ThaiPublica > เกาะกระแส > ไทยร่วมวงกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก

ไทยร่วมวงกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก

23 พฤษภาคม 2022


ที่มาภาพ:https://www.thaigov.go.th/gallery/contents/details/8913

เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2565 เวลา 14.30 น. (เวลาประเทศไทย) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เข้าร่วมกิจกรรมการเปิดตัวกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific Economic Framework: IPEF) ซึ่งจัดขึ้น ณ Tokyo Izumi Garden Gallery กรุงโตเกียว ญี่ปุ่น ผ่านระบบการประชุมทางไกล ตามคำเชิญของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

โดยนายกรัฐมนตรีร่วมกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น รวมทั้งผู้นำของออสเตรเลีย อินเดีย มาเลเซีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐเกาหลี สิงคโปร์ เวียดนาม อินโดนีเซีย และบรูไน ได้ร่วมกันประกาศถ้อยแถลงว่าด้วยกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิกเพื่อความเจริญรุ่งเรือง (Statement on Indo-Pacific Economic Framework for Prosperity) เพื่อแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะพัฒนาความร่วมมือด้านเศรษฐกิจภายใต้กรอบความร่วมมือ IPEF

ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจอย่างสร้างสรรค์และครอบคลุมในระดับภูมิภาค โดยมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของประเทศต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างความเจริญรุ่งเรือง มั่งคั่ง ยั่งยืน ร่วมกัน ซึ่งจะเกิดประโยชน์สูงสุดได้โดยไม่ควรนำมาเป็นเรื่องทางการเมืองระหว่างประเทศที่จะนำไปสู่ความไม่ปรองดองในภูมิภาค และย้ำถึงความสำคัญของการดำเนินความร่วมมืออย่างเปิดกว้างและครอบคลุม (open and inclusive)

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “ขอขอบคุณท่านประธานาธิบดีไบเดนและท่านนายกรัฐมนตรีคิชิดะที่จัดกิจกรรมเปิดตัวกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก หรือ IPEF (ไอเพ็ฟ) ในวันนี้ และขอแสดงความยินดีกับท่านประธานาธิบดีไบเดนต่อแนวคิดที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ในการมีบทบาทอย่างสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของภูมิภาค ซึ่งได้รับการตอบรับด้วยดีจากประเทศสมาชิกอาเซียน”

สำหรับประเทศไทย ได้อาศัยการค้าขายที่เปิดกว้างเป็นหลักในการสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจมาทุกยุคสมัย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยรายได้ของไทยจากการส่งออกสินค้าและบริการ คิดเป็นร้อยละ 60 ของ GDP ด้วยเหตุนี้ จึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการส่งเสริมความร่วมมือภายในภูมิภาคเพื่อขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนอย่างเต็มศักยภาพ ขณะเดียวกัน ยังเร่งขับเคลื่อนประเทศและประชาชนไปสู่อนาคตที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยมุ่งเน้นเสริมสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สมดุลและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมผ่านโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งรวมถึงการเร่งการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานไปสู่การใช้พลังงานสะอาด การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และการสร้างมูลค่าเพิ่มโดยใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม

“ประวัติศาสตร์ของโลกและของประเทศไทยได้แสดงให้เห็นแล้วว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน จะเกิดประโยชน์สูงสุดได้ ก็ต่อเมื่อไม่ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองที่สร้างความไม่ปรองดองในภูมิภาค ประเทศไทยยึดมั่นในระบบการค้าเสรีและ เปิดการค้าเสรีกับหลายประเทศ แต่ไม่เคยเข้าไปทำสงครามหรือสร้างความขัดแย้งอันสืบเนื่องมาจากการค้าแม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้น ผมเชื่อว่า ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกันในภูมิภาคที่เป็นไปอย่างครอบคลุมทั่วถึง จะก่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่งร่วมกัน นำมาซึ่งประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนของเราอย่างแท้จริง”

