ThaiPublica > เกาะกระแส > รวมชาติกะเหรี่ยงเผ่าพันธุ์ทรหดที่ไม่มีวันตาย…กับกระแสแฮชแท็กขอย้ายประเทศ…

รวมชาติกะเหรี่ยงเผ่าพันธุ์ทรหดที่ไม่มีวันตาย…กับกระแสแฮชแท็กขอย้ายประเทศ…

6 พฤษภาคม 2021


ศรีนาคา เชียงแสน รายงาน

ที่มาภาพ : https://www.facebook.com/karennationalunion/photos/

ในขณะที่กระแสการอยากย้ายประเทศของคนรุ่นใหม่จำนวนมากของไทยกำลังมาแรง ถัดข้ามเส้นสมมติที่แบ่งความเป็นรัฐชาติออกไปไม่ไกลนัก เพื่อนบ้านเรากลุ่มหนึ่งกำลังพยายามและดิ้นรนอย่างหนักเพื่อจะหาทางรวมชาติของพวกเขาขึ้นมาใหม่ หลังจากต้องแตกสลายจากความเป็นชาติมานานกว่าหลายร้อยปี

ทุกอรุณรุ่งของวันใหม่ ทันทีที่นกเถื่อนร้องขับขานรับไออุ่นของแสงตะวัน คนกะเหรี่ยงในดินแดน “กอทูเล” (Kawthoolei) ทั้งชายหญิง เด็ก คนหนุ่มสาว และผู้เฒ่าผู้แก่ หยิบอาวุธของตนขึ้นมาแนบไว้ที่อกเพื่อสัมผัสถึงเลือดเนื้อและไออุ่นของเพื่อนคู่กาย ก่อนจะตรวจสอบ ทำความสะอาด และดูแลความพร้อมของมันราวกับเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมในชีวิตที่ขาดไม่ได้

สำหรับพวกเขา ปืนรุ่นเก่าคร่ำครึเหล่านี้อาจเป็นสมบัติมีค่าชิ้นเดียวที่สืบทอดผ่านจากบรรพบุรุษรุ่นแล้วรุ่นเล่า ที่เป็นทั้งอาวุธในการต่อสู้กับศัตรู และเป็นเครื่องรางปกป้องชีวิต เพราะปืนเหล่านี้มีจิตวิญญาณของวีรชนนิรนามที่ล้มหายตายจากไปจากการต่อสู้เพื่อรักษาผืนแผ่นดินสุดท้ายของบรรพบุรุษสิงสถิตอยู่ พร้อมที่จะปกป้องรักษาเผ่าพันธุ์และความเป็นมนุษย์ของนักรบกะเหรี่ยงเอาไว้ไม่ให้สูญสิ้นไป

คนกะเหรี่ยงในวันนี้ความฝันของพวกเขายังอีกยาวไกล ยังมิต้องกล่าวถึงประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพ ศักดิ์ศรีตามหลักสิทธิมนุษยชนใดๆ ขอแค่รอดตายจากสมรภูมิแดนเถื่อนมาได้แบบวันต่อวัน เพื่อประคับประคองความหวังของคนรุ่นลูกรุ่นหลานในการสร้างชาติของตนเองขึ้นมาใหม่ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว

เผ่าพันธุ์ทรหดที่ไม่มีวันตาย

กะเหรี่ยง เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีรายงานการศึกษายืนยันว่ากะเหรี่ยงอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาช้านาน โดยอาศัยอยู่ระหว่างพรมแดนไทย-เมียนมามาประมาณ 600-700 ปีมาแล้ว และยังมีหลักฐานมากมายยืนยันว่าพวกเขาอาศัยอยู่ในประเทศเมียนมา ก่อนที่เมียนมาจะครอบครองดินแดนแถบนี้

สำหรับสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง หรือ KNU (The Karen National Union) ก่อตั้งเป็นกลุ่มติดอาวุธชาวกะเหรี่ยงในเมียนมา ที่ทำการสู้รบกับรัฐบาลเมียนมาตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ในบริเวณอาณาเขตของพื้นที่ที่เรียกเป็นภาษากะเหรี่ยงว่า “กอทูเล” (พื้นที่จาก จ.แม่ฮ่องสอน-ตาก-กาญจนบุรี และเพชรบุรี)

นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2491 หลังจากอังกฤษคืนเอกราชให้กับเมียนมาในสมัยนั้น ฝ่ายเคเอ็นยูได้สู้รบกับเมียนมามานานเกินกึ่งศตวรรษมาแล้ว โดยร่วมกับกองกำลังชื่อว่า กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Liberation Army — KNLA) เป็นกำลังหลัก

