ThaiPublica > คอลัมน์ > Foundation สถาบันสถาปนา

Foundation สถาบันสถาปนา

21 พฤศจิกายน 2021


1721955

ในแวดวงนิยายวิทยาศาสตร์ระดับขึ้นหิ้ง มีนักเขียนอยู่ 4 คนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นปรมาจารย์แนวนี้ คือ จูลส์ เวิร์น (1828-1905 Journey to the Center of the Earth, Twenty Thousand Leagues Under the Seas, Around the World in Eighty Days), เอช. จี. เวลลส์ (1866-1946 The Time Machine, The Invisible Man, The War of the Worlds) , อาเธอร์ ซี. คลาร์ก (1917-2008 2001: A Space Odyssey) และ ไอแซค อาสิมอฟ (1920-1992 The Bicentennial Man, I, Robot, Nightfall) ที่ไม่เพียงแต่วางรากฐานแนวไซ-ไฟได้อย่างน่าเชื่อถือ มีความเป็นไปได้ ยังให้ภาพสังคมโลกอนาคตอันเป็นต้นตอของหนังไซ-ไฟมากมายในยุคนี้ด้วย

แต่ใช่ว่านิยายขายดีขึ้นหิ้งของบรรดานักเขียนชื่อก้องเหล่านี้จะถูกดัดแปลงเป็นหนังหรือซีรีส์ได้ง่าย ๆ ไม่ว่าจะปัญหาเทคนิคเอฟเฟคทางด้านภาพใดใด ที่จะทำให้โลกอนาคตดูสมจริง หรือโครงเรื่องอันซับซ้อนที่ปรับแปลงไปตามยุคสมัย และหนึ่งในบรรดานิยายเหล่านั้นคือ Foundation (2021, Apple TV+) ซีรีส์ที่ดัดแปลงจากนิยายชื่อเดียวกันของ ไอแซค อาสิมอฟ

ปี1998 ค่ายหนังนิวไลน์ซีนีม่า จ่ายไป 1.5 ล้านดอลลาร์เพื่อให้ได้สิทธิ์ในการดัดแปลงภาพยนตร์ไตรภาค แต่โปรเจ็คต์มีอันล่มลงเนื่องจากค่ายหันไปสนใจลงทุนไตรภาค The Lord of the Rings แทน ภายหลังในปีเดียวกันนั้นค่ายย่อยของนิวไลน์ ในนาม ยูนีค พิคเจอร์ส ประกาศจะทำเรื่องนี้ป้อนให้ค่ายวอร์เนอร์ แต่แล้วค่ายโคลัมเบีย (โซนี่) ก็เข้ามาชิงคว้าสิทธิ์ในการจัดจำหน่ายในปี 2009 และทำสัญญากับ โรแลนด์ เอ็มเมอร์ริช (Independence Day, The Day After Tomorrow) มานั่งแท่นโปรดิวซ์และกำกับ แต่ก็มีอันพับโครงการไปอีกจนกระทั่งสิทธิ์ตกมาอยู่ในมือของ เอชบีโอ ในปี 2014

เป็นอันว่าด้วยเนื้อหาอันยุ่บยั่บ หนังไตรภาคไม่น่าจะเก็บความได้ครบ จึงมีวี่แววทำเป็นซีรีส์ทีวี ซึ่ง โจนาธาน โนแลน (น้องชายของ คริสโตเฟอร์ โนแลน และมือเขียนบทประจำให้พี่ชาย) มารับหน้าที่โปรดิวซ์และเขียนบท แต่ที่สุดโนแลนก็หันหลังให้กับโปรเจ็คต์นี้อีกคน เพื่อไปทำ Westworld ป้อนให้ เอชบีโอ แทน กระทั่งล่วงเลยไปปี 2018 Apple TV+ แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งจากบริษัทยักษ์ใหญ่แต่ยังมือใหม่ในสนามนี้ และยังไม่มีคอนเทนต์ปัง ๆ ในมือเหมือนเจ้าอื่น ๆ ก็คว้าโปรเจ็คต์นี้มาได้ โดยจะมีทั้งหมด 10 ตอน แต่เพราะความหินของโปรเจ็คต์นี้ ทั้งซีซั่นแรกนี้จึงได้คนเขียนบทมือเฉียบมาช่วยกันถึง 10 คน จากซีรีส์ฮิตอย่าง American Gods, Weeds, Deadwood, Sleepy Hollow, Helix, Alcatraz, The Chi , Maid, The Americans, Krypton, Da Vinci’s Demons, Constantine และหนัง Batman Begins, The Dark Knight Rises กับ Man of Steel

