ThaiPublica > คอลัมน์ > สำรวจมุมมองของคนเคยพยายามฆ่าตัวตาย เรื่องใกล้ตัววัยรุ่นยุคปัจจุบัน

สำรวจมุมมองของคนเคยพยายามฆ่าตัวตาย เรื่องใกล้ตัววัยรุ่นยุคปัจจุบัน

23 ตุลาคม 2023


เปรมปพัทธ ผลิตผลการพิมพ์

“เหมือนขึ้นจากน้ำแล้ว หายใจได้เต็มอก มองท้องฟ้าแล้วรู้สึกว่ามันสวยงาม ไม่ต้องกลัวตอนตกเย็นใกล้ค่ำอีกแล้ว” อดีตวัยรุ่นที่เคยพยายามฆ่าตัวตายกล่าวถึงในวันที่ความคิดดังกล่าวของเขาหายไปสนิท

ผู้ให้สัมภาษณ์เล่าว่า เขาในวัยมัธยม เคยมีความคิดจบชีวิตตนเอง เคยขังตัวเองไว้ในห้อง ไม่กินอะไรสามวัน มีเชือกผูกไว้ที่พัดลมติดเพดาน และมีดเล่มหนึ่งอยู่ในลิ้นชัก ถึงปัจจุบันรอยแผลบริเวณข้อมือจะจางลงจนไม่เหลือแล้ว แต่ความทรงจำถึงเรื่องราวต่าง ๆ ยังคงชัดเจน

“มันไม่ได้เกิดขึ้นทันที มันค่อย ๆ สะสมไปเรื่อย ๆ จน overwhelmed” เหตุการณ์ข้างต้นยังไม่นำไปสู่ประสบการณ์ทำร้ายตัวเอง จนกระทั่งเขาได้พบกับแฟนเข้า แฟนของเขาก็มีโรคทางอารมณ์เช่นกัน บวกกับสถานการณ์ความสัมพันธ์ย่ำแย่ ทำให้หลายครั้งเขาต้องทนอยู่ห้องคนเดียวเป็นเวลานาน ๆ

“เคยกินยาจนหมดกระปุก กินจนหลับไปเป็นวัน ๆ รู้สึกว่า คงไม่ตื่นมาอีกแล้ว แต่คงเป็นเพราะมันเป็นยาจิตเวชมั้ง เลยรอดมาได้” ผู้ให้สัมภาษณ์เปิดรูปขวดยาที่ตนเก็บไว้เป็น Collection ของสะสมให้ดู “เคยกระโดดออกจากรถตอนกำลังขับบนถนนครั้งหนึ่ง ตอนนั้นทะเลาะกับแฟน แล้วแฟนบอกว่า จะจับไปส่งโรงพยาบาลจิตเวช สุดท้ายก็กระโดดลงมา ได้แผลเต็มไปหมด” ผู้ให้สัมภาษณ์กล่าวต่อถึงอีกเหตุการณ์เฉียดตาย ที่แม้จะไม่ใช่ความพยายามฆ่าตัวตายก็ตาม

“คนอยากตาย ทุกวันมันก็ตื่นมาแล้วคิดทุกวันว่า วันนี้จะตายยังไงดี เลยพยายามนอนให้นานที่สุด ไม่ต้องตื่น แต่มันเป็นไปไม่ได้ พอตื่นมาแล้วก็กินข้าว แล้วก็ร้องไห้ ร้องไห้ทั้งวัน โดยเฉพาะเวลาท้องฟ้ามันเปลี่ยนสี พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน จนกลางคืนถึงจะหยุดร้องไห้”

ในกรณีของผู้ให้สัมภาษณ์ต้องเผชิญกับความรู้สึกและความคิดมาเป็นเวลากว่าหนึ่งปี

“วันหนึ่ง พอตื่นขึ้นมาก็ไม่ได้นึกแล้วเรื่องความตาย หัวมันโล่ง เหมือนไม่ได้นึกถึงมันอีกแล้ว”

พออารมณ์มั่นคงขึ้น และความตั้งใจว่า จะออกจากชีวิตอย่างนี้ให้ได้ บวกกับการกินยาและรักษาอย่างต่อเนื่อง ความคิดในการจบชีวิตตนเองก็เปลี่ยนไป ผู้ให้สัมภาษณ์เป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากความคิดดังกล่าว

