ครม.เคาะกู้เงิน 4.2 หมื่นล้านบาท เยียวยา 9 สาขาอาชีพ คนละ 2,500-5,000 บาท -ลดค่าน้ำ-ไฟ 2 เดือน มอบ ศธ.-อว. ปรับลดค่าเทอมภาคเรียนที่ 1/2564 พร้อมจัดทำโครงการ “รัฐร่วมสมทบ” ลดภาระค่าใช้จ่ายให้สถานศึกษาเสนอ ครม.สัปดาห์หน้า
เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2564 มีรายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล ระบุว่า วันนี้ที่ประชุม ครม.ได้มีมติเห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการที่อยู่ในพื้นที่สถานการณ์ควบคุมสูงสุด และเข้มงวด ซึ่งต้องปฏิบัติเพิ่มเติมนอกเหนือจากข้อปฏิบัติตามข้อกำหนด (ฉบับที่ 24 ) ในพื้นที่ 10 จังหวัด ความคุมสูงสุด อันได้แก่ กรุงเทพมหานคร , นครปฐม , นนทบุรี , ปทุมธานี , สมุทรปราการ , สมุทรสาคร , นราธิวาส , ปัตตานี , ยะลา และสงขลา โดยให้ทดแทนแนวทางการให้ความช่วยเหลือกลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการ ตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2564
โดยกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับความช่วยเหลือในครั้งนี้ ครอบคลุมไปถึงกลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการ ทั้งในส่วนที่อยู่ในระบบในระบบและนอกระบบในกิจการที่ได้รับผลกระทบตามข้อกำหนด (ฉบับที่ 25) ให้ครอบคลุมถึงกลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการในกิจการที่ได้รับผลกระทบตามข้อกำหนด ( ฉบับที่ 27) ทั้งในส่วนที่อยู่ในระบบประกันสังคมและไม่อยู่ในระบบประกันสังคม รวมทั้งหมด 9 สาขา ประกอบด้วยสาขาเดิม 4 สาขา (ตามหมวดที่สำนักงานประกันสังคมกำหนด) อันได้แก่ กิจการก่อสร้าง , กิจการที่พักแรมและบริการด้านอาหาร , กิจกรรมศิลปะ , ความบันเทิงและนันทนาการและกิจกรรมบริการด้านอื่นๆ โดยในวันนี้ที่ประชุม ครม.ให้ขยายความช่วยเหลือเพิ่มเติมอีก 5 สาขา อันได้แก่ สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า , สาขาการขายส่งและการขายปลีก , การซ่อมยานยนต์ , สาขากิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุน , สาขากิจกรรมวิชาชีพวิทยาศาสตร์และกิจกรรมทางวิชาการและสาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร เป็นระยะเวลา 1 เดือน โดยมีรูปแบบการให้ความช่วยเหลือดังนี้
1) กลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบประกันสังคม มีดังนี้
-
1.1 กลุ่มแรงงานตามมาตรา 33 สัญชาติไทยได้รับเงินช่วยเหลือเพิ่มเติมในอัตรา 2,500 บาทต่อคนจำนวน 1 เดือน ผ่านระบบประกันสังคมที่ได้มีการให้ความช่วยเหลือแก่ลูกจ้างและนายจ้าง ตามข้อ 4 ของกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน เนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ พ.ศ. 2563 ที่กำหนดว่าในกรณีมีเหตุสุดวิสัยที่ทำให้ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตน ซึ่งมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงาน ไม่ได้ทำงาน หรือ นายจ้างไม่ให้ทำงาน เนื่องจากทางราชการมีคำสั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว เพื่อป้องกันการระบาดของโรคให้ลูกจ้างมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างรายวัน (สูงสุดไม่เกิน 7,500 บาท) ตลอดระยะเวลาที่มีคำสั่งปิดสถานที่ แต่ไม่เกิน 90 วัน ซึ่งจะทำให้ผู้ประกันตนมาตรา 33 ได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐไม่เกิน 10,000 บาท
-
1.2 ผู้ประกอบการ หรือ นายจ้างจะได้รับความช่วยเหลือตามจำนวนลูกจ้างสูงสุดไม่เกิน 200 คน ในอัตรา 3,000 บาทต่อคน จำนวน 1 เดือน
-
