ThaiPublica > คนในข่าว > ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ … พระเอกหรือผู้ร้าย กับระบบ(รัฐ)ที่ล้มเหลว

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ … พระเอกหรือผู้ร้าย กับระบบ(รัฐ)ที่ล้มเหลว

17 มีนาคม 2023


รายงานโดย ดร. นพ.มโน เลาหวณิช อาจารย์ประจำ วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์

เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมามหาวิทยาลัยรังสิต ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีเกียรติคุณของมหาวิทยาลัย เป็นผู้มอบมอบรางวัล “สุริยะเทพ” บนเวทีให้แก่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ด้วยตนเอง

รางวัล “สุริยะเทพ” นี้ เป็นรางวัลที่มหาวิทยาลัยรังสิตมอบให้แก่บุคคลที่ทำคุณประโยชน์กับสังคม และมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ เป็นคนที่สามที่ได้รับรางวัลนี้สำหรับ “ความกล้าหาญ” ที่แสดงออกต่อสังคม อันนำมาสู่การยุบสลายเครือข่ายอาชญากรรมที่เต็มไปด้วยอิทธิพลทั้งของจีนและของไทย ซึ่งเป็นประเด็นร้อนแรงทางสังคมติดต่อมาตลอดจนถึงทุกวันนี้

การออกมาแฉอย่าง “ไร้ความกลัว” ชนิดที่ “ห้าวมาก” ปรากฏการณ์ในลักษณะเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ไทย นายชูวิทย์มีลีลาการพูดที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร โดยสวมใส่แว่นตาดำตลอดเวลา มีภาพและอุปกรณ์ประกอบการอธิบาย พร้อมปากกาเมจิก ฟลิบชาร์ต และอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์แล้วแต่กรณี ซึ่งทำให้เป็นภาพที่เต็มไปด้วยสีสัน ดึงดูดความสนใจของนักข่าวสำนักต่างๆ โดยไม่ต้องมีอรรถาธิบายใดๆ เพิ่มเติมทั้งสิ้น

ผลงานที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมของการ “แฉ” ของนายชูวิทย์ คือ การสลายเครือข่ายอาชญากรรมของนายตู้ห่าวและสารวัตรซัว ทำให้เกิดการจับกุมผู้ต้องหาชาวจีนและไทยจำนวนมาก และสิ่งที่ทำให้สังคมไทยตกใจกันมากคือ การเกี่ยวข้องกับข้าราชการระดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ นักการเมือง อัยการ ผู้พิพากษา และผู้มีอิทธิพลจำนวนมากในสังคมไทย ซึ่งเข้ามามีส่วนพัวพันกับ “ธุรกิจสีเทา” ขนาดมหึมาที่กัดกินสังคมไทยอย่างลับๆ อยู่มานานนับปี

การแฉของเขาทำให้สังคมเห็นภาพสถาบันยุติธรรมไทย ที่บูดเน่า เต็มไปด้วยการรีดไถ ซื้อขายตำแหน่ง และทำตัวเป็นโจรเสียเอง แทนที่จะเป็นที่พึ่งของประชาชน

บนเวทีนายชูวิทย์ได้กล่าวขอบคุณมหาวิทยาลัยรังสิตที่มอบรางวัลนี้แก่เขา และยังกล่าวต่อไปอีกว่า

“ผมไม่ใช่คนดี และหวังว่ามหาวิทยาลัยคงไม่เรียกรางวัลนี้คืนนะครับ”

คำพูดสั้นๆ ของนายชูวิทย์ทำให้ทุกคนหัวเราะ แต่ปัญหาเกี่ยวกับชายคนนี้ และเบื้องหลังพฤติกรรมที่ “ห้าว” อย่างมากยังเป็นปริศนาต่อสาธารณะชนในประเทศไทย สิ่งที่น่าคิดต่อไปอีกคือ อะไรคือแรงบันดาลใจของเขา? นายชูวิทย์มองสังคมไทยอย่างไร? และมีผู้ใดอยู่เบื้องหลังของเขาบ้าง? …..

“วันพุธที่ 8 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสสัมภาษณ์คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ที่โรงแรม The Davis สุขุมวิท 24 ถึงประวัติความเป็นมา เส้นทางชีวิต ตลอดจนแรงบันดาลใจที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์’ เกิดขึ้นในสังคมไทยในยุคนี้”

“ต้องเรียนเบื้องต้นก่อนนะครับว่า ผมมีชีวิตที่โลดโผนตั้งแต่เด็ก ผมเป็นลูกคนที่ 8 ของแม่ผม ผมเป็นลูกคนที่ 13 ของพ่อผม พ่อผมมีภรรยาสองคน แม่ผมเป็นคนไทย อีกฝั่งหนึ่งก็เป็นคนจีนมาจากประเทศจีนเลย”

ชีวิตผมนั้นมีความโลดโผนตั้งแต่เด็ก ไม่ใช่ตัวผมที่โลดโผน แต่แม่ผมเองที่โลดโผน แม่ผมในขณะที่ตั้งครรภ์ผมอยู่นั้นก็ได้ไปเที่ยวที่ฮ่องกงแล้วก็ไปคลอดผมที่ฮ่องกงโดยบังเอิญ คือไปตั้งแต่ตั้งครรภ์ได้ระยะเวลา 5-6 เดือน แล้วก็อยู่ที่นั่น แล้วแม่ก็ไปเมืองจีน แล้วก็กลับมาพักที่ฮ่องกงอีกเพราะต้องไปเยี่ยมเยียนญาติทางฝั่งพ่อ

ผมจึงเกิดที่ประเทศฮ่องกง พอเติบโตมาได้อายุประมาณ 1-2 ปี ก็กลับมาอยู่ที่ประเทศไทย แล้วก็ไปที่หาดใหญ่ ไปอยู่ที่หาดใหญ่จนถึงอายุประมาณ 3-4 ปี ก็ได้มาอยู่ที่เยาวราช บ้านผมทำธุรกิจขายเสื้อผ้า ชื่อร้านว่า “คลังภูษา” อยู่ใกล้โรงภาพยนตร์เที่ยนกัวเทียน ที่เยาวราช

ช่วงวัยเด็กผมได้ใช้ชีวิตอยู่ในถนนเยาวราช ถนนเยาวราชนั้นเป็นถนนที่เต็มไปด้วยอบายมุข ขณะนั้นในเยาวราชมีการเสพฝิ่นอย่างไม่ปิดบัง มีโรงฝิ่นที่ไม่ถูกกฎหมาย แล้วก็มีทั้งโรงน้ำชา มีโรงจ้ำบ๊ะมีสิ่งยั่วยวนเต็มไปด้วยอบายมุข เรียกได้ว่าอบายมุขทุกอย่างมีที่ถนนเยาวราช เช่นเดียวกับถนนที่เป็นสายสำราญในเรื่องเกี่ยวกับเซ็กซ์ อบายมุข

ชีวิตผมจึงเริ่มต้นที่เยาวราชเป็นหลัก เพราะฉะนั้นการใช้ชีวิตของผมคือจะเป็นคนที่รู้เท่าทันคน เป็นหัวหน้าแก๊งเด็กที่ไม่ได้อันธพาลหรอก เป็นเด็กที่รักสนุก ไม่รักเรียน โรงเรียนแรกที่ผมไปเรียนชื่อโรงเรียนสหะพาณิชย์ ปัจจุบันก็คือ ตึกชาญอิสระที่สีลม