70 ปี จากหน้าหนังสือสู่จอสตรีมมิ่ง

แต่นิยายไตรภาคแรกนี้ตีพิมพ์รวมเล่มในปี 1951 นั่นแปลว่ากว่ามันจะปรากฏออกมาเป็นภาพให้ผู้คนได้ดูกัน ต้องใช้เวลามากกว่า 70 ปี!

Foundation ครั้งแรกตีพิมพ์เป็นเรื่องสั้น 8 ตอนในนิตยสาร Analog Science Fiction and Fact ตั้งแต่ปี 1942-1944 อันคือตอนที่ 2-8 ในฉบับไตรภาคแรก แต่เพื่อจะโยงภาพรวมของจักรวาลนี้เข้าด้วยกัน ทางบรรณาธิการหนังสือจึงเสนอให้ อาสิมอฟ เขียนตอนที่ 1 เพิ่มเพื่ออธิบายจักรวาล Foundation ไตรภาคแรกนี้มีการแปลเป็นฉบับภาษาไทยโดย บรรยงก์ (นามปากกาของ ประจักษ์ พันธุบรรยงก์) ซึ่งมี 3 เล่ม คือ Foundation สถาบันสถาปนา (1951), เล่ม 2 Foundation and Empire สถาบันสถาปนา และจักรวรรดิ (1952), เล่ม 3 Second Foundation สถาบันสถาปนาแห่งที่สอง (1953)

หลังจากนั้นอาสิมอฟก็หันไปเขียนหนังสือชุด Robot ในช่วง 1954-1985 ก่อนที่จะกลับมาสานต่อ Foundation อีกครั้ง ในเล่ม 4-5 คือ Foundation’s Edge (1982) กับ Foundation and Earth (1986) ซึ่งเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องจาก 3 เล่มแรก และค้างเหตุการณ์ทั้งหมดไว้ในราวปีที่ 400 (จากพล็อตหลักที่วางไว้พันปี) ในช่วงเล่ม 5 นี้เอง มีตัวละครใหม่เป็นหุ่นยนต์ชื่อ ดานีล โอลิวาฟ อันเป็นตัวละครหลักจากหนังสือชุด Robot เท่ากับว่าอาสิมอฟได้ผนึก 2 จักรวาลเข้ามาเป็นเรื่องราวเดียวกัน ซึ่งเป็นจุดเฉลยว่าทำไมในฉบับหนังสือช่วง 400 ปีแรก ไม่มีตัวละครที่เป็นหุ่นยนต์เลย

แต่แทนที่อาสิมอฟจะเขียนเรื่องต่อจาก 400 ปีแรก หลังจากนั้นเขากลับย้อนไปเล่า อีก 2 เล่ม อันเป็นเหตุการณ์ก่อนเรื่องทั้งหมดจะเกิดขึ้นในเล่ม 6-7 Prelude to Foundation (1988) กับ Forward the Foundation (1993) อันเป็นเล่มสุดท้ายที่อาสิมอฟเขียนขึ้นก่อนเขาจะเสียชีวิตในปี 1992

จากนั้นอีกหลายปีผู้แทนมรดกของอาสิมอฟจึงได้แต่งตั้งนักเขียนแนวไซ-ไฟคลื่นลูกใหม่ 3 คน เข้ามาช่วยสานต่อจักรวาล Foundation ที่ยังค้างเติ่งอยู่อีก 3 เล่ม เพื่อให้เหตุการณ์ครบหนึ่งพันปีตามที่เรื่องวางไว้แต่แรก นั่นคือ Foundation’s Fear (1997) โดย เกรกอรี เบนฟอร์ด, Foundation and Chaos (1998) โดย เกรก แบร์ และ Foundation’s Triump (1999) โดย เดวิด บริน

