รายงานโดย ปรีดี บุญซื่อ
ในสัปดาห์แรกของการทำสงครามบุกยูเครน ผู้นำรัสเซียกล่าวถึงการจะตอบโต้ด้วยอาวุธนิวเคลียร์หากสหรัฐอเมริกาและและพันธมิตรนาโต้เข้าแทรกแซงในสงคราม ในคำแถลงเรื่องสงครามยูเครน ประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน ประกาศเตือนว่า…
“ใครก็ตามที่พยายามเข้าแทรกแซงจะต้องรู้ว่า การตอบโต้ของรัสเซียจะเกิดขึ้นทันทีทันใด และจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่คุณไม่เคยประสบมาก่อนในประวัติศาสตร์”
ปูตินยังกล่าวเน้นถึงความได้เปรียบของรัสเซียในอาวุธนิวเคลียร์แบบล่าสุด พร้อมกับสั่งการกองกำลังนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ของรัสเซียให้อยู่ในสภาพเตรียมพร้อม เวลาต่อมา นายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ก็กล่าวในแนวทางเดียวกันนี้ว่า…
สงครามโลกครั้งที่สามจะเป็นสงครามนิวเคลียร์ และเรียกร้องให้ผู้นำตะวันตกพิจารณ์ให้ดีว่า “สงครามจริง” กับรัสเซีย จะมีความหมายอย่างไร
จากข้อความที่สื่อสารออกมาจากผู้นำรัสเซีย จึงชัดเจนว่า เป็นไปได้ที่จะเกิดการขยายตัวเป็นสงครามนิวเคลียร์ หากสหรัฐฯ และนาโต้เข้าแทรกแซงในสงครามที่รัสเซียบุกยูเครน
วิธีการใช้สถานการณ์ที่เสี่ยงภัย
บทความของ foreignaffairs.com ชื่อ How the War in Ukraine Could Get Much Worse กล่าวว่า นักวิเคราะห์ตกใจต่อท่าทีของผู้นำรัสเซีย ที่ใช้วิธีการแบบสมัยสงครามเย็น เรียกว่า Brinkmanship วิธีการ Brinkmanship คือการจงใจใช้สถานการณ์ที่อันตราย ที่มีทั้งความเสี่ยงที่จะนำไปสู่หายนะภัย และก็เป็นวิธีที่อาจทำให้เกิดผลสำเร็จ สหรัฐฯ รีบแสดงท่าทีให้หลักประกันแก่รัสเซีย โดยการเลื่อนการทดลองขีปนาวุธข้ามทวีปออกไปจากที่กำหนดไว้ในต้นเดือนมีนาคม มาตรการดังกล่าวของสหรัฐฯ เป็นการส่งสัญญาณว่า ไม่มีใครต้องการให้เกิดสงครามนิวเคลียร์
ส่วน nytimes.com ก็รายงานข่าวว่า เมื่อปูตินสั่งการให้กองกำลังนิวเคลียร์เตรียมพร้อมพิเศษนั้น ประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีทางเลือกที่จะทำอย่างเดียวกัน คือสั่งให้เครื่องบินกองทัพอากาศ ขีปนาวุธนิวเคลียร์ และเรือดำน้ำ อยู่ในภาวะความพร้อมสูงสุด หรือไม่ก็เพิกเฉย แล้วให้เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ออกมาวิจารณ์ว่า ปูตินสร้างภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ
แต่โจ ไบเดน เลือกที่จะลดการขยายตัวของความขัดแย้งทางนิวเคลียร์ลง ทูตสหรัฐฯ ประจำองค์การสหประชาชาติกล่าวต่อที่ประชุมสภา ความมั่งคงว่า รัสเซียไม่ได้ถูกคุกคามใดๆ ทำเนียบขาวก็แถลงออกมาอย่างชัดเจนว่า ระดับการระมัดระวังของสหรัฐฯไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
ความเสี่ยงของวัฏจักรสงคราม