ด้วยความที่พ่อแม่มีลูกเป็นจำนวนมาก พ่อแม่ก็จะส่งลูกๆ ทุกคนไปศึกษาที่โรงเรียนอัสสัมชัญ ศรีราชา คนไหนที่มีผลการเรียนดี เก่งมาก ก็จะได้ศึกษาที่โรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก ผมก็ไปศึกษาที่โรงเรียนอัสสัมชัญ ศรีราชา ตั้งแต่เข้าไปชั้นประถมศึกษา 4-5 ตอนนั้นยังไม่มีระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 ผมศึกษาอยู่ที่นี่ได้เป็นระยะเวลาประมาณ 1-2 ปี ผมก็ไม่ชอบ ผมก็ประท้วงโดยการที่ไม่กลับไปในช่วงระหว่างปิดภาคเรียนที่สามารถกลับมาที่บ้านได้ ผมก็ไม่กลับไป แม่ก็ส่งผมไปเรียนที่โรงเรียนสีตบุตรบำรุง อยู่ที่แถวบำรุงเมือง ย่านนั้นก็คือบริเวณถนนบำรุงเมือง ใกล้กับวัดดวงแข ปัจจุบันโรงเรียนนี้ก็ยังเปิดทำการอยู่ รวมถึงมีการเรียนการสอนวิชาภาษาจีนด้วย

กลายเป็นว่าผมมีความเคยชินกับวิถีของเด็กเกเร เด็กที่ไม่ได้มีการศึกษา แต่ไม่ได้มีอะไรที่ร้ายแรง เป็นคนชอบเที่ยว ชอบเล่นสนุก ชอบมีพรรคพวก ชอบมีเพื่อนฝูง จนกระทั่งเติบโตขึ้นมา ช่วงระหว่างที่จะเข้าศึกษาระดับชั้น ม.ศ. 4 สมัยก่อนก็คือต้องสำเร็จการศึกษาระดับชั้น ม.ศ. 3 ก่อน ช่วงระดับชั้น ม.ศ. 4 ผมก็เริ่มตั้งตัวได้ คือหมายความว่าเริ่มรู้สึกตัว ก็กลับมาตั้งใจเรียน

ในระหว่างช่วงศึกษาชั้น ม.ศ. 4 นั้น ผมสอบเข้าไปเรียนที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ จำได้ว่าค่าเล่าเรียนประมาณ 200-300 บาท ได้เข้าไปศึกษาเล่าเรียน ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าห้อง โดยสอบได้เป็นอันดับที่ 1 จากเดิมที่อยู่โรงเรียนอัสสัมชัญ ศรีราชา คะแนนสอบเป็นเปอร์เซ็นต์ ผมได้หมายเลข 44 ก็คือได้ 44 เปอร์เซ็นต์ เพื่อนฝูงล้อผมว่าเป็นสายลับ 44 ก็คือหมายความว่าผมทำคะแนนสอบได้ 44 เปอร์เซ็นต์ หมายความว่าทำคะแนนสอบ ได้ไม่ถึงครึ่ง

เมื่อเข้าศึกษาที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ ผมสอบได้อันดับที่ 1 ของระดับชั้น ผมเป็นคนที่พูดช้า ตอนผมอายุได้ 4 ปีแล้ว ผมยังพูดไม่ได้ พ่อแม่ผมก็คิดว่าผมเป็นคนใบ้ จึงพาผมไปที่โรงพยาบาลภูมิพล หมอบอกว่าผมไม่ได้ใบ้หรอก เขาได้ยิน อาจจะเป็นคนที่เรียนรู้ได้ช้า ผมจึงพยายามเข้า เมื่อผมตั้งใจแล้ว ผมก็ตั้งใจเรียนให้ดี หลังจากนั้นผมสอบเข้ามหาวิทยาลัย ได้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยผมเลือกอันดับที่ 1 เป็นคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี เพราะว่าผมเป็นลูกพ่อค้า จึงตั้งใจไว้ว่าจะเรียนบัญชี ผมเรียนบัญชีจนจบ

หลังจากจบแล้ว ผมก็ไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา โดยที่ผมขอเงินพ่อผม ถ้าจำได้คือขอไว้ 10,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ ตอนนั้น 1 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ ก็จะประมาณ 20 บาท แต่จริงๆ แล้ว ผมมีเงินไป 50,000 บาท เป็นเงินส่วนตัว ตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นปีที่ 2 ผมก็ไปเฝ้าโรงงานของพ่อผม พ่อผมทำโรงงานเสื้อผ้า กางเกงยีนส์ ก็เอาเศษผ้ายีนส์ไปขาย สมัยก่อนเบาะต้องยัดด้วยเศษผ้ายีนส์ หรือเอาผ้ายีนส์ไปขาย กิโลละ 20-30 บาท เสื้อผ้าเก่าๆ ที่ตกรุ่นแล้ว ก็เอาไปขายแถวพระประแดง ขายให้กับคนงานในโรงงาน ขายให้ตัวละ 50-60 บาท

ผมเก็บเงินมาได้เรื่อยๆ ผมจำว่าเมื่อผมไปสหรัฐอเมริกา ผมมีเงิน 50,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ ก็คือเหรียญละ 20 บาท ในสมัยนั้นก็คือมีเงินอยู่ 1,000,000 บาท ผมไปสหรัฐอเมริกา ผมเรียนรู้และอยู่มาหลายที่ สถานที่ที่ผมอยู่แล้วผมชอบก็คือนิวยอร์ก ผมอยากเข้ามหาวิทยาลัย NYU (New York University) แต่ผมเข้าไม่ได้ ผมได้ไปเรียนแค่ภาษา แล้วก็อาศัยว่าทำงาน ล้างจานบ้าง ที่อาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ผมเข้าไปทำงานเป็นประจำ

หลังจากอาศัยอยู่ที่นิวยอร์ก ผมก็ย้ายไปอยู่ที่ลอสแอนเจลิส ไปอยู่เมืองซานดิเอโก แล้วก็มีไปอยู่ที่เดนเวอร์ ผมก็ได้มีภรรยาเป็นชาวต่างชาติอยู่หนึ่งคนและมีบุตรด้วยกัน 2 คน เป็นผู้หญิงทั้งคู่ ตอนนั้นผมอายุได้ 22 เนื่องด้วยมีบุตรอย่างไม่ได้ตั้งใจ ผู้หญิงเป็นชาวสหรัฐอเมริกา ผมอยู่ไปแล้วก็ตะลอนไปหลายๆ ที่ จนกระทั่งในที่สุด คุณพ่อผมก็เรียกผมกลับมา ให้มาทำงานที่ประเทศไทย ผมก็บอกภรรยาและลูกๆ ว่าเดี๋ยวผมจะกลับไปประเทศไทยประมาณ 2-3 เดือน ในสมัยก่อนการเขียนจดหมายติดต่อกันใช้ระยะเวลาเป็นเดือนกว่าจะถึง โทรศัพท์มือถือก็ไม่มี ผมกลับมา ทำงานแล้วก็ติดพัน ผมก็ไม่ได้ไปแล้วก็ไม่ได้ติดต่อกับทางภรรยาและลูกๆ อีก

