ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯ สั่งหน่วยงานรัฐกันงบ 30% จัดซื้อ-จ้าง SMEs-มติ ครม.เยียวยา “แท็กซี่-วินฯ” อายุเกิน 65 ปี รับ 10,000 บาท

นายกฯ สั่งหน่วยงานรัฐกันงบ 30% จัดซื้อ-จ้าง SMEs-มติ ครม.เยียวยา “แท็กซี่-วินฯ” อายุเกิน 65 ปี รับ 10,000 บาท

12 ตุลาคม 2021


พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th/

นายกฯ สั่งหน่วยงานรัฐกันงบฯ 30% จัดซื้อ-จัดจ้าง SMEs-ปัดข่าว พปชร. เสนอชื่อคนอื่นเป็นนายกฯ โยนสื่อเขียนกันเอง – มติ ครม. เยียวยา “แท็กซี่-วินมอเตอร์ไซค์” อายุเกิน 65 ปี รับสูงสุด 10,000 บาท – เอ็กซิมแบงก์จัด 5,000 ล้าน ลุยปล่อยกู้อุตสาหกรรมเป้าหมาย

เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2564 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ณ ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ ดร.ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รายงานข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีและตอบคำถามสื่อมวลชนแทน

สั่งหน่วยงานรัฐกั้นงบฯ 30% จัดซื้อ-จัดจ้าง SMEs

ดร.ธนกรกล่าวถึงข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี นายกรัฐมนตรีจะเร่งช่วยเหลือ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยจะเพิ่มขีดความสามารถของเอสเอ็มอีทั้งหมด 3.1 ล้านราย ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้หน่วยงานราชการช่วยเหลือเอสเอ็มอีให้ได้เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างร้อยละ 30% ของงบประมาณ และมอบหมายให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ผลักดันการวิจัยและพัฒนา สร้างผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย

เลื่อนวันประชุม ครม. เป็น 25 ต.ค. นี้

นายกรัฐมนตรีได้แจ้งการเลื่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์สุดท้ายปลายเดือนตุลาคม 2564 เป็นวันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม 2564 แทนวันอังคารที่ 26 ตุลาคม 2564 เนื่องจากมีการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 38 และ 39 ในระหว่างวันที่ 26-28 ตุลาคม 2564 ผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์

ยันไม่มียุบสภาฯ ลุยแก้โควิดฯ -น้ำท่วม-ลงทุนใน EEC

ดร.ธนกรกล่าวต่อว่า นายกรัฐมนตรีไม่มีแนวคิดยุบสภาในวันนี้ รัฐบาลเดินหน้าทำงาน เพื่อแก้ปัญหาโควิด-19 และน้ำท่วม และขอให้ติดตามผลงานของรัฐบาล ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน-การลงทุนในพื้นที่ EEC ซึ่งจะส่งผลอย่างชัดเจนภายใน 5 ปี

เตือน ปชช.-ผู้ประกอบการ การ์ดอย่าตก

จากนั้น ดร.ธนกรตอบคำถามสื่อมวลชนแทนนายกรัฐมนตรีถึงเรื่องการเปิดประเทศ มีแนวทางอย่างไร นายกรัฐมนตรี ตอบว่า “ยังพอมีเวลาในการดำเนินการ แต่ช่วงนี้ขอให้ประชาชน ภาคธุรกิจ และผู้ประกอบการ การ์ดอย่าตก อย่าฝ่าฝืนมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของทางการ ซึ่งอาจทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดกลับมารุนแรงอีกครั้ง”

ชี้ปลด 3 เจ้าคณะจังหวัดเป็นไปตามมติ มส.

