ThaiPublica > สู่อาเซียน > ASEAN Roundup กัมพูชาจะบังคับใช้ 3 กฎหมายสำคัญในปีนี้

ASEAN Roundup กัมพูชาจะบังคับใช้ 3 กฎหมายสำคัญในปีนี้

8 สิงหาคม 2021


ASEAN Roundup ประจำวันที่ 1- 7 สิงหาคม 2564

  • กัมพูชาจะบังคับใช้ 3 กฎหมายสำคัญในปีนี้
  • ร่างกฎหมายการลงทุนฉบับใหม่ของกัมพูชา มุ่งกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจ
  • พิซซ่าฮัท เตรียมเปิดร้านในกัมพูชาปลายเดือนนี้
  • อินโดนีเซียตั้งราคาถ่านหินส.ค.สูงสุดในรอบทศวรรษ
  • อาเซียนเรียกร้องให้วัคซีนโควิด-19 เป็นสินค้าสาธารณะของโลก
  • กัมพูชาจะบังคับใช้ 3 กฎหมายสำคัญในปีนี้

    ที่มาภาพ: https://en.khmerpostasia.com/2021/01/05/nbc-projects-growth-rate-of-4-percent-for-2021/

    โฆษกกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า ร่างกฎหมายสำคัญ 3 ฉบับเกี่ยวกับการค้าจะมีผลบังคับใช้ก่อนสิ้นปี 2021 หลังจากได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากสภาแห่งชาติ และคณะกรรมการเฉพาะด้าน รวมทั้งวุฒิสภา

    กฎหมายทั้งสามฉบับได้แก่ ร่างกฎหมายว่าด้วยการให้สัตยาบันความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และข้อตกลงการค้าเสรีทวิภาคี กัมพูชา-จีน (CCFTA) และร่างกฎหมายว่าด้วยการแข่งขัน

    ในระหว่างการประชุมผ่านระบบออนไลน์ในวันที่ 3 สิงหาคม ที่มีผู้นำสภาแห่งชาติ วุฒิสภา และประธานคณะกรรมการเฉพาะด้านทั้ง 10 คณะของสภาแห่งชาติ เกี่ยวกับการเสนอร่างกฎหมาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายพัน สรสัก กล่าวว่า ด้วยความร่วมมือที่ดีและใกล้ชิดกับกระทรวงและสถาบันที่สำคัญ กระทรวงพาณิชย์ได้บรรลุผลสำเร็จ ข้อตกลงสำคัญ 3 ประการ เพื่อส่งเสริมความน่าดึงดูดใจของการลงทุนในกัมพูชา การส่งออก และการแข่งขันที่โปร่งใส

    นายพันกล่าวว่า ร่างกฎหมายทั้งสามฉบับเป็นความสำเร็จที่สำคัญของความพยายามของรัฐบาลในการดำเนินการตามทิศทางการทำงานหลัก และโดยเฉพาะการเสริมสร้างขีดความสามารถของกัมพูชาในการมีส่วนร่วมกับเศรษฐกิจระดับภูมิภาคและระดับโลกต่อไป

    ร่างกฎหมายดังกล่าวยังสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ Rectangular Strategy ระยะที่ 4 ของรัฐบาล

    โฆษกกระทรวงนายแสง เท กล่าวว่า หลังจากได้รับอนุมัติอย่างเต็มรูปแบบจากที่ประชุม กระทรวงหวังว่ากฎหมายทั้งสามฉบับจะได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการและมีผลบังคับใช้ก่อนสิ้นปีนี้ และกฎหมายจะมีส่วนช่วยอย่างมากในการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของกัมพูชา รวมถึงการมีส่วนร่วมในระดับภูมิภาคและระดับโลก

    กระทรวงระบุในการแถลงข่าวว่า ในฐานะที่เป็นข้อตกลงการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ความตกลง RCEP จะนำประโยชน์มากมายมาสู่เศรษฐกิจกัมพูชา จากการมีส่วนร่วมของ 10 ประเทศในกลุ่มอาเซียนและประเทศคู่ค้าสำคัญอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ จีน , ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย

    ด้วยพันธมิตร 15 ราย ข้อตกลงดังกล่าวครอบคลุมผู้คนประมาณ 2.2 พันล้านคน หรือ 30% ของประชากรโลก โดยมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) รวมกัน 26.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 30% ของ GDP โลก และประมาณ 28% ของ ปริมาณการค้าโลกตามข้อมูลปี 2019

    สถาบันวิจัยเศรษฐกิจสำหรับอาเซียนและเอเชียตะวันออก (ERIA) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในจาการ์ตา พบว่า ข้อตกลง RCEP จะส่งผลให้ GDP ของกัมพูชาเพิ่มขึ้นอีก 2% เพิ่มการส่งออกเพิ่มขึ้น 7.3% และเพิ่มการลงทุนโดย เพิ่มขึ้น 23.4% ที่สำคัญกว่านั้นจะช่วยให้เศรษฐกิจกัมพูชาและภูมิภาคฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากวิกฤตโควิด-19

    ส่วนข้อตกลงการค้าเสรีกับจีน จะช่วยให้กัมพูชาได้ตลาดที่ใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะสินค้าเกษตร เช่น ผลไม้และผัก ผลิตภัณฑ์แปรรูปและงานฝีมือ ผ่านการอำนวยความสะดวกด้านศุลกากรและภาษีศุลกากร และผลิตภัณฑ์ที่มีแหล่งกำเนิด

    ในทางกลับกัน กฎหมายการแข่งขันทางการค้าจะคุ้มครองและส่งเสริมให้นักธุรกิจแข่งขันอย่างเป็นธรรมและซื่อสัตย์ เพิ่มประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจและดึงดูดการลงทุน ตลอดจนสร้างธุรกิจใหม่เพื่อรองรับเศรษฐกิจของประเทศ

    ประธานวุฒิสภานายเซย์ ชุม สนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อร่างกฎหมายสามฉบับและขอบคุณกระทรวงและคณะทำงานด้านเจรจาต่อความพยายามในการจัดทำกฎหมายการค้าและกฎระเบียบที่มุ่งปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจและโดยเฉพาะความมุ่งมั่นที่จะผลักดันการเจรจา RCEP และ CCFTA ให้เสร็จสิ้น

    นาย ลิม เฮง รองประธานหอการค้ากัมพูชา กล่าวว่า FTA ทั้งหมด ไม่ว่าจะทวิภาคีหรือระดับภูมิภาค เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจกัมพูชา ไม่เพียงช่วยให้เข้าถึงตลาดส่งออกที่ใหญ่ขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการค้าระหว่างประเทศอีกด้วย

    นายลิมกล่าวว่า กฎหมายการแข่งขันจะมีบทบาทสำคัญในการรักษาความยั่งยืนและความเชื่อมั่นของนักลงทุน “เมื่อกฎหมายเหล่านี้มีผลบังคับใช้ กัมพูชาคาดว่าจะสามารถดึงดูดนักลงทุนให้มาลงทุนได้มากขึ้น

    ร่างกฎหมายการลงทุนฉบับใหม่ของกัมพูชา มุ่งกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจ

    ที่มาภาพ: https://commerce-cambodia.com/2021/06/12/business-opportunities-in-cambodia-2021-2022/

    ร่างกฎหมายการลงทุนฉบับใหม่ของกัมพูชาเตรียมเสนอ สิ่งจูงใจใหม่ให้นักลงทุนลงทุนในประเทศขณะนี้กฎหมายอยู่ระหว่างรอการอนุมัติจากวุฒิสภาและสภาแห่งชาติก่อนที่จะมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศใช้ และคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในปลายปีหน้า

    ทั้งนี้คาดว่ากฎหมายจะส่งเสริมการลงทุนในเศรษฐกิจดิจิทัลและผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่าเพิ่ม ขยายเศรษฐกิจไปให้มากกว่าการเป็นฐานการผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปในปัจจุบัน

    ร่างกฎหมายนี้จัดทำขึ้นหลังจากภาคเอกชนและรัฐบาลได้มีการหารือกันมานานหลายปี และจะเป็นฉบับปรับปรุงครั้งแรกของกฎหมายที่ควบคุมการลงทุนนับตั้งแต่ใช้กฎหมายการลงทุนของกัมพูชาในปี 1994

    “กฎหมายการลงทุนฉบับใหม่จะไม่ใช่กฎหมายฉบับเดียว แต่จะเป็นการปรับปรุงทางกฎหมายหลายชุด รวมถึงกฎหมายใหม่ว่าด้วยเขตเศรษฐกิจพิเศษและกฤษฎีกาย่อยเพื่อให้รายละเอียดขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายการลงทุน” นายคลิ้นท์ โอคอนแนล หุ้นส่วน รองกรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าของกัมพูชา การปฏิบัติด้านภาษีแห่ง DFDL กัมพูชากล่าว

    DFDL เป็นบริษัทกฎหมายสิงคโปร์ มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายและกฎหมายภาษีในตลาดชายขอบ เป็นที่ปรึกษาด้านภาษีต่างประเทศและกฎหมายที่ได้รับอนุญาตแห่งแรกในกัมพูชา

    “เป้าหมายระยะยาวของรัฐบาลกัมพูชาคือการพยายามย้ายจากอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานสูง เช่น ภาคตัดเย็บเสื้อผ้าที่กัมพูชามีอยู่ในปัจจุบัน และพยายามส่งเสริมการลงทุนใหม่ โดยเฉพาะในภาคที่มีมูลค่าเพิ่มสูง และพยายามส่งเสริมเทคโนโลยีและ อุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซในกัมพูชา” นายโอคอนเนลล์กล่าว

    ภายใต้กฎหมายการลงทุนฉบับใหม่ โครงการลงทุนที่มีคุณสมบัติครบและสนับสนุนการส่งออกของกัมพูชา จะสามารถนำเข้าวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ อุปกรณ์การผลิต และปัจจัยการผลิต โดยมีข้อยกเว้นด้านภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่ม

    โครงการลงทุนในประเทศที่มีคุณสมบัติครบ ซึ่งจัดหาสินค้าให้กับตลาดประเทศจะได้รับผลประโยชน์ที่คล้ายคลึงกัน แต่การให้สิทธิประโยชน์จะพิจารณาภายใต้กฤษฎีกาย่อยที่ออกมาหรือกฎหมายว่าด้วยการจัดการด้านการเงิน

    กฎหมายการลงทุนฉบับใหม่ยังอนุญาตให้โครงการลงทุนที่มีคุณสมบัติครบ ทั้งหมดหักค่าใช้จ่ายจากฐานภาษีได้ 150% โดยเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อลงทุนในการวิจัย การพัฒนาและนวัตกรรม การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การก่อสร้างที่พัก ศูนย์อาหารสำหรับพนักงาน โรงอาหารราคาไม่แพง สถานรับเลี้ยงเด็ก และอื่นๆ สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนงานและการอัพเกรดเครื่องจักรเพื่อรองรับสายการผลิต

    นายโอคอนแนล อธิบายว่า หมายความว่าสำหรับทุกๆ ดอลลาร์ที่ใช้ไป โครงการลงทุนที่มีคุณสมบัติครบ จะสามารถขอเงินคืนได้ 1.50 ดอลลาร์ เป็นค่าใช้จ่ายตลอดอายุโครงการ

    กฎหมายว่าด้วยการจัดการทางการเงินจะร่างสิ่งจูงใจเพิ่มเติมสำหรับโครงการพิเศษที่มี “ศักยภาพสูง” ในการมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจของประเทศ

    พิซซ่าฮัท เตรียมเปิดร้านในกัมพูชาปลายเดือนนี้

    ที่มาภาพ: https://www.phnompenhpost.com/business/pizza-hut-set-open-shop-later-month photo