ผมก็เลิกกับครอบครัวผมที่สหรัฐอเมริกาไปโดยปริยาย ต่อมาผมก็ได้ไปแต่งงานมีครอบครัวใหม่ที่เมืองไทย แล้วก็ได้ไปทำธุรกิจเริ่มแรกก็คือทำธุรกิจที่ดิน ทำหมู่บ้าน ชื่อหมู่บ้านสราลี อยู่เทพารักษ์ กม.4 เป็นหมู่บ้าน 600 กว่าหลัง ประสบความสำเร็จ ขายดีเป็นอย่างมาก ช่วงนั้นเป็นช่วงปี พ.ศ. 2529-2530 ก็ 35-36 ปีผ่านมาแล้ว

เมื่อทำแล้วคุณก็ต้องเข้าใจว่า เมื่อคนหนุ่มอายุ 29-30 ปี แล้วประสบความสำเร็จ ผมใช้เงินกงสี พ่อให้ผมทำในระบบกงสี ก็คือทำให้บริษัทผมกินเงินเดือน เพราะว่าลูกหลายคนยังไม่ได้แบ่ง เมื่อผมทำที่หมู่บ้าน หลักการทำหมู่บ้านก็คือ ด้านหน้าติดถนนไปก่อน ปลูกด้านในก่อนเป็นหมู่บ้าน แล้วด้านหน้าหน้าก็มาทำตึกแถว ในสมัยโบราณก็จะทำแบบนั้น ตึกแถวมันใช้พื้นที่น้อย ขนาดสูง ขายได้ในราคาแพง ผมทำให้กับกงสี

ส่วนแห่งที่สองผมก็มาพิจารณาดูว่าจะทำที่แถวศรีนครินทร์ ถนนศรีนครินทร์ในสมัยสมัยก่อนเป็นถนนแค่เลนเดียวไปกลับ ไปเลนกลับเลนขนาดเล็กๆ ตอนผมไปทำก็มีหมู่บ้านอยู่น้อย ชื่อหมู่บ้านรอยัลปาล์ม ก็ขายดี เพราะว่าช่วงนั้นกลายเป็นว่าใกล้ช่วงนายกฯ ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่ดินต่างๆ ก็ราคาสูงขึ้น ผมซื้อมาต้นทุนก็ไม่แพง ขายได้ราคาแพง ผมเคยขายได้สูงสุดตารางวาละ 50,000 บาท ซึ่งเป็นเรื่องแปลกนะ เพราะว่าในปัจจุบันนี้ราคามันยังไม่ถึงเลย เดี๋ยวนี้ผมขายได้ราคาตารางวาละ 30,000 บาทเอง

ต่อมาผมก็เปลี่ยนด้วยความที่เป็นคนชอบเที่ยว มีผู้รับเหมาพาไปเที่ยว ก็ไปเที่ยวอาบอบนวด ก็เห็นว่าธุรกิจอาบอบนวดนั้นดี ผมก็เปลี่ยนใจว่าผมควรจะแยกออกจากบ้านมาทำส่วนตัว ผมขอเงินก้อนกับพ่อผม พ่อผมก็ไม่ได้ให้เงินผมมาหรอก แต่ให้หนี้ผมมา เป็นหนี้ในส่วนที่ดินแปลงที่ผมทำรีสอร์ทจำนวน 60 ล้านบาท ท่านบอกว่าถ้าหนี้ตรงนี้จำนวน 60 ล้านบาทหมด ผมก็เป็นไทและที่เหลือผมก็เอาไป ผมก็ไปล้างหนี้ได้ 60 ล้านบาท ที่เหลือผมก็ได้เงินมา ผมก็ไปทำ

ที่แรกที่ผมทำก็ชื่อ “วิคตอเรีย” ทำไปในช่วงแรกผมได้เรียนรู้ว่า จังหวะของการทำมันต้องมีดวงจริงๆ เพราะช่วงที่ผมทำ เปิดมาก็ไม่มีคน สองเดือน สามเดือนก็ไม่มีคน ปรากฏว่าพอเดือนที่ 4 ที่ชื่อว่า “คลีโอพัตรา” อยู่ที่เพลินจิต (ปัจจุบันเป็นคอนโดโนเบิล เพลินจิต) นั้นปิด เพราะบริเวณนั้นจะเป็นที่ลับๆ หน่อย แขกผู้ใหญ่จะชอบไป ปรากฎว่าพนักงานซึ่งก็คือหมอนวดก็จะมาทำงานที่ผมเยอะ เพราะผมอยู่ในที่ลับๆ หน่อย วิคตอเรียมันมีมุมๆ หน่อย ผมเลยตั้งชื่อว่า “วิคตอเรียซีเครท”

ที่นี้ก็มีอีกที่หนึ่งชื่อ “อีลิท” เป็นผับ ค็อกเทลเลานจ์หรูหราอยู่หัวมุมถนนพระรามเก้าตัดกับถนนรามคำแหง เมมเบอร์ครั้งละ 200,000-500,000 บาท ก็ปิด เพราะฉะนั้น ผมก็จะมีพนักงานผู้หญิงมาทำงานกับผมเยอะ เมื่อมาทำเยอะ ก็จะตายเพราะว่าเหมือนกับแขกก็มาเยอะ เหมือนกับเกสรดอกไม้ ก็จะมีผึ้งมารุมตอม มาจังหวะตรงกัน คือจำนวนของพนักงาน คือซัพพลายกับดีมานด์นั้นมีความใกล้เคียงกัน ก็เลยจะทำให้เกิดคนเยอะ คนเยอะขนาดว่าห้องๆ หนึ่งใช้กันประมาณ 5-6 รอบ ถ้าผมมี 200 ห้อง ก็แสดงว่าผมทำได้ถึง 1,000- 1,200 ห้อง อันนั้นหมายความว่า opportunity ของผมจะกลายเป็น 400-500% ถ้าโรงแรมธรรมดาเรียกว่า opportunity 100% ก็ว่าหายากแล้ว ผมทำไปได้ถึงกว่า 500-600% เพราะว่าห้องหนึ่งใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมง เมื่อห้องนี้ออก ก็มีห้องใหม่ คนใหม่เข้ามา ก็แสดงว่าห้องห้องหนึ่งผมขายได้ 5-6 รอบต่อวัน

เมื่อผมทำไป ผมก็ไม่ได้พูดถึงใคร แต่ว่าความรู้สึกผม จากคนที่เคยเที่ยว เดี๋ยวนี้มันไม่สนุกเลย เพราะว่ามันเหนื่อยที่ต้องไปยุ่งกับเรื่องตำรวจ เรื่องของการบริหารงาน แทนที่เราจะเป็นเจ้าของ ดูแลเรื่องของหลังบ้าน ดูพนักงาน ดูเรื่องการกินการอยู่ มันเหมือนโรงละครโรงใหญ่ มีผู้หญิงเป็นจำนวนร้อยๆ คน ต้องมีการจัดสรรทำร้านเสริมสวย ทำร้านเสื้อผ้า ต้องมีคลินิก ต้องมีการขายของ ต้องมีแขกซึ่งเป็นพระเอก ต้องมาหานางเอก ต้องมีตัวร้ายก็คือพวกเชียร์แขกที่ต้องคอยรีดไถ มีตัวตลก มันเป็นโรงละครโรงหนึ่ง

