ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ : “ป.ป.ช.ชี้มูล ‘เทพเทือก-2 บิ๊ก ตร.’ คดีโรงพักทดแทน-แฟลตตำรวจ” และ “เคาะค่าปรับเฟซบุ๊กทำข้อมูลผู้ใช้รั่ว 1.5 แสนล้านบาท”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ : “ป.ป.ช.ชี้มูล ‘เทพเทือก-2 บิ๊ก ตร.’ คดีโรงพักทดแทน-แฟลตตำรวจ” และ “เคาะค่าปรับเฟซบุ๊กทำข้อมูลผู้ใช้รั่ว 1.5 แสนล้านบาท”

27 กรกฎาคม 2019


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 20-26 ก.ค. 2562

  • ป.ป.ช.ชี้มูล “เทพเทือก-2 บิ๊ก ตร.” คดีโรงพักทดแทน-แฟลตตำรวจ
  • วินรวมตัวร้องเพื่อไทย ช่วยคัดค้านแกร็บ
  • บีทีเอสรับลูก คค. พร้อมลดค่าโดยสาร
  • ยื่นรื้อคดีค่าโง่โฮปเวลล์
  • เคาะค่าปรับเฟซบุ๊กทำข้อมูลผู้ใช้รั่ว 1.5 แสนล้านบาท
  •  

    ป.ป.ช.ชี้มูล “เทพเทือก-2 บิ๊ก ตร.” คดีโรงพักทดแทน-แฟลตตำรวจ

    นายสุเทพ เทือกสุบรรณ
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ข่าวสดออนไลน์ (http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1470297185)

    เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า ในการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2562 ที่ประชุมได้ลงมติชี้มูลความผิดนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ. ปทีป ตันประเสริฐ อดีตรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) กรณีอนุมัติโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจ (โรงพัก) ทดแทน 396 แห่ง ในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค (บช.ภ.) 1-9 วง เงิน 5,800 ล้านบาท โดยจากการไต่สวนของ ป.ป.ช.พบว่า นายสุเทพในฐานะรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ในขณะนั้น ได้สั่งให้เปลี่ยนวิธีการประมูลการจัดสร้างโรงพักทดแทน จากเดิมที่ใช้วิธีแยกประมูลสัญญาเป็นรายภาค มาเป็นรวมศูนย์การประมูลเป็นแห่งเดียวในปี 2552 ทั้งที่เมื่อเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไปแล้วถูกทักท้วงจาก ครม.ขณะนั้น โดยสั่งให้ไปหารือกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และสำนักงบประมาณก่อน แต่นายสุเทพไม่ดำเนินการตามที่ถูกทักท้วง โดยยืนยันจะใช้วิธีการประมูลแบบรวมศูนย์ อ้างว่าเป็นไปตามระเบียบของกรมบัญชีกลางที่อนุญาตให้ทำได้

    นอกจากนี้ที่ประชุม ป.ป.ช.ยังชี้มูลความผิดคดีการอนุมัติโครงการก่อสร้างแฟลตที่พักข้าราชการตำรวจ 163 แห่งทั่วประเทศ ที่นายสุเทพเสนอขึ้นมาพร้อมกับคดีโรงพักทดแทนในลักษณะแพ็กคู่ เนื่องจากเป็นโครงการในลักษณะที่ต้องดำเนินการควบคู่กันไป โดยในส่วนคดีแฟลตที่พักข้าราชการตำรวจ 163 แห่งนั้น ที่ประชุม ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดนายสุเทพ และ พล.ต.อ. สุพร พันธุ์เสือ อดีตรอง ผบ.ตร. เป็นผู้บัญชาการสำนักงานส่งกำลังบำรุง (ผบช.สกบ.) ในขณะนั้น เนื่องจากเป็นการกระทำความผิดในลักษณะเดียวกับคดีโรงพักทดแทนคือ มีการเปลี่ยนวิธีการดำเนินการประมูลก่อสร้างจากแยกเป็นรายภาคมาเป็นวิธีการรวมศูนย์แห่งเดียว จนกลายเป็นต้นเหตุให้เกิดความเสียหายต่องบประมาณแผ่นดินจำนวนมากในภายหลัง เนื่องจากโครงการก่อสร้างไม่เดินหน้า โรงพักและแฟลตหลายแห่งถูกทิ้งร้างจำนวนมาก เห็นว่าพฤติการณ์นายสุเทพเข้าข่ายการทุจริตและประพฤติมิชอบต่อหน้าที่ ให้ส่งเรื่องดำเนินคดีอาญากับนายสุเทพและผู้เกี่ยวข้องต่อไป ขณะนี้ ป.ป.ช.อยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำสำนวนให้สมบูรณ์ภายใน 30 วัน หลังจากการลงมติเพื่อส่งให้อัยการดำเนินการต่อไป โดยเร็วๆ นี้ ป.ป.ช.เตรียมจะแถลงข่าวเรื่องดังกล่าวให้สาธารณชนรับทราบต่อไป