กรอบความร่วมมือ IPEF เป็นแนวคิดริเริ่มของสหรัฐฯ ร่วมกับประเทศหุ้นส่วนในภูมิภาค เพื่อเป็นกรอบความร่วมมือระดับพหุภาคี โดยมีเป้าประสงค์หลักในการยกระดับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน และเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อรับมือกับประเด็นท้าทายรูปแบบใหม่ต่าง ๆ ในบริบทภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อาทิ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัล และการเสริมสร้างความเข้มแข็งและความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน โดยขณะนี้ มีประเทศในภูมิภาคที่เข้าร่วม IPEF แล้วจำนวน 13 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย บรูไน อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี มาเลเซีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย สหรัฐฯ และเวียดนาม ซึ่งรวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียน 7 ประเทศ และยังคงเปิดกว้างเชิญชวนให้ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเข้าร่วมมือกันเพิ่มเติม

กรอบ IPEF จะประกอบด้วยความร่วมมือ 4 เสาหลัก เพื่อยกระดับมาตรฐานในด้านต่าง ๆ ทั้งนโยบาย กฎหมาย อุตสาหกรรม และสิ่งแวดล้อม ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและเทคโนโลยีที่จะนำมาพัฒนาประเทศ ตลอดจนเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานเข้าด้วยกัน ได้แก่ (1) การค้า (2) ห่วงโซ่อุปทาน (3) พลังงานสะอาด การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน และโครงสร้างพื้นฐาน และ (4) ภาษีและการต่อต้านการทุจริต ซึ่งมีความสอดคล้องกับนโยบายด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาของไทย รวมทั้งนโยบายโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ – หมุนเวียน – เขียว หรือ BCG Economy ซึ่งรวมถึงการเร่งการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานไปสู่การใช้พลังงานสะอาด การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และการสร้างมูลค่าเพิ่มโดยใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเตรียมรับมือกับประเด็นท้าทายรูปแบบใหม่ต่าง ๆ

โดยในชั้นนี้ ความร่วมมือ 4 เสาหลักของกรอบ IPEF ข้างต้นยังเป็นเพียงแนวคิดกว้าง ๆ และยังไม่ได้ก่อให้เกิดภาระผูกพันใด ๆ โดยภายหลังจากนี้ ประเทศหุ้นส่วนจะหารือเจรจากันในรายละเอียดต่อไป โดยแต่ละประเทศ รวมทั้งประเทศไทย สามารถพิจารณาเลือกที่จะเข้าร่วมแต่ละเสาความร่วมมือตามความพร้อมและความสมัครใจ

คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบการเข้าร่วมถ้อยแถลงว่าด้วยกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิกเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2565 ซึ่งสะท้อนถึงเจตนารมณ์ของไทยในการเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศหุ้นส่วนต่าง ๆ เพื่อขับเคลื่อนและกระชับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศและประชาชนไทยในการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีความสมดุลและยั่งยืน โดยเฉพาะการส่งเสริมโอกาสทางการค้าและการลงทุน การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปสู่อนาคตในบริบทของการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อีกทั้งมีส่วนช่วยยกระดับมาตรฐานทางเศรษฐกิจของไทย เสริมสร้างพลวัตทางเศรษฐกิจและการลงทุนภายในประเทศ และเป็นปัจจัยขยายการค้าระหว่างประเทศและดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยกระทรวงการต่างประเทศจะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารืออย่างใกล้ชิดกับภาคส่วนต่าง ๆ ของไทยรวมทั้งกับประเทศหุ้นส่วน เพื่อร่วมกันกำหนดทิศทางและแนวทาง การขับเคลื่อนกรอบความร่วมมือดังกล่าวให้เกิดผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมสำหรับประชาชนไทยต่อไป

การเข้าร่วมมีบทบาทอย่างสร้างสรรค์ในกรอบความร่วมมือ IPEF จะทำให้ไทยไม่เสียโอกาสในการหารือกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจใหม่ในภูมิภาคที่มีประเทศหุ้นส่วนที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและเป็นมิตรที่มีความสัมพันธ์อันดีกับไทย รวมทั้งทำให้ไทยสามารถเข้าไปต่อรองและรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศให้ได้รับประโยชน์สูงสุดและได้รับผลกระทบน้อยที่สุดด้วย นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับนโยบายการต่างประเทศในการรักษาสมดุลเชิงรุกและเสริมสร้างบรรยากาศระหว่างประเทศที่เอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของภูมิภาค โดยตั้งอยู่บนผลประโยชน์แห่งชาติเป็นสำคัญ