จากซีรีส์หนังสืออย่างเป็นทางการ 10 เล่มที่ว่ามานี้ ยังมีหนังสืออีก 2 ชุดที่คาบเกี่ยวกับจักรวาล Foundation ของอาสิมอฟ แต่เขียนโดยคนอื่น คือ Foundation’s Friends (1989) ที่เขียนโดยนักเขียนไซ-ไฟดาวรุ่งเพื่อนพ้องน้องพี่ทั้งหลายกว่า 22 คน หนึ่งในนั้นคือ ออร์สัน สก็อตต์ การ์ด ผู้เขียน Ender’s Game และ เจเน็ต อาสิมอฟ ภรรยาของอาสิมอฟเอง

คุณูปการไตรภาคของอาสิมอฟนี้ ภายหลังยังมีนักเขียนรุ่นใหม่ ๆ มาเล่าต่อ ๆ กันอีกหลายเล่ม อาทิ นิยายไตรภาค Isaac Asimov’s Caliban (1993) ของ โรเจอร์ อัลเลน ที่เล่าเหตุการณ์คาบเกี่ยวระหว่างจักรวาล Foundation กับ จักรวาล Robot / นิยายชุด Mirage (2000), Chimera (2001), and Aurora (2002) ของ มาร์ค ดับบลิว. ไทเดอมันน์ เล่าเหตุการณ์ก่อนจักรวาล Robot กับ Empire จะมาเจอกัน / นิยาย Have Robot, Will Travel (2004) ของ อล็กซานเดอร์ ซี. เออร์วิน เล่าเหตุการณ์ 5 ปีต่อจากของ ไทเดอมันน์ / และนิยาย Psychohistorical Crisis (2001) ของ โดนัลด์ คิงส์บูรี เล่าช่วงที่ Foundation สร้างจักรวรรดิที่สอง เป็นต้น

ความแตกต่างระหว่างนิยายกับซีรีส์

ก่อนจะเล่าว่า 2 เวอร์ชั่นนี้แตกต่างกันอย่างไร คงต้องรู้ก่อนว่าภาพรวมอย่างย่อ ๆ ของ Foundation คือ กาอัล ดอร์นิค ไขปริศนาทางคณิตศาสตร์อันซับซ้อนที่ทั่วทั้งจักรวาลยังไม่มีใครแก้ไขได้ จึงถูกเชิญตัวให้เดินทางมายังดาวทรานทอร์ อันเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิกาแล็คติก เพื่อเข้าพบฮาริ เซลด็อน ผู้ทำนายว่าจักรวรรดิอันมีอารยธรรมมาอย่างยาวนานกว่า 12,000 ปี กำลังจะล่มสลายหายวับไปตลอดกาลในช่วง 500 ปีนับจากนี้ ความกังวลนี้ถึงหูจักรพรรดิแห่งกาแล็คซี ทีแรกเขากะจะประหารฮาริ แต่สุดท้ายเมื่อ ฮาริ เสนอว่า เขาสามารถช่วยให้อารยธรรมนี้ยังอยู่รอดได้ แต่ต้องเข้าสู่ยุคมืดนานถึงหนึ่งพันปี ด้วยโครงการที่เรียกว่า Foundation หรือการทำฐานข้อมูลเอ็นไซโคพีเดียสำหรับทุกวิทยาการในกาแล็คซีแห่งนี้ ทำให้จักรพรรดิยอมตกลงลงทุนกับโปรเจ็คต์ยักษ์ใหญ่และเนิ่นนานนี้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องไปทำกันที่ดาวเทอร์มินัสสุดขอบจักรวาล

นัยว่าจักรพรรดิเองก็กังวลว่าคำทำนายนี้จะเป็นบ่อเกิดให้ผู้เห็นต่างลุกฮือขึ้นมาล้มล้างจักรวรรดิ์ จึงให้คนกลุ่มนี้ไปตั้งอาณานิคมอันไกลโพ้น สุดท้าย กาอัล และประชากรบนทรานทอร์หลายหมื่นคนที่ศรัทธาใน ฮาริ จึงออกเดินทางร่วมกันไปเก็บฐานข้อมูลยังดาวขอบจักรวาล

