ThaiPublica > เกาะกระแส > ‘รถยนต์’ เจ้าพ่ออุตสาหกรรม มีกำหนดถึงแก่มรณะกรรม ปี 2030 เมื่ออายุครบ 145 ปี

‘รถยนต์’ เจ้าพ่ออุตสาหกรรม มีกำหนดถึงแก่มรณะกรรม ปี 2030 เมื่ออายุครบ 145 ปี

18 กันยายน 2022


รายงานโดย ปรีดี บุญซื่อ

ที่มาภาพ : https://us.knews.media/news/can-california-deliver-on-its-zero-emission-car-goal/

มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา อนุมัตินโยบายที่กำหนดว่า นับจากปี 2035 การขายรถยนต์ใหม่แทบทั้งหมดในรัฐ จะต้องเป็นรถยนต์ไฟฟ้า นโยบายดังกล่าวผ่านการเห็นชอบของ California Air Resources Board (CARB) หรือ หน่วยงาน “คุณภาพอากาศ” ของรัฐบาลท้องถิ่น รัฐแคลิฟอร์เนีย วัตถุประสงค์ของ CARB คือการรักษาคุณภาพอากาศ และป้องกันไม่ให้ประชาชนในรัฐ เผชิญกับสภาพอากาศเป็นพิษ

นโยบายของรัฐแคลิฟอร์เนียได้กำหนดระเบียบการขายรถยนต์ใหม่ ที่ใช้ไฟฟ้าให้เป็นแบบก้าวหน้า คือ ในปี 2026 จำนวนรถยนต์ใหม่ที่ขาย 35% ต้องเป็นรถไฟฟ้า และเพิ่มสัดส่วนทุกปีราว 6-8% เมื่อถึงปี 2035 ให้ยอดขายรถใหม่ ที่เป็นรถไฟฟ้าเพิ่มเป็น 100% แต่นโยบายนี้ไม่ห้ามการใช้รถยนต์ที่ยังใช้น้ำมัน และไม่ได้ห้ามการขายรถยนต์มือสอง CARB คาดว่า นโยบายนี้จะเป็นตัวอย่างให้แก่มลรัฐอื่น และประเทศต่างๆทั่วโลก

ที่มาภาพ : https://ww2.arb.ca.gov/news/california-moves-accelerate-100-new-zero-emission-vehicle-sales-2035

รถยนต์ เจ้าพ่ออุตสาหกรรม

หนังสือ The Car (2022) ที่เพิ่งออกวางตลาดกล่าวว่า รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ระบบสันดาบ (internal-combustion-engine – ICE) และควบคุมโดยคนขับ มีกำหนดการถึงแก่มรณะกรรมในปี 2030 เมื่อเวลานั้นมาถึง รถยนต์ที่คนเรารู้จักจะมีอายุมานาน 145 ปี
นโยบายของรัฐบาลประเทศต่างๆ และบริษัทรถยนต์ต่างก็จะให้รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle – EV) มาแทนที่รถยนต์แบบ ICE และต่อไปรถยนต์ EV ก็จะถูกแทนที่ด้วยรถยนต์แบบ AV (Autonomous Vehicle) คือรถยนต์อัตโนมัติไร้คนขับ เมื่อ “สมาร์ตซิตี้” จะทำหน้าที่ควบคุมระบบจราจรในเมืองและนอกเมือง ส่วน “สมาร์ตมอเตอร์เวย์” จะทำหน้าที่ควบคุมส่วนที่เหลือ

รถยนต์แบบใหม่ยังถูกเรียกว่ารถยนต์อยู่ โดยส่วนของตัวถังและล้อรถที่ยังเหมือนเดิมแล้ว ส่วนอื่นของรถยนต์แทบจะแตกต่างออกไป รถยนต์ไฟฟ้าไม่ต้องการระบบเกียร์ จุดนี้เพียงอย่างเดียว ก็เปลี่ยนแปลงประสบการณ์การขับรถยนต์แบบเดิมแทบทั้งหมด ที่คนขับเคยใช้เกียร์อัตโนมัติหรือเกียร์มือ ส่วนรถยนต์อัตโนมัติจะเป็นอีกก้าวหนึ่ง ที่ความชำนาญในการขับรถยนต์ กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีความหมายอะไรต่อไป
รถยนต์ใช้น้ำมันถือเป็นผลิตผลของยุคอุตสาหกรรม

การขับรถยนต์คันหนึ่งหมายถึงการไปเกี่ยวข้องกับเหล็กกล้า น้ำมัน ยางพารา พลาสติก กระจก หัวเทียน และเกียร์ ที่ทั้งหมดเคลื่อนไหวโดยมือและเท้าของคนขับ โรงงานผลิตรถยนต์จ้างงานหลายพันคน Peter Drucker ปรมาจารย์ด้านการบริหารจึงเรียก รถยนต์ว่าคือ “อุตสาหกรรมของอุตสาหกรรม”

