ThaiPublica > สู่อาเซียน > ASEAN Roundup ฟิลิปปินส์เริ่มทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์รับมือน้ำมันแพง

ASEAN Roundup ฟิลิปปินส์เริ่มทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์รับมือน้ำมันแพง

3 เมษายน 2022


ASEAN Roundup ประจำวันที่ประจำวันที่ 27 มีนาคม – 2 เมษายน2565

  • ฟิลิปปินส์เริ่มทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์รับมือน้ำมันแพง
  • อินโดนีเซียเจอวิกฤติน้ำมันปรุงอาหารขาดแคลน แจกเงินเยียวยาคนจน
  • อินโดนีเซียเก็บภาษีVATและภาษีเงินได้สินทรัพย์คริปโท
  • ฮุน เซนจองเก้าอี้นายกฯเผื่อลูกชาย
  • กัมพูชาผลิตทองคำได้ถึง 2.2 ตันรอบ 9 เดือน
  • บุตรสาวมิน อ่อง หล่ายเข้าถือหุ้นในเทเลนอร์เมียนมา
  • สหรัฐฯ-อังกฤษ-แคนาดาคว่ำบาตรบุคคลและบริษัทเมียนมาเพิ่มเติม

 

ฟิลิปปินส์เริ่มทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์รับมือน้ำมันแพง

ที่มาภาพ: https://www.rappler.com/business/dotr-wants-more-jeepney-bus-passengers-drivers-push-fare-hike-october-2021/
ส่วนราชการทั้งระดับเมืองและจังหวัด อิโลอิโลของ ฟิลิปปินส์เริ่มการทำงานรูปแบบใหม่ คือ 4 วันต่อสัปดาห์ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2565 ที่่่ผ่านมา เพื่อรับมือกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้น

นายเจอร์รี่ เทรย่า นายกเทศมนตรีเมืองอิโลอิโล(Iloilo City) เปิดเผยว่า พนักงานศาลากลางจะทำงานตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันพฤหัสบดี ระหว่างเวลา 7.00 น. – 17.30 น. เพื่อช่วยพนักงานให้สามารถรับมือกับต้นทุนเชื้อเพลิงที่สูงและเป็นการประหยัดพลังงานในหน่วยงานภาครัฐ

“นี่จะหมายถึงครอบครัวของพวกเขาจะมีวันหยุดพิเศษด้วย” นายเทรย่ากล่าวในการแถลงข่าวพนักงานในสำนักงานที่ให้บริการที่จำเป็น ซึ่งรวมถึงศูนย์สุขภาพและสำนักงานบริหารจัดการความปลอดภัยสาธารณะและการขนส่ง จะยังคงทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์

มาตรการนี้จะมีผลชั่วคราวจนกว่าราคาน้ำมันจะลดลง

หน่วยงานรัฐระดับจังหวัดอิโลอิโลก็ใช้มาตรการทำงาน 4 วันเช่นกัน โดยด้วยคำสั่งผู้บริหารที่ออกโดยผู้ว่าราชการอาร์เธอร์ ดีเฟนเซอร์ การทำงานของหน่วยงานรัฐระดับจังหวัดจะยังเป็น 5 วันต่อสัปดาห์ แต่พนักงานจะถูกหมุนเวียนหรือกำหนดตารางเวลาเพื่อให้พวกเขาใช้เวลาเพียง 4 วันในการทำงานที่ได้รับมอบหมาย โดยใช้เวลา 10 ชั่วโมงในการทำงานต่อวัน

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับงานและแต่ละส่วนงาน พนักงานบางคนสามารถทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์ โดยทำงานเวลา 8 ชั่วโมงทุกวัน แต่ตารางเวลาของพวกเขาจะรวมวันในโหมดทำงานจากที่บ้านด้วย

ด้านศาลสูงสุด(Supreme Court )ฟิลิปปินส์ ก็ใช้ มาตรการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ เช่นกัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 4 เมษายนนี้ เจ้าหน้าที่เข้าทำงานในที่ทำงาน 4 วัน และทำงานจากบ้าน 1 หนึ่งวัน

ตามบันทึกคำสั่งของนายอเล็กซานเดอร์ เกสมุนโด ประธานศาลสูงสุด ชั่วโมงการทำงานของเจ้าหน้าที่ศาลสูงสุด คือระหว่าง 8.00 น. ถึง 16.30 น.

“เพื่อให้สำนักงาน/บริการ/แผนก/หน่วยงานทั้งหมดในศาลสูงสุดเปิดทำการตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ กำลังคนจะถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม” คำสั่งระบุ กลุ่มหนึ่งจะเข้าทำงานที่สำนักงานตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันพฤหัสบดี ในขณะที่อีกกลุ่มจะเข้าทำงานตั้งแต่วันอังคารถึงวันศุกร์

การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์รูปแบบเดิมที่เจ้าหน้าที่ทำงาน 10 ชั่วโมงต่อวันทำให้เกิดความไม่สะดวกในหมู่พนักงานและถือว่าทำให้ประสิทธิภาพลดลง

“ด้วยเหตุนี้ จากการปรึกษาหารือกับองค์คณะใหญ่ จึงมีการปรับแก้ไขการทำงานที่ยืดหยุ่น และจะนำมาใช้ในศาลสูงสุดตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน พ2565 และจนกว่าจะมีคำสั่งเพิ่มเติม” คำสั่งระบุ