1.3 ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 สัญชาติไทย ที่ยังคงประกอบอาชีพอยู่ในปัจจุบัน จะได้รับความช่วยเหลือในอัตรา 5,000 บาท จำนวน 1 เดือน
2) ผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ไม่ได้เป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 สัญชาติไทย ที่ยังคงประกอบอาชีพอยู่ในปัจจุบันให้เตรียมหลักฐานเพื่อลงทะเบียนเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 กับสำนักงานประกันสังคมภายในเดือนกรกฎาคม 2564 เพื่อให้สามารถได้รับความช่วยเหลือในอัตรา 5,000 บาท จำนวน 1 เดือน
3) กลุ่มผู้ประกอบการหรือนายจ้างที่มีลูกจ้าง แต่ปัจจุบันไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคมให้ดำเนินการ ดังนี้
-
3.1 กรณีที่เป็นผู้ประกอบการที่มีลูกจ้างให้ขึ้นทะเบียนนายจ้างในระบบประกันสังคม พร้อมทั้งขึ้นทะเบียนลูกจ้างเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 ในระบบประกันสังคมกับสำนักงานประกันสังคมภายในเดือนกรกฎาคม 2564 เพื่อให้สามารถได้รับเงินช่วยเหลือตามจำนวนลูกจ้างสูงสุดไม่เกิน 200 คน ในอัตรา 3,000 บาทต่อคน และลูกจ้างที่เป็นสัญชาติไทยจะได้รับความช่วยเหลือในอัตรา 2,500 บาทต่อคน จำนวน 1 เดือน ทั้งนี้ ลูกจ้างกลุ่มดังกล่าวจะยังมีคุณสมบัติไม่ครบตามเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือจากระบบประกันสังคม ทำให้ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากระบบประกันสังคม
-
3.2 กรณีที่เป็นผู้ประกอบการที่ไม่มีลูกจ้าง แต่ยังไม่อยู่ในระบบประกันสังคม ให้เตรียมหลักฐานสำหรับการลงทะเบียนเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ในระบบประกันสังคมกับสำนักงานประกันสังคม ภายในเดือนกรกฎาคม 2564 เพื่อให้สามารถได้รับความช่วยเหลือในอัตรา 5,000 บาท จำนวน 1 เดือน
-
3.3 กรณีที่เป็นผู้ประกอบการในระบบ “ถุงเงิน” ภายใต้โครงการคนละครึ่งและโครงการเราชนะในปัจจุบันที่ผ่านการตรวจสอบคัดกรองแล้ว และไม่เป็นผู้ถูกตัดสิทธิ์จากกระทรวงการคลังจะขยายการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในระบบ “ถุงเงิน” จากเดิมที่กำหนดให้ความช่วยเหลือเฉพาะผู้ประกอบการในหมวดร้านอาหารและเครื่องดื่มเป็น 5 กลุ่ม ประกอบด้วย ร้านอาหารและเครื่องดื่ม , ร้าน OTOP ,ร้านค้าทั่วไป , ร้านค้าบริการ และกิจการขนส่งสาธารณะ (ไม่รวมกิจการขนาดใหญ่ โดยให้ผู้ประกอบการในระบบ “ถุงเงิน”” ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานประกันสังคมเนื่องจากไม่มีลูกจ้าง ให้ดำเนินการลงทะเบียนเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 เพื่อให้สามารถได้รับความช่วยเหลือในอัตรา 5,000 บาท จำนวน 1 เดือน สำหรับผู้ประกอบการในระบบ “ถุงเงิน” ที่มีลูกจ้าง แต่ยังไม่อยู่ในระบบประกันสังคมให้ขึ้นทะเบียนนายจ้างในระบบประกันสังคมพร้อมทั้งขึ้นทะเบียนลูกจ้างเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ในระบบประกันสังคมภายในเดือนกรกฎาคม 2564 เพื่อให้สามารถได้รับความช่วยเหลือตามหลักการเดียวกันกับข้อ 3.1 ได้
