ศาลฎีกาพิพากษาเป็นคดีที่ 3 กลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ – ให้ยกฟ้องคดีที่กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เรียกค่าเสียหาย “ชาญชัย อิสระเสนารักษ์” ในข้อหาหมิ่นประมาท รวม 8 คดี เป็นเงิน 720 ล้านบาท พร้อมกับสั่งให้โจทก์จ่ายค่าธรรมเนียมขึ้นศาล – ค่าทนายความให้จำเลยอีก 500,000 บาท ยืนยันยังคงเดินหน้าดำเนินคดีเอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้อง – ตามเงินคืนแผ่นดินต่อไป
เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2566 เวลา 9.00 น.ศาลแพ่ง (ถนนรัชดาภิเษก) นัดฟังคำพิพากษาของศาลฎีกา ที่ 4547/2565 เป็นคดีความทางแพ่ง ระหว่างกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ อันได้แก่ บริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด โจทก์ที่ 1 , บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด โจทก์ที่ 2 และบริษัท คิงเพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด เป็นโจทก์ที่ 3 ยื่นฟ้องนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตรองประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษา เสนอแนะมาตรการและกลไกในการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เป็นจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานละเมิด กรณีที่นายชาญชัยนำผลการตรวจสอบการดำเนินงานต่างๆตามสัญญาจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (ดิวตี้ฟรี) และสัญญาบริหารจัดการพื้นที่เชิงพาณิชย์ภายในท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ไปให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ทำให้โจทก์ทั้งสามเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงขอให้ศาลแพ่งสั่งให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสาม รวมเป็นเงินประมาณ 720 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเงินให้โจทก์เสร็จสิ้น และให้ลงโฆษณาคำพิพากษาฉบับเต็มในหน้าหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เดลินิวส์ มติชน ข่าวสด เดอะเนชั่น สยามรัฐ คมชัดลึก ผู้จัดการรายวัน 360 องศา และผู้จัดการสุดสัปดาห์ 360 องศา เป็นเวลา 15 วัน ติดต่อกัน
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำฟ้องของโจทก์ ต่อมา ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ 1 (นายชาญชัย) ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสามเป็นเงิน 3 ล้านบาท และชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ 1 และ โจทก์ที่ 3 อีก เป็นเงิน 1 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินให้โจทก์เสร็จสิ้น และให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมทั้ง 2 ศาลแทนโจทก์ทั้งสามด้วย เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ทั้งสามชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 100,000 บาท นายชาญชัยยื่นฎีกาต่อศาล
และล่าสุดในวันนี้ศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องคดี โดยให้โจทก์ทั้งสามจ่ายค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาล (ชั้นต้น,อุทธรณ์และฎีกา) แทนจำเลยที่ 1 โดยกำหนดค่าทนายความรวม 500,000 บาท
นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตรองประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษา เสนอแนะมาตรการและกลไกในการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) กล่าวว่า เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ซึ่งศาลฎีกาได้มีพิพากษาคดีอาญา รวม 8 สำนวนคดีไปแล้วว่า ตนไม่ได้กระทำความผิดตามคำฟ้อง และไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทในการให้สัมภาษณ์สื่อทั้ง 5 ประเด็น คือ
-
1) การทำสัญญาร้านจำหน่ายสินค้าปลอดภาษี (ดิวตี้ฟรี) ที่สนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินภูมิภาค ระหว่าง บริษัท คิง เพาเวอร์ และ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ “ทอท.” มีมูลค่าเกิน 1,000 ล้านบาท อาจมีการหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนระหว่างรัฐกับเอกชนฯ ปี 2535
-
2) กลุ่ม บริษัท คิง เพาเวอร์ ไม่ได้ติดตั้งระบบรับรู้การขายสินค้าทันที (POS) ทำให้ ทอท.ไม่สามารถควบคุมการทำธุรกรรมซื้อขายสินค้าปลอดภาษีอากรได้ตามข้อเท็จจริงและถูกต้อง
-
3) การจ่ายค่าตอบแทนของ บริษัทคิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จ่ายค่าตอบแทนให้ ทอท. อาจไม่เป็นไปตามสัญญา
-
4) การขายสินค้าปลอดภาษีอากรที่ซอยรางน้ำ แล้วไปรับสินค้าที่สนามบิน โดยไม่จ่ายส่วนแบ่งผลประโยชน์ตอบแทน 15% ตามสัญญา อาจเป็นการผูกขาดและไม่มีใครแข่งขันได้
-
5) กรณีมีการเชิญตัวแทนจาก บริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่ลแนล กรุ๊ป จำกัด เข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการบริหารและพัฒนากิจการภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มาร่วมประชุมกันเป็นการภายใน เพื่อร่วมเสนอแนวคิดในการออกแบบพื้นที่เชิงพาณิชย์ อาจทำให้ บริษัท คิงเพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้รับข้อมูลมากกว่าผู้ประมูลรายอื่น จนชนะการประมูลในที่สุด
“ทั้งหมดเป็นการต่อสู้ในคดีอาญา 2 ศาลฎีกา และคดีแพ่งอีก 1 ศาลฎีกา รวม 3 ศาลฎีกา 10 สำนวนคดี ใช้เวลาในการต่อสู้คดี เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงมาตลอด 6 ปี ยืนยันไม่ใช่เป็นเรื่องส่วนตัวของผม และทีมทนายความที่ร่วมต่อสู้ในเรื่องนี้ แต่เพื่อการรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนทั้งสิ้น ก่อนหน้านี้ผมได้ส่งสำเนาคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีอาญาไปให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี , รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง , รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และคณะกรรมการ ทอท. ให้แก้ไขปัญหาตามที่ศาลฎีกาได้มีคำวินิจฉัยถึงการที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและสัญญาฯ จนทำให้เกิดความเสียหายต่อรัฐที่ต้องสูญเสียเงินรายได้แผ่นดินที่ควรเข้ารัฐหลายหมื่นล้านบาทตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่มีใคร หรือ หน่วยงานราชการใด เข้าไปจัดการแก้ไขปัญหานี้ ดังนั้น ผมจะดำเนินคดีอาญา และแพ่งกับบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อให้ศาลลงโทษผู้กระทำผิด และนำเงินรายได้คืนแผ่นดินต่อไป ” นายชาญชัย กล่าว
อ่าน คำพิพากษาศาลฎีกาฉบับเต็ม ที่นี่