ThaiPublica > เกาะกระแส > การเติบโตรวดเร็วแบบ S-curve ของรถยนต์ EV จุดแข็งจุดอ่อนในทัศนะผู้บริโภค

การเติบโตรวดเร็วแบบ S-curve ของรถยนต์ EV จุดแข็งจุดอ่อนในทัศนะผู้บริโภค

9 พฤศจิกายน 2023


รายงานโดย ปรีดี บุญซื่อ

ที่มาภาพ : ElectricDrive

ปัจจุบัน ยอดขายรถยนต์ EV ทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งมาจากต้นทุนการผลิตลดลง เทคโนโลยีพัฒนาดีขึ้น และการสนับสนุนของรัฐ จากรายงาน Global EV Outlook 2023 ขององค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ในปี 2022 ยอดขายรถยนต์ทั้งหมดทั่วโลกเป็นรถยนต์ EV 10% หรือมากกว่า 10 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 10 เท่าตัวจากเมื่อ 5 ปีที่แล้ว

มีอยู่ 5 ประเทศที่อัตราการยอมรับรถยนต์ EV ของผู้บริโภคเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ยอดขายรถยนต์ของนอร์เวย์ปี 2022 เป็นรถยนต์ EV 80% ของทั้งหมด รองลงมาคือไอซ์แลนด์ 41% สวีเดน 32% เนเธอร์แลนด์ 24% และจีน 22% การติดอันดับของจีนมีความหมายสำคัญ เพราะจีนเป็นตลาดรถยนต์ใหญ่สุดของโลก ส่วนตลาดรถยนต์ที่ใหญ่สุดอีก 2 แห่ง คือ กลุ่ม EU สัดส่วนยอดขายรถยนต์ EV อยู่ที่ 12% และสหรัฐอเมริกา 6%

รถยนต์ EV เติบโตแบบ S-curve

ในระดับทั่วโลก ภายในปี 2030 รถยนต์ EV จะต้องมียอดขายมากถึง 75-95% ของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลทั้งหมด จึงจะทำให้โลกเราสามารถบรรลุเป้าหมายการจำกัดภาวะโลกร้อนที่ต้องเพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5 เซลเซียส เป้าหมายดังกล่าวเป็นเรื่องเป็นไปได้ เพราะการเติบโตของยอดขายรถยนต์ EV ที่เพิ่มขึ้นรวดเร็วในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา การเติบโตเฉลี่ยของรถยนต์ EV เพิ่มขึ้นปีละ 65% ในอีก 8 ปีข้างหน้า การเติบโตเฉลี่ยจำเป็นต้องเพิ่มปีละ 31%

บทความชื่อ These Countries Are Adopting Electric Vehicles the Fastest ของ World Resource Institute กล่าวว่า การเติบโตของยอดขายรถยนต์ EV เป็นแบบเส้นกราฟ S-curve ลักษณะเดียวกับการเติบโตของเทคโนโลยีใหม่ๆ เมื่อเทคโนโลยีมาถึงจุดหักเหสำคัญ (tipping point) เช่น รถยนต์ EV ราคาถูกกว่ารถยนต์ใช้น้ำมัน เส้นกราฟการเติบโตจะพุ่งขึ้น และในที่สุด การเติบโตก็จะลดลงเมื่อเทคโนโลยีมาถึงจุดอิ่มตัว

ในกรณีของรถยนต์ EV ยังไม่มีประเทศไหนที่พัฒนามาถึงจุดชะลอตัว นอร์เวย์อาจใกล้มาถึงจุดดังกล่าว การเติบโตแบบรวดเร็วในระยะแรก และการชะลอตัวในที่สุด จะทำให้การเติบโตของรถยนต์ EV เป็นแบบ S-curve แต่ก็อาจมีปัจจัยด้านนโยบายรัฐ ด้านเศรษฐกิจ ที่จะทำให้การยอมรับรถยนต์ EV ของผู้บริโภคเร็วขึ้นหรือช้าลง แต่โดยภาพรวม การเติบโตของรถยนต์ EV จะมีลักษณะแบบ S-Curve

