ThaiPublica > สู่อาเซียน > ASEAN Roundup สิงคโปร์ปรับฐานเงินเดือนแรงงานต่างชาติ

ASEAN Roundup สิงคโปร์ปรับฐานเงินเดือนแรงงานต่างชาติ

27 กุมภาพันธ์ 2022


ASEAN Roundup ประจำวันที่ 20-26 กุมภาพันธ์ 2565

  • สิงคโปร์ปรับฐานเงินเดือนแรงงานต่างชาติ
  • นักธุรกิจอินโดนีเซียซื้อห้างเก่าแก่ในสิงคโปร์
  • สหราชอาณาจักร-สิงคโปร์ลงนามข้อตกลงการค้าดิจิทัล
  • ธุรกิจเวียดนาม-สิงคโปร์ร่วมพัฒนาโครงการ 2.5 พันล้าน
  • เวียดนามประเมินการลงทุนต่างประเทศรายปี
  • อียูคว่ำบาตรบริษัทน้ำมันและก๊าซเมียนมา
  • สิงคโปร์ปรับฐานเงินเดือนแรงงานต่างชาติ

    ที่มาภาพ: https://www.straitstimes.com/singapore/budget-2022-increased-salary-thresholds-for-new-ep-s-pass-applicants-not-a-shock-to-companies-but-hiring-challenges-remain
    การชี้แจงงบประมาณประจำปี 2565 เมื่อวันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมาต่อรัฐสภาของนายลอว์เรนซ์ วอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นอกจากการปรับปรุงระบบภาษีที่สำคัญแล้วยังมีการ ปรับนโยบายด้านใบอนุญาตทำงานในสิงคโปร์ด้วย

    โดย Employment Pass (EP)ใบอนุญาตทำงานประเภท EP สำหรับคนตํางชาติระดับวิชาชีพ(Professional) และระดับบริหาร (Executive) จะปรับฐานเงินเดือน(Minimum qualifying salary)เป็น 5,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ จาก 4,500 ดอลลาร์สิงคโปร์ ในปัจจุบัน แต่ในภาคบริการทางการเงินนั้นฐานเงินเดือนจะปรับขึ้นเป็น 5,500 ดอลลาร์สิงคโปร์ จาก 5,000 ดอลลาร์สิงคโปร์

    ฐานเงินเดือนที่ปรับขึ้นนี้จะมีผลในเดือนกันยายน 2565 และเดือนกันยายน 2566 สำหรับผู้ที่ต่ออายุใบอนุญาต

    สำหรับใบอนุญาตทำงานประเภท S Pass สำหรับคนตํางชาติที่มีฝีมือแรงงาน ในระดับกลางเช่น ชํางเทคนิคตํางๆ ฐานเงินเดือนจะปรับขึ้นเป็น 3,000 ดอลลาร์สิงคโปร์จาก 2,500 ดอลลาร์สิงคโปร์ แต่ผู้ถือใบอนุญาต S Pass ที่อยู่ในภาคบริการทางการเงินฐานเงินเดือนจะปรับขึ้นเป็น 3,500 ดอลลาร์สิงคโปร์

    เช่นเดียวกับใบอนุญาตแบบ EP ฐานเงินเดือนที่ปรับขึ้นนี้จะมีผลในเดือนกันยายน 2565 และเดือนกันยายน 2566 สำหรับผู้ที่ต่ออายุใบอนุญาต

    นอกจากนี้ยังปรับเพิ่มอัตราภาษีชั้นที่ 1(tier 1) โดยอัตราภาษีสำหรับผู้ถือบัตร S Pass จะเป็นอัตราก้าวหน้าจากปัจจุบัน 330 ดอลลาร์สิงคโปร์ เป็น 650 ดอลลาร์สิงคโปร์ ภายในปี 2568

    ธุรกิจในสิงคโปร์จะจ้างผู้ถือ S Pass ได้จำกัดจำนวนเพราะถูกกำหนดตามโควต้า และต้องจ่ายภาษีรายเดือนสำหรับการจ่ายผู้ถือ S Pass แต่ละราย โดยภาระภาษีเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ออก S Pass และสิ้นสุดเมื่อใบอนุญาตหมดอายุหรือถูกยกเลิก

    บริษัทในสิงคโปร์สามารถจ้างผู้ถือ S Pass ได้ 10% ของจำนวนพนักงานทั้งหมดของบริษัท หากอยู่ในภาคบริการ ขณะที่ภาคการก่อสร้าง การผลิต อู่ต่อเรือ และการผลิตแปรรูปจ้างได้ 18% ของคนงานทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 โควตา S Pass สำหรับการก่อสร้าง การผลิต อู่ต่อเรือ และการผลิตแปรรูปจะลดลงเหลือ 15% ของจำนวนพนักงานทั้งหมดของบริษัท