ฉบับซีรีส์ไม่ใช่ Foundation ในนิยาย

ต้องย้อนกลับไปก่อนว่า ฉบับนิยายเริ่มตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1942 อันเป็นช่วงสมัยปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนจะจบลงในยุคสงครามเย็น เมื่อตัวอาสิมอฟผู้เขียนเสียชีวิตลงในปี 1992 (และเล่มสุดท้าย Forward the Foundation ตีพิมพ์ในปี1993) ในนิยายจึงพบว่าจงใจเน้นฉากสนทนาช่วงไต่สวนค่อนข้างยาว ไม่ว่าจะไต่สวน ฮาริ หรือ กาอัล ที่ในนิยายอธิบายว่า ‘เขาต้องตอบคำถามเหล่านี้ทบไปทวนมาหลายต่อหลายเที่ยว พวกนั้นก็เพียรซักเขาเกี่ยวกับเหตุผลที่เข้าร่วมงานกับแผนการของเซลด็อน’ ซึ่งไม่ต่างกับการซักเชลยสงคราม หรือพวกลัทธิความเชื่อที่ต่างกันอย่างสายลับ CIA ของอเมริกา หรือ SOE ของอังกฤษ หรือ SVR ของรัสเซีย

(ขวา) มาลาล่า ยูซัฟไซ

แต่นี่คือ Foundation สำหรับผู้ชมยุคหลัง 9/11

ตัวละคร กาอัล ดอร์นิค ในนิยายถูกอธิบายว่า ‘เป็นดร.ทางคณิตศาสตร์หนุ่มบ้านนอกจากดาวซินแนกซ์’ ขณะที่ในซีรีส์ได้ปรับให้ตัวละครนี้เป็น ‘เด็กผู้หญิงชนพื้นเมืองจากดาวซินแนกซ์ชายขอบจักรวาล’ แสดงโดย ลู ลอเบลล์ (นักแสดงผิวคล้ำเชื้อสายสเปน-ซิมบับเว) ที่จงใจให้ความรู้สึกเหมือน มาลาล่า ยูซัฟไซ (เด็กสาวชาวปากีสถานเจ้าของรางวัลโนเบลสันติภาพโลก)

(ซ้าย) ฟารา (ขวา) ซัลเวอร์ ฮาร์ดิน

ไม่เท่านั้นในซีรีส์มีตั้งแต่ตัวละครผิวสีอย่าง ซัลเวอร์ ฮาร์ดิน (ลีห์ ฮาร์วีย์ นักแสดงชาวอังกฤษ) หรือตัวละครที่มีหน้าตาอย่างพวกก่อการร้ายตาลีบัน ไอเอส หรืออัลไคดา อย่างฟารา (คับบรา เสท นักแสดงชาวอินเดีย) โดยแบ็คกราวด์ของตัวฟารานี้ยังถูกเล่าอีกว่า ในวันที่จักรพรรดิกำลังสอบสวน ฮาริ มีทูตจากดาวพื้นเมืองชายขอบจักรวาล 2 ชนเผ่าที่เป็นศัตรูกันและโกรธแค้นกันและกัน โดยจักวรรดิเองเป็นผู้ปลุกปั่นเสี้ยมให้ทั้งคู่แตกแยกกัน และรีดภาษีจากทั้ง 2 เผ่า ในช่วงเวลาคาบเกี่ยวกันนั้นเองก็เกิดวินาศกรรมที่ในฉบับนิยายไม่มี แต่ในซีรีส์จงใจให้คนดูนึกไปถึงเหตุการณ์ 9/11 เมื่อปี 2001 แถมผู้ก่อการยังใช้ภาษาของเผ่าพื้นเมือง แม้ว่าจะไม่รู้ว่าคนร้ายตัวจริงคือใคร แต่จักรพรรดิ์ ก็ตัดสินใจฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ดาวพื้นเมืองชายขอบจักรวาลนี้ทั้ง 2 ดาว ส่งผลให้ตัวละครฟารา กลายเป็นหนึ่งใน 20% ของดาวนี้ที่เหลือรอดชีวิตมาได้ ทั้งยังเติบโตมาด้วยความคลั่งแค้นต่อจักรวรรดิ์การแลคติก (แถมในฉากเหล่านี้เรายังได้เห็นการแขวนคอประจานที่คล้ายพวก KKK แขวนคอคนผิวสี หรือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ด้วยการยิงถล่มดาวทั้งดวง ก็นึกไปถึงสมัยอเมริกาถล่มนิวเคลียร์ลงจักรวรรดิญี่ปุ่น)

(ซ้าย) ทรานทัวร์ Foundation (ขวา) คอรัสซองต์ Star Wars

Foundation หรือ Star Wars ใครก๊อปใคร?