หนังสือ The Car (2022) ที่มาภาพ : amazon.co.uk

เทคโนโลยีต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล โทรศัพท์มือถือ หรือตู้คอนเทนเนอร์ ได้รับการยอมรับว่า มีส่วนเปลี่ยนแปลงโลกเรา แต่รถยนต์เป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างผลกระทบอย่างมากกว่าต่อชีวิตและสภาพแวดล้อมของคนเรา

รถยนต์คือปัจจัยสำคัญที่ออกแบบให้กับทิวทัศน์ที่เราเห็น เช่น เครือข่ายถนน สถานีบริการน้ำมัน ศูนย์การค้า โรงแรมริมทาง และที่ตั้งร้านอาหารฟาสต์ฟู๊ด

แต่ปัจจุบันนี้ เป็นเรื่องตระหนักกันโดยทั่วไปว่า สิ่งที่ทำให้รถยนต์วิ่งได้ ก็คือสิ่งที่ทำให้โลกเราร้อนมากขึ้น เพราะก๊าซคาร์บอนไซด์ ที่รถยนต์ปล่อยออกมา สิ่งที่เป็นผลเสียกลับจากรถยนต์ มีน้ำหนักมากกว่าสิ่งที่เคยเป็นคุณประโยชน์ ปี 2030 คือปีที่จะเป็นจุดอวสานของรถยนต์ใช้น้ำมัน เพราะยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะมีมากกว่ารถยนต์แบบเครื่องยนต์สันดาป

รถยนต์ที่เปลี่ยนแปลงสังคม

รถยนต์ประดิษฐ์ขึ้นมาครั้งแรกในปี 1885 โดย Carl Benz ชาวเยอรมัน เป็นรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป 3 ล้อแบบแรก ที่มีสายการผลิตสู่ตลาดในปี 1888 ราคาในสมัยนั้นอยู่ที่ 600 มาร์ก หรือ 150 ดอลลาร์ เทียบกับค่าเงินในปัจจุบันคือ 4,524 ดอลลาร์ (135,720 ยาท) เดือนสิงหาคม 1888 มีการทดสอบขับจากเมือง Mannheim ไป Pforzheim ระยะทาง 88 กม. ทุกวันนี้ ในเยอรมันจะมีงานขบวนรถยนต์เก่า ขับในเส้นทางประวัติศาสตร์ในทุกสองปี เยอรมันถือว่าเป็นเส้นทางมรดกทางอุตสาหกรรมของมนุษยชาติ

แต่หนังสือ The Car ถือว่า รถยนต์ที่มีบทบาทเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงต่อสังคม คือ รถยนต์ของ Henry Ford รุ่น Model T โดยกล่าวว่า เดือนมีนาคม 1906 Woodrow Wilson อธิการบดีมหาวิทยาลัย Princeton ในเวลานั้น ที่ต่อมาได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯได้เคยกล่าวว่า

ไม่มีอะไรที่ทำให้ความคิดสังคมนิยม แพร่ระบาดในสหรัฐฯได้มากเท่ากับการใช้รถยนต์ เพราะรถยนต์สะท้อนความเย่อหยิ่งของคนมีฐานะมั่งคั่ง

Woodrow Wilson กล่าวถูกต้องว่า ในเวลานั้น รถยนต์เป็นของเล่นของคนร่ำรวย เป็นยานพาหนะในเชิงกีฬาและการขับเพื่อความบันเทิง แต่แนวคิดที่รถยนต์เป็นของเล่นของคนร่ำรวย หายสาบสูญไป เมื่อในปี 1923 อเมริการผลิตรถยนต์ 3.1 ล้านคัน และในจำนวนนี้ 1.8 ล้านคัน เป็นรถยนต์ Ford รุ่น Model T รถยนต์ไม่ได้ทำให้ความคิดสังคมนิยมแพร่ระบาด แต่กลับเป็นเรื่องของทุนนิยม

Henry Ford จึงกลายเป็นคนที่สร้างนวัตกรรมของผลิตภัณฑ์ ที่เป็นสัญลักษณ์ยุคสมัยใหม่ในศตวรรษที่ 20 เพราะคิดค้นระบบการผลิตแบบปริมาณมาก (mass production) ให้กับรถยนต์ จึงเท่ากับเป็นการสร้างตลาดใหญ่สำหรับผู้บริโภค ส่วน Alfred Sloan ผู้บริหารของบริษัท General Motors (GM) คือคนที่คิดค้นแนวคิดการตลาดสมัยใหม่ต่อผู้บริโภค ทั้งสองคนทำให้รถยนต์กลายเป็นสิ่งประดิษฐ์ ที่สร้างโลกสมัยใหม่ขึ้นมา

