ThaiPublica > คอลัมน์ > สงครามยูเครน อะไรคือความเป็นไปได้ของวิกฤตินี้?

สงครามยูเครน อะไรคือความเป็นไปได้ของวิกฤตินี้?

22 มีนาคม 2022


ดร. นพ.มโน เลาหวณิช ผู้อำนวยการสถาบันคานธี อาจารย์ประจำวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต

ผู้ลี้ภัยชาวยูเครนพักพิงใต้สะพานในเคียฟ เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2565 ที่มาภาพ : https://en.wikipedia.org/wiki/2022_Russian_invasion_of_Ukraine#/media/

วิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้นกับโลกในขณะนี้เป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดที่เกิดขึ้นกับมนุษยชาตินับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง ถ้าไม่นับการประจันหน้ากันระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพโซเวียตในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1962 ในยุคของประธานาธิบดีเคเนดี ซึ่งเกือบจะปะทะเป็นสงครามนิวเคลียร์ แต่ในยุคนี้มีวิกฤติการณ์ใหญ่อีกสองวิกฤตินั่นคือ การแพร่ระบาดใหญ่ของโควิด-19 และสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ภัยสงครามที่เกิดขึ้นจากการบุกชนิดปูพรมของกองทัพรัสเซียโจมตีเมืองใหญ่น้อยของยูเครนซึ่งเกิดขึ้นในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมานี้ได้ก่อให้เกิดการอพยพผู้ลี้ภัยสงครามครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ความรุนแรงของการสู้รบครั้งนี้ไม่มีทีท่าที่จะยุติลงในเร็ววัน และในทางตรงกันข้ามจะกลายเป็นสงครามที่ยืดเยื้อ สร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนทั่วโลก เป็นการซ้ำเติมวิกฤติเศรษฐกิจ ภาวะเงินเฟ้อและการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างรุนแรง

ย้อนหลังไปในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2530 กำแพงเบอร์ลินเพิ่งล่มสลายใหม่ๆ ม็อบชาวเยอรมันตะวันออกที่กำลังโกรธแค้นการปกครองของสหภาพโซเวียตชุมนุมกันเพื่อจะบุกเข้าไปยังสำนักงานเคจีบีในเมืองเดรสเดน พร้อมที่จะเข้าไปรื้อข้าวของทำลายล้างสำนักงานนี้ให้สิ้นซาก สายลับเคจีบีคนหนึ่งออกมายืนรับหน้า พูดกับม็อบเหล่านี้เป็นภาษาเยอรมันด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย พร้อมกับเปิดประตูให้ เขาบอกว่า “พวกเราพร้อมต้อนรับพวกคุณอยู่แล้วด้วยอาวุธหนัก และเคจีบีจะไม่รับรองความปลอดภัยสำหรับทุกคนที่ก้าวผ่านประตูนี้ไป” ประโยคสั้นๆ นี้ทำให้ม็อบสลายตัวทั้งๆ ที่ในสำนักงานนั้นไม่มีใครอยู่เลย และสายลับเคจีบีคนนั้นคือนายวลาดีมีร์ ปูติน ผู้ซึ่งผิดหวังมากกับการบริหารราชการของรัฐบาลในกรุงมอสโก

ทุกครั้งที่เขาโทรศัพท์เข้าไปถามทาง “ผู้ใหญ่” ว่าจะมีนโยบายที่จะจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นในเยอรมันตะวันออกอย่างไร? คำตอบที่เขาได้รับคือ “ความเงียบกริบ” นายปูตินยิ่งเดือดดานยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อในปีต่อมาสหภาพโซเวียตที่เป็นอภิมหาอำนาจของโลกล่มสลาย รัฐต่างๆ ถึง 19 รัฐแยกตัวประกาศอิสรภาพ ในจำนวนนี้มีอยู่ถึง 15 รัฐที่ย้ายเข้าไปเป็นสมาชิกขององค์การ NATO ประชากรรัสเซียหลายสิบล้านคนไม่มีงานทำ เงินเฟ้อพุ่งกระฉูด ศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยต้องออกมาประกอบอาชีพเป็นไกด์ ศัลยแพทย์ผ่าตัดสมองต้องผันตัวเป็นคนขับรถแท็กซี่เลี้ยงชีพตนเอง รายได้ต่อครัวเรือนของประชาชนรัสเซียเฉลี่ยแล้วเดือนละ 2,000 รูเบิล ในขณะที่ไก่ที่ขายในท้องตลาดราคาตัวละ 1,000 รูเบิล