แม้ตัวซีรีส์จะกวาดคำชมไปอย่างล้นหลาม จนค่ายประกาศกร้าวเมื่อปลายตุลาที่ผ่านมาว่าจะมีซีซั่นต่อไปอย่างแน่นอน เว็บ Gizmodo สำหรับพวกเนิร์ดไซ-ไฟกลับออกมาจวกว่า “นี่มันนิยาย Foundation นะ ไม่ใช่หนัง Star Wars อย่างน้อยมันไม่ควรจะออกมาหน้าตาแบบนี้ ในนิยายไม่มีการเชิดชูฮีโร่ ไม่มีผู้ร้าย ไม่มีดาบเลเซอร์ ไม่มีสัตว์ประหลาดต่างดาว และอย่างน้อยก็ไม่ควรมีฉากบู๊ หรือฉากผจญภัยอย่างใน Star Wars เพราะ Foundation เป็นนิยายเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ช่วงเวลาหนึ่งพันปีในการพยายามรักษาและรื้อสร้างอารยธรรมขึ้นมาใหม่หลังจากการล่มสลาย นี่คือสาเหตุที่ทำไม Foundation ถึงมีอันต้องพับโครงการอยู่เรื่อย ๆ เพราะมันเป็นนิยายที่ถ่ายทำออกมาเป็นหนังไม่ได้”

แต่แฟนซีรีส์หลายคนกลับส่ายหัวไม่เห็นด้วย เพราะอันที่จริงแล้ว Foundation คือรากฐานของหนังไซ-ไฟในโลกปัจจุบัน ซึ่งรวมถึง Star Wars ด้วย

Star Wars ถือกำเนิดในปี 1977 หลังจาก Foundation ฉบับเรื่องสั้นนานถึง 35 ปี เดวิด โกเยอร์ โชว์รันเนอร์ของซีรีส์นี้กล่าวว่า “Foundation คือแรงบันดาลใจใหญ่ยักษ์สำหรับ Star Wars เพราะ Foundation คือนิยายวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่และเล่าเรื่องครอบคลุมแผ่กิ่งก้านออกไปกว่าหมื่นปี แน่นอนว่าทั้งคู่เล่าเรื่องไม่เหมือนกัน แต่ทั้งคู่เกี่ยวกับ จักรวรรดิ์กาแลคติก อันมีการปกครองกาแลคซีแบบระบอบจักรพรรดิ์ หรือที่เหมือนกันอีกอย่างก็พวก เจได เห็นได้ชัดว่าตามอย่างกลุ่มบุกเบิกที่ยึดถือแนวทางของ ฮาริ เหมือนเป็นศาสดา และต้องไม่ลืมว่า อาสิมอฟเขียนเรื่องตรงกลางขึ้นมาก่อนจะไปย้อนเล่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ และหลังจากนั้น อันเป็นวิธีเดียวกับที่จอร์จ ลูคัส ทำในหนัง” ขณะที่ในสังคมเว็บ Quara ก็ออกมาเห็นด้วยว่าภาพของเมือง คอรัสซังต์ใน Star Wars แทบจะหยิบทุกรูปแบบมาจากเมือง ทรานทอร์ ในนิยาย Foundation