ผู้บริโภคกับรถยนต์ EV

หนังสือชื่อ The Global Rise of the Modern Plug-In Electric Vehicle (2021) เขียนถึงรถยนต์ EV จากมุมมองของผู้บริโภคไว้ว่า ปัญหาท้าทายสำหรับผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ คือเรื่องผู้บริโภคให้ความสนใจมากน้อยเพียงไร สิ่งที่เป็นความจริงมีอยู่ว่า 60% ของสินค้าใหม่ที่ขายในตลาด จะสูญหายไปภายใน 3 ปี Duncan Simester อาจารย์การตลาดของ MIT อธิบายว่า เพราะบริษัทธุรกิจไม่ให้ความสนใจเพียงพอในเรื่องการประเมินของลูกค้าที่มีต่อสินค้า รวมถึงอะไรคือปัจจัยการตัดสินใจซื้อ

รถยนต์ EV จะถูกถือว่าได้รับความสำเร็จ ก็ต่อเมื่อสามารถเจาะตลาดหลักของรถยนต์ จึงจะส่งผลต่อความมั่นคงทางพลังงาน คุณภาพอากาศในเมือง และการลดภาวะโลกร้อน รัฐบาลประเทศต่างๆ ให้การสนับสนุนรถยนต์ EV ก็เพื่อให้เป็นรถยนต์ทางการค้าที่สมบูรณ์ แต่การที่รถยนต์ EV จะพัฒนาไปสู่จุดดังกล่าว อาจมีอุปสรรค ทำให้ล่าช้า เพราะในสหรัฐฯ ผู้บริโภคยังลังเลที่จะยอมรับรถยนต์ EV เต็มที่

จุดแข็งของรถยนต์ EV

หนังสือ The Global Rise of the Modern Plug-In Electric Vehicle กล่าวอีกว่า รถยนต์ EV มีคุณสมบัติ 5 อย่างที่จะสร้างความสนใจแก่ลูกค้า คือ สมรรนะการขับขี่ที่ดีขึ้น ค่าใช้จ่ายในการขับขี่ที่ลดลง ค่าใช้จ่ายการดูแลและซ่อมแซมที่ลดลง ความสะดวกมากขึ้น และระดับเสียงน้อยลงในช่วงขับขี่

(1) ความได้เปรียบด้านสมรรถนะแบบรถแข่ง รถยนต์ EV มีแรงบิดมากกว่า โดยเริ่มตั้งแต่การออกตัว ทำให้อัตราเร่งดีกว่าและสม่ำเสมอกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ความได้เปรียบด้านอัตราการเร่งทำให้รถปิกอัพ EV มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จทางตลาดมาก แต่อัตราการเร่งเป็นส่วนหนึ่งของสมรรถนะการขับขี่ที่รวมถึงการเกาะถนน ลูกค้าที่เป็นเจ้าของรถยนต์ Tesla ให้ความนิยมในเรื่องการขับขี่และอัตราการเร่งของ Tesla

(2) ค่าใช้จ่ายในการขับขี่ลดลง ประโยชน์ที่จับต้องได้ของรถยนต์ EV คือค่าใช้จ่ายในการใช้งานลดลงเมื่อเทียบกับรถยนต์ใช้น้ำมัน เพราะน้ำมันคือค่าใช้จ่ายมากสุดของรถยนต์ใช้น้ำมัน แต่เป็นใช้จ่ายต่ำสุดของรถยนต์ EV

(3) ค่าใช้จ่ายการดูแลรักษาลดลง การออกแบบรถยนต์ EV เรียบง่ายกว่ารถยนต์ใช้น้ำมัน ใช้ชิ้นส่วนน้อยลงในระบบการส่งกำลังรถยนต์ ทำให้มีชิ้นส่วนน้อยที่จะสึกหรอจากการใช้งาน ไม่มีค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง จุดนี้เป็นความได้เปรียบของรถยนต์ EV สำหรับคนที่ใช้งานรถยนต์มาก รวมทั้งบริษัทรถเช่าหรือรถแท็กซี่

(4) ความสะดวกในการใช้งานแต่ละวัน เจ้าของรถยนต์ EV สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้จากที่บ้านและที่ทำงาน โดยไม่ต้องเสียเวลาไปที่สถานีน้ำมัน การใช้บริการชาร์จสาธารณะสะดวกกว่าการเติมน้ำมันที่สถานีน้ำมัน เพราะเจ้าของสามารถใช้เวลาไปซื้อสินค้าที่ศูนย์การค้าพร้อมกันไป