ส่วนคำถามกรณีการถอดถอน 3 เจ้าคณะจังหวัด โดยเฉพาะกรณีพระมหาสมปอง ซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง รัฐบาลมีแนวทางแก้ปัญหานี้อย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดวิกฤตศรัทธาในพุทธศาสนา นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า “เป็นเรื่องที่ดำเนินการตามมติมหาเถรสมาคม ที่ได้มอบหมายให้สำนักงานพระพุทธศาสนาดำเนินการ”

ปัดข่าว พปชร. เสนอชื่อคนอื่นเป็นนายกฯ โยนสื่อเขียนกันเอง

ถามว่า พล.อ. ประยุทธ์ พร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยหรือไม่ และมีความเห็นอย่างไร กรณีที่พรรคพลังประชารัฐเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีคนอื่นในนามพรรคพลังประชารัฐ นายกรัฐมนตรีตอบว่า “ผมไม่เห็นได้ยินกระแสข่าวที่ว่า ส่วนใหญ่สื่อกล่าวไปเองในเชิงวิเคราะห์ ขณะนี้ไม่มีแนวโน้มยุบสภาหรือเลือกตั้งทั้งนั้น มีแต่การเลือกตั้ง อบต. ขอให้หยุดเสนอข่าวให้เกิดความสับสนได้แล้ว”

เร่งเคลียร์หนี้ BTS คาดได้ข้อยุติเร็วๆนี้

นอกจากนี้ ยังถามถึงความคืบหน้าในการเจรจาชำระหนี้ให้กับบริษัทบีทีเอส พร้อมดอกเบี้ย 37,000 ล้านบาท นายกรัฐมนตรีตอบว่า “อยู่ในขั้นตอนการดำเนินงานตามกฎหมาย คาดว่าจะมีความชัดเจนในเร็วๆ นี้ เพราะมีหลายประเด็นที่เกี่ยวข้อง”

เตรียมจัดงบฯ เยียวยาน้ำท่วม 30 จว.

ดร.ธนกรตอบคำถามเรื่องมาตรการเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วมกว่า 30 จังหวัด โดยเฉพาะเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ว่านายกรัฐมนตรีชี้แจงว่ามีการเยียวยาตามระเบียบอยู่แล้ว ต้องเร่งสำรวจข้อเท็จจริงความเสียหาย เตรียมงบประมาณให้เพียงพอ และจ่ายให้โดยเร็ว

มติ ครม. มีดังนี้

ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, ดร.ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกฯ และ น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกฯ (ซ้าย-ขวา)
ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th/

เยียวยา “แท็กซี่-วินมอเตอร์ไซค์” อายุเกิน 65 ปี รับสูงสุด 10,000 บาท

ดร.ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบโครงการช่วยเหลือกลุ่มอาชีพผู้ขับรถยนต์รับจ้าง (รถแท็กซี่) และรถจักรยานยนต์สาธารณะที่มีอายุเกิน 65 ปี ที่อยู่ในกลุ่มแรงงานนอกระบบ และไม่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด แบ่งเป็น ผู้ขับรถยนต์รับจ้าง (รถแท็กซี่) 12,918 คน และผู้ขับรถจักรยานยนต์สาธารณะ 3,776 คน รวม 16,694 คน โดยจะสนับสนุนเงินช่วยเหลือค่าครองชีพ คนละ 5,000 บาทต่อเดือน ภายใต้กรอบวงเงิน 166.94 ล้านบาท ทั้งนี้ สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 13 จังหวัด สนับสนุนเงินช่วยเหลือค่าครองชีพเป็นระยะเวลา 2 เดือน ส่วนพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 16 จังหวัดเพิ่มเติม สนับสนุนเงินช่วยเหลือค่าครองชีพระยะเวลา 1 เดือน