รวมถึงในโซเชียลเว็บ scifi.stackexchange ก็มีความเห็นหนึ่งบอกว่า “จริง ๆ แล้วครั้งหนึ่ง อาสิมอฟ เองก็เคยตัดพ้อกรณีที่ ลูคัส ไม่เคยให้เครดิต อาสิมอฟเลย ในหนังสือ The Tyrannosaurus Prescription (1989) ของอาสิมอฟเองว่า ‘ผมสร้างรูปแบบจักรวรรดิกาแล็คติก อันเป็นรูปแบบที่เชื่อว่าผู้อ่านน่าจะเดาได้ว่ามันยึดโยงกับ จักรวรรดิโรมัน แล้วนับแต่นั้นก็มีนักเขียนแนวไซ-ไฟอีกหลายเรื่องที่เดินตามแฟชั่นต่าง ๆ ของอาณาจักรนั้น ในแบบของตัวเอง และในข้อเท็จจริงตั้งแต่ช่วงยุค 70s จักรวรรดิ์กาแล็คติกก็กลายเป็นหนังซูเปอร์ฮิตอย่าง Star Wars ซึ่งไม่ว่าจะมองมุมไหนก็เห็นว่าหลายสิ่งหยิบโยงมาจาก Foundation แต่ผมไม่ได้รังเกียจอะไร เพราะการลอกเลียนแบบเป็นการเยินยอที่จริงใจที่สุดแล้ว เพราะอันที่จริงผมก็ลอกเลียนแบบ เอ็ดเวิร์ด กิบบอน (17-37-1794 นักประวัติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญประเด็นความรุ่งเรืองและล่มสลายของจักรวรรดิ์โรมัน) ดังนั้นผมจึงไม่เคยโต้แย้งเลยเมื่อมีคนเลียนแบบผลงานของผม’

ตัวละคร (ซ้าย) รีช (ขวา) กาอัล

Foundation ฉบับอัพเกรด

แม้จะมีโวยจากหลายฝ่ายถึงการเปลี่ยนแปลงหลายตัวละคร อย่างที่เกริ่นไปว่า ตัวละครหลักอย่าง กาอัล เดิมทีเป็นเพศชาย แต่การอัพเกรดเปลี่ยนเพศก็ส่งผลต่อการดำเนินเรื่องในฉบับซีรีส์ให้ลื่นไหลและรวบรัดได้ใน 10 ตอน ไม่แค่นั้นยังเข้ายุคเข้าสมัยในเวลานี้ที่หลายฝ่ายเรียกหาความเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะ เชื้อชาติ ผิวพรรณ หรือเพศกำเนิด ว่าแต่ยังมีอะไรอีกที่ถูกอัพเกรดขึ้นมาในฉบับซีรีส์

กษัตริย์ทั้ง 3 อรุณา, ทิวา และสนธยา

จักรพรรดิโคลนนิ่ง

อย่างที่รู้กันว่าบรรดากษัตริย์ราชวงศ์ทั้งหลาย คลั่งในเรื่องการรักษาสายเลือดขัตติยาน้ำเงินแท้ของตนอย่างมาก แม้ในองค์ความรู้ปัจจุบันเรารู้กันแล้วว่าการสืบทอดสายเลือดญาติพี่น้องใกล้เคียงกันจะส่งผลต่อความผิดพลาดทางพันธุกรรม แต่ในอดีตนั้นหลายราชวงศ์ที่ไม่มีหน่อเนื้อเชื้อไขสืบต่อ ภายหลังก็ใช้วิธีไปดองกับราชวงศ์ต่างชาติก็มี อย่างไรก็ตามในฉบับซีรีส์มีการแก้ไขให้เหนือชั้นไปกว่านั้น เพราะคราวนี้จักรพรรดิมิได้มีหนึ่งเดียว แต่เขามาในลักษณะตรีเอกานุภาพ คือ แบ่งร่างเป็น 3 ร่าง ด้วยการโคลนนิงมาจากตัวต้นแบบรัชกาลที่ 1 โดยตรง โดยเรียกโคลนวัยเด็กว่า Dawn (อรุณา) โคลนวัยหนุ่มแน่นว่า Day (ทิวา) และร่างโคลนวัยชราว่า Dust (สนธยา) ที่ในเรื่องตัวกษัตริย์อ้างว่าการแบ่งเป็น 3 เพื่อความมั่นคงมั่งคั่งของจักรวรรดิ แต่ทว่าจริง ๆ แล้วพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เมื่อพวกเขาอยู่ยอดบนสุดของการสูบเลือดสูบเนื้อประชากรทั้งกาแล็กซี่