ผมคิดว่ามันทำให้ผมได้เรียนรู้ชีวิตของคน ได้เรียนรู้สันดานของคน คิดดูแล้วกันว่าใคร อาชีพใด ที่จะทำให้เราได้เรียนรู้คนหลังชนฝา คนหลังชนฝาหมายถึงคนที่จะมาทำงานที่ผม ถามจริงๆ ว่า เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งตัดสินใจมาทำงานแบบนี้ เขาต้องคิดอย่างไรในการที่จะมาทำงาน ถ้าเขาตัดสินใจมาทำงาน แสดงว่าเขาคงคิดแล้วว่าเขากำลังจะขายตัว การขายตัวคือการขายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แต่เขาขายอย่างชั่วคราว เพราะผมไม่ได้บังคับใคร คนมาทำงานทุกคนกลับกลายเป็นว่าแฮปปี้กับงานที่ทำ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่แปลกนะ ก็อาจจะเป็นเพราะเงิน คนที่มาทำงานในช่วงแรกอาจจะมีความรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ แต่ผมสังเกตดูแล้วคนที่ทำ จะไม่มีใครเลยที่แบบโอดครวญว่าทำงานไม่ไหว ผมก็เห็นทุกคนทำเพราะว่ารายได้ดี เพราะว่ามันคงครอบคลุมค่าใช้จ่ายของเขา ต่อมาธุรกิจของผมเติบโตใหญ่ขึ้น ผมก็คิดว่าเราคงต้องเหนื่อยอีก ก็ไปขยายงาน จนกระทั่งมีทั้งหมด 6 ที่ด้วยกัน

ต่อมาเมื่อขยายกิจการไปได้ 6 ที่ ผมก็ทำหน้าที่ในการจับจ่ายคอร์รัปชันต่างๆ ทำให้ผมเรียนรู้วิธีการสีเทา เรียนรู้ตำรวจ ซึ่งต้องยอมรับว่าตำรวจไทยเป็นคนที่มีความสามารถ หลากหลาย แล้วก็อยู่กับประชาชน อยู่กับมาเฟีย อยู่กับสีเทา เพราะฉะนั้นตำรวจจะรอบรู้ทุกเรื่อง ตำรวจไทยมีความรอบรู้มากกว่าทหารเยอะ เพราะว่าทหารอยู่แต่ในค่าย

เรื่องสีเทาผมได้เรียนรู้ตำรวจ เรียนรู้ทุกอย่าง ทำด้วยตัวเอง ไปจ่ายเงินด้วยตัวเอง รู้ว่าต้องจ่ายเท่าไร รู้ว่าที่นี่เท่าไร เหตุที่รู้ก็เพราะว่าต้องผมซื้อใบอนุญาตนั้น ผมซื้อใบอนุญาตมาจากเจ้าพ่อคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมที่เป็น 70% ที่ย่านวิสุทธิกษัตริย์ บุคคลคนนี้ก็สูงอายุแล้ว ปัจจุบันเขายังมีชีวิตอยู่ เขาสอนผมถึงวิธีการต่างๆ หรือแม้กระทั่งว่าคุณศุภชัย อัมพุช ซึ่งเป็นพ่อของศุภลักษณ์ อัมพุช เจ้าของเดอะมอลล์ เจ้าของเอ็มโพเรียม เอ็มควอเทียร์ ผมก็ได้คุยกับเขาที่สนามม้านางเลิ้ง เขาก็สอนวิธีการต่างๆ ในการที่จะทำอาบอบนวด เพราะตอนที่ผมเริ่มทำอาบอบนวด ผมพึ่งอายุ 32 ปี ถือว่าผมยังหนุ่มมาก คนที่ทำอาบอบนวดต้องอายุ 50 ต้องตกผลึกแล้ว ผมอายุย่างเข้า 32 ก็เปรียบเสมือนเป็นสมันเนื้อกวาง เข้าไปเดินในหมู่เสือเลย

ต่อมาเมื่อผมเรียนรู้วิธีการสีเทาต่างๆ เรียนรู้วิธีการจ่ายเงิน คือการจ่ายเงิน มันไม่ใช่วิธีที่ง่าย เพราะวิธีการจ่ายเงินให้ตำรวจกลับกลายเป็นบุญคุณ คือมันเป็นเรื่องแปลกที่คุณจะต้องจ่ายเงินเขาและต้องขอบคุณเขา พูดง่ายๆ ว่ามันกลายเป็นบุญคุณ ซึ่งคนที่เป็นหนี้บุญคุณผม กลายเป็นผมเป็นหนี้บุญคุณคนที่เขาต้องรับเงิน มันไม่ได้ว่าเขาเป็นหนี้บุญคุณผมแต่อย่างใด นั่นคือการจ่ายที่มีราคา

ราคาของมันไม่ใช่เงิน แต่ราคาของมันก็คือต้นทุนที่คุณจะต้องเสียไป ฉันใดฉันนั้นเหมือนกับพนักงานผมที่มาทำงาน ได้เงินไป แต่เขาก็ต้องเสียต้นทุนบางสิ่งบางอย่างในชีวิตเขาไป ผมคิดว่ามันเป็นอาชีพที่มีกรรมนะ แล้วตัวผมทั้งพนักงานที่ทำ แถมอาบอบนวดที่ผมทำเป็นอาบอบนวดสมัยใหม่ที่มีค็อกเทลเลานจ์ด้วย แต่อาบอบนวดในยุคปัจจุบันแม้แต่หลังๆ นี้ยังไม่มีใครที่ทำค็อกเทลเลานจ์

แต่ยุคนั้นคิดดูแล้วกันเมื่อตอนผมทำประมาณปี พ.ศ. 2535 ยุคนั้นผมทำ มีทั้งค็อกเทลเลานจ์ มีทั้งอาบอบนวด มีทั้งห้องอาหาร พนักงานทั้งหมดที่ทำ ถ้ารวมแล้ววันหนึ่งต้องมี 1,400-1,500 คน เหมือนกับโรงแรมขนาดใหญ่ เพราะว่าแห่งหนึ่งมีถึง 200 ห้อง แสดงว่าคุณต้องมีพนักงาน 200 คน เพราะมันไม่มีทางห้องเดียวเต็มได้ถ้าคุณไปนั่งเล่น มันต้องมีพนักงานด้วย เพราะฉะนั้นที่หนึ่ง 200 ห้อง ก็ต้องมีคนเกิน 200 คน มี 6 แห่ง แสดงว่าจะต้องมี 1,200 คน รวมทั้งพนักงานเสิร์ฟต่างๆ จำนวนมาก มันทำให้ผมได้เรียนรู้ในการบริหารงาน การสัมผัสคนในรูปแบบต่างๆ ทั้งนักเลง มาเฟีย ในรูปแบบของคนเมา คนดี คนไม่ดี ผู้หญิง คนกะล่อน คนเชียร์แขก และต่างๆ ที่เข้ามาในวงจรของโรงละครโรงใหญ่นี้ ผมมีธุรกิจหลายทแห่งโดยผมต้องไปตามที่ต่างๆ เพราะผมเป็นเจ้าของกิจการเพียงคนเดียวโดยไม่แบ่งปันหุ้นส่วนกับใคร เพราะฉะนั้นสิ่งนี้ก็กล่อมเกลาผมขึ้นมา