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงวิธีการลงทะเบียนร่วมโครงการฯ ว่า กรมการขนส่งทางบกจะเปิดให้มีการลงทะเบียนตามหลักเกณฑ์ของโครงการฯ และดำเนินการตรวจสอบข้อมูลผู้ประกอบอาชีพขับรถยนต์รับจ้าง (รถแท็กซี่) และรถจักรยานยนต์สาธารณะ ที่มีอายุเกิน 65 ปี จากฐานข้อมูลใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ (รถแท็กซี่) และใบอนุญาตขับ รถจักรยานยนต์สาธารณะ สำหรับกลุ่มผู้ขับรถแท็กซี่เช่าที่ไม่สามารถตรวจสอบพื้นที่ให้บริการได้จะต้องทำการตรวจสอบยืนยันตัวตนก่อน เช่น ให้นิติบุคคลรถเช่า/สหกรณ์แท็กซี่เป็นผู้รับรอง เป็นต้น ซึ่งกรมการขนส่งทางบกจะจ่ายเงินด้วยวิธีการโอนผ่านบัญชีพร้อมเพย์ (Promptpay) เฉพาะการผูกบัญชีกับเลขบัตรประจำตัวประชาชน หรือตามวิธีการอื่นที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด คาดว่าจะจ่ายเงินรอบแรกระหว่างวันที่ 8 – 12 พฤศจิกายน และจ่ายเงินรอบที่ 2 ระหว่างวันที่ 22 – 26 พฤศจิกายน

“โครงการฯ ดังกล่าวจะช่วยรักษาคุณภาพชีวิตของกลุ่มผู้ประกอบอาชีพขับรถยนต์รับจ้างและรถจักรยานยนต์สาธารณะ ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พร้อมทั้งเป็นการช่วยกระตุ้นระบบเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ เนื่องจากระบบการขนส่งสาธารณะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนให้เกิดกิจกรรมต่างๆ เพื่อเป็นการรักษาไว้ซึ่งระบบนิเวศน์ธุรกิจด้านการขนส่งด้วยรถสาธารณะ ที่จะส่งผลให้ประชาชนยังคงได้ใช้บริการรถสาธารณะที่มีคุณภาพ มีความครอบคลุมในพื้นที่อย่างปลอดภัยต่อไป” ดร.ธนกร กล่าว

ไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดประชุม APEC ปี’65

ดร. ธนกร กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการระดับชาติ เพื่อเตรียมการจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคฯ หรือ Asia Pacific Economic Cooperation ซึ่งเป็นกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างเขตเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ปัจจุบันมี สมาชิก 21 เขตเศรษฐกิจ โดยไทยกำลังจะรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพการประชุม APEC ในปี 2565 โดยเป็นการรับช่วงจากประเทศนิวซีแลนด์ ตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายนนี้

คณะกรรมการฯ ได้รายงานความคืบหน้า ในการพัฒนาผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและข้อริเริ่ม/โครงการ ภายใต้แต่ละประเด็นสำคัญ ได้แก่

    1.การส่งเสริมการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนและครอบคลุม ภายใต้ แนวทาง BCG Economy
    2.การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุน
    3.การฟื้นฟูความเชื่อมโยงโดยเฉพาะการเดินทางและการท่องเที่ยว อย่างปลอดภัยและไร้รอยต่อเพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของโควิด-19

“การเป็นเจ้าภาพการประชุม APEC ในปี 2565 ไทยพร้อมจะผลักดันวาระต่างๆ ของรัฐบาล โดยเฉพาะ BCG Economy ในระดับกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ นอกจากนี้ การฟื้นตัวหลังสถานการณ์โควิด -19 จะเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้นำโลกจะใช้โอกาสนี้ในการประชุมหารือ ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีที่ไทยจะได้แสดงศักยภาพและเป็นเวทีระดับนานาชาติ” ดร.ธนกร กล่าว