เดเมอร์เซล อาจเกี่ยวข้องกับ I, Robot

เดเมอร์เซลในนิยายยังไม่ปรากฎตัว

ขออนุญาตเล่าเท่าที่จะไม่สปอยเนื้อหาของนิยายทั้งหมด เดเมอร์เซล หุ่นยนต์เพียงตัวเดียวที่เหลือเล็ดรอดมาจากการล้างเผ่าพันธุ์หุ่นยนต์ในสมัยกษัตริย์คลีออนรัชกาลที่ 1 (ในนิยาย) และอยู่เคียงข้าง 3 กษัตริย์ในรัชกาลปัจจุบัน(ในซีรีส์) ในนิยายเธอเป็นเพศชาย และตัวละครนี้ยังไม่ปรากฏจนกว่าจักรวาลในนิยายจะไปเชื่อมโยงกับนิยายชุด Robot แต่อันที่จริงตัวละครนี้ มีอยู่และฝังตัวมาตั้งแต่ก่อนเรื่องทั้งหมดในนิยายจะเริ่มขึ้น (อันเป็นสาเหตุให้อาสิมอฟย้อนกลับไปเล่าเหตุการณ์ก่อนฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หุ่นยนต์ในเล่ม 6-7) ซึ่งตัวละครนี้ จะเกี่ยวพันกับหนังอีกเรื่องหนึ่งที่ดัดแปลงจากนิยายของอาสิมอฟเช่นกัน นั่นก็คือ I, Robot (2004) แล้วอันที่จริงไอเดียชื่อเรื่อง Foundation หรือ ฐานรากทั้งหมดในการตอบคำถามเกี่ยวกับอดีตและอนาคตของมวลมนุษยชาติ อาจหมายถึงตัวละครนี้ที่อยู่มาตั้งแต่ต้นจนจบก็เป็นได้ เพราะเขา/เธอไม่มีอายุขัยอย่างมนุษย์ แต่มีมนุษย์เป็นผู้สร้าง(และผู้ทำลาย)

(บน) ดาร์ธซีเดียส กับ พัลพาทีน (ล่าง) เดวิด8 กับ วาลเตอร์1(ขวา) เดเมอร์เซลร่างชายในฉบับนิยาย

FYI

แฟนเดนตาย Star Wars เชื่อว่า ไอเดียตัวละครเดียวกันแต่แบ่งภาคบทบาทของ พัลพาทีน กับ ดาร์ธซีเดียส น่าจะได้แนวคิดสำคัญมาจาก เดเมอร์เซล ในนิยาย Foundation ที่คล้ายคลึงกับ ตัวละครหุ่นยนต์ฮิวมันนอยด์ เดวิด8 กับ วาลเตอร์1 ในหนัง Alien: Covenant (2017) อีกทั้งตัวละครคู่หลังก็ช่างมีหน้าตาราวกับหลุดมาจากภาพประกอบหนังสือ Foundation

ในซีรีส์ประโยคทักทายที่ตัวละครชนชั้นอารยสูงส่งพูดบ่อยราวกับสะกดจิตตัวเองคือ “เคารพและมีความสุขในความสงบ” ดูจะเป็นการเสียดสีที่ดี เพราะราวกับพวกเขาได้พร่ำพล่ามสิ่งที่ปรารถนา กังวล และหวาดกลัวออกมาตลอดเวลาว่า พวกเขาต้องการ ความเคารพซึ่งกันและกัน ความสุข และความสงบ แต่แท้จริงฝ่ายผู้มีอำนาจได้แต่ยึดอำนาจด้วยความหวาดกลัว และพวกเขาทำศึกสงครามต่อกันและกันตลอดมาแม้ในยามที่ฉากหน้าจะเหมือนมีแต่ความสงบสุข แต่เบื้องหลังคือการเหยียบย่ำกดขี่ประชากรราวกับเป็นศัตรู ราวกับไม่เชื่อว่าวันหนึ่งมวลมนุษยชาติจะถึงกาลล่มสลาย

“เคารพ และมี ความสุข ใน ความสงบ” พูดบ่อยจนกลายเป็นคำเพ้อพล่ามไร้ความหมาย