ThaiPublica > คอลัมน์ > สงครามใหญ่จีน-ไต้หวันกำลังมา?

สงครามใหญ่จีน-ไต้หวันกำลังมา?

6 มิถุนายน 2022


ดร. นพ.มโน เลาหวณิช ผู้อำนวยการสถาบันคานธี อาจารย์ประจำวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต

กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (People Liberation Army) มีการซ้อมใหญ่ทั้งภาคพื้นดิน ทางทะเล และทางอากาศ โดยส่งเครื่องบินไอพ่นถึง 30 ลำบินเข้าน่านฟ้าไต้หวัน ที่มาภาพ : https://www.thedailystar.net/news/asia/china/news/china-sends-30-jets-taiwan-air-defense-zone-3036001#lg=1&slide=0

ต้นเดือนมิถุนายนนี้ “ลางร้ายหลายประการ” กำลังบ่งชี้ว่าสงครามการโจมตีจีนเพื่อยึดไต้หวันกำลังจะเกิดขึ้น นับตั้งแต่ที่นางแทมมี ดักเวิร์ท สมาชิกพรรคเดโมแครต ได้เดินทางไปเยี่ยมประธานาธิบดีไช่อิงเหวินของไต้หวันอย่างเป็นทางการ กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (People Liberation Army) มีการซ้อมใหญ่ทั้งภาคพื้นดิน ทางทะเล และทางอากาศ โดยส่งเครื่องบินไอพ่นถึง 30 ลำบินเข้าน่านฟ้าไต้หวัน จนไต้หวันต้องส่งเครื่องบินขับไล่ออกติดตาม แต่จีนไม่หยุดเพียงเท่านั้น ในคืนเดียวกัน กองทัพอากาศจีนได้แถลงว่าจีนได้ส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดล่วงล้ำน่านฟ้าไต้หวันในเวลากลางคืนกว่า 10 ลำอีกด้วย ส่วนทางทะเลกองเรือของจีนได้ปิดล้อมเกาะไต้หวันไว้ทุกทิศแล้วในขณะนี้

การซ้อมรบของกองทัพจีนนั้นเป็นปฏิบัติการทางทหารที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งเป็นปกติ แต่สำหรับในเดือนนี้แตกต่างไปจากทุกครั้ง คือมุ่งที่จะบุกเกาะไต้หวันอย่างชัดเจน ซึ่งสำนักข่าวของจีนได้แถลงว่าเป็นการปฏิบัติการเพื่อรวมชาติของจีน ซึ่งการซ้อมรบในครั้งนี้มุ่งเป้าที่จะทำลายกองทัพของไต้หวันในทุกทางแบบสายฟ้าแลบ และมีการเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับทุกสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นหากอเมริกาและญี่ปุ่นส่งกำลังทหารเข้าแทรกแทรง

กองทัพปลดปล่อยประชาชนของจีนได้ศึกษาเริ่มตั้งแต่การรวบรวมข้อมูลจากการโจมตีของกองทัพรัสเซียในยูเครนอย่างรอบคอบและได้ทำการวิจัยในหลายมิติ

ประการแรก นักวิทยาศาสตร์จีนได้สร้างโดรนสังหารอัจฉริยะขึ้นเป็นจำนวนมาก โดรนเหล่านี้ถูกบังคับด้วยปัญญาประดิษฐ์ บรรทุกขึ้นเรือบรรทุกเครื่องบิน ซึ่งสามารถโจมตีเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้อย่างแม่นยำทั้งกลางวันและกลางคืน การทำงานของปัญญาประดิษฐ์นี้คือเมื่อสายลับของจีนหรือกองทัพจีนส่งภาพถ่ายเข้าในปัญญาประดิษฐ์ อุปกรณ์ใหม่นี้จะทำงานเอง หาตำแหน่งและพิกัดต่างๆ ของเป้าหมายโดยละเอียด มุ่งเป้าไปยังผู้นำระดับสูงของไต้หวันเป็นหลักโดยไม่ต้องมีมนุษย์สั่งการ

  • สงครามในยุคสมัยของ “โดรน” (Drone) ปัญหาจริยธรรมกับอาวุธสังหารไฮเทค
  • โดรนความแม่นยำสูงประเภทนี้เป็นนวัตกรรมทางทหารที่ไม่เคยมีมาก่อนในโลก กองทัพจีนเชื่อว่าโดรนอัจฉริยะเหล่านี้สามารถเร่งรัดให้สงครามสั้นลง เพราะมีความคล่องตัวและความยืดหยุ่นสูง

