รายงานโดย ปรีดี บุญซื่อ

เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมา ระบบสาธารณสุขของอังกฤษ ที่ค่าใช้จ่ายดำเนินงานอาศัยเงินงบประมาณจากผู้เสียภาษี และมีชื่อเรียกว่า
“บริการสาธารณสุขแห่งชาติ” หรือ NHS (National Health Service) มีอายุครบ 75 ปี เพราะตั้งขึ้นมาครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 1948
แต่เว็บไซต์ theguardian.com รายงานว่า ในวาระครบรอบ 75 ปี การบริการของ NHS เต็มไปด้วยปัญหามากมาย เช่น คนไข้ต้องรอเป็นเวลานานขึ้น ในการเข้ารับการรักษาโรคไม่เร่งด่วน ตัวเลขในเดือนเมษายน 2023
คนไข้ต้องรอนานเฉลี่ย 13.8 สัปดาห์ นอกจากนี้ บุคลากรทางการแพทย์ ก็มีขวัญกำลังใจตกต่ำ
แต่รายงานการศึกษาต่าง ๆ เรื่องบริการสาธารณสุขก็มีความเห็นตรงกันว่า การบริการสาธารณสุขจะได้ผลและมีประสิทธิภาพขึ้นกับ 2 อย่าง
คืองบประมาณและจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ นับจากก่อตั้งขึ้นมาในปี 1948 งบประมาณ NHS เพิ่มขึ้นปีละ 3.6% ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขระบุว่า ปีหนึ่งต้องเพิ่มประมาณ 4% เพื่อให้การดำเนินงานของ NHS มีประสิทธิภาพสูง ส่วนบุคลากรการแพทย์ก็ขาดแคลนถึง 112,498 คน หรือ 8% ของพนักงาน องค์กรที่จ้างงานมากสุดในโลก
แม้ NHS จะเผชิญสถานการณ์การยากลำบาก เช่น ประชากรในอังกฤษสูงอายุมากขึ้น และงบประมาณจำกัด แต่ NHS ก็อยู่เหนือความขัดแย้งทางความคิดของพรรคการเมืองในอังกฤษ ในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง ทั้งพรรคอนุรักษ์นิยมและพรรคแรงงาน ต่างก็หาเสียงแข่งขันว่า
ใครจะให้งบประมาณแก่ NHS มากกว่ากัน

Nigel Lawson อดีตรัฐมนตรีคลังสมัยรัฐบาลนางมาร์กาเร็ต แธตเชอร์เคยเขียนไว้ว่า “บริการสาธารณสุขของอังกฤษคล้ายกับศาสนา บุคลากรทางการแพทย์ เหมือนพวกนักบวช ทำให้ยากต่อการปฏิรูป”
ในแต่ละปี NHS ได้งบประมาณ 152 พันล้านปอนด์ มีพนักงาน 1.6 ล้านคน ถือเป็นหนึ่งในองค์กรที่จ้างงานมากที่สุดของโลก พอๆกับ McDonald และ Walmart
ระบบบริการสาธารณสุขของอังกฤษได้รับเงินสนับสนุนจากภาษีที่เก็บทั่วไป การให้บริการไม่มีค่าใช้จ่าย ต่างจากระบบบริการสาธารณสุขในยุโรปที่งบประมาณมาจากระบบประกันสุขภาพ ที่ผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินส่วนหนึ่ง
ต้นกำเนิด NHS
หนังสือชื่อ The NHS เขียนไว้ว่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลอังกฤษภายใต้การนำของพรรคแรงงาน เสนอแผนงานรัฐสวัสดิการแบบครอบคลุมทั่วด้าน “การบริการสาธารสุขแห่งชาติ” ที่ไม่มีค่าใช้จ่ายในจุดบริการ คือสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของแผนงานนี้
วันที่ 6 พฤศจิกายน 1946 รัฐสภาอังกฤษผ่านกฎหมาย NHS Act วันที่ 5 กรกฎาคม 1948 เป็นวันแรกที่เริ่มดำเนินงานของ NHS เด็กหญิงอายุ 13 ปี ชื่อ Sylvia Diggery เป็นคนไข้คนแรก ที่ได้รับการดูแลรักษาภายใต้การดำเนินงานของ NHS รัฐมนตรีสาธารณสุข Aneurin Bevan ที่เป็นหัวแรงสำคัญในการสร้างระบบบริการสาธารณสุขของ NHS ขึ้นมาได้ไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาลเมือง Manchester