นายวลาดีมีร์ ปูติน ที่มาภาพ : https://en.wikipedia.org/wiki/Prelude_to_the_2022_Russian_invasion_of_Ukraine#/media/

ความโกรธแค้นครั้งนี้เป็นแรงบันดาลใจของนายปูตินต่อสหรัฐฯ และประเทศยุโรปตะวันตกอย่างมาก ประการสำคัญคือการที่องค์การ NATO ไม่ทำตามสัญญาที่จะไม่รับสมาชิกใหม่เพิ่มตามที่ประธานาธิบดีจอร์จ บุช ได้สัญญาไว้ ปัจจุบันองค์การ NATO ยังขยายตัวอยู่ตลอดเวลา สมาชิกล่าสุดขององค์การนี้คือการ์ตา ซึ่งไม่ได้ตั้งอยู่ในยุโรป แต่อยู่ในตะวันออกกลาง

ความแค้นเหล่านี้ทำให้ปูตินหันมาเอาดีทางการเมือง อาศัยเครือข่ายขององค์กรสืบราชการลับที่ใหญ่ที่สุดของโลกเขาได้สร้างฐานอำนาจขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เริ่มจากการทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยประธานาธิบดีบอริส เยลต์ซิน และในที่สุดปูตินได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีของรัสเซียเมื่อปี ค.ศ. 2000

ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ปูตินได้พัฒนารัสเซียในด้านต่างๆ อย่างรวดเร็ว รายได้ต่อครัวเรือนพุ่งขึ้นทุกปีปีละ 10% ติดต่อกัน ทางพลังงานรัสเซียค้นพบทรัพยากรน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจำนวนมหาศาลทำให้รัสเซียเป็นประเทศส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอันดับ 3 ของโลก

การทหาร ปูตินได้พัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ให้ทันสมัย มีทั้งจรวดความเร็วสูงเหนือเสียงถึง 6 เท่า (3M22 Zircon) ซึ่งมีความแม่นยำ สามารถทำลายเป้าหมายที่อยู่ห่างไกลออกไป 1,000 กิโลเมตร ได้อย่างง่ายดาย และต่อมาเมื่อปี ค.ศ. 2021 ได้พัฒนาจรวดที่มีความเร็วกว่าเสียงถึง 20 เท่า และมีประสิทธิภาพสูงกว่าจรวดความเร็วเหนือเสียงของสหรัฐฯ ซึ่งมีความเร็วสูงสุดเพียง 3.8 เท่า

ขณะนี้รัสเซียมีเรือดำน้ำ 24 ลำ ในจำนวนนี้มี 16 ลำที่เป็นเรือดำน้ำปรมาณู และมีรถถังถึง 22,710 คัน เป็นกองทัพรถถังที่ใหญ่ที่สุดของโลก ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือจำนวนระเบิดนิวเคลียร์ที่รัสเซียมีอยู่ถึง 6,257 ลูก มากที่สุดในโลกอีกเช่นกัน อำนาจทางทหารของรัสเซียนั้นถือได้ว่าสูงสุดของโลกในขณะนี้