“ในเบื้องต้นคาดว่าการดำเนินการตามมาตรการให้ความช่วยเหลือกลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการในระยะเร่งด่วนนี้จะมีกรอบวงเงินประมาณ 30,000 ล้านบาท โดยที่ประชุม ครม.ได้มอบหมายให้สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน รับไปพิจารณาเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการเยียวยานายจ้างและผู้ประกันตนมาตรา 33 ในกิจการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (กรุงเทพมหานครและปริมณฑล) ให้ครอบคลุมจำนวนเงินที่ให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม พื้นที่ และกิจการตามที่กำหนดเพิ่มเติม และเร่งลงทะเบียนกลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการที่ยังไม่อยู่ในระบบประกันสังคม เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่แรงงานและผู้ประกอบการตามหลักการที่กล่าวข้างต้น โดยขอรับการสนับสนุนแหล่งเงินเพื่อดำเนินตามมาตรการดังกล่าวตามขั้นตอนของพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 (พระราชกำหนดๆ เพิ่มเติม พ.ศ.2564) ต่อไป”
ทั้งนี้ ให้กระทรวงแรงงานกำหนดกลไกการตรวจสอบผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือ ทั้งกลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการไม่ให้มีความช้ำซ้อนกัน และให้จ่ายเงินช่วยเหลือผ่านระบบบัญชีธนาคารต่อไป
นอกจากนี้ที่ประชุม ครม.ยังมีมติเห็นชอบมาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน และภาคธุรกิจทั่วประเทศ เพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ อันเนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้แก่
1) มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภคชั้นพื้นฐาน (ไฟฟ้าและน้ำประปา) ให้แก่ประชาชนและภาคธุรกิจทั่วประเทศ ดังนี้
1.1) ค่าไฟฟ้า เสนอให้สิทธิส่วนลดค่าไฟฟ้า สำหรับบ้านอยู่อาศัยและกิจการขนาดเล็ก กิจการขนาดกลาง กิจการขนาดใหญ่ กิจการเฉพาะอย่าง องค์กรไม่แสวงหากำไร และการสูบน้ำเพื่อการเกษตร (ไม่รวมส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ) ดังนี้
-
1.1.1 ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 150 หน่วยต่อเดือน ให้สิทธิใช้ไฟฟ้าฟรี 90 หน่วยแรก
- กรณีหน่วยการใช้ไฟฟ้าน้อยกว่า หรือ เท่ากับใบแจ้งค่าไฟฟ้าเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ให้คิดค่าไฟฟ้าตามหน่วยการใช้ไฟฟ้าจริง
- กรณีหน่วยการใช้ไฟฟ้ามากกว่าใบแจ้งค่าไฟฟ้าเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ให้คิดค่าไฟฟ้าตามหน่วยการใช้ ดังนี้ สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 500 หน่วยต่อเดือน คิดค่าไฟฟ้าเท่ากับหน่วยการใช้ไฟฟ้าของใบแจ้งค่าไฟฟ้าเดือนกุมภาพันธ์ 2564 และสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้ามากกว่า 500 หน่วยต่อเดือน แต่ไม่เกิน 1,000 หน่วยต่อเดือน ให้คิดค่าไฟฟ้าเท่ากับหน่วยการใช้ไฟฟ้าของใบแจ้งค่าไฟฟ้าเดือนกุมภาพันธ์ 2564 บวกด้วยหน่วยการใช้ไฟฟ้าที่มากกว่าหน่วยการใช้ไฟฟ้าใบแจ้งค่าไฟฟ้าเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ในอัตราร้อยละ 50สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้ามากกว่า 1,000 หน่วย ให้คิดค่าไฟฟ้าเท่ากับหน่วยการใช้ไฟฟ้าของใบแจ้งค่าไฟฟ้าเดือนกุมภาพันธ์ 2564 บวกด้วยหน่วยการใช้ไฟฟ้าที่มากกว่าหน่วยการใช้ไฟฟ้าของใบแจ้งค่าไฟฟ้าเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ในอัตราร้อยละ 70 โดยให้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าก่อนการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม
1.1.2 ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าเกิน 150 หน่วยต่อเดือน ให้ส่วนลดค่าไฟฟ้า ดังนี้
1.1.3 ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการขนาดเล็ก (ไม่รวมส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ให้สิทธิใช้ไฟฟ้าฟรี 100 หน่วยแรก
1.1.4 ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการขนาดกลาง กิจการขนาดใหญ่ กิจการเฉพาะอย่าง องค์กรไม่แสวงหากำไร และการสูบน้ำเพื่อการเกษตร ให้ได้รับยกเว้นการเรียกเก็บอัตราค่าไฟฟ้าต่ำสุด (Minimum Charge) ไปจนถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2564 โดยให้ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทดังกล่าวจ่ายค่าความต้องการพลังไฟฟ้า (Dernand Charge) ตามกำลังไฟฟ้าที่ใช้จ่ายจริง
ทั้งนี้ การให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าสำหรับบ้านอยู่อาศัยและกิจการขนาดเล็ก กิจการขนาดกลาง กิจการขนาดใหญ่ กิจการเฉพาะอย่าง องค์กรไม่แสวงหากำไร และการสูบน้ำเพื่อการเกษตร (ไม่รวมส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ) เป็นระยะเวลา 2 เดือน สำหรับใบแจ้งหนี้ค่าไฟฟ้าประจำเดือนกรกฎาคม ถึงสิงหาคม 2564
1.2) ค่าน้ำประปา เสนอให้ลดค่าน้ำประปาลงร้อยละ 10 เฉพาะบ้านที่อยู่อาศัย และกิจการขนาดเล็ก (ไม่รวมส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ) เป็นระยะเวลา 2 เดือน สำหรับใบแจ้งหนี้ค่าน้ำประปาประจำเดือนสิงหาคม ถึงกันยายน 2564
“ที่ประชุม ครม.วันนี้ เห็นชอบให้หน่วยงานรับผิดชอบ อาทิ การไฟฟ้านครหลวง , การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค , การประปานครหลวง และการประปาส่วนภูมิภาค ดำเนินการตามมาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน (ไฟฟ้าและน้ำประปา) โดยขอรับสนับสนุนแหล่งเงิน เพื่อดำเนินตามมาตรกาดังกล่าวภายใต้กรอบวงเงินรวมไม่เกิน 12,000 ล้านบาท ตามขั้นตอนของพระราชกำหนด ฯเพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ต่อไป”
2.มาตรการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือนและประชาชน จากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส 2019 ทำให้สถานศึกษาส่วนใหญ่ไม่สามารถจัดการเรียนการสอนในรูปแบบปกติได้ ส่งผลให้ผู้ปกครองมีค่าใช้จ่ายในการศึกษาผ่านรูปแบบออนไลน์เพิ่มขึ้น ในขณะที่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้มีการประกาศให้สถานศึกษาภาครัฐ พิจารณาให้ความช่วยเหลือในการให้ส่วนลดเงินบำรุงการศึกษา , ค่าธรรมเนียมการศึกษา , ค่าธรรมเนียมการเรียน และค่าธรรมเนียมอื่นในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 เป็นกรณีพิเศษ เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ปกครองตามความจำเป็นและความเหมาะสมแล้ว
ดังนั้น เพื่อให้การให้ความช่วยเหลือภายใต้มาตรการดังกล่าวมีความครอบคลุมสถานศึกษาของเอกชนด้วย จึงเห็นควรมอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หารือกับสถานศึกษาในสังกัด เพื่อกำหนดแนวทางการลดค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา อาทิ พิจารณาให้ส่วนลดเงินบำรุงการศึกษา ค่าธรรมเนียมการศึกษา ค่าธรรมเนียมการเรียน และค่าธรรมเนียมอื่นในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 เป็นกรณีพิเศษ เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ปกครองตามความจำเป็นและความเหมาะสม พร้อมทั้ง มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จัดทำข้อเสนอโครงการในลักษณะที่กำหนดให้รัฐร่วมสมทบภาระส่วนลดให้แก่สถานศึกษาบางส่วนเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนโดยเร็วต่อไป โดยให้รายงานข้อสรุปแนวทางการดำเนินการและวงเงินที่จะใช้ดำเนินการภายใน 1 สัปดาห์
