าย” สู่ … “เมียวดี”?