ไฟเขียวเอ็กซิมแบงก์จัด 5,000 ล้าน ลุยปล่อยกู้อุตสาหกรรมเป้าหมาย

ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าที่ประชุม ครม. เห็นชอบโครงการสินเชื่อ EXIM Biz Transformation Loan วงเงินสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท และอนุมัติงบประมาณ 575 ล้านบาท แก่ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) สำหรับดำเนินโครงการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยโครงการสินเชื่อ EXIM Biz จะเป็นสนับสนุนการให้สินเชื่อให้ผู้ประกอบการรายละไม่เกิน 100 ล้านบาท ระยะเวลาการให้กู้ยืมไม่เกิน 7 ปี คิดอัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-2 คงที่ร้อยละ 2 ปีที่ 3-5 Prime Rate – ร้อยละ 2 และปีที่ 6-7 Prime Rate (ปัจจุบัน ณ 30 ก.ค 64 อัตราดอกเบี้ย Prime Rate อยู่ที่ร้อยละ 5.75) เพื่อใช้ในการปรับปรุงเครื่องจักรหรือลงทุนในเครื่องจักรใหม่ และเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต รวมทั้งปรับปรุงระบบ Software ดิจิทัลในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ประกอบการทุกขนาดธุรกิจ (S/M/L) ที่อยู่ในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเน้นอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (S – Curve) และอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เช่น อุตสาหกรรมแปรรูปอาหารและเกษตรแปรรูป อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อตุสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมอนาคต เช่น หุ่นยนต์เพื่อุตสาหกรรม อุตสาหกรรมดิจิทัล อตุสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ เป็นต้น สำหรับวงเงินสินเชื่อของโครงการ 5,000 ล้านบาทนั้น ทาง ธสน. จะระดมทุนจากการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน และการกู้ยืมเงินในตลาดการเงิน ระยะเวลาโครงการเริ่มตั้งแต่วันนี้ – 31 กรกฎาคม 2565

เห็นชอบเปิดเสรีการเงินอาเซียน ฉบับที่ 9

ดร.รัชดา กล่าวว่าที่ประชุม ครม. เห็นชอบร่างพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน ฉบับที่ 9 ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าบริการของอาเซียน (ASEAN Framework Agreement on Services: AFAS) และร่างตารางข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน ฉบับที่ 9 ซึ่งเป็นภาคผนวกแนบท้ายร่างพิธีสาร โดยจะมีการลงนามร่วมกันแบบเสมือนจริง (Virtual Signing) ในช่วงการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศที่จะจัดขึ้นในวันที่ 14 ตุลาคมนี้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ

สำหรับสาระสำคัญของร่างพิธีสารฯ ฉบับที่ 9 มีสาระเช่นเดียวกันกับฉบับที่ 8 ซึ่งได้ลงนามไปแล้ว คือ เป็นการขยายความร่วมมือด้านการค้าบริการระหว่างประเทศสมาชิก โดยลดหรือยกเลิกข้อจำกัดที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าบริการภายใต้กรอบอาเซียนให้มากกว่าที่เปิดเสรีตามกรอบขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) และประเทศสมาชิกจะให้สิทธิประโยชน์ตามร่างตารางข้อผูกพันฯ แก่ประเทศสมาชิกอื่น ดังนี้ 1)ประเทศสมาชิกที่เป็นสมาชิก WTO จะต้องคงการให้สิทธิประโยชน์ตามข้อผูกพันเฉพาะของตนภายใต้ความตกลงทั่วไปว่าด้วยการค้าบริการแก่ประเทศสมาชิกอื่นที่มิใช่สมาชิก WTO 2)ประเทศสมาชิกจะให้สิทธิประโยชน์ตามร่างตารางข้อผูกพันแก่ประเทศสมาชิกอื่น ตามหลักการให้การปฎิบัติเยี่ยงชาติที่ได้รับความอนุเคราะห์ยิ่ง (Most-Favored Nation Treatment: MFN) 3) ประเทศสมาชิกตั้งแต่ 2 ประเทศ หรือ มากกว่านั้น อาจดำเนินการเจรจาและตกลงเปิดเสรีสาขาการธนาคารของประเทศตนตามหลักการและการดำเนินการภายใต้กรอบการรวมตัวสาขาการธนาคารของอาเซียน โดยแต่ละประเทศสมาชิกที่เข้าร่วมการเจรจาอาจสรุปผลการเจรจา ณ เวลาใดก็ได้