จนวันหนึ่งผมก็ไปซื้อที่ดินแปลงหนึ่ง ที่ดินแปลงนี้มีคนมาขายให้ผม คนขายก็คือธนาคารทิสโก้ เขาบอกว่ายึดมาจากบริษัทแสนสิริ เพราะว่าบริษัทแสนสิริเป็นเจ้าของที่ 6 ไร่ โดยการซื้อครั้งนั้นผมบอกได้เลยว่าซื้อโดยผ่านการเจรจากันเพียงแค่ 20 นาที ซึ่งเป็นเรื่องจริง เขาให้ผมมัดจำเป็นจำนวน 50 ล้านบาท พื้นที่ทั้งหมด 6 ไร่ ตารางวาละ 2 แสน ราคาทั้งหมด 500 ล้านบาท โดยให้ผมมัดจำ 50 ล้านบาท และอีก 450 ล้านบาท เขาบอกว่าให้รอหนึ่งปี เดี๋ยวเขาจะจัดการไล่ที่ให้ เพราะว่าเขาเป็นคนให้เช่ากับนายประสูติ ปราสาททองโอสถ ซึ่งเป็นน้องของหมอปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ซี่งเช่ามาจากธนาคารทิสโก้เป็นสัญญาระยะสั้นเวลา 2-3 ปี เพื่อมาทำเป็นร้านจำหน่ายของที่ระลึกสำหรับชาวต่างชาติ ต่อมาไม่ประสบความสำเร็จ จึงมีผู้มาเช่าทำเป็นบาร์เบียร์ ปรากฏว่าทำบาร์เบียร์ประสบความสำเร็จมากกว่า ซึ่งสภาพก็จะคล้ายกับซอยคาวบอย ซอยนานา เต็มไปด้วยชาวต่างชาติมาสังสรรค์ เพราะฉะนั้นที่ดินแปลงนั้นก็จะเต็มไปด้วยบาร์เบียร์ อะโกโก้ ร้านเกมส์ ร้านสนุกเกอร์ ร้านขายตั๋วเครื่องบิน ร้านนวด ผู้คนที่นั่นก็จะมีจำนวนมาก โดยจะเรียกว่า “สุขุมวิทสแควร์” ซึ่งมีชื่อเสียงเทียบเท่ากับซอยนานา

ผมซื้อตอนนั้นเขาบอกว่าเขาจะไล่ที่ แต่ปรากฏว่าเขาก็ไล่ไม่ได้ เพราะขั้นตอนการไล่ของธนาคารจะใช้เวลานาน จนกระทั่งผมได้รู้จักกับ เสธ.หิ กับ เสธ.แอ๊ป ก็เลยวางแผนว่าเราจะไล่โดยการล้อม คือไม่ให้คนเข้าออกโดยการนำแบริเออร์ไปกั้น ขั้นตอนเราทำแค่นั้น แต่เป็นเพราะว่าความผิดเกิดจากผมเอง ผมเป็นคนใจร้อน เมื่อผมเห็นว่ารอมาเป็นระยะเวลาหนึ่งปีแล้ว แล้วไม่ให้ ธนาคารก็บอกว่าให้ผมโอนไป แล้วให้ผมไปเป็นหนี้ธนาคาร โดยที่เป็นหนี้แบบไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย แต่ผมแค่โอนที่ดินไป แล้วให้ผมไปจัดการไล่เอง เมื่อผมเห็นว่าไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเป็นปีที่สอง ปีแรกก็จ่ายมัดจำไป 50 ล้านบาท ที่ดินก็ราคาสูงขึ้น อีก 450 ล้านบาทเขาก็บอกให้รอ พอครบปีเขาไม่ไล่ เขาบอกให้ผมรับหนี้ไปเลย 450 ล้านบาท โดยที่ผมมีมัดจำแค่ 50 ล้านบาท แค่ดาวน์อีก 10% เอง ผมก็คิดว่าเป็นโอกาสที่ดีในการดาวน์ที่ดิน โดยการจ่ายแค่ 10% คือ 50 ล้านบาท และอีก 450 ล้านบาทให้กู้โดยไม่มีดอกเบี้ย ผมก็ตกลงแล้วผมก็รับโอนมา พอปีที่สองผมก็วางแผนว่าจะไปล้อมรั้ว แต่วันนั้นล้อมรั้วแล้วเกิดความผิดพลาด เนื่องด้วยนำรถแทรกเตอร์เพื่อไปดับไฟเขาแล้วเราก็เอาเครื่องปั่นไฟไปเองเพื่อจะได้ทำงานได้

  • ชูวิทย์ หอบหลักฐาน ส่อทุจริต“รถไฟฟ้าสายสีส้ม”-พนันออนไลน์ให้นายกฯ
  • ปรากฏว่าล้อมไปล้อมมาด้วยความผิดพลาดเพราะว่าไปโดนร้านค้าหลายร้านล้ม ตัวผมเห็นว่าไหนๆ เราล้อมแล้ว เราก็จำใจจะชดเชยค่าเสียหายให้เขา โดยการถ่ายภาพไว้ เลยรื้อไปทีเดียวหมด ซึ่งก็เป็นเรื่องใหญ่จากคนรอบข้างของผม แต่ผมมองว่าเป็นเรื่องเล็ก เพราะว่าผมจะจ่ายค่าเสียหายให้กับเขา เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2546 ผมซื้อที่ดินแปลงนี้ไปเมื่อปี พ.ศ. 2544 จุดเปลี่ยนของผมก็มาจากที่ดินแปลงนี้ ผมเชื่อว่าคนเราจะมีเส้นกราฟเส้นหนึ่ง ชีวิตคนเราอาจจะขึ้น อาจจะลง อาจจะไม่ได้เยอะ ลงไม่ได้เยอะ หรือถ้าบางคนเยอะก็อาจจะมีการเจ๊ง ติดคุก ติดตะราง เลิกกับภรรยา แต่ก็ไม่ถึงกับว่าดิ่งลงถึงขนาดติดคุก

    ผมติดคุกครั้งแรกช่วง พ.ศ. 2546 เพราะประกันตัวไม่ได้ การเข้าไปติดคุกของผมช่วงเวลานั้นเพราะว่ามีคดีความและเกรงว่าจะหลบหนี ซึ่งจริงๆ ผมก็เข้าใจกลยุทธ์ว่าไม่ได้หลบหนีไปที่ไหน ผมก็อยู่ในนั้นแหละ ตำรวจอยากจะควบคุมตัวตอนไหนก็ควบคุมตัวได้ ต่อมาก็มีตำรวจนายหนึ่งก็จับผม ถือเป็นผลงานของเขา เมื่อที่ดินแปลงนี้เกิดเรื่องขึ้น ในช่วงนั้นผมก็ถูกควบคุมตัวไป ธุรกิจผมก็มีผลกระทบ เมื่อผมได้ประกันตัวออกมาก็คิดว่าความไม่ยุติธรรม

    เช่น การที่ผมเข้าไปในคุกแล้วผมจะต้องจ่ายในสิ่งที่ผมไม่ควรจ่าย ในกรณีที่ผมต้องการยา สบู่ ยาสระผม ผมต้องจ่ายเพื่อให้คนไปซื้อ ซึ่งจะต้องมีต้นทุน ต้องไปโอนกัน ให้คนด้านนอก(คุก)โอน หรือว่าจะนอนฟูกดีๆ เข้าห้องน้ำก็จะต้องจ่ายหมด

    ผมก็คิดว่าผมมีความอึดอัด ซึ่งผมเป็นคนที่แปลกอย่างหนึ่ง “ผมเป็นคนที่ทนอะไรกับการที่ถูกเอาเปรียบมากๆ ไม่ได้ นี่คือข้อเสียของผม”

