ThaiPublica > คอลัมน์ > Kingdom: Ashin of the North ‘ฮัน’ ของคนดินแดง

Kingdom: Ashin of the North ‘ฮัน’ ของคนดินแดง

23 สิงหาคม 2021


1721955

“ถึงฉันจะเขียนเรื่องดาร์กๆ มามาก แต่เรื่องนี้ดาร์กที่สุด สองซีซันก่อนหน้านี้คนดูยังพอจะได้เห็นความหวังอยู่บ้าง แต่ภาคแยกนี้ต่างออกไป ฉันเจาะจงเน้นไปที่ ‘ฮัน’ ของชนชั้นล่าง” เป็นคำกล่าวของ คิม อึน-ฮี มือเขียนบทหญิงสุดดาร์กจาก Kingdom ทุกภาค (2019-ปัจจุบัน) และ Signal (2016)

การจะบอกว่า a href=”https://youtu.be/0MTbuQEt_IQ”>Kingdom: Ashin of the North (อาชินแห่งเผ่าเหนือ, 2021) เป็นซีรีส์ก็อาจจะไม่ถูกนัก เพราะแท้จริงมันเป็นภาพยนตร์ทางทีวีตอนเดียวจบ ความยาว 92 นาที อันเป็นภาคแยกของซีรีส์ Kingdom ที่มีมาแล้ว 2 ซีซัน และซีซันที่ 3 Kingdom: Crown Prince (มกุฎราชกุมาร, องค์รัชทายาท หรือผู้จักเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป) กำลังจะมาในปลายปีนี้

วิถีฮัน

ว่าแต่ “ฮัน” ที่ผู้เขียนบทเธอกล่าวถึงคืออะไร? “ฮัน” มาจากอักษรจีน 恨 แปลว่าความคับแค้น ความเกลียดชัง หรือความเสียใจ แต่ฮันไม่อาจจำกัดความด้วยคำอธิบายแค่นี้

เกาหลีบุกตลาดโลกด้วยวิถีฮัน เช่น ซีรีส์เรียกน้ำตาอย่าง Autumn in My Heart (รักนี้ชั่วนิรันดร์, 2000) ถ้าคุณรู้จักวิถีฮัน คุณจะไม่แปลกใจว่าทำไมเขาถึงหยิบเรื่องคนรวยคนจนสลับตัวกัน พวกเขาเปรียบเสมือนพี่น้องที่พลัดพรากแล้วกลับมารักกัน แต่โชคชะตากลับทำให้ต้องลงเอยด้วยมะเร็งระยะสุดท้าย ที่ทุกตอนบีบหัวใจคนดูจนน้ำตาเปียก หรือหนังอย่าง Christmas in August (1998) ชายหนุ่มเจ้าของร้านถ่ายภาพที่ซ่อนอาการป่วยหนักไว้เบื้องหลังรอยยิ้ม กับพนักงานจราจรสาวที่เก็บความคับข้องใจว่าตกลงเขารักเธอหรือไม่ หรือแม้แต่ Itaewon Class (2020) ซีรีส์ฮิตสุดๆ กว่าที่ตัวพระเอกจะแก้แค้นศัตรูได้สำเร็จ เขาต้องสูญเสียอะไรไปมากมาย ถูกย่ำยีซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างหนักหน่วง เหล่านี้ล้วนสืบสานรากเหง้ามาจาก ‘ฮัน’

ฮัน คือ แนวคิดแบบฉบับเกาหลีที่หล่อหลอมและหลอกหลอนมาจากอารมณ์อันหลากหลาย เต็มไปด้วยความทุกข์โศก สิ้นหวัง ความโกรธเกลียด ความกราดเกรี้ยว ความไร้อำนาจ ความเศร้าแสนสาหัส ความบอบช้ำ ความคับแค้น ความขมขื่น ความเจ็บปวด อัดอั้นตันใจ การถูกกดขี่ข่มเหง ความพลัดพรากแตกแยก และความอยุติธรรม

เพราะเกาหลีเป็นประเทศที่ต้องเผชิญกับทุกข์เข็ญหลายต่อหลายหน ไม่ว่าจะการตกเป็นทาสจีน เผชิญความโหดเหี้ยม หลังจากถูกญี่ปุ่นยึดครอง ต้องอยู่ภายใต้อาณัติอเมริกา มาจนถึงสงครามแบ่งแยกเหนือ-ใต้ ที่ต้องพลัดพรากจากคนในครอบครัวไปอยู่คนละฝั่ง การต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการทหารที่ต้องแลกด้วยชีวิตนักศึกษามากมาย ไปจนถึงกรณีห้างซัมพุงถล่มคนตายเหยียบพันในปี 1995 หรือเหตุการณ์เรือเซวอลอับปางที่คร่าชีวิตเด็กนักเรียนกว่า 300 คนเมื่อปี 2014 ฯลฯ