ปัจจุบันข่าวการฆ่าตัวตายของวัยรุ่นและปัญหาการป่วยด้วยโรคซึมเศร้ากลายเป็นเรื่องใหญ่ของสังคม หากความตระหนักนี้นำไปสู่การแก้ไขคงจะช่วยลดความคิดหมดหวังกับชีวิตได้ “ทุกวันนี้มองว่า เราเก่งมากที่รอดมาได้ ที่ทนกับความรู้สึกนั้นอยู่ได้ตั้งนาน เรามองชีวิตสวยงามขึ้น มีสิ่งที่เราอยากทำ” ผู้ให้สัมภาษณ์ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการรักษากับจิตแพทย์แล้ว ความเข้าใจของคนรอบข้าง พื้นที่ที่ปลอดภัย และการอยู่ในความสัมพันธ์ที่แข็งแรงก็เป็นเรื่องสำคัญมากในการหายจากความคิดที่อยากจะทำร้ายตัวเอง

“เราหานักจิตวิทยาด้วย” นอกเหนือจากจิตแพทย์แล้ว ผู้ให้สัมภาษณ์ยังได้รับการแนะนำให้ไปหานักจิตวิทยาซึ่งเชี่ยวชาญกระบวนการที่เรียกว่า EDMR “เป็นกระบวนการให้เราจัดการกับความทรงจำเชิงลบ” นักจิตวิทยาวิเคราะห์ว่า สิ่งที่ผู้ให้สัมภาษณ์ประสบคืออาการ PTSD หรือ Post-traumatic Stress Disorder เป็นความผิดปกติทางใจที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจ หรือเหตุการณ์รุนแรงที่สร้างความกระทบกระเทือนอารมณ์อย่างหนัก “เค้า (นักจิตวิทยา) ทำให้เรารู้จักสิ่งที่เรียกว่า ความทรงจำเชิงบวก กับ ความทรงจำเชิงลบ แล้วก็ให้เรามองไฟที่วิ่งไปวิ่งมา พอเราทำแบบนี้ไปสักพัก ภาพในอดีตก็จะปรากฏขึ้นในหัว” ผู้ให้สัมภาษณ์รักษาด้วยกระบวนการนี้อยู่หลายครั้ง จนสามารถที่จะจัดการกับความทรงจำเชิงลบที่ตนเองเคยประสบได้มากขึ้น

“ทุกวันนี้ ถึงความคิดจะฆ่าตัวตายหายไป เราก็ยังกินยาและรักษาอยู่ แค่ตอนนี้ยาเหลือกินวันละเม็ด และไปหาจิตแพทย์เดือนละครั้ง เหมือนทำจนเป็นกิจวัตรไปแล้ว แต่ก็ทำแล้วสบายใจดี”

ผู้ให้สัมภาษณ์บอกว่า ในกรณีของเขานั้น เขาเคยพูดกับคนอื่น โดยเฉพาะกับแฟนอยู่ตลอดว่า อยากตาย เคยเขียนสิ่งที่ประสงค์ให้ทำ เช่น การจัดการทรัพย์สินหลังเสียชีวิตไว้ในกระดาษเอสี่ด้วย แต่ช่วงแรก ๆ ของการป่วยไข้ ไม่มีใครใส่ใจมันจริง ๆ “คน ๆ หนึ่งฆ่าตัวตาย หลายทีสังคมมองว่า เป็นเพราะตัวเขาคนนั้นคนเดียว เช่น เพราะเค้าเครียด เพราะผิดหวัง แต่ไม่ได้มองว่า คนรอบข้างมีส่วนมาก ๆ ที่ทำให้มันเกิดขึ้น” หากเราอยู่ในสังคม โรงเรียน ที่ทำงาน ครอบครัว ที่ผู้คนรักและรับฟังคนอื่น ๆ โดยเฉพาะคนที่กำลังเผชิญหน้ากับโรคซึมเศร้า สถานการณ์การฆ่าตัวตายก็คงจะดีขึ้นกว่านี้

“เรามีเพื่อนอีกคนที่เจอกันในโรงพยาบาล เค้าก็ไม่มีความคิดอยากฆ่าตัวตายแล้ว เค้าเพิ่งไปทำงานพาร์ทไทม์ในร้านอาหารที่อเมริกา ได้เจอเพื่อนใหม่ ๆ ได้ประสบการณ์ชีวิต เพื่อนเคยบอกว่า ชีวิตมันสนุกขึ้น เพราะความคิดแบบนั้นหายไป เหมือนมีสิ่งที่รอให้ทำอีกมาก”

ผู้เขียนสังเกตว่า อินสตาแกรมของผู้ให้สัมภาษณ์หลังจากความคิดนี้เปลี่ยนไป ก็กลับมาโพสต์ภาพบ่อยขึ้น และยังเป็นภาพไปกินอาหารอร่อย ๆ และไปเที่ยวที่ต่าง ๆ