แต่บทความของ foreignaffairs.com กล่าวว่า ความกังวลที่จะเกิดสงครามนิวเคลียร์ ก็ไปปิดบังปัญหาที่มีความสำคัญพอๆ กันอีกอย่างหนึ่ง คือ ความเสี่ยงของการขยายตัวของสงครามแบบแผน ระหว่างนาโต้กับรัสเซีย
ปัจจุบัน นาโต้กับรัสเซียกำลังเข้าสู่วงจรอุบาทว์ความไม่มั่นคง ทางเลือกของแต่ละฝ่ายล้วนเป็นสาเหตุสร้างความไม่มั่นคงระหว่างสองฝ่ายมากยิ่งขึ้น ในที่สุดอาจนำไปสู่หายนะภัย แนวรบขยายออกไปทั่วยุโรป แม้จะไม่ใช่สงครามนิวเคลียร์ก็ตาม
ดังนั้น เวลาในสัปดาห์ต่อไปข้างหน้า สถานการณ์จะอันตรายมากขึ้น สหรัฐฯ จะต้องปรับท่าทีต่อความเสี่ยงที่มาจากการขยายตัวขึ้นไปอีกระดับหนึ่งของสงคราม มุ่งมั่นมากขึ้นที่จะยุติสงครามในยูเครน เมื่อโอกาสดังกล่าวมาถึง แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ ก็ตาม โอกาสที่ว่านี้อาจเกี่ยวข้องกับทางเลือกที่ยากลำบากบ้าง เช่น การยกเลิกการคว่ำบาตรที่รุนแรงบางอย่างต่อรัสเซีย เพื่อแลกกับการยุติการภาวะการเป็นศัตรูที่เกิดขึ้น
ในวงการที่ศึกษาเรื่องความมั่นคง วัฏจักรความไม่มั่นคงเกิดขึ้นเมื่อประเทศหนึ่งขยายผลประโยชน์ของตัวเองออกไป แต่เป็นทางเลือกดำเนินการที่เป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ของอีกประเทศหนึ่ง ทำให้ประเทศนั้นตอบโต้กลับมา ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ วงจรอุบาทว์ที่นำไปสู่ความขัดแย้ง ที่ขยายตัวออกไปโดยไม่ตั้งใจ
หลังสงครามเย็น สหรัฐฯ และรัสเซียไปเกี่ยวพันกับวงจรความขัดแย้งแบบค่อยๆ เกิดขึ้น การประชุมสุดยอดของในปี 2008 นาโต้ประกาศว่าจะนำยูเครนและจอร์เจียเข้าเป็นสมาชิก ตามมาด้วยเหตุการณ์ที่รัสเซียบุกจอร์เจียปี 2008 ในปี 2014 กลุ่ม EU เสนอยูเครนเป็นสมาชิกสมทบ ปี 2014 การปฏิวัติในกรุงเคียฟล้มรัฐบาลที่สนับสนุนรัสเซีย ทำให้รัสเซียเข้ายึดไครเมียในปีเดียวกัน เพราะกลัวที่ยูเครนจะเป็นสมาชิกนาโต้
การบุกยูเครนของรัสเซียเป็นตัวเร่งวัฏจักรของความขัดแย้งของสองมหาอำนาจให้เร็วขึ้นอีก สหรัฐฯ สมาชิกนาโต้ และ EU จัดส่งอาวุธไปให้ยูเครน ดำเนินมาตรการคว่ำบาตรที่รุนแรงต่อรัสเซีย จนในขณะนี้รัสเซียมองว่า สหรัฐฯ และพันธมิตรกำลังทำให้ยูเครนกลายเป็นพันธมิตรของตะวันตกแบบพฤตินัยไปแล้ว ส่วนสหรัฐฯ ก็มองว่า ในการบุกยูเครน รัสเซียกำลังคุกคามหลักการพื้นฐาน ที่สร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นในยุโรป
อันตรายจากเหตุการณ์ 5 กรณี
เว็บไซต์ 19fortyfive.com พิมพ์บทความชื่อ Russia Vs NATO: 5 Ways the War in Ukraine Could Start World War IIIว่า นับจากความขัดแย้งระหว่างยูเครนกับรัสเซียพุ่งขึ้นมา คนทั่วไปตั้งข้อสงสัยว่า ความขัดแย้งนี้จะขยายตัวเป็นสงครามใหญ่ระหว่างรัสเซียกับนาโต้หรือไม่ ยูเครนไม่ได้เป็นสมาชิกนาโต้ นาโต้จึงไม่มีพันธะที่จะปกป้องยูเครน โจ ไบเดน เองก็กล่าวชัดเจนว่า ไม่มีเหตุอันใดที่ทหารสหรัฐฯ จะไปสู้รบในดินแดนของยูเครน จุดนี้แสดงว่า ผู้นำสหรัฐฯ อ่อนไหวต่ออันตรายของการเกิดสงครามโลก