ยานางิ โซเอ็ตสึ

แต่เรื่องตลกที่ขำไม่ออกคือ แนวคิดฮันกำเนิดจาก ‘ความงามแห่งความโศกสลด’ บทความของชาวญี่ปุ่นชาติศัตรูอย่าง ยานางิ โซเอ็ตสึ นักปรัชญาและนักวิจารณ์ศิลปะ ที่เขียนเพื่อแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อชาวเกาหลี ที่เสียชีวิตไปกว่า 7,500 คน จากการประท้วงกว่า 1,500 ครั้งและมีผู้ร่วมชุมนุมมากถึงสองล้านคน จนถูกปราบปรามอย่างเหี้ยมโหดในวันที่ 1 มีนาคม 1919 (รู้จักกันในชื่อการประท้วงซัม-อิล หรือ ซัม/เดือนสาม อิล/วันที่หนึ่ง)

เนื้อหาของบทความดังกล่าวคือ ‘ประวัติศาสตร์เกาหลีผ่านความโหดร้ายเจ็บปวดสาหัสมาอย่างยาวนาน พวกเขาแฝงฝังความเหงา ความทุกข์เศร้า ผ่านงานศิลปะ มันมักจะมีความงามที่น่าเศร้าและความเหงาที่น่าสงสารจนทำให้คุณน้ำตาไหลพรากเสมอเมื่อพินิจผลงานของพวกเขา และข้าพเจ้าไม่อาจห้ามอารมณ์ที่เต็มตื้นอยู่ในหัวใจ จักหาความงดงามจากความเศร้าได้ที่ไหนอีก’

จักรวาล Kingdom

ภาพรวมของซีรีส์ Kingdom (ผีดิบคลั่ง บัลลังก์เดือด) ที่มีเพียงซีซันละ 6 ตอน เริ่มเรื่องขึ้นเมื่อเกิดโรคประหลาดระบาดหนักไปทั่วดินแดนโชซอน ส่วนในฝั่งราชสำนักก็มีลือหนักว่ากษัตริย์มากเมียกำลังประชวร หลังจากไม่ปรากฏตัวสู่สาธารณะเป็นเวลานาน ขณะที่อีชาง (จู จี-ฮุน) ลูกนอกสมรสของกษัตริย์พยายามจะขอมเหสีโจ (คิม ฮเย-จุน) มเหสีอายุน้อยองค์ใหม่เข้าเฝ้าบิดา แต่มเหสีโจไม่ยอม คือนางจะรอจนกว่าตนจะคลอดบุตรชายสำเร็จ เพื่อที่นางจะได้ขึ้นเป็นราชินี แล้วลูกชายของนางจะได้สืบทอดบัลลังก์ ทั้งที่รู้แก่ใจว่ากษัตริย์สวรรคตแล้ว และได้กลายสภาพเป็นซอมบี้ไปเรียบร้อยแล้ว ขณะที่นอกรั้ววังก็เกิดจลาจลหลายฝ่าย ทหารวังหลวงส่วนหนึ่งออกปราบกบฏ ไปพร้อมกับการระบาดที่เปลี่ยนชาวบ้านเป็นซอมบี้

ในเนื้อหาภาคแยก Kingdom: Ashin of the North จะย้อนกลับไปเล่าต้นกำเนิดโรคระบาดประหลาด ณ ชายแดนฝั่งเหนือ บริเวณริมแม่น้ำอัมนก (ปัจจุบันคือแม่น้ำหย่าลู่ ชายแดนจีนกับเกาหลีเหนือ) อันเป็นที่อยู่ของชนเผ่าเร่ร่อนหนี่ว์เจิน ที่แม้จะตั้งรกรากอยู่ตรงนี้มาช้านาน แต่พวกเขากลับไม่ได้รับการยอมรับให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับโชซอน ซ้ำร้ายยังถูกเหยียดหยามเป็นพวกต่ำตม โสโครก ไร้อารยะ

