
“ธงทอง จันทรางศุ” ประธานกรรมการ ‘กรุงเทพธนาคม’ อาสาสาง ‘ท้าวแสนปม’ ในวันที่ต้องรับมือ 3 ปมใหญ่ หนี้หมื่นล้านรถไฟฟ้าสายสีเขียว, โรงไฟฟ้าขยะอ่อนนุช 2 พันล้าน หยุดดำเนินการ และยกเลิกโครงการท่อร้อยสายสื่อสารลงใต้ดิน พร้อมคลี่ปมความแปลกแต่ละโครงการ
บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด หรือ “เคที” กับสภาวะ “หลุมดำ” ที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่ากรุงเทพมหานคร ประกาศชัดเจนว่าจะต้องปรับรื้อเพื่อให้อยู่ในสปอตไลต์ โปร่งใส ตรวจสอบได้
3 เดือนหลังจากศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ ซึ่งเป็นทั้งนักรัฐศาสตร์ นักกฎหมาย และนักประวัติศาสตร์ นั่งเป็นประธานกรรมการบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด พร้อมคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ ต้องเข้าแก้ปัญหาใหญ่ๆ ที่คลุมๆ เครือๆ ในหลายประเด็น
“ไทยพับลิก้า” ได้มีโอกาสพูดคุยกับอาจารย์ธงทอง ในฐานะประธานกรรมการบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด หลังศาลปกครองกลางพิพากษาให้บริษัทกรุงเทพธนาคม จ่ายหนี้บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS กรณีค่าจ้างเดินรถส่วนต่อขยายที่ 1-2 จำนวน 1.7 หมื่นล้านไปไม่นาน
อาจารย์ธงทอง เริ่มต้นเล่าถึงบริษัทกรุงเทพธนาคมด้วยการย้อนประวัติศาสตร์ของบริษัท ว่ามาจากธุรกิจผูกขาดโรงฆ่าสัตว์ หรือการชำแหละหมูขายในอดีต ซึ่งการค้าขายหมูในสมัยนั้น (2498) ไม่สามารถขายข้ามเขตได้ กรุงเทพมหานครซึ่งขณะนั้นเป็นเพียงเทศบาลนคร จึงตั้งวิสาหกิจชุมชน เรียกว่า “สหสามัคคีค้าสัตว์”
เคทีเป็น ‘วิสาหกิจ’ ชุมชน ไม่ใช่ รัฐวิสาหกิจ
บริษัทสหสามัคคีค้าสัตว์ จึงเป็นวิสาหกิจชุมชน ของกรุงเทพมหานคร กระทั่งปี 2537 แปลงโฉมมาเป็นบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด โดยมีทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท มีกรุงเทพมหานครถือหุ้น 99.98% ส่วนเอกชนภถือหุ้น 0.002% โดยภารกิจของบริษัทกรุงเทพธนาคมคือทำงานที่กรุงเทพมหานครมอบหมายให้เพื่อความคล่องตัวมากกว่าการทำในระบบราชการ
หลายคนสงสัยว่า บริษัทกรุงเทพธนาคมก่อตั้งด้วยกฎหมายอะไร ทำไมไม่เป็นรัฐวิสาหกิจ ซึ่งในเรื่องนี้ อาจารย์ธงทองบอกว่าสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเคยตีความมาแล้วว่า บริษัทกรุงเทพธนาคมไม่เรียกว่ารัฐวิสาหกิจ เนื่องจากเป็นบริษัทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีกรุงเทพมหานครถือหุ้น 99.98% ขณะที่เอกชนถือหุ้นไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ จึงถือเป็นวิสาหกิจของท้องถิ่น