Ford Model T ของ Henry Ford ที่มาภาพ ; https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/1/12/1925_Ford_Model_T_touring.jpg/1280px-1925_Ford_Model_T_touring.jpg

หนังสือ The Car บอกว่า จากมุมมองทางธุรกิจ การผลิตรถยนต์ Ford Model T ขึ้นมาน่าจะเป็นสิ่งที่ผิดพลาดไร้สาระ รถยนต์รุ่นนี้ผลิตออกมาในช่วงปี 1908-1927 หรือนาน 19 ปี และเป็นรถยนต์รุ่นเดียวที่บริษัท Ford ผลิตออกมา นักวิเคราะห์ธุรกิจจะบอกว่า บริษัทที่มีสินค้าตัวเดียว คือกลยุทธ์ที่บ้าบิ่นและเสี่ยงมาก

แต่สำหรับ Henry Ford รถยนต์ Model T คือสิ่งที่สมบูรณ์แบบ เป็นรถยนต์แบบเดียวที่ประชาชนต้องการ และต้องการเป็นเวลานานด้วย แม้นักวิเคราะห์จะเรียกแนวคิดนี้ว่าเป็นกลยุทธ์ที่บ้าบิ่น แต่ผลออกมาก็พิสูจน์ว่า Henry Ford เป็นฝ่ายถูก เมื่อถึงปี 1927 ปีสุดท้ายการผลิต Ford Model T รถรุ่นนี้ผลิตออกมาทั้งหมด 15 ล้านคัน

Henry Ford ยังลดราคาจากครั้งแรกคันละ 825 ดอลลาร์ มาครั้งสุดท้ายที่คันละ 360 ดอลลาร์ Toyota อาจขายรถยนต์ Corolla มากกว่า เพราะผลิตทั้งหมด 44 ล้านคัน แต่ Ford Model T ของ Henry Ford ขายได้เป็นล้านคัน ในยุคที่โลกเรา มีรถยนต์จำนวนน้อยมาก

หนังสือ The Car อ้างคำพูดของ Henry Ford ที่กล่าวไว้ในปี 1907 ที่อาจเป็นคำพูดสรุปในสิ่งที่เป็น “แผนธุรกิจ” ของรถยนต์ Model T ว่า “ผมจะผลิครถยนต์ในปริมาณมาก เป็นรถที่ใหญ่พอสำหรับครอบครัว และขนาดเล็กพอที่คนๆหนึ่งจะสามารถจัดการดูแลได้ รถยนต์นี้จะสร้างจากวัตถุดีที่สุด จากคนมีฝีมือที่สุดที่ถูกจ้างมา โดยการออกแบบที่ง่ายที่สุด เท่าที่วิศกรรมสมัยใหม่ จะสามารถออกแบบมาได้ แต่ราคารถจะต่ำมาก ที่คนมีรายได้ดี จะสามารถเป็นเจ้าของ”

การปฏิวัติของรถยนต์ไฟฟ้า

รถฟ้า Model S ที่มาภาพ : https://en.wikipedia.org/wiki/Tesla_Model_S#/media/File:First_Tesla_Model_S_3rd_anniversary_2015_(cropped).jpg

หนังสือ The Car กล่าวว่า การที่จะเกิดยุครถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างเต็มที่ จำเป็นต้องมีนวัตกรรมด้านรถยนต์อีกครั้งหนึ่ง รถยนต์ไฟฟ้าเกิดขึ้นมาพร้อมกับรถยนต์ใช้น้ำมัน แต่มีอุปสรรคหลายอย่างทำให้เห็นว่า รถยนต์ไฟฟ้าไม่เหมาะกับโลกเรา เช่น ต้นทุนแบตเตอรี่สูงเกินการคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ การวิ่งมีรัศมีระยะใกล้ การชาร์จไฟเต็ม 100% ใช้เวลาหลายชั่วโมง ขาดสถานีชาร์จแบตเตอรี่ หากต้องวิ่งระยะไกล และผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าไม่มีกำไร เพราะผู้บริโภคไม่ยอมรับ และต้นทุนแบตเตอรี่สูงมาก

แต่ในปี 2012 ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง เมื่อรถยนต์ไฟฟ้า Model S ของ Tesla Motor ที่ Elon Musk เป็นเจ้าของ ออกสู่ตลาด Model S แสดงให้เห็นว่า เป็นรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับวิ่งถนนในเมืองและถนนทางหลวง เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มีคุณภาพและสมรรถนะสูง ราคาขายสำหรับตลาดบน