ขณะที่รอบนอกถัดออกไปคือฐานที่มั่นของพวกพาจอวี อันเป็นชาวหนี่ว์เจินที่ออกมาตั้งตนเป็นรัฐศัตรูกับโชซอน พวกนี้เข้มแข็ง ป่าเถื่อน และชำนาญการรบเป็นอย่างมาก ทางฟากโชซอนจึงส่งแม่ทัพมินชีรก (พัค บยุง-อุน) กับกองกำลังทหารส่วนหนึ่งเข้าควบคุมยังชายแดนฝั่งเหนือ

เวลานั้น อาชิน (ตอนโตแสดงโดยยัยตัวร้าย ฉ่อน จี-ฮยอน) ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ อายุไม่กี่ขวบ เหตุการณ์ซับซ้อนงัดข้อระหว่างโชซอนกับพาจอวีนำพาให้แดนกระสุนตกอย่างพวกหนี่ว์เจินถึงคราวซวย เมื่อพวกพาจอวีบุกมาฆ่ายกหมู่บ้าน อาชินต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปพึ่งพาแม่ทัพมินชีรก ขอร้องเขาว่า “โปรดล้างแค้นให้พ่อข้าทีเจ้าค่ะ…ท่านพ่อของข้าภักดีต่อโชซอนมาชั่วชีวิต…แม้ไม่ใช่บัดนี้ก็ไม่เป็นไร…ต่อให้ผ่านไปอีกสิบหรือยี่สิบปี แต่หากเพียงท่านทำให้พวกมันน้ำตานองเป็นเลือดได้ แค่นั้นข้าก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ…ข้าจะยอมทำทุกอย่าง…แม้งานอันตรายหรือต้อยต่ำข้าก็จะทำ ขอแค่โปรดแก้แค้นให้พ่อข้าเถิด”…จากนั้นเวลาผ่านไปอีกหลายปี ในยามที่อาชินโตเป็นสาว เธอก็เริ่มตาสว่างเมื่อได้รับรู้ความจริงความฉ้อฉลของรัฐโชซอนว่าอาจไม่ใช่อย่างที่เธอเคยเชื่อมาตลอด กลายเป็นความคั่งแค้นสะสมรอวันเดือดทะลัก

ผู้ชมต่างตีความไปนานา โดยเฉพาะในแง่มุมการเมือง มีคนขุดอดีตเกาหลีและเชื่อว่าเผ่าพาจอวีน่าจะหมายถึงแมนจูเรีย ชาวเน็ตเกาหลีหลายรายก็เชื่อว่านี่เป็นนิยายเปรียบเทียบ ทางตอนเหนืออาจหมายถึงเกาหลีเหนือก็เป็นได้ แต่ความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเชื่อว่านี่คือภาพอิงประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้างอย่างหลวมๆ มันสามารถไปทาบทับกับกรณีในประวัติศาสตร์ได้มากมาย ไม่ว่าจะชาวอารยันที่ไล่ต้อนชาวทมิฬในอินเดีย, ชนกลุ่มน้อยอุยกูร์กับชาวฮั่น, ชาวพม่ากับโรฮิงญา, ชาวอัฟกันกับตอลิบาน, กะเหรี่ยงแก่งกระจานกับอุทยานแห่งชาติ หรือแม้แต่กรณีตากใบหรือกรือเซะกับทหารตำรวจและรัฐไทย ล้วนคือ ‘ฮัน’ ที่รอวันสะสาง

‘ฮัน’ ของคนดินแดง

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาผู้เขียนอยู่ในอาการหดหู่ ใครที่ติดตามข่าวฟรีทีวีอาจไม่ค่อยรู้ แต่หลายสำนักข่าวออนไลน์ล้วนเกาะติดสถานการณ์ปะทะเดือดย่านดินแดง เมื่อการชุมนุมหลายต่อหลายครั้งของฝ่ายประชาธิปไตย ไม่ว่าจะจัดในย่านดินแดง หรือไม่ก็ตาม สุดท้ายหลังสี่โมงเย็น กลับมีการปะทะเดือดกันระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมกับตำรวจควบคุมฝูงชน (คฝ.) หน่วยพยาบาลในที่ชุมนุมต่างให้ความเห็นว่า

“แทนที่ คฝ. จะยิงแกสน้ำตาขึ้นฟ้า กลับยิงใส่ฝูงชน รวมถึงกระสุนยางตามหลักสากลต้องยิงลงไปที่เท้า แต่กลับพบว่าวิถีการยิงล้วนมุ่งไปที่บริเวณศรีษะ หรือหน้าอก”