“สมัยนั้นกฎหมายไปไม่ถึง ‘รัฐวิสาหกิจ’ ในความหมายคือต้องเป็นเงินหลวงหรือรัฐบาล แต่พอเป็นเงินท้องถิ่นคือกรุงเทพมหานคร จึงเป็นวิสาหกิจชุมชน ที่ไม่ได้มีภารกิจในการหารายได้ แต่ทำหน้าที่รับมอบหมายทำงานจากกรุงเทพมหานครเพื่อความคล่องตัว”
หลังจากทำความเข้าใจที่มาของบริษัทกรุงเทพธนาคม อาจารย์ธงทองได้เล่าถึงปัญหาใหญ่ หรือเรียกว่า ‘ท้าวแสนปม’ ที่ต้องเข้าไปแก้ไข หลังรับตำแหน่งว่า เริ่มทำการบ้าน และอ่านเอกสารจำนวนมหาศาล
พบว่ามีมรสุม 3 ลูกใหญ่ที่เป็นข่าวเป็นคราวในปัจจุบัน บางเรื่องไม่ต่างจาก “ท้าวแสนปม” ที่ต้องมานั่งไล่เรียงและแก้ไขปัญหาที่ละปม หรือบางเรื่องก็เป็นมหากาฬที่มีตัวละครเข้ามาเกี่ยวข้องจำนวนมากซึ่งทั้งหมดต้องการแก้ไขบนหลักข้อมูลและเหตุผล
ปมแรก “หนี้หมื่นล้านรถไฟฟ้าสายสีเขียว”
ปมแรกมหากาฬรถไฟฟ้าสายสีเขียว อาจารย์ธงทองบอกว่า เป็นเรื่องซับซ้อนมีตัวละครเข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย โดยเฉพาะเมื่อศาลปกครองกลางคำพิพากษาให้กรุงเทพธนาคมจ่ายหนี้ 1.7 หมื่นล้านบาท ให้บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS กรณีผิดสัญญาการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร (โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว) ในส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2
โดย กทม. ต้องจ่ายหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1 เป็นหนี้เงินต้น 2,199 ล้านบาท ดอกเบี้ย 149 ล้านบาท รวม 2,348 ล้านบาท และส่วนต่อขยายที่ 2 เป็นหนี้เงินต้น 8,786 ล้านบาท ดอกเบี้ย 619 ล้านบาท รวม 9,406 ล้านบาท โดยรวมหนี้ทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ย จำนวน 1.7 หมื่นล้านบาท
“ผมเข้ามากลางเดือนมิถุนายน 2565 ในช่วงสถานการณ์ที่ทำอะไรได้ไม่มากนัก ไม่สามารถตั้งข้อต่อสู้ทางกฎหมายได้เลย เอาแค่ข้อมูลเป็นอย่างไร ผมก็รู้เท่าที่ชาวบ้านรู้ กว่าจะอ่านหนังสือ อ่านแฟ้มเอกสาร ก็ต้นเดือนกรกฎาคมแล้ว ศาลท่านตัดสินมา ผมก็รู้แก่ใจว่าน่าจะแพ้แน่ แต่ทำอะไรไม่ได้มาก”
ขั้นตอนต่อไปหลังศาลปกครองพิพากษา กรุงเทพธนาคมได้ยื่นอุทธรณ์ ขณะที่ในการดำเนินการทางธุรกิจก็เดินคู่ไปกับการเจรจากับบริษัท BTS โดยอาจารย์ธงทองบอกว่า…
มั่นใจว่าทั้งบริษัทกรุงเทพธนาคมและบีทีเอสต่างเป็นตัวละครที่เป็นพันธมิตรทางธุรกิจ ไม่ใช่ศัตรูกัน การเจรจาและนำข้อมูลข้อเท็จจริงใหม่มาคุยกันน่าจะเป็นทางออก
เนื่องจากหลังเซ็นสัญญาเดินรถไฟฟ้าในปี 2555 ผ่านมานานกว่า 10 ปี สถานการณ์ต้นทุน ข้อมูลผู้โดยสารอาจเปลี่ยนแปลงไป การนำข้อมูลมากางบนโต๊ะและเจรจากัน ทบทวนกันอีกครั้งน่าจะเป็นที่ทำให้เกิดประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย
“ข้อมูล เท็จจริงที่เป็นอย่างไร ทำไมราคาถึงเป็นแบบนั้น สมมติฐานค่าใช้จ่ายในช่วงเวลานั้นกับช่วงเวลานี้เป็นอย่างไร ผู้โดยสารจำนวนมากน้อยแค่ไหน สิ่งเหล่านี้ผ่านมานานแล้วที่เซ็นสัญญากันไป กลับมาทบทวนกันใหม่ดีมั้ย ว่าจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร ซึ่งผมได้พบกับบีทีเอสเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ก็ได้รับเสียงตอบรับที่ดี เชื่อว่าน่าจะคุยกันได้ ”
แต่สถานการณ์เปลี่ยนไป กรุงเทพธนาคมแพ้คดี บริษัทบีทีเอสจะยังยอมเจรจาอยู่หรือไม่ อาจารย์ธงทองบอกว่า ที่ผ่านมาบีทีเอสมีท่าที่ที่ดี เนื่องจากเรามองเป็นพันธมิตรทางธุรกิจไม่ใช่ศัตรูกัน สุดท้ายหากการเจรจาเป็นผล เป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย ได้รับความเป็นธรรม อาจไม่ต้องรอให้ศาลปกครองสูงสุดตัดสินในอีก 2 ปีข้างหน้าก็ได้ น่าจะดีกว่าปล่อยเวลาให้ยืดเยื้อไป
นอกจากนี้ บริษัทกรุงเทพธนาคมจ้างบริษัทปรึกษามาศึกษาข้อมูลต้นทุนราคาและสัญญาเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวใหม่ทั้งหมดระยะเวลา 60 วัน เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวไปเจรจากับบริษัทบีทีเอส ว่ามีข้อมูลอะไรบ้างที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา นับจากการเซ็นสัญญาเดินรถในปี 2555
“ผมคิดว่าบริษัทที่ปรึกษาน่าจะทำข้อมูลแล้วเสร็จ และคาดว่าภายในเดือนตุลาคมน่าจะนำข้อมูลดังกล่าวไปคุยกับบีทีเอสได้ และข้อมูลดังกล่าวจะนำไปใช้ในการอุทธรณ์ เพราะที่ผ่านมาข้อมูลที่เราศึกษาไม่ได้เข้าไปอยู่ในสำนวนเลย เราหวังว่าจะอุทธรณ์ในประเด็นใหม่เหล่านี้ หวังว่าศาลท่านจะรับฟัง”
การเจรจากับบริษัทบีทีเอสต้องเดินหน้าต่อไป โดยอาจารย์ธงทองเชื่อว่าในทางธุรกิจไม่เคยปิดโอกาสที่คู่สัญญาในการเจรจากัน เพราะอย่างไรก็เป็นพันธมิตทางธุรกิจที่ต้องอยู่กันไปอีกนาน ไม่ควรมาทะเลาะกันจนมองหน้ากันไม่ได้ ซึ่งหากมีข้อมูลข้อเท็จจริงจากผลการศึกษาก็นำมาเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกันได้

คลี่ปมความแปลก “สัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียว”
ส่วนสัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียว อาจารย์ธงทอง บอกว่า เป็นการรวมเอาของแปลกมาไว้ด้วยกัน จนกลายเป็นท้าวแสนปม การแก้ไขปัญหามีหลายระดับ โดยสัญญาแรกคือการจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย 1 สะพาน-ตากสิน-วงเวียนใหญ่-บางหว้า และอ่อนนุช-แบริ่ง
โดยส่วนต่อขยายที่ 1 กรุงเทพมหานครลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเองทั้งหมด และจ้างบริษัทบีทีเอสเดินรถ โดยทำสัญญาจ้างเดินรถไปถึงปี 2585 ซึ่งการเดินรถในส่วนต่อขยายที่ 1 เก็บค่าโดยสารแล้ว นอกจากนี้ การทำสัญญาผ่านความเห็นชอบของสภากรุงเทพมหานคร ทำให้การเซ็นสัญญาเดินรถในส่วนนี้ถูกต้องตามขั้นตอน