    จริงๆ แล้วถ้าผมอดทนอีกหน่อย ผมคิดว่าผมก็คงจะรวยมหาศาล อดทนในการทำอาบอบนวดไป อดทนในการที่อยู่ไป แต่จังหวะนั้นเหมือนกับจังหวะที่ผมอยากจะเลิกอยู่แล้ว พร้อมจะเลิกอยู่แล้ว เหมือนกับคนที่เบื่อในการเล่นการพนันแล้วอยากจะลุกจากโต๊ะ ได้เท่าไรผมก็เอาเท่านั้น ผมคิดว่าผมได้มาพอแล้ว เป็นธุรกิจที่ผมก็ไม่ได้หวังว่าผมจะทำจนถึงตอนแก่ ดังนั้นผมก็เลยขาย ผมขายไปทั้งหมด 6 แห่ง แล้วผมก็เลิกทำ

    วันที่ผมเลิกทำก็คิดว่าจะไปทำอะไรดี ก็เริ่มคิดว่าจะไปทำการเมืองดีไหม นั่นจึงเหตุผลที่ผมลงสมัครผู้ว่า กทม. ต้องเข้าใจก่อนว่าจากคนที่เป็นเจ้าของอาบอบนวด ตอนนั้นผมเป็นคนที่มีชื่อเสียง มีชื่อเสียงเพราะว่าผมได้เอามาต่อสู้กับยุติธรรม เช่น ไม่ว่าจะคุก ผมก็บอกว่าขังคนได้ แต่ว่าถึงเวลารับประทานอาหารก็ต้องให้เขาทาน เหตุเพราะว่าผมมาที่ศาลสนามหลวง ซึ่งปัจจุบันรื้อถอนไปแล้ว มาที่ใต้ถุนศาลตั้งแต่หกโมงเช้า รอศาลถึงเที่ยง ผมหิวข้าวมาก พอจะรับประทานอาหาร ผู้คุมก็บอกว่าจะต้องจ่ายสตางค์ ผมให้ภรรยาไปจ่ายสตางค์ให้ ผู้คุมเรียก 5,000 ผมก็จ่าย แต่ว่าพอออกมาผมก็เจ็บใจว่าจะทานข้าวผัดก็ต้องจ่าย 5,000 ก็เลยกลายเป็นเรื่องเป็นราวเพราะออกมาผมก็มาพูดว่าทานข้าวผัดไปในคุกต้องจ่าย 5,000

    รวมไปถึงเรื่องความสะดวกสบายในคุก ซึ่งกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตในเรื่องของราชทัณฑ์สมัยก่อน เรื่องของการพูด การโดนอุ้ม จากตำรวจที่ผมเปิดเผยข้อมูล รวมถึงเรื่องราวมากมายที่ตกผลึกออกมาแล้ว ทำให้ผมได้ไปลงสมัครผู้ว่ากทม. การสมัครเป็นผู้ว่า กทม. ผมก็ดูแล้วนำมาคิดว่าเราจะรักษาระดับตรงนี้อย่างไร เมื่อเราขึ้นไปอยู่บนกระแส เราจะต้องเลี้ยงตัวเองให้อยู่บนคลื่นนี้ได้นานที่สุดได้อย่างไร

    นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์

    เวลาหาเสียงผมหาเสียงผมก็หาตามปกติ ผมไม่เคยไปเดินตามนักการเมืองท่านไหน ผมไม่เคยเรียนรู้วิธีทางการเมืองแบบใดๆ ผมไปด้วยตัวของผมเองคนเดียว เช่นเดียวกับเรื่องการทำอาบอบนวดผมก็ทำคนเดียว ผมไม่ได้เรียนรู้มาจากคนอื่นเลย ครั้งแรกผมลงสมัครประมาณปี พ.ศ. 2546-2547 ผมได้คะแนนประมาณ 300,000 กว่าๆ ซึ่งถือว่าเป็นคะแนนที่สูงมากในสมัยนั้น เพราะขณะที่คนมีชื่อเสียงบางคน เช่น คุณพิจิตต รัตตกุล ซึ่งเคยเป็นผู้ว่า กทม. มาลงสมัครอีกครั้งได้คะแนนเสียงประมาณ 70,000 ผมดูออกว่าคนกรุงเทพอยู่บนกระแสและต้องการการประชาสัมพันธ์ที่ดีโดยผมเรียนรู้มาตั้งแต่ พ.ศ. 2547 เมื่อผมได้คะแนนประมาณ 300,000 กว่าๆ

    ดังนั้นแล้วคุณบรรหาร ศิลปอาชา ก็มาเชิญผมให้ไปร่วมอยู่กับเขา ผมจึงไปอยู่กับคุณบรรหาร ศิลปอาชา เป็นรองหัวหน้า แต่เป็นเพราะว่าคนอย่างผมอยู่กับใครไม่ได้ เพราะผมถือว่าผมเป็นลูกพรรคแต่ผมไม่ใช่ลูกจ้าง คุณบรรหารจะใช้คนในพรรคเหมือนลูกจ้าง ผมทำให้คุณบรรหารโดยการเลือกตั้ง ซึ่งตอนนั้นก็เป็นคะแนนแบบบัญชีรายชื่อ ผมทำให้ได้ พรรคชาติไทยจากที่ได้คะแนนบัญชีรายชื่อในกรุงเทพ 5,000-6,000 คะแนน จนมาได้คะแนนเกือบ 300,000 คะแนน ทำให้ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อเข้าไปในสภาถึง 7 คน ซึ่งจากเดิมเข้าได้แค่ 5 คน เขาให้ผมคนที่ 6 จะได้เป็น 7 คน คือแถมมาอีกหนึ่งคน จากคะแนน 300,000 คะแนนของกรุงเทพ แสดงว่าผมมีเป้าหมาย มีแฟนคลับผมประจำอยู่

    “ต่อมาครั้งที่สองผมลงสมัครอีก ถ้าผมจำไม่ผิดก็ประมาณปี พ.ศ. 2550-2551 ผมคะแนนหลุดในครั้งสุดท้าย จริงๆ ผมรู้ว่าผมได้คะแนนมากกว่านั้น แต่เป็นเพราะว่าผมหลุดตรงที่ว่าผมไปช่องสาม แล้วผมโกรธคนที่มาสัมภาษณ์ผม ผมศอกเขาหลังจากที่เขาพูดจบ เพราะผมคิดว่าเขาไม่มีมารยาท ซึ่งต่อมาเขาก็ไม่ได้จัดรายการ เพราะช่องสามเห็นว่าเขาจัดรายการในรูปแบบที่รุกไล่ผมมากเกินไป ศอกนั้นเขาเรียกกันว่า “ศอกพิฆาต” ”