รวมถึงมีการซุ่มยิงจากมุมสูง มีทั้งการยิงกระสุนและควันแกสน้ำตาเข้าไปในบ้านคน รวมถึงไล่กระทืบชาวบ้านผู้ไม่เกี่ยวข้อง และที่ร้ายแรงที่สุดพบว่ามีการแอบใช้กระสุนจริงยิงไปที่หน้าอกของเด็กอายุ 14 และอีกรายฝังไปที่ก้านสมองของเด็กอายุ 15 จนอาการโคม่า รวมถึงไฮโซลูกนัท (ธนัตถ์ ธนากิจอำนวย ทายาทนักธุรกิจดังที่ย้ายขั้วจาก กปปส. มาอยู่ฝั่งประชาธิปไตย) ที่ถูกยิงเข้ากระบอกตาทำให้ตาขวาของเขาบอดไปตลอดกาล

ดูคลิปเพิ่มเติมที่
https://fb.watch/7vSEFfCmJM/
https://fb.watch/7vSHXsHAbL/
https://fb.watch/7vSMJpsk8o/
https://fb.watch/7vSJcY49Cw/

สงกรานต์เลือด 2552

ทำไมดินแดงจึงกลายเป็นสมรภูมิรบ และปีนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ดินแดงเดือด ย้อนกลับไปเมื่อ 10 กว่าปีก่อน

การจะเล่าเหตุการณ์ต่อจากนี้ให้ชัดเจน ควรต้องย้อนกลับไปช่วงหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 (จากบรรทัดนี้ผู้เขียนขออนุญาตใช้ปี พ.ศ. แทน ค.ศ. เพื่อง่ายแก่การรำลึกได้) ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งในปี 2551 ที่ได้ สมัคร สุนทรเวช มาเป็นนายกแต่แล้วศาลรัฐธรรมนูญก็วินิจฉัยให้นายสมัครพ้นจากตำแหน่ง ก่อนจะตามมาด้วยรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ (น้องเขยของทักษิณ ชินวัตร) ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีตามมติสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่แล้วรัฐบาลของนายสมชายก็มีอันต้องบ้งไปหลังจากศาลรัฐธรรมนูญ (อีกแล้วครับท่าน!) ยุบพรรคต้นสังกัดของเขา ทำให้เขาต้องพ้นสภาพนายกฯ ไปโดยอัตโนมัติ ตรงนี้เองมีการย้ายข้างฝ่ายค้านนำไปสู่มติสภาให้มีการแต่งตั้ง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และฝ่ายค้านในขณะนั้น) ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี

เช้าตรู่วันที่ 13 เมษายน 2552
ผู้เขียนตื่นขึ้นมาในเช้าวันนั้นด้วยความตระหนก เพราะหน้าจอทีวีทุกช่องมีภาพมุมเดียวที่ถ่ายจากสถานีรถไฟฟ้า มองไปเห็นอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ที่มีควันดำลอยสูงอันเกิดจากการเผายาง โดยรัฐบาลอ้างว่ากลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงก่อความไม่สงบด้วยการเผาทำลาย

สายวันนั้น
เพื่อนบนเฟซบุ๊กคนหนึ่งผู้อยู่ในเหตุการณ์ย่านดินแดง โพสต์คลิปคล้ายกันนี้ขึ้นมา https://youtu.be/qmA1qB6v2PU โดยเหตุการณ์ก่อนหน้านี้คือ หญิงสองคนพล่ามบ่นอย่างคนเสียสติว่า “เมื่อเช้านี้มีทหารบุกมายิง…มีคนตาย…แล้วลากศพเข้าไปในรถ…” จับใจความได้ประมาณนี้ หลังจากนั้นกลุ่มนักข่าวก็รุมกันถ่ายภาพ มีนักข่าวใส่เสื้อเขียวคนหนึ่ง (ภายหลังทราบชื่อว่า กวีไกร โชคพัฒนเกษมสุข จากฝ่ายพันธมิตรที่เคยทุบรถของนักข่าววอยซ์ทีวี และล่าสุดในปี 2563 เขายังโผล่เข้าใช้ความรุนแรงป่วนม็อบราษฎรอีกด้วย) ถลันเข้าจิกหัวและกระชากผมสาวเสื้อแดงดังกล่าว ก่อนที่คลิปนี้จะถูกรายงานข่าวอย่างบิดเบือนทางช่องทีวีดังนี้ https://youtu.be/6Ru0m5AqCyc