นอกจากแสนยานุภาพทางทหารแล้ว ปูตินยังมีแรงสนับสนุนทางคริสตจักรรัสเซียนออโทร์ดอกซ์อีกด้วย เนื่องจากภาพลักษณ์ของการเป็นคนธรรมะธรรมโม เคร่งศาสนา ปูตินไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ส่งเสริมการสร้างโบสถ์ให้เกิดขึ้นทุกหมู่บ้านอย่างน้อยหนึ่งแห่ง และทุกๆ การเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาส ปูตินจะเดินลงในน้ำจนมิดศีรษะเพื่อรับศีลล้างบาป และเข้าร่วมพิธีการทางศาสนาในโบสถ์อย่างไม่เคยขาด โบสถ์แต่ละแห่งมีห้องใต้ดินสำหรับฝึกศิลปะป้องกันตัวแก่เหล่าจิตอาสาเพื่อทำหน้าที่ปกป้องศาสนาและผู้นำ ปูตินจึงเท่ากับเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของรัสเซียอีกด้วย

แนวทางการพัฒนาประเทศของปูตินนั้นชัดเจน เขาทำทุกอย่างเพื่อทวงคืนความเกรียงไกรของสหภาพโซเวียตกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เขาสนับสนุนโรงเรียนนายร้อยของกองทัพคอสแซคที่เกรียงไกรในยุคของพระเจ้าซาร์ ส่งเสริมให้นำจารีตประเพณีของจักรวรรดินิยมรัสเซียกลับมาอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อเป็นเช่นนี้คะแนนนิยมในตัวของเขาในปี ค.ศ. 2014 เมื่อรัสเซียเข้าผนวกดินแดนคาบสมุทรไครเมียจึงเพิ่มขึ้นถึง 84% เป้าหมายในการสร้างความยิ่งใหญ่ของปูตินนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น แม้ว่าจะถูกอเมริกาและสหภาพยุโรปคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจเพราะการเข้าไปยึดครองคาบสมุทรไครเมีย เขามุ่งสร้างความสัมพันธ์กับจีนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ปูตินเป็นผู้นำที่เดินทางไปร่วมเปิดงานโอลิมปิกฤดูหนาวในกรุงปักกิ่ง ในขณะที่ผู้นำประเทศมหาอำนาจทั้งอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ฯลฯ ปฏิเสธการส่งผู้แทนของรัฐเข้าร่วมพิธีเปิดในครั้งนี้

ปูตินสั่งให้มีการเคลื่อนย้ายกองทัพบกไปประชิดพรมแดนยูเครนตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นทุกที่ จนเมื่อเดือนมกราคมปี 2565 มีจำนวนถึงหนึ่งแสนคน และเพิ่มเป็นจำนวนถึงหนึ่งแสนเก้าหมื่นคน เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ ปูตินสั่งกองทัพหลายหมื่นนายร่วมรบในเบลารุสซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต และประธานาธิบดีของเบลารุสเป็นมหามิตรของปูติน และประเทศทางตะวันตกถือว่าเป็นจนเผด็จการคนล่าสุดของยุโรป

ประธานาธิบดีไบเดนได้ออกมาแถลงข่าวว่ารัสเซียกำลังเตรียมตัวที่จะบุกยูเครน แต่ทุกครั้งที่ออกมาแถลงข่าว ปูตินออกมาปฏิเสธว่าเขาไม่มีแผนที่จะบุกยูเครนเลย ทำให้ชาวยูเครนวางใจว่าอย่างไรก็ตามปูตินก็จะไม่ส่งกำลังทหารเข้าบุกประเทศของตนอย่างแน่นอน

ยานพาหนะทางทหารของรัสเซียถูกทำลายใน Bucha, Kyiv Oblast, 1 มีนาคม 2565 ที่มาภาพ : https://en.wikipedia.org/wiki/2022_Russian_invasion_of_Ukraine#/media/