    หุ่นยนต์อัจฉริยะ: อนาคตทางการทหารของจีนขึ้นอยู่กับปัญญาประดิษฐ์ ที่มาภาพ : https://www.thedefensepost.com/2018/01/02/china-artificial-intelligence-drones/

    ส่วนประเทศญี่ปุ่นเกิดความตระหนก เพราะในขณะที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพจัดประชุมจตุรมิตร QUAD อยู่นั้น จู่ๆ รัสเซียกับจีนก็ซ้อมรบกันตลอดเวลา เครื่องบินทิ้งระเบิดของจีนและรัสเซียบินโฉบเฉียวเข้ามาใกล้น่านฟ้าญี่ปุ่น แม้ประชุมเสร็จแล้วกองเรือของจีนได้เคลื่อนพลปิดล้อมไต้หวันอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แนวโน้มว่าจะเกิดสงครามจีน-ไต้หวันจึงมีโอกาสสูงขึ้นทุกวัน

    ญี่ปุ่นจึงได้ร่วมมือกับอังกฤษเพื่อพัฒนาเครื่องบินขับไล่ที่ทันสมัยที่สุดเพื่อขัดขวางกองทัพจีน จนทำให้โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนต้องออกโรงกล่าวหาว่าญี่ปุ่นกำลังปลุกผีสงครามขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งและเป็นเรื่องไม่จริง และปฏิเสธว่าจีนไม่มีนโยบายที่จะทำสงครามใดๆ ทั้งสิ้น วาทกรรมนี้เป็นชุดเดียวกันกับที่ประธานาธิบดีปูตินของรัสเซียได้ใช้มาก่อนสั่งให้มีการบุกยูเครนมาแล้ว ทำให้ญี่ปุ่นไม่เชื่อ

    ลางร้ายต่อมาคือ ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ได้สั่งให้มีการโยกย้ายนายทหารระดับสูงและแต่งตั้งนายพลคนคือ นายพลติ้ง ไหลหุง (Ding Laihung) อายุ 65 ปี ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าใกล้ชิดสนิทสนมกับนายสีจิ้นผิงมากที่สุด และเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในเรื่องไต้หวันอย่างละเอียดลึกซึ้งขึ้นมาเป็นแม่ทัพ และประจำการในฐานทัพมณฑลฟูเจี้ยนที่ห่างเกาะไต้หวันไปเพียง 200 กิโลเมตร ส่วนทหารราบนับหมื่นคนซ้อมรบทุกวันในปฏิบัติการเสมือนจริงใช้กระสุนจริงในภารกิจเข้ายึดไต้หวันพร้อมยกพลขึ้นบกเกาะไต้หวันได้ตลอดเวลา โดยสรุปกองทัพจีนปิดล้อมไต้หวันไว้แล้วตลอด 24 ชั่วโมงทั้งทางน้ำและทางอากาศ ขึ้นอยู่กับว่าจีนจะบุกเมื่อใดเท่านั้น

    นายพลติ้ง ไหลหุง ที่มาภาพ : https://en.wikipedia.org/wiki/Ding_Laihang#/media/

    ขณะที่ในไต้หวันนั้นประชาชนมีความเชื่อและหวาดกลัวว่ากองทัพจีนจะบุกไต้หวันในเร็ววันนี้ ซึ่งในปีที่แล้วประชาชนไต้หวันจำนวนน้อยกว่า 40% เท่านั้นที่เชื่อว่าจีนจะบุกจริง

    แต่ในปัจจุบันนี้ประชาชนในไต้หวันเกือบทั้งเกาะตระหนักว่าจีนจะบุกแน่นอนขึ้นอยู่กับว่าช้าหรือเร็ว ขณะนี้กระทรวงกลาโหมของไต้หวันจึงได้แจกอาวุธแก่ประชาชนทุกเพศทุกวัย ให้ได้ซ้อมยิงด้วยกระสุนจริง เพื่อเตรียมตัวต่อสู้กับการรุกรานของกองทัพจีน ซึ่งเชื่อกันว่าจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้แต่เกิดขึ้นแน่นอน