บ่ายวันนั้น
เกิดเหตุระทึกขวัญขึ้นเมื่อปรากฏว่ามีรถแก๊สถูกนำไปจอดขวางไว้บริเวณแฟลตดินแดง โดยข่าวรายงานระบุเสร็จสรรพว่ากลุ่มคนเสื้อแดงขับมาจอดไว้เพื่อต่อรองให้ทหารออกไป และระบุเพิ่มอีกว่าบริษัทรถแก๊สดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกับทักษิณ

ความวุ่นวายดังกล่าวถูกรายงานเช่นนี้ทางหน้าจอทีวีที่ยุติลงด้วยความสงบและไม่มีใครจดจำ ผู้เขียนนั่งรถไฟฟ้าผ่านอนุสาวรีย์ชัยไปต่ออีกขบวนที่สยาม ลานหน้าสยามพารากอนมีคอนเสิร์ตเกาหลีราวกับอยู่ในโลกเซอร์เรียล ขณะที่กลับมีการบันทึกเหตุการณ์นี้ในอีกมุมหนึ่งที่เชื่อได้ว่ามีผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงออกมาเรียกร้องการเลือกตั้ง เนื่องจากนายอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ)ไม่ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งอย่างชอบธรรม ดังนี้

‘เหตุการณ์รุนแรงเกิดในเวลาเช้าตรู่ของวันที่ 13 เมษายน เมื่อกำลังทหารนำโดย พล.ต. ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 เคลื่อนกำลังเข้าปะทะกับประชาชนคนเสื้อแดงที่สามเหลี่ยมดินแดง เป็นครั้งแรกภายใต้รัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่ฝ่ายทหารสลายกำลังโดยใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนจริงกับประชาชน มีรายงานว่ามีผู้บาดเจ็บ 70 คน แต่ต่อมารัฐบาลอภิสิทธิ์อ้างว่า เหตุการณ์นี้ไม่มีผู้เสียชีวิต สำหรับในฝ่ายคนเสื้อแดงมีความเชื่อว่ามีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก แต่ทหารนำศพไปซ่อนไว้… กรณีที่มีผู้เสียชีวิตอย่างแน่นอนจากกรณีนี้ คือ นายนัฐพงษ์ ปองดี และนายชัยพร กันทัง ซึ่งเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย เดินทางมาเข้าร่วมการชุมนุมกับคนเสื้อแดงในวันที่ 12 เมษายน แล้วหายสาบสูญ ต่อมาได้พบว่าถูกสังหารแล้วโยนลงแม่น้ำเจ้าพระยา เจ้าหน้าที่ตำรวจวินิจฉัยว่าถูกฆาตกรรมด้วยสาเหตุทางการเมือง แต่จนถึงขณะนี้คดีความก็ยังไม่มีความคืบหน้า’ อ่านเพิ่มเติมที่นี่ https://prachatai.com/journal/2013/04/46352

หมายเหตุ: ผู้เขียนบทความดังกล่าวคือ รศ. ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อดีตนักวิชาการทางด้านประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่ อดีตรองศาสตราจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ ภายหลังยุติการชุมนุมเขาเคยถูกฝ่ายทหารนำตัวไปคุมขังยังค่ายอดิศร จังหวัดสระบุรี นอกจากนี้ ในปี 2553 เขายังได้ยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นจำเลยที่ 1 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นจำเลยที่ 2 และ พ.อ. สรรเสริญ แก้วกำเนิด เป็นจำเลยที่ 3 ในคดี ‘ผังล้มเจ้า’ ซึ่งฝ่ายทหารสร้างขึ้น ผลของคดีนำมาซึ่งการยอมความในเดือนมีนาคม 2554 โดย พ.อ. สรรเสริญ ยอมรับว่า “ผังล้มเจ้าแต่งขึ้นมา ส่วนบุคคลในผังเพียงแต่แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเท่านั้น” ปัจจุบันสุธาชัยเสียชีวิตแล้วเมื่อปี 2560 ในวัย 61 ปี

ราชปรารภ (รางน้ำ-ดินแดง)