    นักธุรกิจอินโดนีเซียซื้อห้างเก่าแก่ในสิงคโปร์

    ที่มาภาพ: https://www.commercialguru.com.sg/listing/23298588/for-rent-tanglin-shopping-centre

    Pacific Eagle Real Estate บริษัทของนักธุรกิจอินโดนีเซีย Sukanto Tanoto ได้ตกลงซื้อห้างสรรพสินค้า Tanglin Shopping Center ในแหล่งช้อปปิ้งบนถนนออร์ชาร์ด ของสิงคโปร์ด้วยราคา 868 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (645 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) เพื่อขยายการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในศูนย์กลางการเงินของเอเชีย

    Sun You Ning กรรมการ Pacific Eagle ในสิงคโปร์กล่าวว่า “ศูนย์การค้า Tanglin เป็นหนึ่งร้านค้าปลีกสำคัญที่เก่าแก่ที่สุดของสิงคโปร์ และตั้งอยู่บนทำเลที่โดดเด่นติดกับโรงแรม St. Regis ในบริเวณถนนออร์ชาร์ด” “

    ศูนย์การค้า Tanglin สูง 12 ชั้นสร้างขึ้นในปี 2513 บนพื้นที่ 68,512 ตารางฟุต ริมถนน Tanglin และถนน Cuscaden ใกล้สถานพยาบาลที่มีชื่อเสียง เช่น Camden Medical Center และ Gleneagles Hospital รวมถึงคลับส่วนตัวสุดพิเศษ เช่น Tanglin Club และ American Club

    ซาวิลส์ สิงคโปร์ซึ่งเป็นนายหน้าของดีลนี้กล่าวว่า อาคารสามารถพัฒนาใหม่ไปสู่การพัฒนาเชิงพาณิชย์ ที่มีความสูงสูงสุด 20 ชั้นและแบ่งพื้นที่ได้เพิ่มขึ้น 4.2 เท่า

    เจเรมี เลค กรรมการผู้จัดการฝ่ายขายเพื่อการลงทุนและตลาดทุนของซาวิลส์ สิงคโปร์ กล่าวว่า “การเสนอขายศูนย์การค้า Tanglin ได้รับความสนใจแข่งกันอย่างมาก” “จุดสนใจหลักของพื้นที่นี้ คือเป็นพื้นที่พาณิชย์ที่มีกรรมสิทธิ ซึ่งช่วยให้ทางเลือกที่จะพัฒนาหลากหลาย มีความยืดหยุ่น”

    City Developments ของ Kwek Leng Beng มหาเศรษฐีสิงคโปร์ ซึ่งถือครองพื้นที่มีกรรมสิทธิในอาคารประมาณ 34.6% ผ่าน King’s Tanglin Shopping ซึ่งเป็นบริษัย่อยที่ถือหุ้นทางอ้อมนั้น เป็นกลุ่มหนึ่งที่ขายหุ้นในห้างสรรพสินค้า การขายกิจการครั้งนี้ “สอดคล้องกับแนวคิดที่จะนำเงินไปลงทุนเพื่อขยายพอร์ตสินทรัพย์ของเราและเพิ่มมูลค่าให้ผู้ถือหุ้น” Sherman Kwek ซีอีโอของ City Developments กล่าวในแถลงการณ์

    สหราชอาณาจักร-สิงคโปร์ลงนามข้อตกลงการค้าดิจิทัล

    ที่มาภาพ: https://www.gov.uk/government/news/uk-and-singapore-sign-new-innovative-digital-trade-deal
    รัฐมนตรีต่างประเทศ Anne-Marie Trevelyan แห่งสหราชอาณาจักรได้ลงนามในข้อตกลง UK-Singapore Digital Economy Agreement (DEA) กับรัฐมนตรีกระทรวงความสัมพันธ์ทางการค้าของสิงคโปร์ S Iswaran เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์

    DEA เป็นข้อตกลงทางการค้าด้านนวัตกรรมใหม่สุด และเป็นข้อตกลงแรกที่จัดทำโดยประเทศในยุโรป ที่จะกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าของสหราชอาณาจักรกับสิงคโปร์ที่มีมูลค่า 16 พันล้านปอนด์ในปี 2563 และยกเลิกกฎที่ไม่ทันสมัยที่ส่งผลกระทบต่อทั้งผู้ส่งออกสินค้าและบริการ ทำให้ธุรกิจในสหราชอาณาจักรมีโอกาสใหม่ ๆ ทั้งในสิงคโปร์และภูมิภาคในวงกว้างได้ง่ายขึ้น