    ประธานาธิบดีไช่ อิงเหวิน ออกโรงแสดงการใช้เครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถังทำในสหรัฐอเมริกาแสดงให้นักข่าวดู เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าไต้หวันพร้อมรบทั้งกองทัพและประชาชน และจะเกิดสงครามที่ยืดเยื้อเหมือนสงครามรัสเซีย-ยูเครนซึ่งยาวนานเข้าเดือนที่ 4 แล้ว แม้กองทัพจีนจะยึดเมืองใหญ่ๆ ได้สำเร็จ ประชาชนไต้หวันจะรวมตัวกันทำสงครามก่อการร้าย และจะไม่ยอมศิโรราบแก่จีนอย่างเด็ดขาด

    ลางร้ายอีกประการหนึ่งคือ ความล้มเหลวของนโยบายของประธานาธิบดีสีจิ้นผิงในเรื่องการกำจัดโควิด-19 ให้เป็นศูนย์จนต้องปิดเมืองเซียงไฮ้ ทำให้เกิดเศรษฐกิจตกต่ำที่สุดในรอบ 40 ปี การส่งออกของจีนไปสหรัฐอเมริกาตกต่ำ จนเป็นรองอินเดียที่ขึ้นมาเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของอเมริกา และนโยบาย “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” (One Belt One Road Initiative) ซึ่งจีนเข้าไปลงทุกในประเทศต่างๆ ถึง 72 ประเทศ เป็นจำนวนหลายแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ผลตอบแทนนั้นยังไม่ออกดอกออกผล

    แม้นโยบายล่าสุดที่จะเข้าไปช่วยประเทศในหมู่เกาะทะเลใต้ อันได้แก่ประเทศฟิจิ ตองกา ตูวาลู เป็นต้น โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายหวังอี้ ได้ตระเตรียมร่างสัญญาไปให้ลงนามแล้วเป็นอย่างดีแต่กลับถูกปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย นายหวังอี้ต้องเดินทางกลับมามือเปล่า แม้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เองประกาศว่ายินดีที่จะเข้าไปพัฒนาประเทศในหมู่เกาะทะเลใต้เหล่านี้

    ความล้มเหลวเหล่านี้แสดงในวัฒนธรรมจีนเป็นเรื่องที่ “เสียหน้า” อย่างมากสำหรับผู้นำสูงสุด และจำเป็นต้องแก้ไขสถานการณ์นี้ให้จงได้ เรื่องเดียวที่จะทำให้สำเร็จได้คือ “การบุกยึดไต้หวัน” ให้มาเป็นส่วนหนึ่งของจีนให้สำเร็จเร็วที่สุด และนั่นจะเป็นการประกาศศักดาของผู้นำสูงสุดของจีน เป็นที่แน่ชัดว่าจีนกำลังจะเข้าสู่ภาวะสงคราม ซึ่งศัตรูคือรัฐที่เป็นกบฏแต่เพียงรัฐเดียวเท่านั้น คือ ไต้หวัน

    โลกขณะนี้อยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจ ในขณะที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ประธานาธิบดี สหรัฐอเมริกา กำลังวุ่นวายอยู่กับสงครามรัสเซีย-ยูเครน และปัญหาภายในอเมริกาเอง นับตั้งแต่การสังหารหมู่ที่เกิดขึ้นบ่อยในเมืองใหญ่น้อยทั่วสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นในโรงเรียน ห้างสรรพสินค้า สุสาน หรือแม้แต่ในโรงพยาบาล การพกพาอาวุธปืนนั้นรัฐบาลชุดนี้ทำไม่สำเร็จ ทำให้สถิติของความรุนแรงด้วยอาวุธปืนสูงขึ้นเป็นประวัติกาล คือ 71 คนที่ตายจากอาวุธปืนในอเมริกาต่อวัน แม้ว่านายโจ ไบเดน ได้ประกาศเป็นนโยบายหลักของเขาแล้วก็ตาม