อีกเพียงปีเดียวหลังจากสงกรานต์เลือด บริเวณสวนลุมฯ ในระหว่างการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ออกมาขับไล่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ช่วงค่ำคืนวันที่ 13 พฤษภาคม 2553 เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดเมื่อ เสธแดง-พลตรี ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ชุมนุมคนสำคัญของฝั่งเสื้อแดง ถูกกระสุนความเร็วสูงยิงเจาะกะโหลกศรีษะจนเสียชีวิตในเวลาต่อมา

14-19 พฤษภาคม 2553
เพียงคืนเดียวถัดมาหลังจากเสธแดงเสียชีวิต ราชปรารภก็ลุกเป็นไฟ ทหารเข้าควบคุมพื้นที่ตั้งแต่ซอยรางน้ำไปจนถึงสามเหลี่ยมดินแดงตั้งแต่เวลาบ่ายสามโมง แต่กลายเป็นว่าในช่วงดึกนับจากคืนวันที่ 14 กลับมีกระสุนปริศนายิงลงมาจากตึกสูง มีผู้อยู่ในเหตุการณ์ต่างทยอยอัปคลิปลงในโซเชียล บ้างเป็นชาวบ้านกำลังเดินข้ามถนน บ้างกำลังเปิดประตูออกไปซื้อข้าวกิน มีผู้บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ทั้งที่บางคนไม่ใช่กลุ่มผู้ชุมนุม บางคนนอนอยู่ในคอนโด ในแฟลตตัวเองก็โดนลูกหลง และเฉพาะพื้นที่ย่านดินแดงจุดเดียว ในช่วงวันที่ 14-19 พฤษภาคม พบว่ามีผู้ถูกยิงเสียชีวิตทั้งสิ้น 18 ศพ

โดยฝ่ายทหารยังคงใส่ร้ายอย่างต่อเนื่องว่า มีชายชุดดำ (ที่ภายหลังฝ่ายทหารอ้างว่าชายชุดดำเป็นฝ่ายคนเสื้อแดง) แฝงตัวเข้ามาปะปนกับกลุ่มผู้ชุมนุม (จากเหตุการณ์นี้ทำให้สังคมแตกแยกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเห็นใจต่อการเสียชีวิตของคนเสื้อแดง 94 ศพ อีกฝ่ายกลับสลดในเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง บ้างถึงกับโพสต์ด่าทอ อยากจะไปกระทืบคนเสื้อแดง แล้วคนเหล่านั้นก็พร้อมใจกันออกมาทำดีด้วยการ “บิ๊กคลีนนิ่งเดย์” ล้างเลือดตามนโยบายของท่านผู้ว่าหม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร ที่ตามมาด้วยคอนเสิร์ต Together We Can รวมกัน เราทำได้)

ดูคลิปเพิ่มเติมที่
https://youtu.be/xsAXA93LA2g
https://youtu.be/ZEfZ_gcZLV4
https://youtu.be/P5u7eGWdvQM
https://youtu.be/AwwLUdoSm2Q
https://youtu.be/DSnWqdhWD20

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
http://www.pic2010.org/langnam/
https://drive.google.com/file/d/0B8JG0cmzBu9GQjc3ZFcxb3pLanM/

ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2564 กำปั้น บาซู (กวินพนธ์ พาณิชย์พงส์) นายแบบ นักแสดง และนักร้องหนุ่มชื่อดัง ได้โพสต์คลิปชูสามนิ้วให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมทะลุฟ้า ลงในไอจีสตอรีของเขา พร้อมข้อความว่า “ผมคือหนึ่งในนั้น ผ่านมาสิบกว่าปียังเอาผิดคนยิงไม่ได้เลย…รู้อยู่ว่าใครยิง แต่ก็เอาผิดไม่ได้เนอะประเทศไทย” สิบปีก่อนในคืนเหตุการณ์ กำปั้นอยู่ในคอนโดสูงย่านรางน้ำ เขาเป็นเหยื่อถูกคมกระสุนยิงทั้งที่หลบอยู่ในคอนโดและรอดชีวิตมาได้ ขณะที่เพื่อนร่วมห้องของเขาถูกยิงเสียชีวิตทันทีในช่วงเวลาเดียวกัน “ไม่ได้ไปชุมนุม อยู่ในคอนโดตัวเอง แต่ยิงเราทำไม ตาย 1 เจ็บ 1” ที่น่าสนใจคือภาพที่เขาใช้ประกอบ คือภาพกำแพงวัดปทุม ที่รู้กันว่าตรงนั้นในปี 2553 มีผู้ถูกยิงเสียชีวิต 6 ศพ (หนึ่งในนั้นเป็นพยาบาลอาสา) โดยผู้ยิงเป็นทหาร 8 นายยิงลงมาจากบนรางรถไฟฟ้า ที่แม้จะมีการตัดสินจากศาลอาญากรุงเทพใต้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังที่นางพะเยาว์ อัคฮาด มารดา น.ส.กมนเกด พยาบาลอาสา 1 ใน 6 ศพ ได้โพสต์บนเฟซบุ๊กของเธอเมื่อปี 2562 ว่า