แต่รูปแบบการทำงานใหม่จะไม่มีผลกับสำนักงานบริหารการคลังและงบประมาณ, สำนักงานศาลสูงสุดแห่งฟิลิปปินส์, บริการทางการแพทย์และทันตกรรม, สำนักงานบริหารการคลังของ OCA, สำนักงานบริการธุรการ, ฝ่ายรักษาความปลอดภัยและฝ่ายบำรุงรักษา เพราะลักษณะของงานไม่เอื้อต่อการทำงานที่บ้านและและบ่อยครั้งต้องทำงานล่วงเวลา

ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (Civil Service Commission:CSC) เปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดี(31มี.ค.)ว่า กำลังดำเนินการจัดทำแนวปฏิบัติของ “การทำงานแบบยืดหยุ่น” อย่างถาวรสำหรับหน่วยงานของรัฐ ที่มากกว่าการปรับการทำงานในช่วงการระบาดของโควิด-19

ไอลีน ลิซาด้า กรรมาธิการ CSCกล่าวว่า การจัดการงานแบบยืดหยุ่นนั้น “เป็นอันเดียวกับที่รวมอยู่ใส่ไว้ในหนังสือเวียนปี 2563″ ซึ่งระบุไว้ว่า หน่วยงานของรัฐอาจปรับใช้รูปแบบการทำงานแบบใดแบบหนึ่งหรือหลายแบบรวมกันดังต่อไปนี้ ได้แก่ การทำงานจากที่บ้าน จำกัดจำนวนคน การทำงาน 4 วันหรือย่อลงต่อสัปดาห์ ชั่วโมงการทำงานที่เขย่ง และทางเลือกอื่นๆ

“แทนที่จะเป็นการทำงานจากที่บ้าน มันจะเป็นที่ทำงานแบบยืดหยุ่น” ลาซาด้ากล่าว

หนังสือเวียนดังกล่าวจะใช้ได้เฉพาะในห้วงเวลาภายใต้การประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขเนื่องจากการระบาดของโควิด-19

Lizada ชี้ว่า สำนักงานกำลังจัดทำร่างนโยบายเพื่อการจัดการทำงานแบบยืดหยุ่นอย่างถาวรสำหรับหน่วยงานของรัฐ

มาตรการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ เป็นข้อเสนอแนะของสำน้กงานพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ(National Economic and Development Authority:NEDA)ต่อประธานาธิบดีโรดริโก ดูแตร์เต ตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา หลังจากราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องหลายเดือน เพื่อประหยัดพลังงาน แทนที่จะขึ้นค่าแรงและการขึ้นค่ารถโดยสาร ซึ่งจะยิ่งทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น และแม้ว่าทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์แต่ก็ยังมีชั่วโมงทำงาน 40 ชั่วโมงเหมือนเดิม

NEDA ระบุว่า การปรับขึ้นค่าโดยสารรถสองแถวหรือ Jeepney และการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอาจทำให้ อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 1.4% หรือประมาณ 5.1% จากอัตราเงินเฟ้อที่คาดการณ์ไว้ที่ 3.7% โดยการเพิ่มค่าโดยสารขั้นต่ำของรถจี๊ปนีย์ 1.25 เปโซจะมีผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อ 0.4 จุด ซึ่งจะทำให้อัตราเงินเฟ้อที่คาดการณ์ไว้สูงขึ้นเป็น 4.1% และหากค่าแรงขั้นต่ำในเขตเมืองใหญ่(NCR) เพิ่มขึ้น 6% หรือ 39 เปโซจาก 537 เปโซ เป็น 576 เปโซ ก็จะเพิ่มแรงกดดันเงินเฟ้อ

ด้าน กระทรวงแรงงานและการจ้างงาน(Department of Labor and Employment:DOLE) ระบุว่า การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ขึ้นอยู่กับนายจ้าง ซึ่งสามารถทำได้ โดยไม่ต้องออกกฎหมายใหม่มารองรับ เพราะได้ให้แนวทางการปรับการทำงานให้ยืดหยุ่นไปแล้ว

อินโดนีเซียเจอวิกฤติน้ำมันปรุงอาหารขาดแคลน แจกเงินเยียวยาคนจน

ที่มาภาพ: https://www.archyworldys.com/ministry-of-trade-blames-public-panic-buying-in-rare-cooking-oil/

รัฐบาลอินโดนีเซียจะมอบเงินช่วยเหลือจำนวน 300,000 รูเปียะห์ แก่ 20.5 ล้านครอบครัวและผู้ค้าริมถนน 2.5 ล้านราย เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระอันเนื่อง จากราคาน้ำมันปรุงอาหารที่สูงขึ้น

“เราจะให้ความช่วยเหลือ 100,000 รูเปียะห์ในแต่ละเดือน รัฐบาลจะให้ความช่วยเหลือเป็นเวลา 3 เดือน ซึ่งจะจ่ายล่วงหน้าในเดือนเมษายน 2565” ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด แถลงผ่านวิดีโอที่เผยแพร่ในช่อง YouTube ของสำนักเลขาธิการประธานาธิบดี