ส่วนร่างตารางข้อผูกพันฯ ฉบับที่ 9 มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงตารางข้อผูกพันในสาขาการธนาคาร โดยเพิ่มเสรีเพิ่มเติมในสาขาย่อยการบริการชำระเงิน และการส่งเงิน (Payment and Money Transmission Services) สำหรับธุรกิจตัวแทนโอนเงินระหว่างประเทศ (Cross-border Money Transfer Services) โดยอนุญาตให้มีสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างชาติได้สูงสุดร้อยละ 49 ซึ่งปัจจุบันกฎหมายไทย อนุญาต ให้มีสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างชาติได้ 79% มากกว่าที่กรอบอาเซียนขอปรับปรุง จึงไม่ต้องมีการแก้กฎหมายภายในเพิ่มเติม

ดร.รัชดากล่าวว่า การเปิดเสรีภายใต้กรอบดังกล่าว จะช่วยสนับสนุนการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนทั้งในเชิงลึกและกว้างขวางมากขึ้น นอกจากนั้น ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนไทยสามารถขยายการค้าการลงทุนในสาขาบริการทางการเงินไปยังประเทศอาเซียนได้สะดวกยิ่งขึ้น ในส่วนของประเทศไทยนั้น การผูกพันการเปิดเสรีเพิ่มเติมในภาคธนาคาร สาขาย่อยธุรกิจตัวแทนโอนเงินระหว่างประเทศ จะช่วยสนับสนุนการเข้าถึงบริการทางการเงินของประชาชนและลดค่าธรรมเนียมการให้บริการจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค อีกทั้งการเปิดเสรีดังกล่าว ยังอยู่ภายใต้กฎหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย

ขยายเวลา MOU “ไทย-เมียนมา” เพาะเลี้ยงกุ้งรัฐยะไข่

ดร. รัชดา กล่าวว่าที่ประชุม ครม. เห็นชอบขยายระยะเวลาของบันทึกความเข้าใจว่าด้วยโครงการพัฒนาการเพาะเลี้ยงกุ้งในรัฐยะไข่ ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลเมียนมา ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ โดยมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม 2563 – 13 สิงหาคม 2566 สำหรับบันทึกความเข้าใจว่าด้วยโครงการพัฒนาการเพาะเลี้ยงกุ้งในรัฐยะไข่ ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันพัฒนาการเพาะเลี้ยงกุ้งในรัฐยะไข่ และกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ รวมถึงการก่อสร้างศูนย์สาธิตการเพาะเลี้ยงกุ้งที่เมืองชิตต่วย รัฐยะไข่ ให้เป็นศูนย์การเรียนรู้และสาธิตการเพาะเลี้ยงกุ้งและห้องปฏิบัติการในเมียนมา โดยฝ่ายไทยมีกรมประมงและ กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ เช่น 1)ก่อสร้างและปรับปรุงศูนย์สาธิตฯ 2)จัดหาอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับศูนย์สาธิตฯ 3)จัดหลักสูตรฝึกอบรมแก่เจ้าหน้าที่ ส่วนฝ่ายเมียนมามีกรมประมง กระทรวงเกษตร ปศุสัตว์ และชลประทาน เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ เช่น 1)จัดหาที่ดินสำหรับการก่อสร้างศูนย์สาธิตฯ 2)อำนวยความสะดวกด้านพิธีการศุลกากรเพื่อดำเนินโครงการ 3)เตรียมแผนการบริหารจัดการศูนย์สาธิตฯ

“จุรินทร์” ชงนายกฯ เร่งเปิดด่านหนองเอี่ยน จ.สระแก้ว

ดร.รัชดา กล่าวว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีเห็นชอบเร่งเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ที่บ้านหนองเอี่ยน จังหวัดสระแก้ว ตามที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดนของทั้งสองประเทศที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยนายกฯ ได้สั่งการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการสร้างถนนทางเบี่ยง 2 จุดเชื่อมต่อไปยังด่านหนองเอี่ยน จังหวัดสระแก้ว ให้เร็วกว่าแผนดำเนินการเดิมที่จะเปิดด่านในอีก 2 ปีข้างหน้า