“ทั้งที่มีทั้งคลิปวิดิโอ ทั้งภาพถ่าย ทั้งพยานหลักฐานปลอกกระสุน และหัวกระสุนที่ฝังอยู่ที่ศพผู้เสียชีวิตก็เป็นชนิดเดียวกับที่นายทหารทั้ง 8 คนใช้ในวันเกิดเหตุ พยานบุคคลที่อยู่ในวัดที่เห็นเหตุการณ์จำนวนกว่าพันคน และรวมไปถึงการให้ปากคำด้วยตัวเองก่อนหน้านี้ของนายทหารทั้ง 8 คนที่ได้ยอมรับต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ว่า ทุกคนอยู่บนรางรถไฟฟ้าในวันดังกล่าวจริง และก็ยอมรับว่า ได้ยิงเข้าไปในวัดจริง เพราะฉะนั้นคำสั่งของอัยการศาลทหารวันนี้โดยส่วนตัว ดิฉันมิอาจยอมรับได้ด้วยประการทั้งปวง”

สอดคล้องกับเมื่อปลายปีที่แล้วมีการปราศรัยหน้ากรมทหารราบฯ 11 ว่า “คนเสื้อแดงออกมาร้องขอหีบบัตรเลือกตั้ง แต่ได้หีบศพ 99 ใบ ความเป็นธรรมมันอยู่ตรงไหน 99 ศพทุกวันนี้ ถูกดองไว้ที่ดีเอสไอ (กรมสอบสวนคดีพิเศษ) รวมทั้ง 6 ศพวัดปทุม ไม่ให้มีการเผยแพร่ ไม่ให้มีการทวงถาม มึงยังเผยอหน้ามาด่าพวกกูไอ้ไพร่ เราเป็นไพร่…เราเป็นไพร่ที่อยู่ใต้ร่มฟ้าเดียวกัน ไม่ว่าคุณจะมียศถาบรรดาศักดิ์ยิ่งใหญ่แค่ไหน ท้ายที่สุดแล้วคุณก็เล็กกว่าโลงศพ ปี 2556 ศาลอาญากรุงเทพใต้ไต่สวนคดีว่าการตายของ 6 ศพวัดปทุมวนาราม การตายของหน่วยแพทย์ มาจากทหารทั้ง 5 นายบนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส ปี 2560 หลังการปฏิวัติยึดอำนาจของ คสช. ศาลทหารได้มีคำสั่งให้รื้อคดีย้ายคดี 6 ศพจากศาลอาญากรุงเทพใต้มาที่ศาลทหาร ไต่สวนโดยทหาร ตัดสินโดยทหาร ยกฟ้องโดยทหารว่าหาคนยิงหกศพไม่เจอ… ขอความเป็นธรรมทำไมมันยากเย็นนัก ศาลทหารบอกว่าหาคนยิงไม่เจอ พยานหลักฐานอ่อน พยานหลักฐานไม่มี… ก็มันจะมีได้ไงก็มึงจับกูไปขัง 3 ปี 6 เดือนในคุกหญิง มึงจับกูไปขังไว้!!” ปราศรัยโดย ณัฏฐธิดา มีวังปลา ดูคลิปเต็มลิงก์นี้ https://youtu.be/nXIDZ6CDt2w

หมายเหตุ: ณัฎฐธิดา มีวังปลา หรือพยาบาลแหวน เป็นพยานปากสำคัญในการฟ้องเอาผิดต่อรัฐกรณี 6 ศพวัดปทุม แต่แล้วเมื่อการมาถึงของรัฐบาลนายประยุทธ์ จันทร์โอชา เธอกลับถูกกล่าวโทษด้วยข้อหาร้ายแรงในคดี 112 และคดีก่อการร้ายต้องโทษจำคุกไปแล้ว 3 ปี 6 เดือน ก่อนที่ศาลทหารจะปล่อยตัวชั่วคราว แหวนตั้งข้อสังเกตว่า หนึ่งในเหตุผลที่รัฐบาลเผด็จการเข้ามาครองประเทศ ก็เพื่อลบล้างความผิดที่ทหารได้กระทำไว้เมื่อปี 2553