บทความของ 19fortyfive.com บอกว่า แม้สงครามที่เกิดขึ้นมาจากอุบัติเหตุ จะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ มีอยู่ 5 เส้นทางด้วยกัน ที่สงครามยูเครนจะขยายตัวกลายเป็นสงครามระหว่างรัสเซียกับนาโต้
เส้นทางที่ 1 คือ สงครามทำลายล้างของรัสเซีย ทำให้นาโต้ต้องเข้าแทรกแซง การเข้ายึดครองเคียฟ คาร์คีฟ และโอเดสซา จะเกิดการทำลายล้างอย่างมาก ทั้ง 3 เป็นเมืองเก่าแก่ หากถูกทำลายด้วยการใช้ปืนใหญ่ยิงถล่ม จะเกิดความไม่พอใจของคนทั่วไปในตะวันตก กดดันให้นาโต้ต้องเข้าแทรกแซง เช่น ประกาศเขตห้ามบิน การตอบโต้ของรัสเซียจะทำให้สงครามเปลี่ยนไป
เส้นทางที่ 2 คือ รัสเซียใช้วิธีการ “ขยายการสู้รบเพื่อลดการสู้รบ” หากรัสเซียเห็นว่าสถานการณ์ทหารคืบหน้าช้า รัสเซียอาจยกระดับปฏิบัติการทหารให้สูงขึ้น นาโต้อาจจำเป็นต้องเข้าแทรกแซงด้วยการสนับสนุนยูเครนโดยตรง
เส้นทางที่ 3 คือ กำลังทหารยูเครนโจมตีจากพรมแดนสมาชิกนาโต้ ปัจจุบัน ทหารรัสเซียตั้งอยู่ห่างจากดินแดนยูเครน ด้านที่ประชิดติดกับประเทศสมาชิกนาโต้ หากทหารยูเครนข้ามพรมแดนไปหลบภัย ในดินแดนของสมาชิกนาโต้ แล้วใช้เป็นฐานโจมตีรัสเซีย รัสเซียคงจะตอบโต้ด้วยการโจมตีประเทศสมาชิดนาโต้
เส้นทางที่ 4 รัสเซียอาจรุกล้ำพรมแดนสมาชิกนาโต้แบบไม่ตั้งใจ ขณะนี้ไม่มีใครรู้ว่าหลักปฏิบัติของนักบินรบรัสเซียกับของนาโต้เป็นอย่างไร ในกรณีที่เครื่องบินรัสเซียบินล้ำเข้าไปดินแดนของสมาชิกนาโต้ ในปี 2015 เครื่องบิน F-16 ของตุรกียิงเครื่องบิน Su-24 ของรัสเซียตก แต่เวลานั้น สองประเทศพยายามไม่ขยายความชัดแย้ง แต่ปัจจุบัน สถานการณ์นาโต้กบรัสเซียตึงเครียดมาก
เส้นทางที่ 5 รัสเซียอาจโจมตีรถลำเลียงขนอาวุธและนักรบต่างชาติจากนาโต้เข้ามาทางยูเครน การโจมตีรถลำเลียงดังกล่าว อาจทำให้ประชามติในตะวันตกเห็นด้วยกับการที่นาโต้จะเข้าแทรกแซงโดยตรง เช่น ประกาศเส้นทางที่เป็นระเบียงเข้าสู่ยูเครน
บทความของ 19fortyfive.com กล่าวสรุปว่า การเผชิญหน้าทางทหารระหว่างนาโต้กับรัสเซียจาก 5 กรณีที่กล่าวมา ไม่ได้หมายความว่าจะต้องนำไปสู่สงครามนิวเคลียร์ ในแต่ละกรณี 5 อย่างที่กล่าวมานั้น ทั้งนาโต้และรัสเซียมีโอกาสหลายอย่างที่จะถอยออกมาจากสถานการณ์ที่ล่อแหลม และลดการขยายตัวของสถานการณ์ลง
เอกสารประกอบ
Putin Declares a Nuclear Alert and Biden Seeks De-escalation, nytimes.com, Feb 27, 2022.
How the War in Ukraine Could Get Much Worse, Emma Ashford and Joshua Shifrinson, foreignaffairs.com,
Russia VS NATO: 5 Ways the War In Ukraine Could Start the World War III, Robert Farley, 19forthyfive.com, Mar 8, 2022.