    ยิ่งไปกว่านั้น เกิดสภาวะเงินเฟ้อถึง 7% ของแพงทั่วประเทศ เกิดการแบ่งขั้วทางการเมืองอย่างชัดเจน แม้ลูกชายของนายโจ ไบเดน ชื่อนายฮันเตอร์ ไบเดน เป็นเป้าหมายของการถูกโจมตีของพรรครีพับลิกัน ด้วยเรื่องอื้อฉาวที่มีประโยชน์ทับซ้อนทางธุรกิจในจีนและยูเครน อีกทั้งมีกรณีอื้อฉาวที่นายฮันเตอร์ ไบเดน โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวเรื่องที่เขาหลับนอนกับโสเภณีไม่เลือกหน้า หรือแม้แต่กับพี่สะใภ้ของตนเองก็ตาม เจ้าหน้าที่ของทำเนียบขาวพยายามทุกวิถีทางที่จะกันประธานาธิบดีออกจากเรื่องคาวเหล่านี้

    ความขัดแย้งระหว่างโจ ไบเดน กับเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวของเขาเอง เป็นที่ประจักษ์ในหมู่สื่อมวลชนนานาชาติ หลายครั้งหลายหนที่โฆษกของทำเนียบขาวต้องออกมาแก้ต่างให้ผู้นำสูงสุดของสหรัฐฯ เช่น อเมริกาจะส่งกำลังทหารเข้าแทรกแซงหากจีนรุกรานไต้หวัน ซึ่งทำเนียบขาวออกมาปฏิเสธ แต่บอกว่าอเมริกายังคงยึดถือนโยบายจีนเดียว โฆษกของพรรครีพับลิกันได้ออกมาประกาศว่าคะแนนนิยมของประธานาธิบดีโจ ไบเดน นั้นต่ำกว่า 30% และชาวอเมริกันกว่า 60% ที่ไม่ยอมรับเขาต่ำที่สุดยิ่งกว่าในปีที่สองของประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ ซึ่งมีคะแนนนิยม 45%

    ความยุ่งยากของโจ ไบเดน ในการทำให้สินค้าและพลังงานในอเมริกาให้ถูกลงอย่างรวดเร็วนั้น เขามีทางเลือกอยู่ไม่กี่ทาง เป็นต้นว่า ต้องเดินทางไปง้อ มกุฎราชกุมารมุฮะมัด บินซัลมาน อัลซาอุด ภายในเดือนมิถุนายน เพื่อขอร้องให้ซาอุดีอาระเบีย ผลิตน้ำมันให้มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเมื่อสองปีก่อนหน้านี้ เขาได้กล่าวหามกุฎราชกุมารพระองค์นี้ว่าเป็น “ฆาตกร” จนทำให้เจ้าชายไม่ยอมรับสายคุยกับเขามาตลอดเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทางเดียวที่จะเยียวยาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในครั้งนี้ได้คือต้องเดินทางไปพบมกุฎราชกุมารพระองค์นี้ด้วยตนเอง

    แม้กระทรวงกลาโหมของอเมริกาได้เปลี่ยนแปลงข้อมูลบนเว็บไซต์ของตน โดยการตัดคำว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีนออกไป สหรัฐอเมริกายังคงดำรงนโยบาย “การทูตที่คลุมเครือ” (Diplomacy of Uncertainty) แบบเดียวกับศรีธนญชัย ให้ชาวโลกต้องตีความกันเอาเองเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติของตนเองเท่านั้น ทำให้ทั้งจีนไต้หวันและชาวโลกตำหนิอเมริกาไม่ได้

    จีนมีประชากร 1.4 พันล้านคน มีทหารประจำการถึง 2,185,000 นาย และทหารกองหนุนอีก 660,000 นาย เป็นกองทัพที่ใหญ่ที่สุดในโลก และจีนยังมีกองทัพเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกเช่นกันโดยมีเรือรบในประจำการอยู่ถึง 355 ลำ มีเรือบรรทุกเครื่องบิน 2 ลำ ชื่อ เหลี่ยวหนิง (Liaoning) และฉานตง (Shandong) และกำลังต่อเรือบรรทุกเครื่องบินลำที่สามอยู่และใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว และกองทัพเรือจีนมีเป้าหมายที่จะต่อเรือบรรทุกเครื่องบินให้ครบ 5 หรือ 6 ลำในปี พ.ศ. 2573 ในขณะที่กองทัพอากาศจีนมีจำนวนเครื่องบินรบประมาณ 3,010 ลำ ในจำนวนนี้เป็นเครื่องบินขับไล่ 2,100 ลำ ในขณะเดียวกันไต้หวันมีประชากร 23.57 ล้านคน มีทหารประจำการ 130,000 นาย มีเรือรบจำนวน 57 ลำ เรือดำน้ำ 4 ลำ ไม่มีเรือบรรทุกเครื่องบินและไม่มีอาวุธนิวเคลียร์เลย หากรบกันจริงๆ ไต้หวันไม่มีทางที่จะต่อสู้กับจีนเลย