The New York Times เขียนวิจารน์ว่า รถยนต์ไม่ได้มีการเปลี่ยนขั้นมูลฐาน มานับตั้งแต่ที่มีการผลิตรถ Ford Model T ออกสู่ตลาด เมื่อ 100 กว่าปีมาแล้ว แต่ Tesla Model S คือการเปลี่ยนครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรมรถยนต์ รถฟ้า Model S ได้ปฏิวัติวงการรถยนต์ โดยพิสูจน์ว่า รถไฟฟ้าเป็นรถยนต์ที่พึงปรารถนา สามารถใช้งานได้อย่างดี และเป็นที่นิยมทั่วไป จุดนี้คือการปูทางสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่จะเกิดขึ้นกับรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคตข้างหน้า

รถยนต์ Tesla Model S เป็นรถยนต์ตลาดบน ราคา 77,000 ดอลลาร์ กลยุทธ์ของ Tesla เป็นแบบเดียวกับ Apple คือเริ่มต้นด้วยการเจาะตลาดพรีเมียม สินค้าออกแบบสวยงามกว่าคู่แข่ง ปี 2017 จึงมีรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model 3 สำหรับตลาดทั่วไป ราคา 35,000 ดอลลาร์ Model 3 กลายเป็นรถไฟฟ้าขายดีที่สุด จนถึงกลางปี 2020 ขายไปแล้วกว่า 500,000 คัน แต่ Tesla Model S กลายเป็นมาตรฐานทองคำของรถไฟฟ้า หรือ นวัตกรรมที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ (game changer)

ที่มาภาพ : https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/a/a6/Tesla_Model_S_at_a_Supercharger_station.jpeg/

Elon Musk ยังต้องการยกกระดับโดยการสร้างระบบนิเวศ ให้แก่การทำงานของรถไฟฟ้า Tesla เริ่มต้นจากเปลี่ยนสถานีเติมน้ำมัน ให้เป็นที่ชาร์จแบตเตอรี่ ต่อไป จะกลายเป็นสถานี ที่สนับสนุนช่วยเหลือแก่รถยนต์ที่ขับโดยปัญญาประดิษฐ์ ซี่งหมายความว่า วัฒนธรรมรถยนต์จะเป็นแบบดิจิทัลที่สมบูรณ์ ที่นักวิเคราะห์บางคนบอกว่า การขับรถยนต์จะเหมือนการเล่นวีดีโอเกม

แต่ก็มีเสียงวิจารน์เรื่องการบริการหลังการขายของรถไฟฟ้า Tesla แต่ Tesla ถือว่า รถไฟฟ้าต้องการการดูแลน้อยกว่ารถยนต์ใช้น้ำมัน จึงไม่จำเป็นต้องไปสร้างเครือข่ายศูนย์บริการใหญ่โต การบริการหลังการขายมีเพียงแค่สร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้าก็พอแล้ว เพราะฉะนั้น Tesla จะมีศูนย์บริการจำนวนหนึ่งเท่านั้น บวกด้วยหน่วยช่างเคลื่อนที่ ออกไปให้บริการลูกค้าที่ต้องการ

ประวัติศาสตร์รถยนต์ 137 ปีที่ผ่านมา บริษัทผู้ผลิตชั้นนำ เช่น BMW, Mercedes, Ford, GM, Volkswagen และ Toyota พิสูจน์ให้เห็นว่า การผลิตรถยนต์เป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะผลิตรถยนต์ในปริมาณมากเพื่อให้มีกำไร การเกิดขึ้นมาของรถไฟฟ้า Tesla Model S และ 3 อาจมีลักษณะคล้ายกับการเกิดขึ้นมาของ iPhone ในยุคที่ Nokia และ Blackberry ครองตลาดมือถือ ที่นักวิเคราะห์มองว่าเป็นตลาดที่อิ่มตัวแล้ว

แต่รถไฟฟ้าของ Tesla อาจทำให้ประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมรถยนต์ซ้ำรอยแบบเดียวกับโทรศัพท์มือถือ คนทั่วไปเคยคิดว่า รถไฟฟ้าคือรถยนต์ที่มีมอเตอร์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่กับ Elon Musk รถไฟฟ้าคือรถที่มีซอฟต์แวร์อยู่ที่ล้อรถยนต์ แบบเดียวกับสมาร์ทโฟน เพราะเหตุนี้ ในทุกวันนี้ รถไฟฟ้าของ Tesla จึงเป็นยี่ห้อเดียวที่ขายหมด และคนที่ต้องการซื้อ ก็ต้องรอการส่งมอบ

เอกสารประกอบ
The Car: The Rise and Fall of the Machine that Made the Modern World, Bryan Appleyard, Pegasus Books, 2022.
California Approves Ban on Gas-Powered Cars By 2035, August 25, 2020, forbes.com