เรื่องนี้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้หารือกับดร.ซก ซกกรัดทะยา (H.E. Dr. Sok Sokrethya) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา และที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฮุนเซ็น เมื่อครั้งเดินทางมาเข้าพบในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งทั้งสองประเทศเห็นชอบที่จะเร่งดำเนินการเปิดด่านหนองเอี่ยน จังหวัดสระแก้ว ก่อนกำหนดจากเดิมที่จะเปิดด่านในปี 2566 โดยไม่ต้องรอให้ด่านฝั่งไทยสร้างเสร็จแบบถาวรแต่จะใช้ตู้คอนเทนเนอร์เป็นสำนักงานชั่วคราวไปพลางก่อน ซึ่งการเปิดด่านชายแดนจะเป็นประโยชน์ทางการค้าอย่างมากของทั้งสองประเทศ

รับบริจาคแอสตร้าฯ จากเกาหลี 4.7 แสนโดส

นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผย คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรับการสนับสนุนวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จากสาธารณรัฐเกาหลีจำนวน 470,000 โดส โดยคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้มีอำนาจลงนามในร่าง Donation Agreement ระหว่างสาธารณรัฐเกาหลีกับไทย พร้อมลงนามในร่าง Tripartite Agreement ระหว่างสาธารณรัฐเกาหลีไทย และบริษัท AstraZeneca

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สาธารณรัฐเกาหลีมีความประสงค์ที่จะให้การสนับสนุนบริจาควัคซีนป้องกันโรคโควิด – 19 บริษัท AstraZeneca ให้กับไทย จำนวน 470,000 โดส โดยจะเน้นการฉีดวัคซีนแก่บุคคลสัญชาติเกาหลีที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยก่อน

“การรับบริจาควัคซีนเป็นหนึ่งในแนวทางแผนการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม เพื่อให้มีการเร่งฉีดวัคซีนประชากรในประเทศไทยอย่างครอบคลุม และยังสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ฉันท์มิตรระหว่างไทยและนานาประเทศ สอดคล้องกับนโยบายของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลที่ดูแลคนไทยทุกกลุ่ม รวมถึงให้ความสำคัญชาวต่างชาติที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศด้วย” นางสาวไตรศุลี กล่าว

เพิ่มรายการเบิกงบฯ รักษาผู้ป่วยโควิดฯ

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 (ฉบับที่ 6) เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่ยังคงมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยมีการเพิ่มรายการที่มีความจำเป็นต้องใช้กับผู้ป่วยโควิด-19 เพื่อให้การดูแลรักษาพยาบาลและช่วยชีวิตผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที

ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ฯ ฉบับที่6 นี้ ได้เพิ่มรายการและปรับปรุงค่าใช้จ่ายในบัญชีแนบท้ายหลายรายการ เช่น เพิ่มรายการตรวจสอบทางห้องปฏิบัติการว่าด้วยวิธี pooled saliva ค่าห้องปฏิบัติการด้วยวิธี pooled swab ค่าห้องปฏิบัติการด้วยวิธี RT-PCR ค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการด้วยวิธี antibody ค่าบุคลากรที่จัดการศพผู้เสียชีวิต ค่าบริการตรวจเยี่ยมของแพทย์ทางออนไลน์ เป็นต้น โดยหลักเกณฑ์ฯ ฉบับที่ 6 จะมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ ครม. มีมติอนุมัติเป็นต้นไป

เปิดประชุมสภาสมัยสามัญฯ ครั้งที่ 2 ตั้งแต่ 1 พ.ย. นี้

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ซึ่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 121 บัญญัติให้ในปีหนึ่งมีสมัยประชุมสามัญของรัฐสภา 2 สมัย สมัยละ 120 วัน โดยให้ถือวันที่มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมครั้งแรก เป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่ 1 ส่วนวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่ 2 ให้เป็นไปตามที่สภาผู้แทนราษฎรกำหนด