อาจารย์ธงทองชี้ว่า แต่ความแปลกมารวมกันที่ รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 2 แบริ่ง-สมุทรปราการ หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต เนื่องจาก รฟม. ลงทุนก่อสร้างโดยมีคำสั่ง คสช.3/2562 ให้กรุงเทพมหานครทำส่วนต่อขยายที่ 2 เพื่อให้การเดินรถเชื่อมกันทั้งระบบรถไฟฟ้าสายสีเขียว
“ความน่าสนใจคือส่วนต่อขยาย 2 ยังไม่ได้เก็บค่าโดยสาร แต่กรุงเทพธนาคมต้องจ่ายค่าเดินรถ จึงเป็นการรวมของแปลก โดยที่มาของความแปลกคือเราได้มาแบบไม่ได้สมัครใจ รฟม. ลงทุนก่อสร้างเอาไว้ รัฐบาลอยากให้การเดินรถไฟฟ้าเชื่อมกันทั้งหมด ก็บอกว่าเอาให้ กทม. ไปทำต่อ สิ่งที่ กทม. ได้คือหนี้ค่าลงทุนก่อสร้างของ รฟม. ซึ่งเราต้องใช้หนี้ แต่เอาไว้ก่อน เพราะตอนนี้ยังไม่มีเงิน”
ความแปลกของสัญญาจ้างเดินรถในส่วนต่อขยายที่ 2 ซึ่งมีที่มาแตกต่างจากสัญญาของส่วนต่อขยายที่ 1 โดยสัญญาจ้างเดินรถส่วนต่อขยายที่ 1 สภากรุงเทพมหานครเห็นชอบ แต่สัญญาจ้างเดินรถส่วนต่อขยาย 2 สภากรุงเทพมหานครไม่เคยรับรู้เรื่องเลย มีเพียงบันทึกมอบหมายงานให้กรุงเทพธนาคมไปดำเนินการว่าจ้างเดินรถเท่านั้น
“สัญญาจ้างเดินรถส่วนต่อขยายที่ 2 มีแค่หนังสือมอบหมายงาน ไม่มีรายละเอียดอะไรเลย ซึ่งปัญหาคือมันชอบด้วยกฎหมายหรือเปล่าไม่รู้ ยังมีคำถามว่า กทม. ผูกพันอย่างไร แต่ไม่ว่าใครจะถูกหรือจะผิด บริษัทกรุงเทพธนาคมปฏิเสธไม่ได้ เพราะไปเซ็นสัญญาจ้างบีทีเอสเดินรถ ขว้างงูไม่พ้นคอ โดยในเรื่องนี้เราก็พิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร”
อาจารย์ธงทองยังบอกอีกว่า การแก้ปัญหาส่วนต่อขยายที่ 2 นอกจากกรุงเทพธนาคมต้องเจรจากับบีทีเอสในเรื่องค่าจ้างเดินรถแล้ว ยังมีประเด็นในเชิงนโยบาย เพราะสิ่งที่รัฐบาลมอบหมายให้กรุงเทพมหานครทำไม่ต่างจากการเอาทุกขลาภมาให้ เนื่องจากยกหนี้ของ รฟม. มาให้ด้วย ซึ่งในส่วนนี้ต้องรอดูนโยบายรัฐบาลว่าจะดำเนินการอย่างไร และกรุงเทพมหานครจะดำเนินการอย่างไร
“เรื่องในเชิงนโนยบายส่วนต่อขยาย 2 เป็นเรื่องของรัฐบาลกับ กทม. ส่วนกรุงเทพธนาคมเป็นผู้รับมอบหมายจาก กทม. ด้วยกระดาษแผ่นเดียว สภากรุงเทพมหานครไม่เคยรับรู้ จึงขอไม่มีความเห็นในเรื่องนี้ รอนโยบายว่าให้ไปในทิศทางไหนก็เดินตามนั้น”
อาจารย์ธงทองบอกว่า หนักใจกับการแก้ปัญหารถไฟฟ้าสายสีเขียว เพราะไม่ใช่ง่าย เนื่องจากตัวละครทุกตัวมีความรับผิดชอบต่อประชาชน ทั้ง กทม. กรุงเทพธนาคม และบีทีเอส ต้องคำนึงถึงประชาชน แต่ก็หวังว่าในปี 2572 หากสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายหลักหมดลงจะมีโอกาสมาทบทวนกันใหม่ และเชื่อว่าในวันนั้นจะมีทิศทางที่ดีต่อประชาชนมากกว่าปัจจุบัน
ปมที่สอง “โรงไฟฟ้าขยะอ่อนนุช”