รัฐบาลได้จัดให้มีโครงการความช่วยเหลือ เนื่องจากราคาน้ำมันสำหรับประกอบอาหารได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตามการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลก โดยจะมีเป้าหมายไปที่ผู้ที่ลงทะเบียนเป็นผู้รับผลประโยชน์จากความช่วยเหลือทางสังคมของรัฐบาล

“ทั้งนี้จะให้ความช่วยเหลือแก่ 20.5 ล้านครัวเรือน ที่อยู่ในกลุ่มผู้รับความช่วยเหลือด้านอาหารที่ไม่ใช่เงินสด และโครงการ Family Hope รวมถึงผู้ขายอาหารริมถนน 2.5 ล้านคนที่ขายอาหารทอด” ประธานาธิบดีกล่าว

นอกจากนี้ ยังได้ขอให้กระทรวงและสถาบันที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงการคลัง กระทรวงกิจการสังคม กองทัพ และตำรวจ ประสานงานการแจกจ่ายความช่วยเหลือ

ก่อนหน้านี้ประกาศกฎกระทรวงการค้าฉบับที่ 6 ปี 2565 ว่าด้วยการกำหนดราคาขายปลีกน้ำมันปาล์มดิบสูงสุด ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2565 ได้กำหนดราคาขายปลีกน้ำมันปรุงอาหารสำหรับการขายส่งสูงสุดไว้ที่ 11,500 รูเปียะห์ต่อลิตร ส่วนน้ำมันประกอบอาหารบรรจุหีบห่อแบบธรรมดากำหนดไว้ที่ 13,500 รูเปียะห์ต่อลิตร และน้ำมันประกอบอาหารบรรจุหีบห่อแบบพรีเมียมราคา 14,000 รูเปียะห์ต่อลิตร

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 นายโมฮัมหมัด ลุตฟี รัฐมนตรีกระทรวงการค้าชี้ว่า ปริมาณน้ำมันใน 3 เมืองใหญ่ของอินโดนีเซีย คือ เมดาน ในจังหวัดสุมาตราเหนือ, สุราบายาในจังหวัดชวาตะวันออก และจาการ์ตา มีไม่เพียงพอ ส่งผลให้รัฐบาลยกเลิกหลักเกณฑ์เมื่อวันที่ 17 มีนาคม และกำหนดราคาน้ำมันสำหรับประกอบอาหารแบบขายส่งที่ 14,000 รูเปียะห์ต่อลิตร หรือ 15,500 รูเปียะห์ต่อกิโลกรัม

ราคาที่กำหนดจะได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลผ่านสำนักงานจัดการกองทุนสวนปาล์มน้ำมัน (Palm Oil Plantation Fund Management Agency)

ขณะเดียวกันพรรคการเมืองที่สนับสนุนประธานาธิบดีวิโดโดเรียกร้องให้ชาวอินโดนีเซียเริ่มต้ม นึ่ง และย่างอาหาร แทนการทอดเนื่องจากราคาน้ำมันที่ใช้บริโภคได้พุ่งสูงขึ้น

“อาหารวันนี้ต้องแสดงความคิดสร้างสรรค์ของพ่อครัว ใช้ส่วนผสมในท้องถิ่น และไม่ต้องใช้น้ำมันปรุงอาหารใดๆ” วีร์ยันติ สุกัมดานี เจ้าหน้าที่จากพรรคIndonesian Democratic Party of Struggle หรือ PDIP กล่าวในงานฟู้ดส์แฟร์ เพื่อแสดงวิธีการปรุงอาหารโดยไม่ใช้น้ำมัน

PDIP เป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุดในรัฐสภา

อินโดนีเซียผู้ผลิตน้ำมันปาล์มดิบรายใหญ่ที่สุดของโลก กำลังเผชิญกับความท้าทายในการจัดการต้นทุนน้ำมันปรุงอาหารที่สูงขึ้น จากผลกระทบจากภายนอกและปัญหาอุปทานที่ย่ำแย่ลง

น้ำมันปรุงอาหารที่ราคา ‘ถูก’ กลายเป็นของหายากในอินโดนีเซียซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) รายใหญ่ที่สุดในโลก เนื่องจาก CPO เป็นส่วนผสมหลักสำหรับผู้ผลิตน้ำมันประกอบอาหาร ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 80%ของต้นทุนการผลิตมีราคาสูงขึ้น ผู้บริโภคอินโดนีเซียซื้อน้ำมันประกอบอาหาร 2 แบบ ได้แก่ น้ำมันบรรจุหีบห่อและน้ำมันที่มียี่ห้อที่แพงกว่า และน้ำมันแบบอุดหนุนที่จำหน่ายแบบขายเหมาสำหรับครัวเรือนที่มีรายได้น้อย ราคาของน้ำมันปรุงอาหารที่มียี่ห้อสินค้าเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจากประมาณ 14,000 รูเปียะห์ต่อลิตรในเดือนมีนาคม 2564 เป็น 22,000 รูเปียะห์ต่อลิตรในเดือนมีนาคม 2565 น้ำมันประกอบอาหารยังคงมีราคาแพงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 2564 เนื่องจากราคา CPO ทั่วโลกที่สูงขึ้น