    ข้อตกลงดังกล่าวเชื่อมโยงฮับไฮเทคและบริการที่มีพลวัตมากที่สุดในโลก 2 แห่ง และจะใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของสหราชอาณาจักรในฐานะผู้ส่งออกบริการรายใหญ่อันดับสองของโลก หนึ่งในสามของการส่งออกของสหราชอาณาจักรไปสิงคโปร์ได้จัดส่งแบบดิจิทัลแล้ว ซึ่งรวมถึงด้านการเงิน การโฆษณา และวิศวกรรม และข้อตกลงนี้จะสร้างโอกาสใหม่ในการขยายบริการที่ทันสมัยและช่วยยกระดับประเทศ

    ภาคดิจิทัลเพียงอย่างเดียวจะเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจได้ถึง 151 พันล้านปอนด์และยกระดับค่าแรง โดยคนงานมีรายได้ประมาณ 50% มากกว่าค่าเฉลี่ยของสหราชอาณาจักร บริษัทผู้ให้บริการในสหราชอาณาจักรที่ดำเนินงานในสิงคโปร์อยู่แล้วพร้อมที่จะใช้ประโยชน์จากข้อตกลงนี้ ซึ่งรวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการเงิน บริษัทโทรคมนาคม หรือบริษัทซอฟต์แวร์

    ข้อตกลงดังกล่าวจะลดการทุจริตของผู้ส่งออกสินค้า เพิ่มความคล่องตัวให้กับกระบวนการข้ามแดนที่ยุ่งยาก และเข้ามาแทนที่งานเอกสารที่ใช้เวลานานและมีต้นทุนสูงด้วยลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์และสัญญาอิเล็กทรอนิกส์

    นอกจากนี้จะมีผลดีให้กระแสข้อมูลข้ามพรมแดนไหลเวียนได้อย่างเสรีและเชื่อถือได้ การไหลเวียนของข้อมูลมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกสมัยใหม่ ทำให้ทุกอย่างตั้งแต่การผลิตและห่วงโซ่อุปทานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไปจนถึงการบำรุงรักษาเครื่องยนต์ไอพ่นอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งข้อมูล เงิน และทรัพย์สินทางปัญญามีความปลอดภัย ตลอดจนเสริมสร้างความสัมพันธ์ของสหราชอาณาจักรและสิงคโปร์ในด้านบริการทางการเงิน โดยการที่ข้อมูลสามารถไหลเวียนได้อย่างเสรีจะเพิ่มความร่วมมือสำหรับบริการทางการเงินที่เป็นนวัตกรรมใหม่ การบริการทางการเงินระหว่างสหราชอาณาจักรและสิงคโปร์มีมูลค่า 1.7 พันล้านปอนด์ในปี 2563 และจะช่วยเสริมสร้างระบบป้องกันความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

    สิงคโปร์เป็นประตูสู่ภูมิภาคอินโดแปซิฟิกอื่น และ DEA จะมีส่วนสนับสนุนการยื่นเข้าเป็นสมาชิกความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก(CPTPP) เขตการค้าเสรีมูลค่า 8.4 ล้านล้านปอนด์พร้อมโอกาสมากมายสำหรับธุรกิจในสหราชอาณาจักร

    นอกจากการลงนามในข้อตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลแล้ว สหราชอาณาจักรและสิงคโปร์ยังตกลงที่จะฟื้นฟู FinTech Bridge ที่มีอยู่เดิม เพื่อสนับสนุนบริการทางการเงินที่เป็นนวัตกรรมใหม่และเสริมสร้างความร่วมมือในด้านเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งจะมีส่วนช่วยบริษัทและนักลงทุนในสหราชอาณาจักรและสิงคโปร์ ขยายไปสู่ตลาดของกันและกัน ทำให้ทั้งสองประเทศสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสในภาค FinTech ขั้นสูง

    นอกจากนี้ยังได้จัดการประชุมครั้งแรกของคณะกรรมการการค้าสำหรับข้อตกลงการค้าเสรีสหราชอาณาจักร-สิงคโปร์ ซึ่งตกลงที่จะกระชับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจสีเขียวให้มากขึ้น รวมทั้งทำงานร่วมกันเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ Net Zero ในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก และเสริมสร้างความเข้มแข็ง ความสัมพันธ์การลงทุนทวิภาคีที่สำคัญระหว่างสองประเทศ โดยจะเริ่มหารือในปีนี้เพื่อปรับเงื่อนไขในการคุ้มครองการลงทุนให้ดีขึ้น และจะเจรจาอย่างเป็นทางการที่ในปีหน้า