อย่างไรก็ตาม ปูตินตัดสินใจผิดพลาดครั้งใหญ่ในการส่งกำลังทั้งทางบก ทางเรือ และทางอากาศเข้าบุกยูเครนพร้อมกันอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย โดยอ้างเหตุในชั้นแรกว่าเป็นกองกำลังรักษาสันติภาพ เข้าไปเพื่อป้องกันชาวยูเครนที่อาศัยอยู่ในแคว้นทิศตะวันออกที่กำลังถูกรัฐบาลยูเครนรุมทำร้ายมานานเป็นเวลาถึง 8 ปี ทันที่ที่รัสเซียให้การรับรองแคว้นดอแนตสก์และลูฮันสก์ทางภาคตะวันออกของยูเครนว่าเป็นรัฐเอกราชไม่ขึ้นกับยูเครน แต่ต่อจากนั้นกำลังทหารของรัสเซียบุกเข้าไปในยูเครนอย่างสายฟ้าแลบ ไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า ไม่มีการประกาศสงคราม อ้างว่าเพื่อที่จะไม่ให้ยูเครนเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัสเซีย และนี่ไม่ใช่การทำสงครามแต่เป็นการปฏิบัติการพิเศษทางทหารเพื่อกำจัดลัทธินาซีให้หมดไปจากยูเครน และทำให้ยูเครนเป็นประเทศที่เป็นกลางไม่เข้าไปเป็นสมาชิกขององค์การ NATO

เป้าหมายแรกในยูเครนที่ถูกทำลายคือฐานทัพอากาศทั่วประเทศ โดยกองทัพรัสเซียใช้เครื่องบินทิ้งระเบิด จรวด และปืนใหญ่ยิงถล่มฐานทัพอากาศเหล่านี้จนยูเครนไม่อาจส่งเครื่องบินรบขึ้นต่อสู้หรือขัดขวางการรุกคืบของรัสเซีย แม้กระนั้นประชาชนยูเครนออกมาต้านทานการบุกของกองทัพรัสเซียอย่างกล้าหาญ ทำให้แผนการบุกยึดยูเครนของปูตินไม่เป็นไปตามแผน และล่าช้ากว่ากำหนดมาก

ประเทศยูเครนนั้นมีประวัติศาสตร์มานับพันปี ยาวนานยิ่งกว่าประวัติศาสตร์ของรัสเซียเสียอีก แม้กระทั่งกรุงเคียฟ ยังมีประวัติที่เก่าแก่กว่ามอสโกเสียด้วยซ้ำ แม้ว่าในช่วงหลังยูเครนถูกจักรวรรดิรัสเซียเข้ายึดครอง และต่อมาเมื่อเกิดสหภาพโซเวียตขึ้น ยูเครนได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต

แต่จิตวิญญาณของคนในชาติชาวยูเครนมีความภูมิใจในประเทศชาติของตน และประชากรส่วนใหญ่พร้อมจะลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อปกป้องอธิปไตยของยูเครนเสมอมา มิติทางจิตวิญญาณนี้เป็นสิ่งที่ประธานาธิบดีปูตินมองข้าม และเป็นปัจจัยทางยุทธศาสตร์ที่ทำให้การสู้รบครั้งนี้เนิ่นนาน ไม่รวดเร็วอย่างที่คาดการณ์ไว้แต่เดิม

ทั้งรัสเซียและยูเครนต่างได้ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ของตนอย่างรวดเร็ว ฝ่ายรัสเซียเองก็โหมกำลังทหารโจมตีแหล่งชุมชนในเมืองสำคัญต่างๆ ซึ่งรวมถึงโรงงานไฟฟ้าปรมาณูที่ใหญ่ที่สุดของยุโรปอีกด้วย จนทำให้เกิดความวิตกกังวลอย่างมากกว่าอาจเกิดไฟไหม้ใหญ่แพร่กระจายกัมมันตภาพรังสีออกไปในวงกว้างเหมือนที่เกิดขึ้นที่โรงไฟฟ้าเชอร์โนบิลก็เป็นได้ ส่วนฝ่ายยูเครนเองก็ปรับกลยุทธ์ในการโฆษณาชวนเชื่อ ให้ชาวโลกหันมาเห็นใจให้ความช่วยเหลือทั้งการเงินและอาวุธในการต่อสู้กับกองทัพรัสเซีย