ทั้งนี้เนื่องจากได้มีพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาปี 2562 กำหนดให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมครั้งแรก โดยให้ถือเป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2562 และต่อมาสภาผู้แทนราษฎรได้กำหนดให้วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นวันเริ่มประชุมสามัญประจำปีครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกันมาตลอด ในรอบนี้จึงกำหนดให้วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 เป็นวันเริ่มประชุมสามัญประจำปีครั้งที่ 2 เช่นกัน และสิ้นสุดในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565

ไฟเขียวร่างแถลงร่วมอาเซียนว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมอาเซียนว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สำหรับการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 โดยหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ และไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ขอให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอ ครม. อีก

ขณะเดียวกัน ที่ประชุม ครม. มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ ผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้ความเห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ร่วมกับรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมในลักษณะ ad-referendum หรือ ในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 16 ตามความเหมาะสม และมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้การรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 38

สำหรับสาระสำคัญร่างถ้อยแถลงร่วมอาเซียนว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น แสดงความมุ่งมั่นของอาเซียนตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความตกลงปารีส ภายใต้หลักการความรับผิดชอบร่วมกันในระดับที่แตกต่าง และคำนึงถึงขีดความสามารถของแต่ละประเทศ โดยการดำเนินงานตามเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน และการลดความเสี่ยงต่อภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งแสดงความห่วงกังวลต่อการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และผลกระทบที่รุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นต้น

เพิ่มวงเงินสร้างถนนสาย “บางใหญ่-กาญจนบุรี” เป็น 56,047 ล้าน

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. อนุมัติปรับเพิ่มกรอบวงเงินโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางใหญ่-กาญจนบุรี จากเดิม 55,927 ล้านบาท เพิ่มเป็น 56,047.77 ล้านบาท หรือปรับเพิ่มขึ้น 120.37 ล้านบาท โดยปรับเพิ่มวงเงินงบประมาณรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ภายใต้แผนงานบูรณาการพัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ช่วงกิโลเมตร 38+500.000 – กิโลเมตร 44+266.833 ตอน 12 จากเดิม 1,911.11 ล้านบาท เป็น 2,031.48 ล้านบาท

ทั้งนี้ กรมทางหลวง แจ้งว่า โครงการฯ (ตอน 12 ) มีระยะทาง 5.77 กิโลเมตร เริ่มต้นสัญญาเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2560 สิ้นสุดสัญญาวันที่ 21 สิงหาคม 2566 มีผลงานร้อยละ 28.60 เร็วกว่าแผนร้อยละ 1.24 แต่มีอุปสรรคในการก่อสร้างจึงจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขแบบก่อสร้าง จึงส่งผลให้วงเงินค่าก่อสร้างปรับเพิ่มขึ้นจากเดิม 1,911.11 ล้านบาท เป็น 2,031.48 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 120.37 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 6.30 ของค่างานตามสัญญาเดิม ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ได้พิจารณาแล้วมีมติว่า การปรับรูปแบบของโครงการฯ เกิดจากการปรับรูปแบบให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของหน่วยงานที่โครงการฯ ตัดผ่าน เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชุมชน และเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพทางกายภาพของพื้นที่ โดยรูปแบบการแก้ไขปัญหาตามสัญญาใหม่เป็นรูปแบบที่เหมาะสมและถูกต้องตามหลักวิศวกรรม

สำหรับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงแบบก่อสร้างครั้งนี้ เช่น ปรับเพิ่มช่วงความยาวสะพาน, เพิ่มความสูงของช่องลอดใต้สะพาน, ปรับเพิ่มโครงสร้างปรับการทรุดตัวบริเวณคอสะพานให้มีความสอดคล้องกับสภาพธรณีวิทยาพื้นที่ของโครงการ เป็นต้น