ปัญหาที่ถือเป็นมรสุมใหญ่ลูกที่สองของบริษัทกรุงเทพธนาคม คือ โครงการบริหารจัดการมูลฝอยชุมชนเพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าขนาดไม่น้อยกว่า 800 ตันต่อวัน ที่ศูนย์กำจัดขยะอ่อนนุช โดยปัญหาเกิดขึ้นหลังจากได้รับเรื่องเรียนปัญหาเรื่องกลิ่นเหม็นจนทำให้โรงไฟฟ้าต้องหยุดดำเนินการมากว่า 5 เดือนตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2565 จนถึงปัจจุบัน
การหยุดดำเนินการโรงไฟฟ้าขยะส่งผลต่อรายได้ของบริษัทกรุงเทพธนาคม เนื่องจากในการลงทุนก่อสร้างโรงขยะไฟฟ้านั้น กรุงเทพธนาคมออกทีโออาร์ให้เอกชนกู้เงินมาดำเนินการสร้างโรงไฟฟ้าขยะกว่า 2,090 ล้านบาท
อาจารย์ธงทองบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นหลังโรงไฟฟ้าขยะหยุดลงคือขาดรายได้ เนื่องจากกรุงเทพธนาคมไปกู้เอกชนเพื่อให้บริษัท เอทู เทคโนโลยี จำกัด ดำเนินการก่อสร้างและเดินระบบกำจัดขยะ วันละ 800 ตันเพื่อผลิตไฟฟ้า โดยรายได้ที่กรุงเทพธนาคมจะได้รับมาจากค่ากำจัดขยะและการขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้านครหลวง
แต่ขณะนี้โรงงานกำจัดขยะไม่สามารถทำงาน ส่งผลให้ไม่มีรายได้ในการไปใช้หนี้ นอกจากนี้ ปัญหาของโรงไฟฟ้าขยะอ่อนนุชคือไม่สามารถกำจัดขยะและผลิตไฟฟ้าได้ตามเป้าหมายวันละ 800 ตัน สามารถดำเนินการได้จริงเพียงวันละ 200-300 ตันเท่านั้น เนื่องจากปัญหาขยะเปียกไม่สามารถเผาเป็นเชื้อเพลิงได้
“ปัญหาคือเราเผาไม่ได้จริงตามเป้าหมาย 800 ตัน ทำให้การผลิตไฟฟ้าลดลงไม่ได้ตามเป้าหมายที่เคยคาดการณ์ไว้ จึงไม่สอดคล้องกับสัดส่วนการจ่ายหนี้คืนเงินกู้ และยิ่งซ้ำร้ายประชาชนร้องเรียนจนต้องหยุดดำเนินการไป 5 เดือน โดยที่ไม่รู้จะกลับมาเดินระบบได้อีกเมื่อไหร”
อาจารย์ธงทองบอกว่า ขณะนี้กำลังดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องกลิ่นเหม็นที่ร้องเรียนเข้ามา โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบก็ยังไม่ผ่านการดำเนินการและเปิดใช้งานไม่ได้ โดยการแก้ปัญหาแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือความรับผิดชอบของบริษัทเอทู ในการปรับปรุงเทคโนโลยี และส่วนที่กรุงเทพธนาคมต้องดำเนินการคือปลูกต้นไม้เพื่อให้ปัญหากลิ่นลดลง
“ตอนนี้ผมก็ไปเจรจากับบริษัทเจ้าหนี้ที่ไปกู้เงิน เพราะเรา ไม่มีเงิน ไม่มีรายได้ โรงงานขยะหยุดลง ต้องเร่งแก้ไขให้ดำเนินการได้ แม้ว่าจะกำจัดขยะไม่ได้ตามเป้าหมาย 800 ตัน อย่างน้อย 200-300 ตัน ก็ยังมีรายได้จากค่ากำจัดขยะและค่าไฟฟ้าที่ขายให้กับการไฟฟ้านครหลวง”
อาจารย์ธงทองบอกว่า การแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าขยะที่อ่อนนุชคือเร่งแก้ไขปัญหาเพื่อให้กลับมาเดินเครื่องได้เพื่อให้มีรายได้ไปใช้หนี้ แม้ว่ารายได้จะไม่เป็นไปตามการคาดการณ์ก็ตาม