การบุกยูเครนครั้งนี้ สหภาพยุโรปกลับหันหน้าเข้าหากัน มีความสามัคคีกันอย่างที่ไม่เคยเป็นมากก่อน แม้ประเทศที่มิได้เป็นสมาชิกขององค์การ NATO เช่น ฟินแลนด์ และสวีเดน ต่างพิจารณาจะเข้ามาเป็นสมาชิกองค์การนี้ และสวิสเซอร์แลนด์แม้เป็นประเทศที่วางตัวเป็นกลางมาตลอดกลับตัดสินใจที่จะช่วยเหลือทางอาวุธแก่ยูเครน ทุกประเทศเพิ่มงบประมาณทางทหารจาก 3% เป็น 6% ด้วยความกังวลกับการแพร่ขยายอำนาจของรัสเซีย แม้เยอรมนีเองเปลี่ยนนโยบายที่จะไม่สนับสนุนอาวุธให้แก่ชาติใด ก็ออกมาประกาศบริจาคอาวุธให้ยูเครนเพื่อต่อสู้กับรัสเซีย

วิกฤตการณ์ในยูเครนนี้ได้ถูกใช้เป็นโอกาสของผู้นำประเทศหลายคน คนแรกคือนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ที่ใช้เรื่องนี้เบี่ยงเบนความสนใจกรณีข่าวอื้อฉาวที่เขาจัดงานปาร์ตี้ในสวนหลังทำเนียบ จนถูกตำรวจเข้ามาสอบสวน และรัฐสภาอังกฤษประณามอย่างรุนแรงจนหลายฝ่ายเชื่อว่าเขาจะต้องลาออกจากตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้ คนที่สองคือประธานาธิบดีแอมานูแอล มาครง ของฝรั่งเศส ฉกฉวยวิกฤตินี้เป็นโอกาสหาเสียงให้ตนเองในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงนี้ โดยเขาบินไปเจรจากับประธานาธิบดีปูตินถึงมอสโก แต่นั่งห่างกันเป็นสิบเมตรตรงกันข้ามกันในห้องเจรจาสองต่อสอง เพราะมาครงเองกังวลไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่รัสเซียตรวจหาเชื้อไวรัสโดยใช้ ATK เนื่องจากเกรงว่าปูตินจะเก็บรหัสพันธุกรรมของเขาไปใช้ประโยชน์ด้วยความประสงค์ร้ายในอนาคต

อีกคนหนึ่งคือประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ เขาได้ฉกฉวยโอกาสนี้ในการปราศรัยครั้งสำคัญเพื่อแถลงนโยบายและความสำเร็จตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา และใช้โอกาสนี้ในการหาเสียงการเลือกตั้งกลางเทอมที่กำลังจะเกิดขึ้นปลายปีนี้ คะแนนความนิยมของเขาเริ่มกระเตื้องขึ้นพร้อมๆ กับการเพิ่มขึ้นของมูลค่าหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ในวอลล์สตรีต

แต่ผู้ที่ได้ชื่อเสียงมากที่สุดจากการบุกของกองทัพรัสเซียครั้งนี้คือนายโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี (Volodymyr Zelensky) ชายหนุ่มวัย 44 ปี ซึ่งมีอาชีพเป็นดาวตลก การเป็นนักแสดงทำให้เขามีทักษะในการสื่อสารกับประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ และกลายเป็นวีรบุรุษในใจของคนทั่วโลก คำพูดทุกคำของเขาได้รับการเลือกเฟ้นมาเป็นอย่างดี และการรู้จักใช้สื่อออนไลน์ติดต่อกับรัฐสภาสหรัฐฯ สภาของสหภาพยุโรป และรัฐสภาของอังกฤษ จนได้รับเสียงปรบมืออย่างกึกก้อง การปฏิเสธที่จะรับการช่วยเหลือของสหรัฐฯ ให้เขาลี้ภัยไปประเทศที่สามโดยการยืนยันว่าเขาจะร่วมต่อสู้เพื่อปกป้องมาตุภูมิ เรียกคะแนนสนับสนุนจากชาวยูเครนและชาวโลกได้มาก