    ธุรกิจเวียดนาม-สิงคโปร์ร่วมพัฒนาโครงการ 2.5 พันล้าน

    ที่มาภาพ: https://en.vietnamplus.vn/vietnam-singapore-firms-partner-up-to-develop-25blnusd-project-in-bac-giang/222682.vnp

    Saigon Telecom Technology Joint Stock Company (SAIGONTEL) ของเวียดนามและ Aurous Capital Pte. Ltd ของสิงคโปร์ได้ลงนามใน บันทึกความเข้าใจ (MoU) ว่า ด้วยความร่วมมือด้านการลงทุนในโครงการมูลค่า 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมและชุมชนเมืองในจังหวัดบั๊กซางทางตอนเหนือ

    โครงการนี้เป็นโครงการที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาโครงการต่างๆ ที่มีมูลค่ารวม 11 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งลงนามในการเจรจาธุรกิจเวียดนาม-สิงคโปร์ ภายใต้การเยือนสิงคโปร์ของประธานาธิบดีเหงียน ซวนฟุกระหว่างวันที่ 24-26 กุมภาพันธ์

    ภายใต้บันทึกความเข้าใจ ทั้งสองฝ่ายจะดำเนินการวิจัยและสำรวจเพื่อสร้างโครงการลงทุนและขอรับใบอนุญาตในการพัฒนาคอมเพล็กซ์ ซึ่งประกอบด้วยนิคมอุตสาหกรรม 500 เฮกตาร์ และที่อยู่อาศัย 200 เฮกตาร์ เพื่อดึงดูดโครงการเทคโนโลยีขั้นสูง อุตสาหกรรมสะอาด อุตสาหกรรมที่ใช้ความรู้เข้มข้นและอุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่มที่สูงขึ้น อุตสาหกรรมโลจิสติกส์และอุตสาหกรรมสนับสนุน โดยคาดว่าจะเริ่มโครงการได้ในปี 2565

    ในช่วงที่ผ่านมาจังหวัดบั๊กซางได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนต่างชาติโดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีชั้นสูง ในช่วงสองเดือนแรกของปี 2565 บั๊กซางดึงดูดการลงทุน 303.3 ล้านเดอลลาร์สหรัฐ

    เวียดนามประเมินการลงทุนต่างประเทศรายปี

    ที่มาภาพ: https://en.nhandan.vn/business/item/10983302-vietnam-attracts-31-billion-usd-in-foreign-direct-investment-for-2021.html

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการวางแผนและการลงทุนได้ออกหนังสือเวียนเกี่ยวกับ แนวทางการกำกับดูแลและประเมินกิจกรรมการลงทุนของต่างประเทศในเวียดนาม

    หนังสือเวียนเลขที่ 02/2022/TT-BKHDT มีผลบังคับใช้กับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการลงทุนต่างประเทศ ได้แก่ กระทรวง กระทรวง คณะกรรมการประชาชนระดับจังหวัด หน่วยงานจดทะเบียนการลงทุน หน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้บริหารจัดการการลงทุนตาม กฎหมายว่าด้วยการลงทุน องค์กรเศรษฐกิจที่ต่างชาติลงทุน และโครงการที่ดำเนินการในเวียดนาม

    หนังสือเวียนกำหนดหลักการสำหรับการจัดการการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งหนึ่งในนั้นไม่ขัดขวางหรือมีผลกระทบต่อการดำเนินงานปกติขององค์กรและโครงการที่ลงทุนโดยต่างชาติในกระบวนการกำกับดูแลและประเมินผล

    กระทรวงการวางแผนและการลงทุน (MoPI) มีอำนาจกำกับดูแลและประเมินการบังคับใช้การบริหารของรัฐสำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ ดำเนินการควบคุมดูแลโดยรวมและประเมินโครงการที่ต่างประเทศลงทุน และตรวจสอบโครงการลงทุนของต่างประเทศที่ได้รับอนุมัติจากนายกรัฐมนตรีและรัฐสภา โครงการขนาดใหญ่ที่มีผลอย่างมากต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม และโครงการอื่น ๆ ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรี

    ฝ่ายบริหารมีหน้าที่ส่งรายงานการกำกับดูแลและประเมินผลไปยัง MoPI ทุกปีก่อนวันที่ 1 มีนาคมของปีถัดจากปีที่รายงาน ขณะเดียวกัน คณะกรรมการประชาชนของจังหวัดและเมืองที่บริหารโดยศูนย์กลาง ต้องควบคุมดูแลและประเมินผลกิจกรรมการลงทุนจากต่างประเทศภายใต้การดูแลในภาพรวม