    วินรวมตัวร้องเพื่อไทย ช่วยคัดค้านแกร็บ

    เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า วันที่ 23 ก.ค. 2562 กลุ่มผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างในนาม ชมรมเพื่อนแท้ชาววิน นำโดย น.ส.ปัทมศรี ไกรรส พร้อมกับผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง จากหลายสิบเขตทั่วกรุงเทพมหานคร (กทม.) ประมาณ 300 คนเดินทางมายังที่ทำการพรรคเพื่อไทย เพื่อเรียกร้องให้ตรวจสอบแกร็บไบค์และแกร็บคาร์ ที่เข้ามาแย่งอาชีพ ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง โดยฝ่ายพรรคเพื่อไทย มีนายวิชาญ มีนชัยนันท์ รองหัวหน้าพรรค และประธานส.ส.กทม. นายวัน อยู่บำรุง นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ นายอนุสรณ์ ปั้นทอง ส.ส.กทม. เป็นตัวแทนมารับเรื่องร้องเรียน โดย ชมรมเพื่อนแท้ชาววิน ต่างตะโกนให้กำลังใจพรรคเพื่อไทยสู้ๆ เป็นระยะ 

    น.ส.ปัทมศรี กล่าวว่า ชมรมเพื่อนแท้ชาววิน มายื่นเอกสารเพิ่มเติมให้กับพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นเอกสารที่เคยยื่นฟ้องศาลปกครองไว้แล้ว ครั้งนี้มาขอให้พรรคเพื่อไทยนำเรื่องนี้เข้าสภาฯเพื่อคัดค้านพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาลที่จะให้แกร็บคาร์ ถูกกฎหมายซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ขอให้พรรคเพื่อไทยเป็นกระบอกเสียง เป็นตัวแทนวินสาธารณะทุกคน ขอให้นำข้อเสนอเรื่องนี้เข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย ให้บริษัทแกร็บคาร์ปฎิบัติตามข้อกฎหมาย เพราะความเดือนร้อนของพวกเราทุกวันนี้ได้รับความเดือดร้อนมากจนกลายเป็นความขัดแย้งแล้ว

    นายวิชาญ กล่าวว่า ส.ส.ของพรรคได้รับเรื่องจากทุกท่าน ก่อนหน้าได้ศึกษาส่งเป็นญัตติไปให้สภาฯแล้ว เราเห็นความเดือดร้อนผู้ขับขี่วินมอเตอร์ไซค์ จะนำไปหารือกันในส่วนของ ส.ส. อาจจะมีการขอเลื่อนญัตติดังกล่าวเป็นญัตติเร่งด่วนเพื่อบรรจุเข้าสู่สภา

    บีทีเอสรับลูก คค. พร้อมลดค่าโดยสาร

    นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข (ขวา) นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ(ซ้าย)

    เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่า เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2562 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (รมว.คมนาคม) เปิดเผยถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่ากระทรวงคมนาคมจะปรับลดค่าโดยสารระบบขนส่งสาธารณะว่า หลังจากรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตนจะเรียกประชุม 23 หน่วยงานในสังกัด เพื่อมอบนโยบายโดยจะมอบหมายให้แต่ละหน่วยงานกลับไปพิจารณาหาแนวทางและมาตรการการปรับลดภาระค่าครองชีพด้านการเดินทางให้แก่ประชาชนเพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพแก่ประชาชน

    “แต่ละหน่วยงานต้องกลับไปศึกษาและพิจารณาดูภาระขององค์กรว่าปัจจุบันมีภาระมากน้อยแค่ไหน และยังพอมีช่องว่างเหลือพอที่จะออกมาตรการลดภาระค่าครองชีพหรือลดค่าโดยสารได้หรือไม่อย่างไร โดยแต่ละหน่วยงานจะต้องนำเสนอผลการศึกษา และมาตการส่งกลับมาให้ผมพิจารณาภายใน 1 เดือน จึงจะรู้ว่าจะสามารถปรับลดค่าโดยสารอะไรได้บ้าง หรือไม่อย่างไร”