ความต้องการ CPO ที่เพิ่มขึ้นจากภายนอก และความต้องการในประเทศที่เพิ่มขึ้นจากการส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลที่สูงมากขึ้น(B-30) ที่เริ่มต้นในปี 2563 ก็สร้างแรงกดดันต่อราคา CPO เช่น ข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนทำให้จีนเปลี่ยนไปใช้น้ำมันปาล์มเพื่อลดการพึ่งพาถั่วเหลืองของอเมริกา ขณะที่สภาพอากาศเลวร้ายในบราซิลและอินเดียส่งผลกระทบต่อการผลิตถั่วเหลืองและคาโนลาส่งผลให้ความต้องการ CPO ทั่วโลกเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันการรุกรานยูเครนของรัสเซียส่งผลให้ความต้องการ CPO ทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากรัสเซียและยูเครนเป็นผู้ผลิตน้ำมันดอกทานตะวันรายใหญ่ ปริมาณที่ขาดช่วงหลังจากสงครามที่ยิดเยื้อมาเป็นเดือนได้เปลี่ยนความต้องการจากน้ำมันดอกทานตะวันเป็นน้ำมัน CPO

ราคา CPO ในตลาดโลกเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 50% ระหว่างปี 2563-2564 จาก 752 เหรียญสหรัฐต่อตันเป็น 1,131 เหรียญสหรัฐต่อตัน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ราคา CPO ได้สูงถึง 1,552 เหรียญสหรัฐต่อตันซึ่งสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ขณะที่ความต้องการเพิ่มขึ้นแต่อุปทาน CPO ทั่วโลกและภูมิภาคลดลง นอกจากนี้สภาพอากาศที่ฝนตกซึ่งทำให้เกิดน้ำท่วม ได้ส่งผลกระทบในทางลบต่อการผลิต CPO ในมาเลเซีย การเคลื่อนย้ายแรงงานที่ยากขึ้นจากการระบาดของโควิด ปัญหาคอขวดในห่วงโซ่อุปทาน และอัตราค่าขนส่งที่สูงส่งได้ส่งผลต่ออินโดนีเซีย

ในเดือนมีนาคมอินโดนีเซียได้ใช้มาตรการที่เรียกว่าตลาดภายในประเทศ (DMO)กำหนดให้บริษัทต่างๆ นำน้ำมันปาล์มดิบหรือโอเลอีนที่วางแผนจะส่งออกในสัดส่วน 30% มาจำหน่ายในประเทศเพิ่มขึ้นจาก 20% เพื่อให้อุปทานในประเทศมีเพียงพอท่ามกลางการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันสำหรับปรุงอาหาร แต่ได้ยกเลิกหลังจากประกาศใช้ไปได้เพียงหนึ่งสัปดาห์และหันมาเพิ่มภาษีส่งออกแทน

อินโดนีเซียเก็บภาษีVATและภาษีเงินได้สินทรัพย์คริปโท

ที่มาภาพ:https://cointelegraph.com/news/indonesia-to-impose-0-1-crypto-tax-starting-in-may-report

อินโดนีเซียวางแผนที่จะเรียกเก็บ ภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT) จากธุรกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลและภาษีเงินได้สำหรับกำไรจากการลงทุนดังกล่าวในอัตรา 0.1% โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม เจ้าหน้าที่ด้านภาษีเปิดเผย ท่ามกลางการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่เฟื่องฟู

ความสนใจในสินทรัพย์ดิจิทัลเพิ่มขึ้นในอินโดนีเซียประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด-19 โดยจำนวนผู้ถือสินทรัพย์คริปโทเพิ่มขึ้นเป็น 11 ล้านคนภายในสิ้นปี 2564

ข้อมูลจากสำนักงานกำกับดูแลการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้าแสดงให้เห็นว่า ธุรกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหมดของปีที่แล้วในตลาดซื้อขายล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์สูงถึง 859.4 ล้านล้านรูเปียะห์ (59.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ) เพิ่มขึ้นมากกว่า 10 เท่าจากมูลค่าธุรกรรมของปี 2563

อินโดนีเซียอนุญาตให้ซื้อขายสินทรัพย์คริปโทในลักษณะเดียวกับสินค้าโภคภัณฑ์ แต่ห้ามใช้ในการชำระเงิน

“สินทรัพย์คริปโทจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องจากเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ตามที่กระทรวงการค้ากำหนด ไม่ใช่สกุลเงิน” นาย เฮสตู โยกา สักซามะ กล่าวในการบรรยายสรุปให้สื่อ “ดังนั้นเราจะเรียกเก็บภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม” โดยรัฐบาลยังคงดำเนินการที่จะบังคับใช้กฎระเบียบด้านภาษี

อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มของสินทรัพย์คริปโทนั้นต่ำกว่าอัตราภาษี VAT 11% ที่เรียกเก็บจากสินค้าและบริการของอินโดนีเซียส่วนใหญ่ ในขณะที่ภาษีเงินได้จากcapital gain tax อยู่ที่ 0.1% ของมูลค่าธุรกรรมรวม เท่ากับที่เรียกเก็บจากการลงทุนในหุ้น

กฎหมายภาษีที่หลากหลายที่ผ่านความเห็นชอบปีที่แล้วเป็นพื้นฐานทางกฎหมายของภาษีสำหรับสินทรัพย์คริปโท กฎหมายดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19