    คำสั่งนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนนี้

    อียูคว่ำบาตรบริษัทน้ำมันและก๊าซเมียนมา

    ที่มาภาพ: https://www.mizzima.com/article/eu-imposes-sanctions-myanma-oil-and-gas-enterprise-moge

    เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ สหภาพยุโรป (EU) เป็นประเทศแรกที่ใช้มาตรการคว่ำบาตรกับ กิจการน้ำมันและก๊าซแห่งเมียนมา (Myanma Oil and Gas Enterprise:MOGE)

    MOGE เป็นแหล่งรายได้แหล่งเดียวที่ใหญ่ที่สุดของรัฐบาลทหาร

    สหภาพยุโรปยังได้ใช้มาตรการคว่ำบาตรกับบริษัทเหมืองแร่อันดับ 1 ของรัฐ และกลุ่มบริษัทในเครือ International Group of Entrepreneurs (IGE) และกลุ่มธุรกิจทู้ (Htoo Group of Companies) นอกจากนี้ยังคว่ำบาตรบุคคล 22 คน รวมถึงเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งจากสภาบริหารแห่งรัฐ และสมาชิก 14 คนของคณะกรรมการการเลือกตั้งสหภาพที่ได้รับการแต่งตั้งโดยกองทัพ ซึ่งในช่วงฤดูร้อนปี 2564 ได้ช่วยกองทัพกล่าวหาว่ามีการฉ้อโกงการเลือกตั้ง จึงทำให้การเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน 2563 เป็นโมฆะ แม้จะไม่มีหลักฐานก็ตาม

    ตามรายงานของ Global Witness องค์กรด้านสิทธิ มาตรการคว่ำบาตรเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง และแสดงให้เห็นว่าสหภาพยุโรปยินดีที่จะเริ่มพิจารณาผู้ที่ช่วยการดำเนินการของกองทัพ อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจของสหภาพยุโรปที่จะเพิ่ม MOGE เข้าไปในรายชื่อที่คว่ำบาตร เป็นก้าวสำคัญที่สุด ขณะที่สมาชิกของประชาคมระหว่างประเทศยังไม่ได้ดำเนินการเพื่อลงโทษรัฐบาลเผด็จการทหารที่โหดร้ายของเมียนมา ที่พยายามจะควบคุมประเทศอย่างต่อเนื่อง

    การขุดเจาะก๊าซนอกชายฝั่งของเมียนมา สร้างรายได้แก่รัฐบาลกว่าพันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งขณะนี้ถูกยึดคืนโดยรัฐบาลเผด็จการทหารที่สังหารพลเรือนไปแล้วกว่า 1,500 คนนับตั้งแต่การทำรัฐประหาร นักเคลื่อนไหวได้เรียกร้องมานานหลายเดือนให้ประชาคมระหว่างประเทศตัดการเข้าถึงรายได้ของกองทัพโดยการคว่ำบาตร MOGE และดูเหมือนว่าสหภาพยุโรปจะรับฟังคำเรียกร้องเในที่สุด

    “การเพิ่ม MOGE ในรายชื่อที่คว่ำบาตรของสหภาพยุโรปเป็นก้าวสำคัญอย่างยิ่ง ที่มีเป้าหมายไปยังแหล่งรายได้ที่ช่วยสนับสนุนกองทัพ” Hanna Hindstrom นักรณรงค์อาวุโสของเมียนมาทจาก Global Witness กล่าว “ในขณะที่สหภาพยุโรปและประเทศอื่น ๆ ได้คว่ำบาตรหน่วยงานอื่น ๆ หลายสิบแห่ง แต่ยกเว้น MOGE จึงทำให้การคว่ำบาตรไม่มีประสิทธิภาพ การประกาศในวันนี้แสดงให้เห็นว่าในที่สุดสหภาพยุโรปก็จริงจังกับการจัดการกับแหล่งเงินของรัฐบาลทหาร”

    ยาดานาร์ หม่อง โฆษกของ Justice for Myanmar องค์กรสิทธิมนุษยชนแห่งเมียนมา กล่าวว่า “เรายินดีที่สหภาพยุโรปคว่ำบาตรรอบใหม่นี้ การคว่ำบาตร MOGE เป็นชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์สำหรับการเคลื่อนไหวระดับรากหญ้าทั่วทั้งเมียนมาและทั่วโลก หลังจากกว่าหนึ่งปีของการรณรงค์เพื่อตัดรายได้จากน้ำมันและก๊าซที่ไหลเข้าสู่รัฐบาลเผด็จการทหาร