คงไม่ผิดหากจะกล่าวว่าการสู้รบเพื่อเอกราชของชาวกะเหรี่ยงนับเป็นการสู้รบเพื่ออิสรภาพที่ยาวนานที่สุดในโลก คือนานมากกว่า 60 ปี และจนถึงปัจจุบันก็ยังมองไม่เห็นชัยชนะและหนทางในการรวมชาติของตนเองที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายนัก แม้ว่าในห้วงแรก KNLA จะเคยมีชัยชนะในภาคเหนือของเมียนมา และเข้ายึดครองมัณฑะเลย์ได้ แต่เนื่องจากไม่ได้รับการสนับสนุนเพียงพอ ภายหลังยิ่งถูกล้อมปราบอย่างหนักจนปัจจุบันเหลือฐานที่มั่นที่ยังคงต่อสู้เพื่อเอกราชของชาติพันธุ์กะเหรี่ยงต่อไปไม่มากนัก ส่วนใหญ่มีฐานที่มั่นอยู่ใกล้กับชายแดนไทยเท่านั้น โดยจัดตั้งกองกำลังเป็นหน่วยทหารกองโจรขนาดเล็กหลบซ่อนอยู่ตามแนวชายแดนไทย โดยใช้วิธีตั้งค่ายแบบชั่วคราวที่เคลื่อนย้ายหนีได้สะดวก มีการประทะกันประปรายโดยตลอดมาจนถึงปัจจุบัน

แม้กองทัพเมียนมาจะมีขีดความสามารถในทุกๆ ด้านที่จะกวาดล้างกองกำลังกะเหรี่ยงลงได้ แต่ก็จะสูญเสียกำลังพล ยุทธโปกรณ์ และงบประมาณไปมาก ซึ่งอาจทำให้กองทัพเมียนมาโดยรวมอ่อนแอลง ที่ผ่านๆ กองทัพเมียนมาจึงใช้การเจรจาทางการเมือง และสร้างสงครามตัวแทนในการจัดการกับ KNU เป็นหลัก

แผนที่รัฐกะเหรี่ยง
ธงชาติกะเหรี่ยง

ในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ผู้นำคนสำคัญของกะเหรี่ยงที่เป็นสัญลักษณ์และเป็นที่รู้จักกันดีของนานาชาติ คือนายพลโบเมียะ โดยเขาขึ้นเป็นผู้นำ KNU ยาวนานกว่า 30 ปี และมีการประกาศตนเป็นประธานาธิบดีของชาติกะเหรี่ยง มีศูนย์บัญชาการหรือฐานที่มั่นอยู่ที่ค่ายมาเนอปลอ

ในห้วง พ.ศ. 2519-2543 อาจกล่าวได้ว่ามาเนอปลอเป็นเมืองหลวงของรัฐกะเหรี่ยง และมีความเข้มแข็งรุ่งเรื่องมากที่สุดในประวัติศาสตร์กะเหรี่ยงสมัยใหม่ก็ว่าได้ เพราะเป็นที่รวมของสถาบันการบริหาร และหน่วยราชการต่างๆ ของรัฐกะเหรี่ยงในสมัยนั้น โดยทาง KNU ได้รับการสนับสนุนจากประเทศไทย (ตามนโยบายรัฐกันชน) และได้รับการสนับสนุนจากนานาชาติเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงยังสามารถเลี้ยงตนเองได้ ด้วยการอนุญาตเปิดให้มีการสัมปทานไม้ เหมืองแร่ และอัญมณีจำนวนมากในพื้นที่อิทธิพลของตน และยังควบคุมตลาดมืดและด่านค้าขายชายแดนไทย-เมียนมาได้เกือบหมด

KNU มีความเข้มแข็งมาก จนสามารถเป็นแกนนำดึงกลุ่มต่อต้านทหารเมียนมาในยุคนั้นเข้ามาร่วมลงนามใน “สัญญามาเนอปลอ” เมื่อ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2525 โดยมีข้อตกลงร่วมกันเพื่อทำการรบกับรัฐบาลทหารเมียนมาและร่วมมือกันสร้างแนวทางสร้างระบอบประชาธิปไตย สร้างความเท่าเทียมในชาติ และร่วมกันสร้างสหพันธรัฐ ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็น NCUB – National Council of the Union of Burma ที่ถือเป็นองค์กรร่วมของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดยุคนั้น นับจากได้รับเอกราชจากอังกฤษเป็นต้นมา ก่อนจะเกิดปัญหาความขัดแย้งภายใน และการแย่งชิงผลประโยชน์กับชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ตามแนวชายแดน จนถึงขั้นเปิดศึกกันเอง ทำให้เกิดความอ่อนแอภายในกำลังชนกลุ่มน้อยที่เคยจับมือร่วมกันต่อต้านทหารเมียนมา