ฮุน เซนจองเก้าอี้นายกฯเผื่อลูกชาย

ที่มาภาพ : https://www.khmertimeskh.com/501050786/reserve-pm-lt-gen-manet-could-take-over-at-any-time-says-hun-sen/

นายกรัฐมนตรีฮุน เซน กล่าวว่า แม้จะลงสมัครรับเลือกเลือกตั้งในปีหน้า พล.ท. ฮุน มาเนต ผู้บัญชาการกองทัพกัมพูชา (RCA) ที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้สมัครนายกรัฐมนตรีในอนาคตของพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) จะไม่ถูกกีดกันและอาจสืบทอดตำแหน่งต่อจากเขา ในเวลาใดก็ได้

นายฮุน เซน ซึ่งเป็นประธานพรค CPP กล่าวในระหว่างการเปิดสะพานข้ามแม่น้ำจอมเจ้าและอุโมงค์ลอดในกรุงพนมเปญเมื่อวันที่ 31 มีนาคมว่า เขาจะยังคงลงสมัครรับเลือกตั้งระดับชาติปี 2566 ในฐานะผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี และพ ล.ท. มาเนตได้รับการสำรองตัวไว้ด้วย

อย่างไรก็ตาม นายฮุน เซนบอกเป็นนัยว่า การเสนอชื่อพล.ท. มาเนตเป็นนายกรัฐมนตรีในอนาคตเป็นการป้องกันไว้ก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา ที่อาจจะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง โดยกล่าวว่า พล.ท. มาเนตเป็นตัว”สำรอง”สืบทอดตำแหน่งของเขา

“การวางตัวคนรุ่นต่อไปเป็นสิ่งที่ต้องเตรียมพร้อม ไม่เช่นนั้นจะเกิดวิกฤติขึ้น เช่น ถ้าจู่ๆ ฮุน เซน จากไป ใครจะทำหน้าที่ต่อ? ดังนั้นต้องมีการตัดสินใจที่ชัดเจนจากพรรค” นายฮุน เซนกล่าว “มันเป็นวิธีการของพรรค เรายังมีการเตรียมการอื่นๆ ด้วย”

พล.ท. มาเนต ซึ่งเป็นรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพกัมพูชา (RCAF) ได้รับเลือกอย่างเป็นเอกฉันท์จากคณะกรรมการกลางของพรรคให้เป็นนายกรัฐมนตรีในอนาคตเมื่อปลายปีที่แล้ว

พล.ท.มาเนต อยู่ในวัย 44 ปี เป็นหนึ่งในสมาชิก 37 คนของคณะกรรมการประจำพรรค CPP แห่งคณะกรรมการกลาง เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นผู้นำฝ่ายเยาวชนของ CPP ในเดือนมิถุนายน 2563

ในเดือนธันวาคม นายฮุน เซน กล่าวว่า พรรคได้วางตัวให้คนหนุ่มสาวเข้าร่วมฝ่ายบริหารของ CPP เพื่อเตรียมรับตำแหน่งรัฐมนตรี แทนที่สมาชิกอาวุโสที่มีอายุเกิน 60 ปี

มีการจัดทำรายชื่อสำรองและได้รับอนุมัติโดยผู้นำระดับสูงของพรรค CPP รวมถึงนายฮุน เซน และรองประธานาธิบดีเซย์ ชัม นายซาร์ เค็ง นายพลเตีย บันห์ และคุณหญิงเมน ซัม อาน

นอกจากนี้ นายฮุน เซน ยังเรียกร้องให้พรรคการเมืองอื่นๆ เคารพการตัดสินใจของ CPP ในการเสนอชื่อพล.ท.มาเนตเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีในอนาคต

“ฮุน มาเนต ถูกวางตัวเป็นตัวสำรอง เป็นเรื่องปกติของแต่ละพรรคการเมือง ไม่ว่าฝ่ายใดจะจัดการอย่างไร มันคือเรื่องของพวกเขา และเราเคารพการตัดสินใจของพวกเขา แต่ให้พวกเขายอมรับการตัดสินใจของ CPP ด้วยเช่นกัน” นายฮุน เซนกล่าว

นายโอ จันราธ รองประธานพรรคปฏิรูปกัมพูชา (Cambodia Reform Party:CRP) ที่เป็นฝ่ายค้าน กล่าวว่า พรรคของเขาเคารพการตัดสินใจของ CPP ในการเตรียมผู้สืบทอดตำแหน่ง โดยชี้ว่าแต่ละฝ่ายมีนโยบายและกลยุทธ์ของตนเอง

“เราไม่มีสิทธิที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของบุคคลอื่น มันเป็นการตัดสินใจของพรรครัฐบาล”

นายจันราธ กล่าวว่า การเลือกที่จะวางตัวนายกรัฐมนตรีในอนาคตเป็นสิ่งที่ดี แต่พล.ท.มาเนตจะเจอความท้าทายหลายด้านหากได้รับการคัดเลือกให้เป็นตัวแทนลงสมัครรับเลือกตั้งในปี 2566