แม้กระนั้นก็ตาม ข้อเรียกร้องสำคัญ 2 ประการที่เขาของต่อผู้นำสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป คือ การคว่ำบาตรการซื้อน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย และการปิดน่านฟ้าเหนือประเทศยูเครน เพื่อมิให้รัสเซียใช้เครื่องบินโจมตีประเทศของเขาได้รับการปฏิเสธ โดยเฉพาะประเด็นแรก ไม่มีสื่อตะวันตกสำนักใดทำเป็นข่าว ชาวโลกได้รับทราบข่าวว่ารัสเซียถูกคว่ำบาตรอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว แต่ความจริงทั้งสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปยังคงซื้อน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียตลอดเวลา ที่นายกรัฐมนตรีเยอรมันประการยุติการวางท่อก๊าซจากรัสเซียนั้นเป็นโครงการที่สอง โครงการที่หนึ่งนั้นยังคงอยู่ดี เพราะหากคว่ำบาตรรัสเซีย ไม่ซื้อน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเลย ประเทศที่จะเดือดร้อนคือสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปเอง และรัสเซียเป็นประเทศที่ส่งออกน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติเป็นอันดับสองของโลก

การคว่ำบาตรที่ดูเหมือนเกิดขึ้นอย่างดุเดือดในครั้งนี้ทำให้รัสเซียได้กำไรจำนวนมหาศาลจากการขายพลังงานให้ต่างชาติอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ส่วนกรณีการปิดน่านฟ้าเหนือยูเครนนั้น สหรัฐอเมริกาและผู้นำ NATO ประกาศชัดเจนว่า “ไม่ทำ” เพราะจะทำให้เกิดการประจันหน้ากับรัสเซีย ถึงขนาดเกิดสงครามโลกได้

ความเป็นจริงคือยูเครนถูกโดดเดี่ยว ความช่วยเหลือที่ชาวยูเครนได้รับคือการช่วยเหลือทางมนุษยธรรมในลักษณะของอาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค และที่พักพิงสำหรับผู้ลี้ภัย ซึ่งส่วนใหญ่เข้าไปในประเทศโปแลนด์ โดยรัฐบาลในสหภาพยุโรปผ่อนปรน ไม่จำเป็นต้องมีเอกสารการเดินทางตลอดระยะเวลา 3 ปี และยังมีสิทธิที่จะได้รับการรักษาพยาบาล การดูแลจากรัฐบาลเป็นอย่างดี

ทั้งๆ ที่เมื่อปลายปีที่ผ่านมาผู้ลี้ภัยสงครามจากตะวันออกกลางนับพันคนไม่อาจลี้ภัยเข้าไปในโปแลนด์ได้ รัฐบาลโปแลนด์กีดกันผู้ลี้ภัยชาวอาหรับเหล่านี้ หลายคนต้องหนาวตายอยู่บริเวณป่าชายแดนโปแลนด์นั่นเอง แต่ในกรณีของชาวยูเครนที่อพยพนับล้าน โปแลนด์เปิดพรมแดนให้เข้ามาอยู่อาศัยพักพิงได้เลย แม้ชาวโปแลนด์จำนวนมากเปิดบ้านให้ผู้ลี้ภัยเข้าพักพิงในบ้านได้ แต่การเลือกปฏิบัติยังคงเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมของยุโรปมาถึงปัจจุบัน