ปมที่ 3 ยุติโครงการท่อร้อยสายสื่อสารลงใต้ดิน
มรสุมลูกที่ 3 โครงการนำสายสื่อสารลงใต้ดิน 2,450 กิโลเมตร งบประมาณ 2 หมื่นล้าน หลังก่อสร้าง 2 ปีแล้วเสร็จแค่ 10 กิโลเมตรใช้งบประมาณไปแล้ว 200 ล้านบาท จำเป็นต้องยุติการดำเนินการ เนื่องจากไม่มีเอกชนเข้ามาเช่าดำเนินการร้อยสายในท่อใต้ดิน
ในเรื่องนี้อาจารย์ธงทองบอกว่า สั่งให้ยุติไปก่อนจนกว่านโยบายของกรุงเทพมหานครจะชัดเจนว่าให้ดำเนินการ เนื่องจากที่ผ่านมามีงบประมาณที่ลงทุนไปแล้ว แต่รายได้ไม่ได้กลับเข้ามา ซึ่งโครงการท่อร้อยสายสื่อสารลงใต้ดิน กรุงเทพธนาคมได้แบ่งงานบางส่วนมาดำเนินการจากกระทรวงดิจิทัล, กสทช., การไฟฟ้านครหลวง
โดยในส่วนที่กรุงเทพธนาคมรับมาดำเนินการได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าราคาค่าเช่าแพง และผู้ประกอบการโทรคมนาคมบอกว่าทำเองอาจคุ้มกว่า จึงต้องสั่งชะลอการดำเนินการไว้ก่อน จนกว่าจะมีความชัดเจนในเรื่องนโยบาย
“ผมไม่อยากให้เลือดซึมออกจากตัวหมด เพราะไม่มีเงินสดจ่ายผู้รับเหมา ต้องชะลอก่อนจนกว่าจะมีนโยบาย ถ้าเดินหน้าต่อไปในกรอบเดิม ราคาเดิม ค่าเช่าแพงเท่าเดิม ก็จะล้มเหลว หยุดอยู่นิ่งๆ เฉยๆ ไว้ก่อนดีกว่า เพราะตอนนี้มีจดหมายจากผู้รับเหมามาทวงทุกวัน”
เตรียมยุติเดินรถด่วนพิเศษ BRT
นอกจากนี้ยังมีการแก้ปัญหาเรื่องเล็กๆ อีก 2 เรื่อง คือ การยกเลิกโครงการรถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษบีอาร์ที (BRT) ดำเนินการโดยบีทีเอส ซึ่งกำลังจะหมดสัญญา และบริษัทบีทีเอสมีแนวโน้มว่าจะยกเลิกการดำเนินการ เนื่องจากรถยนต์เสื่อมสภาพ และการเดินรถไม่คุ้มกับการเสียผิวจราจรไป
“รถบีอาร์ทีกำลังจะหมดสัญญา และบีทีเอสมีแนวโน้มว่าจะยกเลิกการดำเนินการ ซึ่งเราต้องมาทบทวนกันว่า การเดินรถบีอาร์ทีมีความคุ้มค่าตามวิศวกรรมจราจรหรือไม่ เนื่องจากมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการกินผิวจราจร”
ส่วนอีกหนึ่งเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่ากรุงเทพธนาคมดำเนินการ คือโครงการบริการส่งคนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ป่วย ไปยังโรงพยาบาลแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งดำเนินการเป็นโครงการซีเอสอาร์ มีรถบริการ 30 คัน แต่ปัจจุบันใช้ได้จริง 10 คัน เนื่องจากขาดงบประมาณในการซ่อมบำรุง จึงอาจต้องยกเลิกไป เนื่องจากปัญหาค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ
แต่เนื่องจากเป็นโครงการที่ดี ได้หารือกับผู้ว่ากรุงเทพมหานคร คุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ว่าควรปรับรูปแบบการบริการ และหาเอกชนมาร่วมดำเนินการ โดยอาจจะให้บริการเฉพาะโรงพยาบาลของกรุงเทพมหานครไปก่อน