“ผมคิดว่าเขา (นายฮุน เซน)สมัครลงรับการเลือกตั้งเพื่อให้เวลาฮุน มาเนตเข้ามาแทนที่ในภายหลัง ซึ่งหมายความว่าหากเขา (พล.ท. มาเนต) ลงสมัครรับตำแหน่งในตอนนี้ อาจมีความท้าทายมากมาย โดยเฉพาะปฏิกิริยาจาก ผู้สนับสนุน CPP พรรคอาจสูญเสียการสนับสนุนบางส่วน”

“สำหรับผู้สมัครใหม่ บางครั้งคนก็ไม่รู้จัก และเขายังไม่ประสบความสำเร็จที่เห็นชัด คนรุ่นเก่าอาจไม่เข้ากับเขาอย่างเต็มที่” นายจันราธกล่าว

นอกจากนี้ นายฮุน เซน ยังเรียกร้องให้ประชาชนลงคะแนนให้พรรค CPP เพื่อที่เขาจะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งในวาระ 5 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ เขายังอธิบายให้ผู้คนทราบถึงความหมายของโลโก้พรรค CPP ที่มีสัญลักษณ์เทวดาโปรยดอกไม้อยู่ตรงกลาง

“พรรคประชาชนกัมพูชาเป็นพรรคที่มีสัญลักษณ์เทวดา ดังนั้นโปรดลงคะแนนให้พรรคนี้ต่อไป ผมขอยืนยันว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งระดับชาติปี 2566 คือฮุนเซน” นายฮุน เซนกล่าว

นายฮุน เซนเกล่าวว่า ในระดับผู้นำของ CPP มีคนจากทุกรุ่น รวมทั้งผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 90, 80 และ 70, 60, 50 และ 40 ปี ซึ่งทำให้ความเป็นผู้นำมีความสมดุล

นายฮุน เซนชี้ว่า การคัดเลือกผู้สืบทอดตำแหน่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือความสามารถ โดยกล่าวว่า เขาได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่ออายุ 32 ปี และได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเมื่ออายุ 27 ปี

นายฮุน เซน อยู่ในอำนาจครบ 37 ปีเมื่อต้นปีนี้ จากการเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2528 หลังจากที่ได้รับเลือกอย่างเป็นเอกฉันท์จากรัฐสภาให้ดำรงตำแหน่งต่อจากนายจัน ซี ซึ่งถึงแก่กรรมขณะยังปฏิบัติหน้าที่ในเดือนธันวาคม 2527

นายฮุน เซนเป็นนายกรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดในโลกในขณะนั้น โดยมีอายุ 32 ปี นอกจากนี้ยังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศจนถึงปี 2534 ปัจจุบันเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในโลกและเป็นหนึ่งในผู้นำที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในโลก

นายพาย สีพัน โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า CPP ได้เตรียมพร้อมอย่างดีสำหรับการเป็นผู้นำในอนาคต และนายฮุน เซน ยังเตรียมสมาชิกคณะรัฐมนตรีชุดใหม่หลังการเลือกตั้งระดับชาติปี 2566 แล้วด้วย

“พรรค CPP ไม่มีความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของผู้นำ อย่างแรก สมเด็จฮุนเซนเป็นผู้สมัครรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวาระต่อไป ประการที่สอง เรามีผู้สมัครสำรอง พล.ท. ฮุน เซน” นายสีพันกล่าว

“คณะกรรมการกลางของ CPP ได้ลงคะแนนให้พลโทมาเนตเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีในอนาคต และเราเห็นว่าเขามีคุณสมบัติครบ เป็นนักวิชาการที่มีการศึกษาดีด้วยปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์จากต่างประเทศ นอกจากนี้ เขายังมีประสบการณ์ด้านการทหารซึ่งสมควมที่จะได้รับการยอมรับเป็นนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา”

กัมพูชาผลิตทองคำได้ถึง 2.2 ตันรอบ 9 เดือน

ที่มาภาพ: https://www.phnompenhpost.com/business/renaissance-gold-extraction-q2

Renaissance Limited (Cambodia) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Renaissance ที่จดทะเบียนในออสเตรเลีย ผลิตทองคำได้มากกว่า 2 ตันจากเหมืองทองคำเชิงพาณิชย์ที่ได้รับใบอนุญาต ซึ่งตั้งอยู่ในเขตเขียว สีมา จังหวัดมณฑลคีรี ตั้งแต่เริ่มดำเนินการขุดและคัดแยกแร่ทองคำในเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว

นายกรัฐมนตรีฮุน เซน กล่าวว่า ปริมาณ 2,275 กิโลกรัมเป็นการผลิตทองคำเพื่อการพาณิชย์เท่านั้น ซึ่งจะเพิ่มขึ้นหากมีขุดทองคำมากขึ้น

“ในช่วงการดำเนินงาน 9 เดือน เราสามารถผลิตได้ 2,275 กิโลกรัม นี่เป็นเพียงจากที่เดียว ยังมีที่อื่นอีก” เขากล่าว “เราได้เริ่มใช้ทรัพยากรธรรมชาติส่วนหนึ่งของเรา ที่กำลังสำรวจเพื่อการผลิตเชิงพาณิชย์เพื่อสนับสนุนความต้องการของประเทศ”