(5) เสียงรถยนต์น้อยลง ลักษณะพิเศษของรถยนต์ EV มีเสียงน้อยลงในช่วงการขับขี่ สิ่งนี้เป็นคุณประโยชน์ต่อคนขับและผู้โดยสาร มีรายงานศึกษาระบุว่า เสียงลดลงจากการขับรถยนต์ EV มีส่วนเพิ่มสุขภาพทางจิตใจให้แก่คนขับแท็กซี่ เพราะช่วยลดความเครียด แต่ก็เสี่ยงต่อคนเดินถนนหรือคนขี่จักรยาน เพราะไม่ได้ยินเสียงรถยนต์ที่เข้ามาใกล้

จุดอ่อนของรถยนต์ EV

หากรถยนต์ EV ไม่มีจุดอ่อนเลย การเปลี่ยนผ่านสู่การยอมรับจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ความเป็นจริงมีอยู่ว่า รถยนต์ EV มีจุดอ่อนอยู่ 5 อย่าง คือ ราคาขายสูง ระยะทางจากการชาร์จหนึ่งครั้ง เวลาที่นานในการชาร์จ อายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ไม่ชัดเจน และราคาขายต่อตกต่ำ

1. ต้นทุนการซื้อสูง ในตลาดสหรัฐฯ ราคาขายปลีกรถยนต์ EV สูงกว่าราคารถยนต์มาตรฐานอยู่ 6,000-17,000 ดอลลาร์ แม้กระนั้น บริษัทรถยนต์ยังขายรถยนต์ EV ขาดทุนต่อคัน Tesla ขาดทุนในการขาย Tesla Model 3 รุ่นราคาถูก แต่ไปได้กำไรจาก Tesla Model 3 รุ่นราคาแพง

ต้นทุนใหญ่ที่สุดคือ แบตเตอรี่ลิเทียมไอออน (lithium-ion battery) มีสัดส่วน 70-90% ของรถยนต์ EV แต่ต้นทุนแบตเตอรี่ก็ลดลงต่อเนื่อง จาก $1,000 ต่อ kWh ในปี 2010 มาที่ $200-$300 ต่อ kWh ในปี 2018 ในปี 2019-2020 ลดมาต่ำสุดที่ $150 ต่อ kWh มีการคาดการณ์กันว่า ต้นทุนการผลิตรถยนต์ EV จะเท่ากับต้นทุนรถยนต์ใช้น้ำมัน เมื่อต้นทุนแบตเตอรี่อยู่ที่ต่ำกว่า $150 ต่อ kWh มีการคาดการณ์กันว่า แนวโน้มต้นทุนแบตเตอรี่จะลดลงเหลือ $109 ต่อ kWh ในปี 2025 และ $73 ต่อ kWh ในปี 2030 เมื่อบวกกับปริมาณการผลิตที่มากขึ้น จึงคาดการณ์กันว่า ก่อนปี 2030 รถยนต์ EV จะมีต้นทุนการผลิตเท่ากับหรือว่าถูกกว่ารถยนต์ใช้น้ำมัน

2. ข้อจำกัดระยะทางวิ่ง ผู้บริโภคมีความกังวลเรื่องระยะทางวิ่งของรถยนต์ EV ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง รถยนต์ EV ที่มีระยะทางวิ่งน้อยกว่า 100 ไมล์ หรือ 160 กม. ไม่ประสบความสำเร็จทางการตลาด แม้การใช้รถยนต์เฉลี่ยแต่ละวันของประเทศต่างๆ จะแตกต่างกันไป จีนเฉลี่ยวันหนึ่งที่ 48 กม. สหรัฐฯ ที่ 43 กม. เยอรมัน 40 กม. และญี่ปุ่น 22 กม.

นักประวัติศาสตร์ชื่อ Brian Schiffer อธิบายเรื่องความกังวลในระยะทางของผู้บริโภคว่า พวกสนับสนุนรถยนต์ EV ในอดีตเคยอธิบายว่า รถยนต์ EV ระยะทางวิ่ง 40-96 กม. ก็พอแล้วสำหรับคนที่ขับรถในเมือง แต่คนพวกนี้มองข้ามบทเรียนในอดีตของรถยนต์ไฟฟ้าที่ว่า ผู้บริโภคเลือกเทคโนโลยีที่มาจากการคาดหวังต่อการใช้งานในระยะทางเต็มที่ ไม่ใช่จากค่าเฉลี่ย