นอกจากนี้ ในกรณีที่สถานศึกษาภาคเอกชนประสบปัญหาทางการเงิน เห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รวบรวมข้อมูลปัญหาและความต้องการดังกล่าวและหารือร่วมกับกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย ในการพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาทางการเงินให้แก่สถานศึกษาภาคเอกชนที่มีความเหมาะสมต่อไป
3) มาตรการช่วยเหลือด้านการเงินและลูกหนี้ของสถาบันการเงิน เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
-
3.1) ที่ผ่านมาภาครัฐจะได้มีการตราพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 ภายในวงเงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท เพื่อให้สถาบันการเงินให้กู้ยืมเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจตามที่กำหนด และได้กำหนดให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ จัดให้มีสินเชื้อเพื่อเพิ่มสภาพคล่องชั่วคราวในการดำรงชีวิตให้แก่ประชาชนและบรรเทาความเดือดร้อนสำหรับผู้ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 รวมทั้งมาตรการพักชำหนี้ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจแล้ว
-
3.2 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 ที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นจน ทำให้ภาครัฐจำเป็นต้องออกข้อกำหนด (ฉบับที่ 27) เพื่อจำกัดและควบคุมกิจกรรมและการเดินทางระหว่างจังหวัดที่เข้มงวดเพิ่มขึ้น และคาดว่าจะมีประชาชนและผู้ประกอบการได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 เพิ่มขึ้น จนอาจจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ ทั้งในส่วนเงินต้นและดอกเบี้ยให้แก่สถาบันการเงินตามเงื่อนไขของสัญญาได้
ดังนั้น ที่ประชุม ครม.จึงเห็นควรมอบหมายให้กระทรวงการคลัง , ธนาคารแห่งประเทศไทย หารือกับธนาคารพาณิชย์ ดำเนินมาตรการผ่อนปรนการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ย หรือ การเลื่อนงวดการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้แก่ลูกค้าทั้งที่เป็นประชาชนและผู้ประกอบการอย่างจริงจัง และกำหนดมาตรการทางการเงินที่จะช่วยเหลือประชาชน สำหรับผู้ให้บริการทางการเงินที่อยู่นอกการกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย รวมทั้งกำหนดมาตรการจริงจังสำหรับผู้ทวงถามหนี้ที่ดำเนินการไม่เป็นธรรมกับประชาชน
ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย ติดตามความก้าวหน้าของมาตรการทางการเงินข้างต้นกับสถาบันการเงินอย่างใกล้ชิด และกำหนดช่องทางการร้องเรียนของประชาชนในกรณีที่สถาบันการเงินไม่ให้ความร่วมมือในการบรรเทาภาระทางการเงินของประชาชนข้างต้น เพื่อให้กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย พิจารณาดำเนินการอื่นๆต่อสถาบันการเงินดังกล่าวต่อไป
ส่วนมาตรการให้ความช่วยเหลือในระยะต่อไป เพื่อเตรียมความพร้อมในการดำเนินการมาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนและ ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่เหมาะสม ได้แก่ การพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการโดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมทั่วประเทศ เพื่อให้ภาครัฐมีข้อมูลประกอบการพิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการในลักษณะมุ่งเป้าได้ โดยที่ประชุม ครม.ได้มอบหมายให้กระทรวงแรงงาน เร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการที่มีลูกจ้างดำเนินการลงทะเบียนในระบบประกันสังคม พร้อมทั้งมอบหมายให้ สศช. ประสานกับกระทรวงแรงงาน และกระทรวงการคลัง เพื่อพิจารณากำหนดรูปแบบการให้ความช่วยเหลือ เยียวยาให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 ตามความเหมาะสมต่อไป