    บริษัทยูไนเต็ด ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด(UFG group) ซึ่งเป็นเชนอาหารในประเทศ ได้นำเข้า พิซซ่า ฮัท เครือฟาสต์ฟู้ดของสหรัฐฯ มายังกัมพูชา และเตรียมเปิดร้านแรกในเดือนนี้ สะท้อนถึงการขยายธุรกิจของสหรัฐฯ เข้าสู่กัมพูชาอย่างต่อเนื่อง

    พิซซ่า ฮัท บริษัทในเครือของยัมแบรนด์ อิ้งค์ที่จดทะเบียนในสหรัฐฯมีสาขา 18,703 แห่งในปี 2019 ในกว่า 100 ประเทศ มีสาขามากกว่าบริษัทพิซซ่าอื่น ๆ บริษัทระบุในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม

    นายเฮง เซงลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม UFG กล่าวว่า ร้านพิซซ่าฮัท แห่งแรกจะเปิดในกลางเดือนสิงหาคมใกล้กับพื้นที่ตลาดรัสเซีย ซึ่งเป็นที่รวมศูนย์ชาวต่างชาติและศูนย์กลางธุรกิจ โดยอีก 2 ร้านจะตามมาในสิ้นเดือนกันยายน และอีก 30 ร้านในอีก 2-3 ปีข้างหน้า

    “จำนวนคนหนุ่มสาวชาวกัมพูชาที่ทำงานมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และพวกเขาชอบสินค้าที่มีแบรนด์สินค้าเพื่อตอกย้ำไลฟ์สไตล์ที่ทันสมัย เราเชื่อว่าพิซซ่า ฮัท จะเป็นแบรนด์พิซซ่าที่ได้รับความนิยมในหมู่เยาวชน และเราตั้งเป้าที่จะส่งเสริมวัฒนธรรมการกินพิซซ่าสมัยใหม่ให้กับกัมพูชาด้วยการนำเสนอแบรนด์พิซซ่าระดับโลกแก่ผู้บริโภคในราคาที่ใกล้เคียงกับแบรนด์ที่มีอยู่”

    พิซซ่า ฮัท เป็นรายที่สองในสายธุรกิจฟาสต์ฟู้ดของสหรัฐฯ ที่บุกเข้ามาในกัมพูชา ต่อจากร้าน Habit Burger Grill จากแคลิฟอร์เนียในสหรัฐฯ ที่เปิดร้านสาขาแรกในกัมพูชาเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยร่วมมือกับ Kampuchea Tela Ltd บริษัทน้ำมันและก๊าซในประเทศ

    UFG คาดการณ์ว่า ตลาดพิซซ่าในกัมพูชาสร้างรายได้ไม่น้อยกว่า 100 ล้านดอลลาร์ในปี 2019 และสามารถเติบโตได้ 15-20% ต่อปี เนื่องจากชนชั้นผู้บริโภคเพิ่มขึ้นควบคู่ไปกับการเติบโตทางเศรษฐกิจและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่เพิ่มขึ้น

    UFG ยังเป็นเจ้าของเครือร้านอาหาร Park Cafe ซึ่งมีสาขา 20 แห่งในกัมพูชา

    เดอะ พิซซ่า คอมปานี ผู้เล่นชั้นนำในตลาดพิซซ่ากัมพูชา เปิดร้านแรกในปี 2005 ดำเนินการโดย Express Food Group (EFG) ซึ่งเป็นบริษทในเครือ RMA Group ในกรุงเทพฯ ซึ่งเชี่ยวชาญด้านยานยนต์ อุปกรณ์ บริการและ ธุรกิจแบรนด์อาหาร

    นายแอนโทนี อัลลิอาโน ประธานหอการค้าอเมริกันในกัมพูชา (AmCham) กล่าวไว้เมื่อเดือนพฤษภาคมว่า ในกัมพูชามีการรับรู้แบรนด์และมาตรฐานของสหรัฐฯเพิ่มขึ้น และการสนับสนุนการขายผลิตภัณฑ์และบริการของสหรัฐฯ ในกัมพูชาเป็นส่วนหนึ่งของแผนการทำงานที่ร่วมดำเนินการระหว่าง สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำกรุงพนมเปญและหอการค้า

    “แฟรนไชส์ของสหรัฐเป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ประกอบการในกัมพูชา” นายกัลลิอาโนกล่าว “ความสำเร็จของธุรกิจแฟรนไชส์ของสหรัฐในกัมพูชานั้นชัดเจนและเป็นแบบอย่างที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว และมีความสนใจอย่างมากสำหรับการขยายแบรนด์ต่อไป

    “แบรนด์ของสหรัฐมีอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่งและใช้ชีวิตประจำวันในกัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบรนด์อาหารจานด่วน ธุรกิจโรงแรม และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้นโดดเด่นและเติบโต แม้ในภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทายของโควิด”

    โดยยกตัวอย่าง Starbucks, Burger King, KFC, 7-Eleven, Domino’s, Century 21, Papa John’s, Marriott

    Hyatt และ KFC เป็นตัวอย่างของแฟรนไชส์ที่ “ประสบความสำเร็จอย่างมาก” ในกัมพูชา

    สหรัฐฯ ยังคงเป็นคู่ค้าและตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของกัมพูชา ข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานการค้าของสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่าการส่งออกของกัมพูชาไปยังสหรัฐฯพุ่งสูงขึ้นในปีที่แล้ว โดยเพิ่มขึ้น 40% สู่ 5.36 พันล้านดอลลาร์

    กัมพูชาเป็นคู่ค้าสินค้ารายใหญ่อันดับที่ 66 ของสหรัฐฯ ในปี 2018 โดยมีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 4.3 พันล้านดอลลาร์

    อินโดนีเซียตั้งราคาถ่านหินส.ค.สูงสุดในรอบทศวรรษ

    อินโดนีเซียกำหนดราคาถ่านหินเดือนสิงหาคมไว้ที่ ระดับสูงสุดในรอบอย่างน้อยหนึ่งทศวรรษจากที่ปรากฎในเอกสารอย่างเป็นทางการที่เผยแพร่โดยกระทรวงพลังงานและแร่ธาตุเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม เนื่องจากความต้องการจากจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้เพิ่มขึ้น

    ข้อมูล Refinitiv รายงานว่า อินโดนีเซียกำหนดราคาถ่านหินในเดือนสิงหาคมไว้ที่ 130.99 ดอลลาร์ต่อตัน สูงกว่าเดือนกรกฎาคม 13.6% นับเป็นราคาสูงสุดตั้งแต่เดือนเมษายน 2010 ซึ่งตั้งราคาถ่านหินไว้ที่ 122 ดอลลาร์ต่อตัน

    นายอากุง ปรีบาดี โฆษกกระทรวงพลังงานและทรัพยากรแร่ กล่าวว่า “ราคาถ่านหินที่พุ่งสูงขึ้นทั่วโลกเป็นผลจากสภาพอากาศที่ฝนตกชุกในจีน ซึ่งทำให้การผลิตและการขนส่งถ่านหินต้องหยุดชะงัก”

    ราคาถ่านหินโลกที่พุ่งสูงขึ้นส่วนใหญ่มาจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของประเทศต่างๆ เช่น จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ขณะที่เริ่มฟื้นตัวจากการระบาดของโคโรนาไวรัส

    แม้ราคาถ่านหินจะเพิ่มขึ้น แต่อินโดนีเซียตั้งเป้าที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี 2060 และกำลังวางแผนที่จะเลิกใช้โรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงทั้งหมดภายในช่วงเวลาเดียวกัน

    อาเซียนเรียกร้องให้วัคซีนโควิด-19 เป็นสินค้าสาธารณะของโลก

    นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่มาภาพ: https://www.mfa.go.th/th/content/54amm-3?cate=5d5bcb4e15e39c306000683b

    รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน เรียกร้องให้วัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นสินค้าสาธารณะทั่วโลก ซึ่งมีราคาที่ทุกคนสามารถจ่ายได้

    ใน แถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 54รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนระบุว่าต้องให้ความสำคัญกับการผลิตและการจำหน่ายวัคซีนในภูมิภาค

    “เราเรียกร้องให้มีความร่วมมือและแบ่งปันประสบการณ์กับพันธมิตรของอาเซียนในด้านการวิจัย การพัฒนา การผลิต และการจัดจำหน่ายวัคซีน ให้มีการเข้าถึงยารักษาโรคโควิด-19 อย่างเท่าเทียมกัน ทำให้วัคซีนโควิด-19 พร้อมใช้งานและมีราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้ในฐานะสินค้าสาธารณะของโลก รวมถึงการเตรียมความพร้อมสำหรับภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขในอนาคตอีกด้วย”

    รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนระบุว่า ยังคงกังวลกับผลกระทบและความเดือดร้อนของมนุษย์ที่ยังมีอย่างต่อเนื่อง รวมถึงผลกระทบของโควิด-19 ต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างมาก

    “เรายินดีกับความคืบหน้าในการดำเนินการตามกรอบการฟื้นฟูที่ครอบคลุมของอาเซียนและแผนปฏิบัติการ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ร่วมกันของกลุ่ม เพื่อให้อาเซียนมีความสามารถในการปรับตัวและแข็งแกร่งยิ่งขึ้นจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19” แถลงการณ์ร่วมระบุ

    “เรายินดีที่ได้รับการสนับสนุนกองทุน COVID-19 ASEAN Response Fund อย่างต่อเนื่องจากประเทศสมาชิกอาเซียนและพันธมิตรภายนอก ที่ล่าสุดได้ให้คำมั่นว่าจะบริจาคเป็นจำนวนเงิน 20.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ” แถลงการณ์รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนระบุ

    รัฐมนตรีต่างประเทศกล่าวว่า ได้เตรียมที่จะดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์และปฏิบัติการระดับภูมิภาคว่าด้วยความมั่นคงด้านวัคซีนและการพึ่งพาตนเองของอาเซียน ปี 2021-2025(Regional Strategic and Action Plan on ASEAN Vaccine Security and Self-Reliance 2021-2025) เพื่อความมั่นคงของวัคซีนและการพึ่งพาตนเองในอาเซียน

    การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 54 มีขึ้นในช่วงวันที่ 2- 7 สิงหาคม 2564 ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมีดาโตะ เอรีวัน เปฮิน ยูซอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศคนที่สองของบรูไนดารุสซาลาม ในฐานะประธานอาเซียนเป็นประธานการประชุม และมีรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน รวมถึงเลขาธิการอาเซียน เข้าร่วม มีการประชุมใน 18 กรอบ

    ที่ประชุมฯ ได้หารือเกี่ยวกับการสร้างประชาคมอาเซียนที่เข้มแข็ง การดำเนินการตามเป้าหมายและผลลัพธ์ของการเป็นประธานอาเซียนของบรูไนฯ เช่น ความริเริ่มเชิงยุทธศาสตร์และองค์รวมเพื่อเชื่อมโยงการตอบสนองของอาเซียนต่อกรณีฉุกเฉินและภัยพิบัติ (ASEAN SHIELD) และการส่งเสริมระบอบพหุภาคีนิยม โดยที่ประชุมฯ ย้ำความสำคัญของระบอบพหุภาคีนิยมและภูมิภาคนิยมในการรับมือกับความไม่แน่นอนและสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างมหาอำนาจที่มีความชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเน้นการใช้ประโยชน์จากสถาปัตยกรรมภูมิภาคที่มีอาเซียนเป็นแกนกลาง โดยเฉพาะความร่วมมือที่เอื้อประโยชน์ต่อทุกฝ่ายภายใต้มุมมองอาเซียนต่ออินโดแปซิฟิก (ASEAN Outlook on the Indo-Pacific: AOIP) เพื่อเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ ลดการเผชิญหน้าและส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจ นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังหารือเกี่ยวกับการตอบสนองต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในภูมิภาค โดยเฉพาะการเข้าถึงวัคซีนและความร่วมมือเพื่อการฟื้นฟู สถานการณ์ในทะเลจีนใต้ และสถานการณ์ในเมียนมา รวมถึงการดำเนินการตามฉันทามติ 5 ข้อ เกี่ยวกับสถานการณ์ในเมียนมา โดยเฉพาะการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม

    นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศซึ่งได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 54 ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของสถาปัตยกรรมภูมิภาคที่มีความสมดุล และเสนอให้อาเซียนพิจารณากำหนดทิศทางการดำเนินความสัมพันธ์กับภาคีภายนอกโดยคำนึงถึงการแข่งขันกันระหว่างมหาอำนาจในภูมิภาค และย้ำความสำคัญของการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่เมียนมา ซึ่งไทยได้ให้การสนับสนุนทางการแพทย์ ทั้งอุปกรณ์ป้องกันและรักษาโรคโควิด-19 รวมทั้งอบรมให้คำปรึกษาทางการแพทย์ออนไลน์ เพื่อช่วยเหลือประชาชนเมียนมาในการรับมือกับโรคระบาด

    นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ที่มาภาพ:https://www.mfa.go.th/th/content/press-con-05-08-2021?cate=5d5bcb4e15e39c306000683d

    นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ แถลงสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 54 ดังนี้ ที่ประชุมมีมติจะจัดสรรเงินจากกองทุนอาเซียนรับมือโควิด-19 (COVID-19 ASEAN Response Fund) ไปจัดซื้อวัคซีนให้แก่ทุกประเทศสมาชิกอาเซียน โดยกองทุนนี้เป็นข้อริเริ่มของไทย และปัจจุบันมีการสมทบบริจาคจากประเทศอาเซียนและภาคีภายนอกแล้วทั้งสิ้น 20.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

    ที่ประชุมรับรองกรอบการจัดทำระเบียงการเดินทางของอาเซียน ซึ่งไทยสนับสนุนให้มีการรับรองวัคซีนและใบรับรองการฉีดวัคซีนร่วมกันเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดการเดินทางในภูมิภาค

    ไทยได้ผลักดันความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ BCG เพื่อช่วยฟื้นฟูภูมิภาคจากโควิด-19 และสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
    ที่ประชุมผลักดันความร่วมมือภายใต้มุมมองอาเซียนต่ออินโด-แปซิฟิก (ASEAN Outlook on the Indo-Pacific: AOIP) 4 สาขาหลัก ได้แก่ ความร่วมมือทางทะเล ความเชื่อมโยง การพัฒนาที่ยั่งยืนและความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ เพื่อเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ ลดการเผชิญหน้าและส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจ

    ที่ประชุมเห็นชอบรับสหราชอาณาจักรเป็นประเทศคู่เจรจาของอาเซียน และรับเดนมาร์กและโอมาน เป็นอัครภาคีของสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia – TAC) ซึ่งเป็นสนธิสัญญาขั้นพื้นฐานของการมีความสัมพันธ์และความร่วมมือกับอาเซียน

    สำหรับประเด็นสถานการณ์ในเมียนมา กระทรวงการต่างประเทศแสดงความยินดีต่อการแต่งตั้งดาโตะ เอรีวัน เปฮิน ยูซอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศคนที่สองของบรูไนดารุสซาลาม เป็นผู้แทนพิเศษของประธานอาเซียนเรื่องสถานการณ์ในเมียนมา (Special Envoy of the ASEAN Chair on Myanmar) และพร้อมสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของผู้แทนพิเศษฯ ตามฉันทามติ 5 ข้อของที่ประชุมผู้นำอาเซียนเมื่อวันที่ 24เมษายน 2564 โดยเชื่อมั่นว่าผู้แทนพิเศษฯ จะได้รับความร่วมมืออย่างดีจากเมียนมา

    รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศย้ำความสำคัญของการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมกับเมียนมา โดยเสนอให้สำนักเลขาธิการอาเซียนเร่งเตรียมการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ผ่านศูนย์ประสานงานอาเซียนเพื่อความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม หรือ AHA Centre รวมทั้งจัดการประชุมประเทศผู้บริจาค หรือ Donors’ Conference เพื่อระดมการสนับสนุนจากภาคส่วนต่างๆ ที่ผ่านมา ไทยได้สนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ ทั้งในพื้นที่ส่วนกลางและตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา รวมทั้งอบรมให้คำปรึกษาทางการแพทย์ผ่านระบบออนไลน์เพื่อช่วยเหลือประชาชนเมียนมาในการรับมือกับโรคระบาดด้วย

    สำหรับการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน – สหรัฐฯ ไทยสนับสนุนบทบาทที่สร้างสรรค์ของสหรัฐฯ ในภูมิภาค ซึ่งสหรัฐฯ ประกาศสนับสนุนเงินจำนวน 500,000 ดอลลาร์สหรัฐ ให้แก่กองทุนอาเซียนเพื่อรับมือโควิด-19

    ไทยเสนอประเด็นส่งเสริมความร่วมมืออาเซียน-สหรัฐฯ 4 ประการ ได้แก่
    (1) การสำรองวัคซีนและอุปกรณ์ทางการแพทย์ในภูมิภาคสำหรับภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขในอนาคต
    (2) การเสริมสร้างดุลยภาพทางยุทธศาสตร์ในภูมิภาค โดยมีอาเซียนเป็นเวทีขับเคลื่อนความร่วมมือที่สร้างสรรค์ระหว่างทุกผู้เล่นหลักในภูมิภาค
    (3) การพัฒนาความร่วมมือด้านดิจิทัล
    (4) การสร้างความสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ โดยเสนอโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว (BCG) เป็นแนวคิดที่สอดคล้องและสามารถสนับสนุนข้อริเริ่ม Build Back Better World (B3W) ของสหรัฐฯ

    ส่วนการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน – จีน ไทยสนับสนุนข้อเสนอของจีนในการจัดตั้งศูนย์การผลิตและวิจัยวัคซีนในอาเซียน และการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองครบรอบ 30 ปีของความสัมพันธ์อาเซียน-จีน โดยเฉพาะกิจกรรมความร่วมมือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนอาเซียน-จีน ซึ่งไทยเชิญชวนให้อาเซียนและจีนแสวงหาความร่วมมือตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG

    การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน – ญี่ปุ่น ไทยยืนยันความพร้อมในการเป็นประเทศผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน – ญี่ปุ่น ระหว่างปี 2564 – 2567 และจะผลักดันความร่วมมือภายใต้เอกสารมุมมองอาเซียนต่ออินโด-แปซิฟิก (AOIP) ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การเติบโตสีเขียวของญี่ปุ่น โดยญี่ปุ่นพร้อมสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์อาเซียนด้านภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่

    การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-อินเดีย ไทยเสนอแนวคิด “สร้างความสมดุล” เพื่อรับมือกับโควิด-19 ทั้งความสมดุลในสถาปัตยกรรมภูมิภาค และความสมดุลในการพัฒนา โดยเฉพาะการพัฒนาสีเขียวและดิจิทัล โดยที่ประชุมได้เน้นการส่งเสริมความร่วมมือเพื่อฟื้นฟู จากโควิด-19 อาทิ การทบทวนข้อตกลงการค้าสินค้าอาเซียน-อินเดีย และการผลักดันโครงการถนนสามฝ่ายอินเดีย-เมียนมา-ไทย และส่วนขยายภายใต้เส้นทางระเบียงเศรษฐกิจแนวตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor – EWEC) ไปยัง สปป.ลาว กัมพูชาและเวียดนาม รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม ภายใต้ AOIP ของอาเซียน และข้อริเริ่ม Indo-Pacific Oceans Initiative ของอินเดีย