แม้ว่ารัสเซียเป็นฝ่ายบุกเข้าไปรุกรานประเทศยูเครน แต่ยูเครนมีพื้นที่โฆษณามากกว่ารัสเซีย ปูตินเองยังคงยึดติดกับการโฆษณาชวนเชื่อแบบในยุคสงครามเย็นใช้สำนักข่าว Tass และ Sputnik ออกข่าว ส่วนสื่อโซเชียลทั้งหลายถูกห้ามไปโดยปริยาย เพราะรัฐบาลดูม่าออกกฎหมาย Fake News ผู้ใดที่แชร์หรือเผยแพร่ข่าวสารอันเป็นเท็จ หรือเป็นภัยต่อความมั่นคงมีโทษจำคุกถึง 15 ปี ประชาชนมีความรู้สึกว่าเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นถูกรัฐบาลกำจัดให้หมดไปแล้วอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่สำนักข่าวต่างประเทศ เช่น BBC, CNN และ DW ปิดตัวเองจากมอสโกไปแล้วเพราะการคว่ำบาตร ส่วนทางยูเครนมีการโฆษณาชวนเชื่อที่มีประสิทธิภาพ สามารถเรียกร้องความสงสารจากประชาชนทั่วโลก โดยการออกอากาศผ่านสื่อออนไลน์แบบต่างๆ ในขณะที่ชาวรัสเซียนับหมื่นคนเดินขบวนประท้วงสงครามในยูเครนอย่างต่อเนื่อง ทางการได้ใช้กำลังตำรวจควบคุมฝูงชนเข้าจับกุมได้หลายพันคนในแต่ละวัน

ส่วนนายอเล็กเซ นาวาลนี ผู้นำฝ่ายค้านซึ่งถูกจำคุกอยู่ ก็ได้ส่งข่าวให้ประชาชนออกมาประท้วงกันทุกวัน สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของรัสเซียก็ตกต่ำอย่างมากเงินรูเบิล ราคาตกมูลค่าเหลือต่ำกว่าหนึ่งเซนเสียอีก เศรษฐกิจของรัสเซียกำลังดิ่งเหว เหมือนผีซ้ำด้านพลอยเมื่อบัตรเครดิตยี่ห้อดังของสหรัฐฯ VISA และ MASTERCARD ไม่อาจใช้งานได้ในรัสเซียอีกต่อไป ชาวรัสเซียนับพันยืนต่อคิวกดเบิกเงินสดจาก ATM ของธนาคารต่างๆ คนที่มีฐานะดีเข้าไปซื้อนาฬิกาข้อมือและเครื่องประดับยี่ห้อดังๆ ทั้งหลายจนหมดห้าง เพราะธนบัตรไม่อาจเป็นสรณะใดๆ ได้อีกต่อไป ชาวรัสเซียจึงเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า

แถมยังมีข่าวลือแพร่สะพัดไปขณะนี้ว่ารัฐบาลกำลังออกหมายเรียกทหารกองหนุนให้เข้าประจำการเพื่อส่งไปออกรบ และรัฐบาลรัสเซียกำลังจะประกาศกฎอัยการศึก ให้อำนาจในการปกครองทั้งหมดอยู่ในกำมือของกองทัพรัสเซีย ซึ่งรัฐบาลรัสเซียต่อมาได้ออกมาแถลงข่าวปฏิเสธข่าวลือนี้ แต่ชาวรัสเซียจำนวนมากจึงอพยพออกจากประเทศของตนเข้าไปในประเทศฟินแลนด์ทางรถไฟเป็นจำนวนมาก วิกฤติการณ์เหล่านี้กำลังเกิดขึ้นในรัสเซีย แม้ว่าจะเป็นประเทศที่ยกกองทัพเข้าไปรุกรานประเทศเพื่อนบ้าน แต่ประชากรของประเทศตนเองกำลังรับกรรม