Sylvia Diggery จำได้ในสิ่งที่รัฐมนตรีสาธารณสุขถามกับเธอว่า “รู้หรือไม่ถึงความสำคัญของโอกาสครั้งนี้ และบอกกับฉันว่า
สิ่งนี้คือเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ เป็นก้าวแห่งอารยะที่สำคัญที่สุด ที่ประเทศใดหนึ่งได้มีการดำเนินการ เป็นวันที่ฉันจะจดจำไปตลอดชีวิต แน่นอนว่าเขากล่าวได้ถูกต้อง”
ก่อนหน้านี้ในเดือนกุมภาพันธ์ 1948 กระทรวงสาธารสุขอังกฤษ ได้ส่งเอกสารแผ่นพับชี้แจงให้แก่ทุกครัวเรือนในอังกฤษ โดยเขียนไว้ว่า “ทาง NHS จะให้การดูแลทางการแพทย์ การรักษาฟัน และการพยาบาล คนทุกคน ไม่ว่าจะร่ำรวยหรือยากจน ผู้ชายผู้หญิง หรือเด็ก สามารถใช้บริการนี้ หรือเป็นบางส่วนจะไม่มีการคิดค่าบริการใดๆ ยกเว้นบางรายการพิเศษ จะไม่มีการกำหนดคุณสมบัติผู้ใช้บริการ ที่ต้องมีการทำประกันสุขภาพ แต่สิ่งนี้ไม่ใช่ “การกุศล” พวกคุณทุกคนคือคนที่จ่ายเงินเพื่อสิ่งนี้ ส่วนใหญ่ในฐานะผู้เสียภาษี และบริการนี้จะช่วยบรรเทาความวิตกกังวล เรื่องเงินทองในยามเกิดเจ็บไข้ได้ป่วย”
NHS ให้บริการสาธารณสุขที่ครอบคลุมคนอังกฤษทุกคน และคนที่มีถิ่นที่อยู่ถาวรในอังกฤษ ถือเป็นระบบประกันสุขภาพที่ได้รับเงินทุนมาจากองค์กรเดียว และรัฐเป็นเจ้าของคนไข้ สามารถเลือกแพทย์ที่จะผู้ดูแลสุขภาพเบื้องต้น และหากจำเป็นแพทย์คนนั้นเป็นผู้ส่งต่อคนไข้ไปโรงพยาบาล