Renaissance เริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ในเดือนมิถุนายนปีนี้ และเป็นการผลิตทองคำเชิงพาณิชย์แห่งแรกในกัมพูชา บริษัทมีแผนจะคัดแยกแร่ทองคำประมาณ 3 ตันต่อปีในช่วง 8 ปีแรกของการดำเนินงานเหมือง หรือราว 250 กิโลกรัมต่อเดือน

บริษัทส่งออกแร่ทองคำไปยังออสเตรเลียเพื่อผลิตทองคำบริสุทธิ์ 99.9 บริษัทเพิ่งได้รับใบอนุญาตสำรวจเหมืองใหม่บนพื้นที่ 107 เฮกตาร์ ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดทบองคมุม ใบอนุญาตมีอายุ 3 ปี สำหรับการสำรวจตั้งแต่มกราคม 2564 ถึงมกราคม 2567

บุตรสาวมิน อ่อง หล่ายเข้าถือหุ้นในเทเลนอร์เมียนมา

ที่มาภาพ: https://www.irrawaddy.com/news/burma/junta-chiefs-daughter-acquires-slice-of-telenors-myanmar-operation.html

คิ่น ทิริ เท็ต มอน มอนลูกสาวของผู้นำรัฐบาลทหารพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่ายได้เข้าซื้อหุ้นใน Investcom PTE Ltd ซึ่งได้ซื้อ เทเลนอร์ เมียนมา ธุรกิจของ Telenor บริษัทโทรคมนาคมของนอร์เวย์ในเมียนมา

Investcom เป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัทการลงทุนของเลบานอน M1 Group ซึ่งนำโดยนายกรัฐมนตรีเลบานอนนาจิบ มิกาติ(Mikati)และบริษัทสัญชาติเมียนมา ชเว บไยน์ ผิ่ว(Shwe Byain Phyu:SBP) ซึ่งมีอู เต็ง วิน ซอว์ นักธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกองทัพเป็นเจ้าของ

คิ่น ทิริ เท็ต มอน มีการลงทุนใน SBP ซึ่งจะเข้าถือหุ้น 80% ในTelenor แหล่งข่าว 3 รายเปิดเผยกับ สำนักข่าวThe Irrawaddy

จามาล รามาดาน ซีอีโอของ Investcom PTE กล่าวกับ The Irrawaddy ว่า M1 ถือหุ้น Investcom ในสัดส่วน 20%ในขณะที่ SBP จะใช้ถือหุ้น 80%

SBP ก่อตั้งขึ้นในปี 2539 ประกอบธุรกิจสถานีบริการน้ำมันและการขุดอัญมณี ด้าน อู เต็ง วิน ซอว์ จัดหาเชื้อเพลิงให้กับกองทัพเรือเมียนมา

คิ่น ทิริ เท็ต มอน ผู้มีความสนใจในด้านศิลปะและความบันเทิง ได้ก่อตั้ง Seventh Sense Co Ltd ในปี 2560 โดยใช้จ่ายเงินหลายพันล้านจ๊าตต่อปี บริษัทจึงกลายเป็นบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของเมียนมา

ก่อนที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 บริษัท Seventh Sense เป็นบริษัทเดียวที่มีสัญญากับนักแสดงและผู้กำกับชั้นนำส่วนใหญ่ในเมียนมา คิ่น ทิริ เท็ต มอน กลายเป็นผู้เล่นด้านธุรกิจการแสดงที่โดดเด่น

นอกจากนี้ เธอยังเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท Pinnacle Asia Co ซึ่งตั้งอยู่ในสิงคโปร์ ซึ่งผลิตเสาโทรคมนาคมสำหรับผู้ให้บริการโทรคมนาคมในเมียนมา

ครอบครัวของ พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ใช้พวกพ้องเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ ตัวอย่างที่ขึ้นชื่อเสียง ได้แก่ อู อ่อง เมีย มิน ดิน เจ้าของ Amazing Hotels and Resorts และ อู หม่อง หม่อง ไน่ เจ้าของ Sky One Construction Co ซึ่งเคยทำงานให้กับ อ่อง แพ โซนลูกชายของพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย

อู เต็ง วิน ซอว์เป็นพรรคพวกคนล่าสุดที่รับใช้ของพลเอกอาวุโวมิน อ่อง หล่าย

“อู เต็ง วิน ซอว์ เป็นผู้นำเข้าเชื้อเพลิง ไม่น่าเป็นไปได้ที่เขาจะมั่งคั่งขนาดนั้น เพราะเขาไม่สามารถซื้อน้ำมันด้วยเครดิตได้ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถซื้อเทเลนอร์ได้” ผู้นำเข้าน้ำมันรายหนึ่งบอกกับThe Irrawaddy

The Irrawaddy ถามรามาดานว่า M1 ได้รับรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดของ SBP กับกองทัพที่คุมอำนาจหรือไม่ ก็ได้รับคำตอบว่า ข้อกล่าวหานี้ไม่มีมูล โดยระบุว่า เจ้าของ SBP และผู้ถือหุ้นไม่ถูกคว่ำบาตรจากนานาชาติ และไม่มีการเชื่อมโยงโดยตรงกับรัฐบาลทหาร