โยก “อสิ ม้ามณี” นั่งอธิบดีกรมยุโรป

น.ส.ไตรศุลี กล่าวต่อว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ/เห็นชอบ ในเรื่องแต่งตั้งข้าราชการมีรายละเอียดดังนี้

1. เรื่องการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ)

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอ แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง จำนวน 4 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างและสับเปลี่ยนหมุนเวียน ดังนี้

    1. นางจุฬามณี ชาติสุวรรณ อธิบดีกรมยุโรป ให้ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกกระทรวง
    2. นายอสิ ม้ามณี เอกอัครราชทูตประจำกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมยุโรป
    3. นางสาวนิธิวดี มานิตกุล เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบราซิเลีย สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูตประจำกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
    4. นายสุริยา จินดาวงษ์ เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต คณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

2. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวม 13 คน เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี ในวันที่ 12 ตุลาคม 2564 ดังนี้

    1. นายประสาท สืบค้า ประธานกรรมการ
    2. นายศรัณย์ โปษยะจินดา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
    3. นายสุพจน์ หารหนองบัว กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
    4. นายสรนิต ศิลธรรม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
    5. นายพินิติ รตะนานุกูล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
    6. คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
    7. นายไพฑูรย์ ขัมภรัตน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
    8. นายมนูญ สรรค์คุณากร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
    9. นายสัมพันธ์ ศิลปนาฎ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
    10. นายชัยเรศน์ ฉลาดธัญญกิจ (ครูผู้สอนด้านวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
    11. นางสาวกล่อมจิต ดอนภิรมย์ (ครูผู้สอนด้านวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
    12. นายรณภณ เนตรสว่างวิชา (ครูผู้สอนด้านวิทยาศาสตร์ภาคกลาง) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
    13. นางพัชรา พงศ์มานะวุฒิ (ครูผู้สอนด้านวิทยาศาสตร์ภาคใต้) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป

3. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการขายตรงและตลาดแบบตรง

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายอนุชา นาคาศัย) เสนอแต่งตั้ง นายคงธัช เตชะวิเชียร เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ภาคเอกชน) ในคณะกรรมการขายตรงและตลาดแบบตรง แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ภาคเอกชน) เดิมที่ลาออก ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป และให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลือออยู่ของกรรมการซึ่งตนแทน

4. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทบริหารระดับต้น ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 5 ราย ดังนี้

    1. เลื่อนและแต่งตั้ง นายพิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช รองเลขาธิการ (นักบริหาร ระดับต้น) สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ (นักบริหาร ระดับสูง) สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ตำแหน่งว่าง)
    2. เลื่อนและแต่งตั้ง นายเถลิงศักดิ์ เพ็ชรสุวรรณ รองอธิบดี (นักบริหาร ระดับต้น) กรมควบคุมมลพิษ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ตำแหน่งว่าง)
    3. เลื่อนและแต่งตั้ง นายมนตรี เหลืองอิงคะสุต รองอธิบดี (นักบริหาร ระดับต้น) กรมทรัพยากรธรณี ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ตำแหน่งว่าง)
    4. เลื่อนและแต่งตั้ง นายจิระศักดิ์ ชูความดี รองอธิบดี (นักบริหาร ระดับต้น) กรมป่าไม้ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ตำแหน่งว่าง)
    5. เลื่อนและแต่งตั้ง นายสมศักดิ์ สรรพโกศลกุล รองอธิบดี (นักบริหาร ระดับต้น) กรมป่าไม้ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ตำแหน่งว่าง)

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

5. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม)

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอแต่งตั้ง นางสาวจันทร์เพ็ญ เมฆาอภิรักษ์ รองอธิบดี (ตำแหน่งประเภทบริหารระดับต้น) กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง

6. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงการคลัง)

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน 1 ราย ดังนี้ นายพิพัฒน์ชัย ภัครัชตานนท์ ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป

อ่าน มติ ครม. ประจำวันที่ 12 ตุลาคม 2564 เพิ่มเติม