“โครงการนี้เป็นโครงการที่ดี อาจจะหาเอกชนมาร่วมดำเนินโครงการในแบบซีเอสอาร์ โดยอาจจะเป็นบริษัทรถยนต์ มาดำเนินการเพื่อทำบุญ ทำกุศลร่วมกัน”
มรสุมทั้ง 3 ลูกใหญ่สงผลให้บริษัทกรุงเทพธนาคมประสบปัญหาผลประกอบการ ซึ่งอาจารย์ธงทองบอกว่า ยังมีรายได้จากค่าบริการขยะติดเชื้อที่พอดูแลเงินเดือนของพนักงาน
“อยากขอความเห็นใจจากคู่สัญญาว่า กรุงเทพธนาคมมีทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท ลงทุนอะไรเพิ่มก็คงไม่ได้ เพราะ กทม. ถือหุ้น 99% ซึ่งข้อเท็จจริงนี้อยากให้คู่สัญญากรุณาเห็นใจและเข้าใจ ทำให้การทำงานเดินหน้าต่อไปแบบไม่สะดุดและเป็นผลดีกับทุกฝ่าย”
สำหรับปัญหาใหญ่ทั้ง 3 ปัญหา อาจารย์ธงทองบอกว่าก็ค่อยแก้ปัญหาไปตามแนวทาง และเชื่อว่า การเจรจาและการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจจะช่วยให้รับมือกับมรสุมใหญ่ทั้ง 3ลูกได้
ธงทอง จันทรางศุ มือประสานสิบทิศ รับอาสาสางปม ‘กรุงเทพธนาคม’
ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ อดีตปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ นักรัฐศาสตร์ นักกฎหมายในวัย 67 ปี บอกเมื่อถูกถามว่าปัญหาบริษัทกรุงเทพธนาคมไม่ง่ายในการแก้ไข ทำไมถึงตอบรับหลัง “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ผู้ว่ากรุงเทพมหานครเชิญมาร่วมทำงานในตำแหน่งประธานกรรมการบริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด (เคที) วิสาหกิจของ กทม.
“ผมคิดว่ายังมีกำลัง มีแรง ที่จะทำอะไรให้บ้านเมือง” อาจารย์ธงทอง ยังบอกว่าคิดว่าการประสานงานหรือการเป็นมือประสานจะช่วยแก้ไขปัญหาของบริษัทกรุงเทพธนาคมได้ เมื่อได้ถูกทาบทามก็เลยคิดว่าลองดูสักตั้งจะเป็นไรไป “ความจริงผมเป็นอาจารย์พิเศษ สอนหนังสือด้วย เมื่อถูกชวนจากอาจารย์ชัชชาติก็คิดว่า ในชีวิตของคนเราที่จะมีโอกาสได้ทำงานที่ท้าทายความรู้ และประสบการณ์ที่ได้สั่งสมมานานน่าจะช่วยบ้านเมืองได้ ส่วนงานสอนหนังสือก็ยังไปช่วย แต่ก็มอบหมายให้ลูกศิษย์ทำหน้าที่ตรงนั้นไปก่อน”
หลัง 3 เดือนที่เข้ามาเริ่มทำงานในบริษัทมกรุงเทพธนาคม ก็พบว่ามีเอกสารและข้อมูลจำนวนมากที่ต้องเรียนรู้และหาวิธีการแก้ไข ซึ่งเชื่อว่าประสบการณ์ที่มีในเรื่องของการประสานงานจะช่วยให้สถานการณ์ของกรุงเทพธนาคมดีขึ้น
สำหรับคณะกรรมการบริหารบริษัทกรุงเทพธนาคมประกอบด้วย 1. ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ ประธานกรรมการบริหาร 2. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ประแสง มงคลศิริ กรรมการผู้อำนวยการ 3. ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กมลชัย รัตนสกาววงศ์ กรรมการ 4. นายชัยวัฒน์ คลังวิจิตร กรรมการ 5. นางทิพยสุดา ถาวรามร กรรมการ 6. นายธรรดร มลิทอง กรรมการ และ 7. นายพีระพัฒน์ ศรีสุคนธ์ กรรมการ