“ชเว บไยน์ ผิ่ว เป็นที่รู้จักในกลุ่มธุรกิจที่มีชื่อเสียงในเมียนมา” รามาดานกล่าว

เทเลนอร์ประกาศเมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้วว่า บริษัทได้ขายกิจการในเมียนมาให้กับ M1 ซึ่งมีตระกูลมิกาติ Mikati เป็นเจ้าของด้วยมูลค่า 105 ล้านเหรียญสหรัฐ ในเดือนกันยายนเทเลนอร์ กล่าวว่า บริษัทไม่สามารถรักษาคงธุรกิจในเมียนมาและช่วยกองทัพในการติดตามลูกค้า 18 ล้านรายได้

แผนการขายให้กับ M1 หยุดชะงักเนื่องจากกองทัพสนับสนุนให้บริษัทในประเทศเป็นเจ้าของบางส่วน เพื่อตอบสนองความต้องการของรัฐบาลทหาร M1 ได้ร่วมมือกับ SBP

คณะกรรมการการลงทุนของเมียนมาอนุมัติการขายกิจการ เนื่องจากครอบครัวของพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ซื้อหุ้นในกิจการดังกล่าว ผู้นำธุรกิจรายหนึ่งกล่าว

นักเคลื่อนไหวกดดันเทเลนอร์ให้ระงับการขาย เนื่องจากการส่งมอบธุรกิจที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลทหารจะเป็นส่งมอบความลับของลูกค้าหลายล้านรายให้กับรัฐบาลทหาร

สหรัฐฯ-อังกฤษ-แคนาดาคว่ำบาตรบุคคลและบริษัทเมียนมาเพิ่มเติม

อ่อง หล่าย อู(ขวา) ผู้บริหาร MCM บริษัทนายหน้าซื้อขายอาวุธเอกชนของกองทัพเมียนมา พบกับเอกอัครราชทูตยูเครนประจำเมียนมา (ซ้าย)ปี 2017 ที่มาไฟล์ภาพ:https://www.mizzima.com/article/further-sanctions-against-myanmar-individuals-and-companies-announced

เมื่อวันที่ 25 มีนาคม2565 รัฐบาลของสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และแคนาดาได้ประกาศคว่ำบาตรบริษัทและบุคคลในเมียนมาเพิ่มเติม

กลุ่มผู้ค้าอาวุธที่เพิ่งถูกคว่ำบาตรรอบนี้ ได้แก่ ผู้ค้าอาวุธที่ถูกคว่ำบาตรโดยหนึ่งหรือหลายประเทศ ได้แก่ ออง หล่าย อู และธุรกิจของเขาคือ บริษัทเมียนมา เคมิคอล แอนด์ แมชชินเนรี่( Myanmar Chemical & Machinery) ไนืน ทุต อ่อง และบริษัทของ International Gateways Group ดร.อ่อง โม มินท์ และธุรกิจของเขา Dynasty International และซิต ไทง์ อ่อง และบริษัทของเขา Yatanarpon Aviation Support

มิยา วิน อินเตอร์เนชั่นแนล ผู้ค้าอาวุธชาวเมียนมาที่มีความเชื่อมโยงกับออสเตรียและเยอรมนี ถูกคว่ำบาตรจากสหราชอาณาจักร
สหรัฐฯ คว่ำบาตรกลุ่มบริษัททู้( Htoo Group) ซึ่งจัดหาอาวุธและรายได้ให้กับรัฐบาลเผด็จการทหาร

พลอากาศเอก ทุน อ่อง ผู้บัญชาการทหารอากาศของรัฐบาลเผด็จการทหาร ถูกคว่ำบาตรเพราะเขารับผิดชอบในการโจมตีทางอากาศโดยไม่แยกแยะชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศเมียนมา

สหรัฐฯ ยังคว่ำบาตรกองทัพทั้งหมด กองทหารราบเบาที่ 66 (66 LID) ซึ่งเป็นหน่วยทหารที่ตั้งอยู่ในเมืองแปร ถูกคว่ำบาตร “สำหรับการมีส่วนต้องรับผิดชอบหรือสมรู้ร่วมคิดใน หรือมีส่วนร่วมโดยตรงหรือโดยอ้อมหรือพยายามที่จะมีส่วนร่วมในการทรมานบุคคลใด ๆ ในพม่าหรือการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรงอื่น ๆ ในพม่า” รัฐบาลสหรัฐฯระบุและว่ “สมาชิกของกองทหารราบเบา 66 LID ถูกกล่าวหาว่าดำเนินการสังหารหมู่ในวันคริสต์มาสอีฟในปี 2564 ซึ่งพลเรือนในเมืองแปรและเมืองพะยูโซของรัฐกะยาหรือเหรี่ยงถูกจับ ทรมาน และสังหาร รวมถึงบางคนที่มีรายงานว่าถูกสมาชิกของกองทัพเผาทั้งเป็น มีรายงานจำนวนมากได้รวมผู้หญิง เด็ก และเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรมในกลุ่มผู้เสียชีวิต”

ด้าน ซิต ไทง์ อ่อง เจ้าของ Yatanarpon Aviation Support นั้นยังเป็นกงสุลกิตติมศักดิ์ของเม็กซิโกประจำเมียนมาอีกด้วย กลุ่ม Justice for Myanmar เรียกร้องให้รัฐบาลเม็กซิโกถอดออกจากตำแหน่งทันที