3. ระยะเวลาชาร์จแบตเตอรี่ ทุกวันนี้สถานีชาร์จแบตเตอรี่มี 3 ระดับ คือใช้เวลา 12-18 ชม. 3-6 ชม. และการชาร์จที่ไวประมาณ 30 นาที ทั้ง 3 ระดับเทียบไม่ได้กับความสะดวกที่ผู้บริโภคเคยชินกับการเติมน้ำมัน 5 นาทีที่สถานีน้ำมัน ผู้ผลิตรถยนต์ EV บางรายโฆษณาว่า แบตเตอรี่รถยนต์ EV ตัวเองสามารถชาร์จได้ในเวลา 10-15 นาที แต่การผลิตแบตเตอรี่ดังกล่าวที่ชาร์จได้ไวจะมีต้นทุนสูงขึ้น ซึ่งคงไม่เป็นปัญหาสำหรับรถยนต์ EV ราคาแพง เช่น รถ Porche Taycan ราคา 92,550 ดอลลาร์ แต่คงใช้เวลาอีกหลายปี กว่าที่แบตเตอรี่ดังกล่าวจะนำมาใช้กับรถยนต์ EV รุ่นที่คนทั่วไปสามารถซื้อได้

4. ความไม่แน่นอนของอายุแบตเตอรี่ ความได้เปรียบเรื่องค่าใช้จ่ายการดูแลซ่อมรถยนต์ EV มีเรื่องแอบแฝงที่ไม่แน่นอนแต่สำคัญเรื่องหนึ่ง คือแบตเตอรี่รถยนต์เสีย และต้องเปลี่ยนใหม่ แม้โอกาสเกิดขึ้นจะมีน้อย แต่มีค่าใช้จ่ายสูง การคำนวณค่าใช้จ่ายการดูแลรถยนต์ EV ไม่ได้เอาเรื่องนี้มาพิจารณา เพราะไม่มีข้อมูลอายุการใช้งานช่วงครึ่งหลังของรถยนต์ EV ที่มีโอกาสแบตเตอรี่เสีย

การเปลี่ยนแบตเตอรี่มีค่าใช้จ่ายสูง ในสหรัฐฯ การเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ Nissan Leaf รุ่นปี 2011-2014 อยู่ที่ราคา 5,499 ดอลลาร์ การเปลี่ยน Module ของแบตเตอรี่ที่ไม่ใช่ตัวแบตเตอรี่ทั้งอันของ Tesla Model 3 ราคาอยู่ที่ 5,000-7,000 ดอลลาร์ เพื่อลดความกังวลของผู้บริโภค ผู้ผลิตรถยนต์จะรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ ที่เป็นมาตรฐานคือ 8 ปี หรือการใช้งาน 160,000 กม. เท่ากับครึ่งทางของอายุการใช้งานรถยนต์

5. ราคาขายรถมือสองตกลงมาก ในสหรัฐฯ ยกเว้น Tesla รถยนต์ EV ยี่ห้ออื่นมีราคาขายต่อที่ต่ำลงมาก รถยนต์ใช้น้ำมันทั่วไปค่าเสื่อมราคาตกปีละ 10-15% แต่ Nissan Leaf มีค่าเสื่อมปีละ 25-30% การที่รถยนต์ EV มือสองมีราคาต่ำ มาจากหลายสาเหตุ เช่น ระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่เสื่อมตามอายุ การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ทำให้รถยนต์ EV รุ่นใหม่มีแบตเตอรี่ที่มีระยทางวิ่งไกลมากขึ้น อัตราการเสื่อมของแบตเตอรี่ช้าลง แต่มีราคาเท่าเดิม แล้วทำไมต้องซื้อรถยนต์ EV มือสอง ที่แบตเตอรี่ล้าสมัย อาจรออีก 2-3 ปี ค่อยซื้อรถยนต์ EV ที่มีแบตเตอรี่คุณภาพดีกว่า

หนังสือ The Global Rise of the Modern Plug-In Electric Vehicle สรุปว่า การเปลี่ยนผ่านสู่การใช้รถยนต์ EV กำลังเกิดขึ้น แต่จะให้เป็นกระแสหลักของตลาดรถยนต์อาจต้องใช้เวลา ยกเว้นแต่ว่า รัฐบาลจะมีมาตรการสนับสนุน เพื่อกระตุ้นความนิยมให้เป็นกระแสหลัก

เอกสารประกอบ
These Countries Are Adopting Electric Vehicle the Fastest, September 14, 2023, www.wri.org
The Global Rise of the Modern Plug-In Electric Vehicle, John D Graham, Edward Elgar Publishing, 2021.