    นายอาณัติ อาภาภิรม ประธานที่ปรึกษา บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด(มหาชน)ผู้ให้บริการรถไฟฟ้า บีทีเอส เปิดเผยถึง กรณีที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ออกมาระบุว่าจะปรับลดค่าโดยสารรถสาธารณะทั้งระบบ โดยเฉพาะรถไฟฟ้า ที่อาจจะปรับลงใกล้เคียง 15 บาทตลอดสายว่า

    นโยบายปรับลดราคาค่าโดยสารรถสาธารณะทั้งระบบถือเป็นเรื่อง ที่ดีบีทีเอสเห็นด้วย และพร้อมที่จะดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลทุกประการ เพี่อช่วยเหลือประชาชนให้มีการระบบขนส่งมวลชนที่ดี โดยหากกระทรวงคมนาคมมีนโยบายที่ชัดเจนบีทีเอสก็พร้อมให้ความร่วมมือ

    “จะปรับลดค่าโดยสารลงเท่าไหร่ กระทรวงคมนาคม และผู้ให้บริการรถไฟฟ้า คือบีทีเอส และบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าใต้ดินจะต้องมาหารือร่วมกันเกี่ยวกับแนวทางปรับลดราคา รวมถึงแนวทางการสนับสนุนค่าโดยสารให้ผู้ประกอบการว่าจะเป็นอย่างไร เพื่อให้ประชาชนใช้บริการสาธารณะถูกลง ซึ่งก็เป็นนโยบายที่หลายๆ ประเทศทำกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะประชาชนได้ประโยชน์”

    ยื่นรื้อคดีค่าโง่โฮปเวลล์

    วันที่ 26 ก.ค. 2562 เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ  รมว.คมนาคม เปิดเผยความคืบหน้ากรณีการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุด จากการบอกเลิกสัญญาโครงการระบบการขนส่งทางรถไฟและถนนยกระดับ รวมเป็นเงิน 11,888.75 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ภายใน180 วัน นับตั้งแต่คดีสิ้นสุด ว่า ทราบว่านายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ อดีต รมว.คมนาคม ได้ลงนามมอบอำนาจ เมื่อวันที่ 9 ก.ค. 2562 ให้สำนักงานอัยการสูงสุด ไปดำเนินการยื่นเรื่องต่อศาลปกครองสูงสุด เพื่อให้รื้อฟื้นคดีค่าโง่โฮปเวลล์อีกครั้งเนื่องจากอัยการตรวจสอบพบหลักฐานใหม่ที่ รฟท.สามารถนำมาใช้ต่อสู้คดีในชั้นศาลได้ โดยอัยการได้ยื่นเรื่องไปเมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งตามขั้นตอนแล้วศาลจะใช้เวลาประมาณ 30 วัน ในการพิจารณาว่าจะรับฟ้องหรือไม่ หากศาลฯ รับก็จะมีการรื้อฟื้นคดีขึ้นมาใหม่ แต่หากศาลไม่รับถือว่าคดีสิ้นสุดแล้ว และทาง รฟท.ก็ต้องจ่ายค่าชดเชยให้โฮปเวลล์

    นายศักดิ์สยามกล่าวต่อว่า ส่วนตัวมองว่าถ้ามีข้อมูลที่เป็นหลักฐานใหม่ ที่จะสามารถรื้อฟื้นดีได้ก็ควรต่อสู้คดีให้ถึงที่สุด อย่างไรก็ตามขณะนี้ตนก็ยังไม่เห็นเอกสารที่เป็นหลักฐานใหม่เลย แต่หลังจากวันที่ 30 ก.ค. 2562 ที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเรียบร้อยแล้วตนจะข้อมูลจากอัยการมาดูว่าเป็นอย่างไร ส่วนการพิจารณาของคณะทำงานพิจารณาแนวทางกรณีโฮปเวลล์ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ที่มีนายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธาน ก็ยังทำงานควบคู่กันไป เพราะหากศาลไม่รับฟ้องก็จะต้องมีแนวทางในการจ่ายค่าชดเชยที่ชัดเจนต่อไป

    รายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคม แจ้งว่า สำนักงานอัยการสูงสุด ในฐานะทนายของภาครัฐ ได้มีหนังสือมาถึง กระทรวงคมนาคม ในขณะที่นายอาคมยังดำรงตำแหน่ง รมว.คมนาคมอยู่ โดยระบุว่า สำนักงานอัยการสูงสุดมีหลักฐานใหม่ที่สามารถชี้แจงประเด็นอื่นในคดีเพิ่มเติมได้ จึงจะส่งหลักฐานไปให้ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาและทบทวนคำตัดสินในคดีดังกล่าวอีกครั้ง ซึ่งทางรัฐบาลและกระทรวงคมนาคมก็ไม่ขัดข้อง โดยนายอาคมได้ลงนามมอบอำนาจให้สำนักงานอัยการสูงสุดไปดำเนินการได้ และคาดว่าสำนักงานอัยการสูงสุดจะขอขยายระยะเวลาการจ่ายค่าชดเชยมูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยออกไปจากกำหนดเดิมที่ระบุไว้ว่าต้องจ่ายให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน

    เคาะค่าปรับเฟซบุ๊กทำข้อมูลผู้ใช้รั่ว 1.5 แสนล้านบาท

    มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ที่มาภาพ : https://edition.cnn.com/2018/03/21/politics/zuckerberg-cnn-interview-analysis/index.html

    เว็บไซต์บล็อกนันรายงานว่าhttp://bit.ly/2ZdFGi7 ตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2018 ที่คณะกรรมการการค้าสหรัฐฯ (Federal Trade Commission – FTC) ได้ทำการสืบสวนคดีที่ Facebook ทำข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งานรั่วไหลโดยมีสาเหตุเริ่มต้นมาจากบริษัทวิจัยข้อมูล Cambridge Analytica โดยกระทบถึง 89 ล้านรายนั้น

    ล่าสุด FTC ออกมาประกาศผลการสืบคดีอย่างเป็นทางการแล้วว่า Facebook ต้องจ่ายค่าปรับ 5 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 150,000 ล้านบาท และ Facebook ต้องตั้งคณะกรรมการดูแลเรื่องการจัดการข้อมูลในบริษัทด้วย โดยค่าปรับระดับนี้ถือว่าสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมาในคดีละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล

    ในการตั้งคณะกรรมการดูแลเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลส่วนบุคคลนี้ FTC ระบุโครงสร้างว่า ต้องมาจากคณะกรรมการอิสระ ที่แต่งตั้งโดยคณะกรรมการอิสระอีกที และต้องถอดอำนาจการตัดสินใจของซีอีโอ Mark Zuckerberg ในแง่ที่จะส่งผลกระทบต่อข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน ตัวคณะกรรมการจะสามารถถูกปลดได้ต้องมาจากเสียงส่วนใหญ่ของบอร์ดผู้บริหารของ Facebook เท่านั้น

    นอกจากนี้ Facebook ยังต้องกำหนดตัวเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติการด้านความเป็นส่วนตัว โดยคนกลุ่มนี้จะรายงานตรงต่อคณะกรรมการดูแลความเป็นส่วนตัวของข้อมูลโดยตรง ตัวซีอีโอและคนอื่นในองค์กร Facebook จะไม่มีอำนาจในการปลดเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการเหล่านี้ Mark Zuckerberg และเจ้าหน้าที่กำกับดูแลที่ได้รับมอบหมายดูแลข้อมูลส่วนบุคคลจะต้องส่งรายงานให้ FTC ทุกไตรมาส และทำรายงานรายปีให้ FTC ด้วย

    คำสั่งของ FTC ยังจำกัดวิธีการที่ Facebook อาจใช้ เช่น ห้าม Facebook ใช้เบอร์มือถือของผู้ใช้ที่เช้าใช้งาน two-factor authentication มาเจาะกลุ่มโฆษณา, Facebook ต้องแจ้งผู้ใช้งานให้ชัดหากมีการใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้า และต้องขอความยินยอมอย่างชัดเจนด้วย, ห้าม Facebook ขออีเมลผู้ใช้งานที่ใช้ Facebook เป็ช่องทางในการสมัครใช้บริการอื่น

    ด้าน Facebook ได้เขียนโพสต์ตอบกลับถึงคำสั่ง FTC แล้ว และยอมรับในคำสั่งของ FTC ทุกอย่าง ด้าน Mark Zuckerberg ก็ออกมาบอกว่า จะเดินหน้าปรับกระบวนการในบริษัทเพื่อปกป้องข้อมูลอย่างถึงที่สุด และบอกด้วยว่าได้ทาบทามผู้มีประสบการณ์ของ Facebook มาดำรงตำแหน่ง CPO หรือ Chief Privacy Officer แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นใคร