    ในตอนนั้นผมรู้ตัวว่าผมไม่ชนะหรอก แต่ผมได้คะแนนแน่นอนต้องมีคะแนนจริงๆ อยู่ 500,000-600,000 แต่ในครั้งนั้นผมทำได้ 350,000 ถือว่ามากกว่าเดิม แต่เพราะศอกเลยทำให้คนไม่เลือกผม แต่คนที่เลือกผมก็ยังเลือกผมอยู่ เลือกเพราะเป็นตัวผม ต่อมาผมก็มาตั้งพรรคเองในปี พ.ศ.2554 ชื่อพรรครักประเทศไทย เอาสุนัขมาถ่ายภาพคู่กัน เพราะผมว่าสุนัขเป็นสัตว์ที่ซื่อสัตย์ ไม่เคยโกง เพราะฉะนั้นสุนัขก็เป็นตัวแทน แม้กระทั่งสำนักข่าว CNN ก็มาถามว่าทำไมถึงหาเสียงกับสุนัข ง่ายที่สุดคือมันซื่อสัตย์และจงรักภักดี สุนัขมันไม่รู้ว่าเจ้าของรวยหรือจน สวยหรือหล่อ มันซื่อสัตย์ ทำให้ผมได้คะแนนแบบบัญชีรายชื่อทั่วประเทศถึง 1 ล้านคะแนน ทำให้ผมได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรถึง 4 คน เพราะในสมัยก่อนตัดกันที่คนละ 250,000 ในขณะที่ในสมัยนั้นก็มีพรรคภูมิใจไทยแล้วเช่นกันเขาได้ประมาณ 1.1 ล้านเอง มากกว่าผมอยู่หนึ่งแสน

    ดังนั้นต่อมาเมื่อผมเข้าไปในสภาผม ก็มีความรู้สึกว่าในสภาไม่สามารถแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันได้ เพราะมีการซื้องบประมาณ มีการโกงเป็นจำนวนมาก ซื้อตัวกัน จนกระทั่งผมเบื่อ ผมก็ทำงานไป เปิดเผยข้อมูลเรื่องบ่อนการพนันไป เพราะว่าผมเป็นพรรคเล็ก จนกระทั่งมีเหตุการณ์เมื่อปี พ.ศ. 2557 เหตุการณ์ กปปส. ปฏิวัติ รัฐประหาร ช่วงนั้นก็มีการยุบสภากันในสมัยคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผมรู้สึกว่าปี พ.ศ. 2559 ผมติดคุกในช่วงเดือนมกราคมเพราะว่าศาลฎีกาตัดสิน ผมก็ได้รับสารภาพในวันสุดท้ายโดยการอ้างในเรื่องของที่ดินที่ผมถือครองมาสิบกว่าปีโดยที่ผมไม่ได้ทำอะไร เปิดเป็นสวนให้เขาใช้ ศาลก็เห็นว่าผมไม่ได้ทำประโยชน์อะไรมาสิบกว่าปี ถ้าหากผมไปทำประโยชน์ก็มีกำไรเยอะ เพราะที่ดินมีมูลค่ามหาศาล เปิดให้เป็นสวนให้คนเข้ามาใช้ ศาลก็เห็นว่าผมมีความดีความชอบ ประกอบกับผมมีเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างๆ เลยลดให้ผมจากห้าปีเหลือสองปี ซึ่งจริงๆ ก็เหมาะสมอยู่แล้วเพราะว่าผมรื้อที่ของตัวผมเอง เพียงแต่ว่ามันเป็นกระแสที่ดังเกินไป แม้ว่าผู้เสียหายจะได้รับการชดใช้หมดแล้วทุกรายเป็นที่พอใจ ศาลก็ลงโทษผมสองปี

    ผมติดคุกได้เป็นผู้ช่วย การเป็นผู้ช่วยหมายความว่าเป็นผู้ช่วยหมออยู่ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ซึ่งเป็นโรงพยาบาลคุก ได้เห็นทุกขเวทนาของคน เห็นคุณสนธิ ลิ้มทองกุล คุณพงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ คุณปริญญา นาคฉัตรีย์ คุณวาสนา เพิ่มลาภ เห็นหมดทุกๆ คน ผมก็เป็นคนทำหน้าที่เก็บศพ อยู่ที่โรงพยาบาลก็จะมีคนตาย คนป่วยตาย เป็นมะเร็งตาย เป็นเอดส์ตาย เก็บไปทั้งหมด 80 ศพ โดยที่ผมใช้เวลาอยู่ประมาณสิบเดือนครึ่ง

    ในปลายปี พ.ศ. 2559 ผมก็ออกมา ผมก็ได้รับการชักชวนให้ไปจัดรายการไทยรัฐ “ตีแสกหน้า” ผมก็ทำอยู่ปีหนึ่ง ช่วงนั้นคุณสรยุทธ สุทัศนะจินดาก็ไม่ได้จัดรายการ ผมก็ไปทำรายการช่วยเขาในเรื่องชูวิทย์มีเรื่องเล่า เพราะฉะนั้นตอนนั้นผมก็จะยุ่งช่วงเช้า ช่วงเย็นทำข่าว ผมทำอยู่ประมาณหนึ่งปีกว่าๆ พอช่วงปี พ.ศ. 2561 ก็จะมีคดีเรื่องการรายงานทรัพย์สินที่ไม่ครบซึ่งเป็นเงินแค่ 150,000 บาท อย่างไรก็ดีผมได้รับสารภาพ แต่เนื่องจากว่าผมรับสารภาพในช่วงที่ออกจากคุกได้ไม่เกินห้าปี

    เมื่อศาลตัดสินผมก็ไม่สามรถรอลงอาญาได้ ผมก็ไปติดคุกอีกรอบหนึ่งซึ่งเป็นรอบที่สาม แต่ติดแค่เดือนเดียว ในช่วงเดือนเดียวนั้นก็ไม่มีอะไร เหมือนกับผมไปพักร้อน เพราะว่าการเข้าคุกสำหรับผมไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่ากลัวแต่อย่างใดอีกแล้ว สำหรับผมเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องปกติไป เพราะผมเคยเข้าแล้ว เข้าอีก ผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไร มันทำให้ผมได้เรียนรู้ชีวิตในคุก ชีวิตของคนที่ติดคุกติดตะราง ชีวิตของคนที่ไร้อิสรภาพ ชีวิตของดาวโจร มหาโจร คนที่ทำความผิดทั้งหลาย ผมก็ศึกษา พูดคุยว่าโดนเรื่องอะไร เมื่อผมออกมาผมก็ไม่อยากจัดรายการ ใช้ชีวิต การทำงานเรื่อยมาจนกระทั่งมาถึงปัจจุบัน

    ผมจะเป็นคนที่สังเกตเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวทางสังคม เนื่องจากผมเติบโตมาในย่านเยาวราชมา ผมก็เลยรู้นิสัยของคนจีน ในครอบครัวคนจีนผมจะรู้ทันทีว่าคนจีนเขาคิดอย่างไร คนจีนรู้สึกอย่างไร ไม่เพียงแต่คนจีนในเมืองไทยเท่านั้น คนจีนแผ่นดินใหญ่ก็เช่นกัน เพราะผมอยู่ในครอบครัวคนจีน เพราะฉะนั้นเมื่อมีความเคลื่อนไหวอย่างเช่นในรัชดาจะมีคนจีนเข้ามาเยอะ เพราะเนื่องจากใกล้สถานทูตจีน เราไปอยู่สหรัฐอเมริกา ใกล้สถานทูตไทยก็จะมีคนไทยไปอยู่แถวนั้นเยอะ จีนเป็นประเทศที่มีประชากรเยอะ ชุมชนจีนมีความแข็งแกร่ง