ค่ำคืนของวันที่ 15 พฤษภาคม 2553 มีเด็กหนุ่มอายุเพียง 17 ปี สมาพันธ์ ศรีเทพ (เฌอ) ที่ไม่ใช่ผู้ชุมนุมเสื้อแดง เพียงแค่ขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านเข้าไปในซอยรางน้ำส่วนที่เชื่อมต่อกับดินแดง เขาถูกกระสุนยิงจากตึกสูง สาเหตุการเสียชีวิตถูกระบุว่า “บาดแผลกระสุนลูกโดดบริเวณศีรษะทำให้เนื้อสมองฉีกขาด”

สมาพันธ์ ศรีเทพ (เฌอ)

วกกลับมาที่ซีรีส์ การกระทำของอาชินคือการดำเนินมาสู่ด้านมืด สิ่งที่เธอตัดสินใจทำในท้ายเรื่องเพื่อระบายความโกรธแค้นที่สะสมมาตลอดทศวรรษ ผู้เขียนบทคิมอธิบายต่ออีกว่า “อาชินไม่ใช่ผู้ร้าย เธอมีหลายด้านหลายมุมแล้วแต่คนดูจะตัดสิน แต่สำหรับฉัน อาชินเป็นคนคนหนึ่ง ไม่มีใครดีเลิศที่สุดหรือเลวโฉดชั่วอย่างสมบูรณ์ ประวัติศาสตร์เป็นตัวผลักดันบุคลิกของตัวละครออกมา และฉันหวังว่าตัวละครทั้งหมดจะเรียนรู้และเติบโตอย่างมากในซีซัน 3

หมายเหตุ: จู จี-ฮุน พระเอกจาก Kingdom จะมาคู่กับ ฉ่อน จี-ฮยอน ในซีรีส์ใหม่ของผู้เขียนบทคิมจาก Kingdom อีกครั้ง แต่คราวนี้จะกำกับโดย ลี อุง-บก จาก Sweet Home (2020) และ Mr.Sunshine (2018) เป็นรักใสใสเฮฮา ใน Jurisan ที่ทั้งคู่จะแสดงเป็นนักไต่เขา ซีรีส์มีกำหนดออนแอร์ช่วงปลายปีนี้

จากนักแสดงเดิมแต่เปลี่ยนพล็อตในซีรีส์เกาหลี มาสู่ซีรีส์ไทยที่ “พล็อตเดิมเพียงแค่เปลี่ยนตัวแสดง” ความสงสัยที่ชาวดินแดงมีมาตลอดจากเหตุการณ์ปี 2553 คือ ถ้ากลุ่มชายชุดดำผู้กราดยิงจากตึกสูงมีจริง ในเวลานั้นด้านล่างมีทหารอยู่ล้อมรอบบริเวณราชปรารภถึงดินแดง ทำไมทหารถึงไม่สามารถขึ้นไปจับกุมชายชุดดำได้แม้แต่คนเดียว / ตัดกลับมาในเวลาปัจจุบัน การซุ่มยิงจากตึกสูง การยิงเจาะกะโหลก ยุทธวิธีต่างๆ ที่ คฝ. ใช้ในย่านดินแดงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ช่างไม่ต่างกับชายชุดดำเมื่อปี 2553 / ไม่ว่าสื่อของรัฐจะประโคมข่าวอย่างไร โดยเฉพาะกรณีอาวุธของผู้ชุมนุมที่มีทั้งหนังสติ๊ก ลูกแก้ว ลูกเหล็ก ปะทัด พลุเพลิง หรือแม้แต่ปืนไทยประดิษฐ์ ทว่าฝ่าย คฝ. ไม่เคยหันมาตั้งคำถามถึงอาวุธสงครามที่ฝ่ายตนใช้อย่างผิดหลักสากล แถมซื้อมาด้วยเงินภาษีชาวบ้าน ชาวบ้านย่านนั้น…รู้…เห็น…คนเหล่านั้นที่เคยถูกยิงบาดเจ็บ หรือล้มตาย คือลูกหลานเครือญาติของผู้คนในชุมชน…

“ฮัน” ของคนดินแดงปะทุแล้ว

ยังต้องสงสัยอีกไหมทำไมดินแดงจึงเดือดทุกสี่โมงเย็นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา?