ThaiPublica > Sustainability > Headline > สภาพัฒน์ฯเผยผลพัฒนาตามแผนฉบับ 12 คนจนลดลง แนะเปลี่ยนโมเดลพัฒนาสู่ Green & Inclusive Growth

สภาพัฒน์ฯเผยผลพัฒนาตามแผนฉบับ 12 คนจนลดลง แนะเปลี่ยนโมเดลพัฒนาสู่ Green & Inclusive Growth

18 กันยายน 2023


นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

วันที่ 18 กันยายน 2566 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ จัดประชุมประจำปี 2566 เรื่อง “Transitioning Thailand : Coping with the Future” ณ ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ เพื่อนำเสนอผลการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในช่วง 6 ปีที่ผ่านมาของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 และความก้าวหน้าการขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 ในช่วง 1 ปีแรก รวมทั้งแลกเปลี่ยนแนวคิด มุมมอง และข้อเสนอแนะแนวทางการปรับตัวเพื่อรับมือกับความเสี่ยงต่าง ๆ และผลกระทบจากบริบทโลก ให้สามารถขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

การพัฒนาที่ผ่านมาในช่วงแผนฯ 12

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า ผลการพัฒนาในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2565) ตามเป้าหมายของแผนฯ ทั้ง 6 เป้าหมาย สรุปได้ดังนี้

เป้าหมายที่ 1 การพัฒนาและเสริมสร้างทรัพยากรมนุษย์ พบว่า คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้รับการพัฒนาที่เหมาะสม โดยเด็กปฐมวัยมีพัฒนาการเต็มตามศักยภาพ สมวัย พิจารณาจากทักษะทางด้านภาษา ด้านการเจริญเติบโตของร่างกาย และการปรับตัวในสังคมเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 95.90 ในปี 2560 เป็นร้อยละ 97.78 ในปี 2565 สูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ร้อยละ 85 แต่การออมส่วนบุคคลต่อรายได้พึงจับจ่ายใช้สอยมีแนวโน้มลดลง และผู้สูงอายุที่มีงานทำมีสัดส่วนน้อยและอยู่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม

เป้าหมายที่ 2 การลดความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้และความยากจน พบว่า ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ และสถานการณ์ความยากจนปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสัดส่วนประชากรใต้เส้นความยากจนปรับตัวลดลงจากร้อยละ 7.83 ในปี 2560 เหลือร้อยละ 6.32 ในปี 2564 ซึ่งบรรลุเป้าหมายของแผนฯ

    สำหรับเศรษฐกิจฐานรากมีความเข้มแข็งและชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ จากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าสินค้าชุมชนต่อเนื่องจากปี 2560 โดยรายได้จากการจำหน่ายสินค้า OTOP จำนวน 153,467 ล้านบาท เป็น 244,778 ล้านบาท ในปี 2565 เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยมีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 59.5 เมื่อเทียบจากปี 2560

    ขณะที่การพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาและระบบสาธารณสุขดีขึ้น แต่ยังมีปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาและบริการทางการแพทย์ในพื้นที่ห่างไกล โดยด้านการศึกษาในภาพรวม พบว่าผลคะแนนเฉลี่ยการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ทุกระดับชั้น (ป.6 ม.3 และ ม.6) ในปี 2564 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 36.75 จากร้อยละ 36.25 และ 35.97 ในปี 2560 และปี 2562 ตามลำดับ

เป้าหมายที่ 3 ระบบเศรษฐกิจมีความเข้มแข็งและแข่งขันได้ พบว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในช่วงแผนฯ 12 ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องจากเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากปัจจัยหลายประการ เช่น มาตรการการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนในปี 2562 และสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในปี 2563 อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 เริ่มคลี่คลาย ประกอบกับการดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจของภาครัฐ ทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2564 กลับมาขยายตัวได้ร้อยละ 1.5 และร้อยละ 2.6 ในปี 2565 ส่วนภาคการท่องเที่ยว พบว่าไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยว 3.01 ล้านล้านบาท ในปี 2562 ก่อนที่จะปรับตัวลดลงมากในปี 2563 เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 แต่เริ่มกลับมาฟื้นตัวและเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2565

ทั้งนี้ เกษตรกรมีรายได้เงินสดสุทธิทางการเกษตรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 58,975 บาทต่อครัวเรือน ในปี 2560 เป็น 78,322 บาทต่อครัวเรือน ในปี 2564 ซึ่งบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ให้มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 59,460 บาทต่อครัวเรือน รวมทั้งพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืนเพิ่มขึ้น จาก 1.08 ล้านไร่ ในปี 2560 เป็น 6.15 ล้านไร่ ในปี 2564 ซึ่งบรรลุค่าเป้าหมายที่กำหนดให้เพิ่มขึ้นเป็น 5 ล้านไร่ ในปี 2564 และไทยมีค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 84,671 ล้านบาท ในปี 2558 เพิ่มเป็น 208,010 ล้านบาท ในปี 2563 และข้อมูลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันโดยสถาบัน IMD ในปี 2565 พบว่า ค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทยเพิ่มขึ้นจาก 6,219 ล้านเหรียญสหรัฐ ใน 2564 เป็น 6,647 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2565 และค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GERD/GDP) เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.14 ในปี 2562 เป็นร้อยละ 1.33 ในปี 2563 เข้าใกล้เป้าหมายที่กำหนดของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ที่ร้อยละ 1.5

เป้าหมายที่ 4 การเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พบว่า การบริหารจัดการน้ำประเทศไทยมีระบบประปาหมู่บ้านเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 94.83 ของหมู่บ้านทั้งหมด (66,764 หมู่บ้าน) ในปี 2561 เป็นร้อยละ 95.54 ของหมู่บ้านทั้งหมด (67,264 หมู่บ้าน) ในปี 2564 ต้นทุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหน่วย (บาทต่อตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า) มีแนวโน้มลดลง แม้ว่าปัจจุบันยังไม่มีการจัดเก็บข้อมูล แต่หากเปรียบเทียบปริมาณการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศในภาคพลังงาน พบว่า ปี 2564 มีปริมาณ 23.46 ตัน CO2 ต่อจีดีพี 1 ล้านบาท โดยในช่วงปี 2540 – 2562 มีแนวโน้มลดลง ซึ่งเป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ดี พื้นที่ป่าไม้ในปี 2565 คิดเป็นร้อยละ 31.6 ของพื้นที่ประเทศ ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายของแผนที่กำหนดไว้ร้อยละ 40 ของพื้นที่ประเทศ และพบว่า ชนิดพันธุ์และประชากรของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในภาวะถูกคุกคาม หรือใกล้สูญพันธุ์มีจำนวนเพิ่มขึ้น การลด/ ควบคุมมลพิษ การกำจัดขยะมูลฝอย การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังเป็นปัญหาที่ต้องให้ความสำคัญ

เป้าหมายที่ 5 ความมั่นคง พบว่า สถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีแนวโน้มดีขึ้น ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงลดลงจาก 166 ครั้ง ในปี 2560 เป็น 108 ครั้งในปี 2565 (ข้อมูล ณ วันที่ 13 ธันวาคม 2565) สอดคล้องกับมูลค่าความเสียหายจากความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งพิจารณาจากงบประมาณในการช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายจากเหตุการณ์ความไม่สงบที่ลดลงจาก 150.27 ล้านบาท ในปี 2560 เป็น 76.15 ล้านบาท ในปี 2565 และพบว่า ประเทศไทยค่อนข้างมีความปลอดภัยทางไซเบอร์ โดยจำนวนการถูกคุกคามทางไซเบอร์ลดลงจาก 3,237 ครั้ง ในปี 2560 เหลือ 2,279 ครั้งในปี 2565 อย่างไรก็ตาม ดัชนีความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์โลก (Global Cybersecurity Index) ของไทยอยู่ที่ อันดับที่ 44 ในปี 2563 ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ให้อยู่ต่ำกว่าอันดับที่ 10 ของโลกภายในปี 2565

เป้าหมายที่ 6 การพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ พบว่า สัดส่วนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในแต่ละประเภทที่ได้รับรางวัลการบริหารจัดการที่ดีต่อองค์กรปกครองส่วนทั้งถิ่นทั้งหมดเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 1.68 ในปี 2560 เป็นร้อยละ 3.45 ในปี 2565 ในขณะที่อันดับประสิทธิภาพในการบริหารจัดการของภาครัฐไทยอยู่ในอันดับที่ 2 ของอาเซียน บรรลุเป้าหมายของแผนฯ ที่กำหนดให้ไทยอยู่ในอันดับ 2 ของอาเซียนเมื่อสิ้นสุดแผนฯ แต่ในภาพรวมประเทศไทยมีอันดับลดลงจากการจัดอันดับของ IMD พบว่า ในปี 2565 ไทยมีอันดับประสิทธิภาพภาครัฐ (Government Efficiency) อยู่อันดับที่ 31 (จากทั้งหมด 63 ประเทศ/เขตเศรษฐกิจ) ลดลงจากอันดับที่ 20 ในปี 2560

การขับเคลื่อนแผนฯ 13 ใน 1 ปีที่ผ่านมา

เลขาธิการฯ กล่าวต่อไปว่า สำหรับการขับเคลื่อนแผนฯ 13 ใน 1 ปีที่ผ่านมา ได้ดำเนินการดังนี้
มิติที่ 1 ภาคการผลิตและบริการเป้าหมาย โดยส่งเสริมการยกระดับ Smart Product และ Smart Farming สร้างมูลค่าเพิ่มอุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ ส่งเสริมการพัฒนาและใช้ยานยนต์ไฟฟ้า แผนขับเคลื่อนไทยด้วยดิจิทัล ยกระดับการท่องเที่ยว ด้วยแนวคิด BCG และ Soft Power (5F) และมาตรการส่งเสริมการลงทุน และมาตรการให้วีซ่าแบบ LTR

มิติที่ 2 โอกาสและความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคม โดยการเพิ่มศักยภาพ SME พัฒนาตัวชี้วัดความยั่งยืนของเมือง จัดประชารัฐสวัสดิการ นำนักเรียน 121,050 คน กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา จัดสวัสดิการช่วยเหลือเด็กเล็กและผู้สูงอายุ และเชื่อมโยงฐานข้อมูลสวัสดิการของรัฐ

มิติที่ 3 ความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม โดยส่งเสริมและนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการความเสี่ยง การให้ความรู้ด้านการป้องกัน ลดผลกระทบและรับมือภัยธรรมชาติ ขับเคลื่อนและยกระดับธุรกิจ SME ด้วย BCG Model และบริหารจัดการทรัพยากรและขยะอย่างเป็นระบบ มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

มิติที่ 4 ปัจจัยผลักดันการพลิกโฉมประเทศ มีการพัฒนาคนไทยในทุกช่วงวัยและทุกมิติ พัฒนาแรงงานให้มีทักษะและสมรรถนะสูง ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต เปิดศูนย์กลางข้อมูลเปิดภาครัฐ และสนับสนุน Digital Transformation ในภาครัฐ

ความเสี่ยงที่ประเทศไทยต้องเผชิญในอนาคต

เลขาธิการฯ กล่าวด้วยว่า สภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) ได้เผยแพร่ รายงานความเสี่ยงโลกประจำปี 2566 (Global Risks Report 2023) โดยสำรวจความเห็นผู้เชี่ยวชาญจากภาคเอกชนที่มีต่อความเสี่ยงโลกที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระยะสั้นและระยะยาว ประกอบด้วย 5 มิติ ได้แก่ มิติเศรษฐกิจ มิติสังคม มิติสิ่งแวดล้อม มิติภูมิรัฐศาสตร์ และมิติเทคโนโลยี โดยความเสี่ยงกำลังเกิดขึ้นหรือคาดว่าจะเกิดภายในไม่เกิน 2 ปี คือ วิกฤตค่าครองชีพสูง/เงินเฟ้อ ภัยพิบัติทางธรรมชาติและสภาพอากาศรุนแรงสุดขั้ว การเผชิญหน้าทางภูมิรัฐศาสตร์ และการแตกความสามัคคีในสังคมและการแบ่งขั้วในสังคม

ส่วนความเสี่ยงที่มีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้นในระยะยาวภายในช่วง 10 ปีข้างหน้า ส่วนใหญ่เป็นวิกฤตการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งเกิดจากการไม่สามารถจัดการกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้ ประกอบกับแรงหนุนจากแนวโน้มทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ จะนำไปสู่ความเสี่ยงจากการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและการล่มสลายของระบบนิเวศ (Biodiversity loss and ecosystem collapse)อาชญากรรมและความไม่ปลอดภัยทางไซเบอร์ (Widespread cybercrime and cyber insecurity) รวมถึงการย้ายถิ่นฐานขนาดใหญ่โดยไม่สมัครใจ (Large-scale involuntary migration) ซึ่งจะกลายเป็นภัยคุกคามใหม่ต่อเสถียรภาพของโลก

โดยสรุป 5 ความเสี่ยงหลักส่งผลต่อความมั่นคงของโลก คือ

    1. ระบบเศรษฐกิจผันผวน ความผันผวนของระบบเศรษฐกิจและการเงินโลก ส่งผลต่อการเกิดวิกฤตค่าครองชีพ และหนี้ครัวเรือน
    2. ทรัพยากรขาดแคลน วิกฤตด้านอาหาร เชื้อเพลิง และต้นทุน ทำให้ความเปราะบางทางสังคมรุนแรงขึ้น
    3. ภูมิรัฐศาสตร์ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์กระตุ้นให้เกิดสงครามทางเศรษฐกิจและความขัดแย้งต่าง ๆ
    4. สังคมเปราะบาง ไม่เท่าเทียม ขาดความสามารถในการฟื้นตัว การลงทุนในมนุษย์ที่ลดลง มีผลต่อการลดลงของความสามารถในการฟื้นตัวของสังคมในอนาคต และ
    5. ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีส่งผลให้ความไม่เท่าเทียมในสังคมรุนแรงขึ้น การถูกจารกรรมข้อมูลจากระบบที่ไม่ปลอดภัย ส่งผลต่อสังคมที่ทำให้ผู้คนสูญเสียทรัพย์ และส่งผลด้านภูมิรัฐศาสตร์ในด้านการก่อการร้าย

ประเทศไทยควรเปลี่ยนผ่านไปสู่โมเดลการพัฒนาแบบไหน

เลขาธิการฯ กล่าวว่า แนวคิดการเปลี่ยนผ่านประเทศไทย จึงต้องพิจารณาจากความท้าทายในการเผชิญความเสี่ยงของโลก แนวคิดการเติบโตสีเขียว (Green Growth) เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงแนวคิดการเติบโตอย่างมีส่วนร่วม (Inclusive Growth) เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างทั่วถึง เท่าเทียม นำไปสู่การสร้างภูมิคุ้มกันให้ประเทศเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

การเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่โมเดลการพัฒนาใหม่ จึงมุ่งเน้นที่การพัฒนาที่เศรษฐกิจมีการเติบโต (Growth) อย่างยั่งยืน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green) โดยสร้างโอกาสและความเท่าเทียมในสังคม (Inclusive) ภายใต้การบริหารจัดการที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