คนอังกฤษสามารถเข้ารับการรักษาในจุดไหนก็ได้ในอังกฤษ วัตถุประสงค์ของ NHS คือให้บริการสาธารณสุข โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในจุดบริการคนที่มีถิ่นที่อยู่ในอังกฤษที่ใช้บริการจึงไม่ต้องเสียเงิน
ส่วนคนที่ไม่มีถิ่นที่พักถาวรสามารถได้รับการรักษาฉุกเฉิน และการดูแลสุขภาพเบื้องต้นโดยไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ต้องเสียค่าใช้จ่าย หากมีการดูแลสุขภาพที่ต่อเนื่องจากนั้น
บริการสาธารณสุขเบื้องต้นของ NHS ได้แก่การตรวจโรค การดูแลการป่วยเรื้อรัง การผ่าตัดเล็ก การจ่ายยาคนป่วยนอก และการวางแผนครอบครัว การเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลมาจากการส่งตัวของแพทย์ที่ดูแลเบื้องต้น หรือในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งคนป่วยจะไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ
ปัญหาท้าทายของ NHS
หนังสือ Which Country Has the World’s Best Health Care? กล่าวถึงปัญหาท้าทายของ NHS ว่า ระบบสาธารณสุขของอังกฤษ มีชื่อเสียงในเรื่องบริการที่กว้างขวาง ทั้งในแง่ของการครอบคลุมทั่วถึงและการเข้าถึงการบริการ คนอังกฤษสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขพื้นฐานและสามารถเลือกสถานที่บริการการบริการพื้นฐานและในโรงพยาบาลไม่มีค่าใช้จ่ายในจุดให้บริการ
สิ่งที่เป็นจุดแข็งที่สุดของ NHS คือความไว้วางใจของสังคมและการทุ่มเทของคนอังกฤษที่ให้กับ NHS คนอังกฤษไม่ต้องการที่จะให้นำเอาระบบอื่นมาแทน NHS แต่ต้องการให้ NHS สามารถดำเนินงานได้อย่างเต็มที่ แต่ความสำเร็จในอนาคตข้างหน้าของ NHS อยู่ที่การเอาชนะปัญหาท้าทายสำคัญ 4 อย่าง
ปัญหาแรกคือ การขาดแคลนบุคลากร จำนวนแพทย์ไม่ได้เพิ่มขึ้นตามสัดส่วนประชากร มีพยาบาลลาออกปีหนึ่ง 33,000 คน ทุกวันนี้ มีตำแหน่งงานว่างใน NHS มีถึง 100,000 ตำแหน่ง หากไม่สามารถแก้ปัญหานี้ ตำแหน่งงานที่ว่างจะเพิ่มถึง 250,000 ตำแหน่งภายใน 10 ปีข้างหน้า
NHS ก็ยอมรับว่าปัญหากดดันที่สุดคือบุคลากรขาดแคลน สาเหตุสำคัญคือเรื่องค่าตตอบแทน ค่าตอบแทนของแพทย์ในอังกฤษสูงพอ ๆ กับในยุโรป แต่ของพยาบาลอยู่ที่ปีหนึ่ง 31,500-94,000 ดอลลาร์ ขึ้นกับประสบการณ์ จะต่ำอย่างมากเมื่อเทียบกับในยุโรป ในสวิส รายได้พยาบาลเฉลี่ยปีหนึ่ง 57,234 ดอลลาร์
ปัญหาท้าทายที่ 2 คือโรงพยาบาล คนไข้อยู่ติดเตียงพยาบาลนาน อัตราการใช้เตียงในโรงพยาบาลสูงอังกฤษสูงถึง 85% ทำให้ไม่สามารถรับมือกับความต้องการที่พุ่งขึ้นฉับพลัน เช่น คนไข้เป็นไข้หวัดใหญ่มากขึ้นในช่วงฤดูกาล การแก้ปัญญานี้คือการลงทุนด้านพื้นฐานการบริการดูแลคนป่วยที่อยู่กับบ้านมากขึ้น หรือเพิ่มเตียงในสถานพยาบาลดูแลคนสูงอายุ
ปัญหาท้าทายที่ 3 คือ การเข้าคิวรอนานเพื่อรับบริการ ทั้งการนัดหมายแพทย์ และการเข้ารับการผ่าตัด ปัญหานี้ทำให้คนทั่วไปไม่ต่อใจต่อ NHS แต่ทั้งปัญหาบุคลากร การยึดครองเตียง และการรอคิวเข้ารับบริการ สามารถโยงสาเหตุไปสู่ปัญหาที่ 4 ของ NHS คือเรื่องงบประมาณ งบประมาณสาธารณสุขของอังกฤษมีสัดส่วน 9.6% ของ GDP แต่เยอรมัน ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ หรือสวิส ใช้งบประมาณที่มากกว่า 10% ของ GDP

หนังสือ Which Country Has the World’s Best Health Care? สรุปว่าแม้จะมีเสียงวิจารณ์มากมาย แต่ NHS สามารถทำงานได้ค่อนข้างดีการดูแลด้านสาธารณสุขมีคุณภาพเท่าเทียมกับประเทศชั้นนำอื่นในยุโรป โดยที่ผู้รับบริการไม่ต้องออกค่าใช้จ่ายร่วม ปัญหาส่วนใหญ่และความไม่พอใจที่มีต่อ NHS ไม่ใช่เรื่องระบบหรือโครงสร้าง แต่เป็นปัญหาสะสมย้อนหลังมานาน ในเรื่องที่ NHS ได้รับงบประมาณไม่พอเพียง
เอกสารประกอบ
Locked in a death spiral: the state of the NHS at 75, 3 July 2023, theguardian.com
The NHS: Britain’s National Health Service, 1948-2000, Susan Cohen, 2020.
Which Country Has the World’s Best Health Care? Ezekiel J. Emanuel, Public
Affairs, 2020.