    ผมเชื่อว่าต่อไปย่านรัชดาก็จะเป็นไชน่าทาวน์สองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไทยเป็นชาติที่มีวัฒนธรรม ท่านใดบอกว่าไทยมีวัฒนธรรมแข็งผมก็จะไม่เชื่อ ผมใช้ชีวิตอยู่ในวัฒนธรรมหลายวัฒนธรรม เช่น วัฒนธรรมตะวันตก วัฒนธรรมจีน วัฒนธรรมไทย ดังนั้นในอนาคตอันใกล้ผมเชื่อว่าย่านรัชดาก็จะกลายเป็นไชน่าทาวน์สองที่ห้วยขวาง เพราะมีคนจีนมาอยู่เยอะ แล้วคนจีนมีวัฒนธรรมที่แข็งแกร่ง คนจีนจะเกาะกลุ่มกัน คนจีนจะแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกัน เพราะเขามาจากประเทศที่กว้างใหญ่ไพศาล ดังนั้นคนจีนมักจะตั้งสมาคม ไม่ว่าจะเป็นสมาคมไหหลํา สมาคมแต้จิ๋ว สมาคมฮกเกี้ยน ในบ้านแถวเยาวราชของผมก็จะเห็นแต่สมาคมแบบนี้ เพื่อจะเข้าไปแลกเปลี่ยนในเรื่องของการค้า ซึ่งปัจจุบันเป็นเรื่องของการปลอม เช่นสมาคมปลอม เมื่อผมเรียนรู้แล้ว ทำให้ผมจับทางของกลุ่มจีนถูก

    จีนใหม่ที่เข้ามาเป็นจีนที่ค่อนข้างที่จะตะกละตะกลามเป็นจีนยุคใหม่ จีนในสมัยพ่อผมเป็นจีนเก่าซึ่งมาด้วยความเจียมตัว มาด้วยความรู้สึกที่ว่าอยากจะมาทำมาหากินสุจริต ไม่ใช่ใครที่มาก็อยากจะมาทำอะไรที่เติบโตเร็วอย่างตู้ห่าว ดังนั้นวิธีการของตู้ห่าวผมเข้าใจ เวลาที่ผมแฉใคร ผมจะศึกษาเหมือนกับผมไปนั่งอยู่ในใจเขา ผมจะศึกษาชีวิตเขาแล้วดูความรู้สึกเขา การที่ผมรู้สึกอย่างนั้นได้ผมก็ต้องถาม ต้องรู้จัก อย่างสังคมตำรวจทำไมผมพูดถูก คิดถูก เพราะสังคมตำรวจเป็นสังคมที่ผมคุ้นเคย ทำไมคนจีนผมคิดถูก ผมรู้ว่ามันจะพูดแบบนี้ ก็เพราะว่าผมอยู่ในสังคมคนจีน หรือว่านักการเมืองทำไมผมรู้ว่าคนนั้นพูดแบบนั้น ทำไมคนนี้ทำแบบนี้ ก็เพราะว่าผมรู้นิสัยของนักการเมือง

    ถามว่าทำไมผมรู้จักสันดานคน ก็เพราะว่าผมทำอาบอบนวด เพราะอาบอบนวดเป็นธุรกิจที่เห็นสันดานคนได้ชัดเจนที่สุด สันดานของความกระสันต์ สังคมของความกิเลส คนที่มาย่อมมีกิเลส กระสันต์อยากจะระบาย ผู้หญิงก็อยากจะมาทำงานนี้เพื่ออยากจะได้เงิน ไม่มีใครอยากจะทำงานเพื่อความสนุก ไม่มีหรอกครับ

    ดังนั้น เราจะเห็นคนที่หลังชนฝาสองคนมาพบกัน คนหนึ่งคือหลังชนฝาเพราะขาดเงิน อีกคนหนึ่งคนหลังชนฝาเพราะความกระสันต์ เพราะตัณหา ดังนั้นตัณหาเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ ตัณหาของคนมันห้ามกันไม่ได้ เมื่อตัณหามาพบกับความโลภ กิเลสทั้งหลายทั้งปวงทำให้ผมเรียนรู้ชีวิต สันดานคนได้จริงๆ

    ดังนั้น เมื่อผมเข้าไปอยู่ในวงการเมืองก็ดี ในวงการสื่อก็ดี แม้กระทั่งผมอยู่ในวงการเรือนจำ คุก ตะรางผมก็จะเห็นสันดานคนจริงๆ เพราะในคุกนั้นขัง 24 ชั่วโมง ดังนั้นก็ไม่สามารถที่จะโกหกตัวเองได้ ทุกคนย่อมเปิดเผยตัวตนของตัวออกมาว่า คนนี้เป็นคนเห็นแก่ตัว คนนี้เป็นคนยังไงนิสัยยังไง เพราะในคุกมันปิดบังกันไม่ได้

    ผมไม่เคยมีใครโทรศัพท์มาขู่ปองร้าย ผมออกมาแฉให้สังคมรู้จักว่าใครคือคนเลว และเลวอย่างไร ในฐานะประชาชนคนไทยที่ใช้สิทธิของตนเองเท่านั้น คนอย่างผมไม่มีวีรบุรุษในดวงใจ ผมทำเพื่อประโยชน์ของสังคม แต่ไม่ใช่ผมไม่ดูตาม้าตาเรือนะ ผมศึกษานายตู้ห่าวอย่างดี จนรู้ว่าเขาคิดอย่างไร และผมก็มีแบ็กที่ดีด้วย

    ที่มาภาพ : FB ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์

    ผมเนี่ยรู้ใจสื่อ การที่เป็นสื่อทุกวันนี้ถ้าเราพูดในสิ่งที่เป็นสาระ 100% สื่อจะไม่ฟัง เช่นเดียวกับการพูดในสภา ถ้าคุณไม่มีลีลาประกอบ ถ้าคุณพูดเป็นนักวิชาการจะไม่ค่อยมีใครสนใจฟังคุณโดยเฉพาะการแอคชั่นทางภาพ สื่อที่จะไปทำแอคชั่นภาพนิ่ง สื่อเคลื่อนไหว ถ้าคุณนั่ง ยื่นพูด แต่ถ้าคุณไม่มีองค์ประกอบที่ครบที่สื่อต้องการเช่น แอคชั่น สาระ ถ้าคุณจะเอาแอคชั่นอย่างเดียวโดยไม่มีสาระ ซึ่งผมก็จะสาระแฝงไว้และคุณก็อย่าพูดเยอะ เพราะถ้าคุณพูดเยอะไปในพื้นที่ที่จำกัด สื่อก็ไม่สามารถให้คุณได้หมด เพราะสื่อก็ต้องมีข่าวอื่นมาประกอบ ยกเว้นสื่อเดียวถ้าเกิดมีเรื่องปฏิวัติก็จะมีเต็มหน้า เพราะฉะนั้นวิธีการพูดของผมคือจะค่อยๆ ปล่อย ลากกระแสไปให้ยาวและจะปล่อยหมดเลยในครั้งเดียวไม่ได้ นี่คือหลักการ

    “ที่ที่สูงที่สุดไม่ใช่ก้อนเมฆ มันคือความทะเยอทะยาน ที่ที่ลึกที่สุดไม่ใช่ใต้มหาสมุทร มันคือจิตใจคน ที่ที่ไกลที่สุดไม่ใช่เส้นขอบฟ้า แต่มันเป็นอดีตกาลที่ผ่านมา ที่ที่ใกล้ที่สุดไม่ใช่ญาติมิตร แต่เป็นความตาย เพราะฉะนั้นผมเป็นคนที่ชอบระลึก ชอบคิดถึงความตายอยู่เสมอ ถ้าผมตายไปทุกอย่างก็เคลื่อนไปตามปกติ” ……. ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์