    วัตถุประสงค์ของผู้นำจีนคือการขู่ให้กลัวจนผู้นำไต้หวันขอเจรจารวมชาติโดยถือหลักการหนึ่งประเทศสองระบบโดยเร็วที่สุด หากไม่บรรลุวัตถุประสงค์นี้จะมุ่งไปวัตถุประสงค์ที่สอง คือ บุกแบบสายฟ้าแลบ ทำลายอาคารสถานที่เท่าที่จำเป็น และหากต้องสังหารผู้นำก็ทำให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ สิ่งที่จีนกลัวคือสงครามที่ยืดเยื้อเป็นเดือนๆ หรือเป็นปี เหมือนเหตุการณ์ที่เกิดในยูเครนในขณะนี้ และกองทัพจีนจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีที่สูงกว่า ทันสมัยกว่า เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์นี้เท่านั้น

    โจทย์ใหญ่คือทำอย่างไรกองทัพจีนจะกันกองกำลังต่างชาติที่จะเข้ามาช่วยไต้หวันรบ ไม่ว่าจะเป็นกองทัพของสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย หรือชาติตะวันตกอื่น ๆ

    ขบวนการขับเคลื่อนเพื่อเสรีประชาธิปไตยนี้เรียกตนเองว่า “กระบวนการดอกทานตะวัน” (Sunflowers Movement) ที่มาภาพ : https://en.wikipedia.org/wiki/Sunflower_Student_Movement
    ที่มาภาพ : https://medium.com/@farrahreyes/the-sunflower-movement-and-taiwans-diplomacy-23cf48820521

    แต่สิ่งที่ผู้นำจีนไม่ทราบคือ ประชาชนไต้หวันโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ไม่เอาจีน และหวาดระแวงการปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์ซึ่งปฏิเสธเรื่องสิทธิเสรีภาพการแสดงออกของประชาชน

    เยาวชนรุ่นใหม่ของไต้หวันมีความพอใจอย่างมากกับเสรีนิยมของไต้หวัน และไม่ประสงค์ที่จะเรียกตนเองว่า Chinese แต่ชอบที่จะเรียกตนว่า Taiwanese มากกว่า คนหนุ่มสาวเหล่านี้มีจำนวนกว่า 5 ล้านคนกระจายตัวไปทั่วประเทศ และมีศัพท์พิเศษที่พวกเขาเรียกกันเองว่า Hacktivist คือเป็นนักกิจกรรมที่แฮกเข้าไปในคอมพิวเตอร์ของคนอื่นเพื่อล้วงข้อมูลในส่วนที่จะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนออกมาเปิดเผย

    ทุกคืนวันเสาร์ไต้หวันมีรายการสัมภาษณ์นักการเมืองไต้หวันโดยมีพิธีกรฝีปากกล้าที่กล้าวิจารณ์นักการเมืองทุกคนและนโยบายทุกชนิดของนักการเมือง โดยมีผู้ชมทางบ้านโทรศัพท์เข้ามาถามปัญหาและโต้เถียงกับนักการเมืองแต่ละคนอย่างเปิดเผย ถือว่าเป็นประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมและโปร่งใส มีประเทศไม่กี่แห่งที่สามารถทำอย่างนี้ได้

    ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองพรรคใดหรือเป็นผู้บริหารประเทศที่สูงส่งแค่ไหน คนหนุ่มสาวเหล่านี้ถือว่าทุกคนเท่าเทียมกันหมดไม่ว่าหญิงหรือชายหรือมีเพศสภาพอย่างไร ขบวนการขับเคลื่อนเพื่อเสรีประชาธิปไตยนี้เรียกตนเองว่า “กระบวนการดอกทานตะวัน” (Sunflowers Movement) ส่วนมากเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยซึ่งออกมาต่อต้านการรวมชาติกับจีน

    นี่คืออุปสรรคสำคัญที่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงต้องเจอะเจอแม้ว่าจะสามารถยึดไต้หวันได้แล้วก็ตาม การครองพื้นที่ในใจคนรุ่นใหม่นั้นยิ่งยากกว่าการใช้กำลังทางทหารอีกมากนัก!!!