นายพลโบเมียะ อดีตผู้นำ KNU ที่มีบทบาทในประวัติศาสตร์กะเหรี่ยงสมัยใหม่ ที่มาภาพ : https://www.facebook.com/karennationalunion/

ย้อนไปก่อนความแตกแยกภายในไม่นาน ทหารเมียนมาทุ่มเทความพยายาทุกวิถีทางในการล้อมปราบ KNU ให้ได้ เริ่มตั้งแต่เมื่อ 1 มกราคม พ.ศ. 2545 ทหารเมียนมาระดมกำลังเปิดยุทธการดอยหมานอน (ถวิ่ พา วีโจ) ร่วมมือที่ก่อล้อมปราบ และโจมตีฐานที่มั่นสำคัญที่ค่ายมาเนอปลอ แต่ก็ไม่สำเร็จ จนสุดท้าต้องพึ่งตำราพิชัยยุทธแต่โบราณด้วยการสร้างไส้ศึกนำผลประโยชน์เข้าไปล่อเพื่อให้เกิดความแตกแยกภายในกันเอง เช่น ส่งพระอุทุสะนะ (พระนักเคลื่อนไหวทางการเมืองคนสำคัญที่มีบทบาทในการปลุกระดมคนออกมาต่อต้านชาวโรฮิญา) เข้าไปชักชวน หว่านล้อมผู้นำกะเหรี่ยงสายพุทธ (ทั้งสายพลเรือน และทหาร) ให้แยกตัวจาก KNU ที่ส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ จนมีการแยกตัวไปจัดตั้งกองกำลังใหม่ เป็นกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธ หรือ Democratic Karen Buddhist Association — DKBA เมื่อ ธันวาคม พ.ศ. 2537 (ในระยะแรกมี พล.ท. พะโด่ มาน เย เส่ เป็นผู้นำรักษาการ )

กองกำลังกลุ่มนี้ได้รับมอบอาณาเขตพื้นที่ส่วนหนึ่งให้ปกครองตนเองเป็นการแลกเปลี่ยนที่ยอมร่วมมือกับรัฐบาล กองกำลังกะเหรี่ยงพุทธนี้เอง ที่มีส่วนสำคัญช่วยรัฐบาลทหารเมียนมายึดกองบัญชาการเคเอ็นยูที่ค่ายมาเนอพลอได้ เหตุผลที่กะเหรี่ยงกลุ่มนี้อ้างในการเข้ากับฝ่ายรัฐบาลคือการถูกเอาเปรียบ เหลื่อมล้ำและไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกะเหรี่ยงฝ่ายเคเอ็นยูซึ่งนับถือศาสนาคริสต์ และเข้าร่วมกับกองทัพเมียนมาเข้าโจมตีค่ายมาเนอปลอ จนสามารถยึดเมืองหลวง และฐานที่มันแห่งสำคัญนี้ได้เมื่อ 27 มกราคม พ.ศ. 2538 KNU ถูกตีแตกพ่าย จนต้องย้ายศูนย์บัญชาการไปอยู่ที่ค่ายกอมูร่า ก่อนที่ทหารเมียนมา และ DKBA จะตามมาถล่มจนฐานที่มั่นแห่งนี้ต้องแตกลงอีกภายในเวลาประมาณไม่ถึงเดือนเท่านั้น (20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2538)

ท่ามกลางความสูญเสียชีวิตและเลือดเนื้อของทั้งสองฝ่าย หลังจากนั้น KNU ก็ต้องย้ายศูนย์บัญชาการมาที่พื้นที่ จ.ดูปล่าหย่า มีศูนย์บัญชาการกระจายในหลายพื้นที่ ตัวนายพลโบเมียะ ได้ลดบทบาทตัวเองลงมาเรื่อยๆ และถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2549 ในโรงพยาบาลในประเทศไทย

พล.อ. มูตู ซอ พอ ประธานสูงสุด KNU

จนปัจจุบัน KNU มีศูนย์บัญชาการอยู่ที่ค่ายเซเบทะ ตรงข้ามบ้านแม่สลิดน้อย ต.แม่สอง อ.ท่าสองยาง จ.ตาก และที่บ้านแม่ตะรอท่า อ.กอกาเร็ก จ.ดูปล่าหย่า (ที่ตั้งกองพลที่ 6 ) มี พล.อ. มูตู เซ พอ เป็นประธานสูงสุดของ KNU และมีนางซิปโปร่า เส่ง เป็นรองประธาน มีพลเอกจอนนิ เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด

ตามทำเนียบกำลังรบ มีข้อมูลเบื้องต้นว่า มี 6 บก.ยุทธการ 17 กองพัน และ 2 กองพันรักษาความปลอดภัย โดยมีกองพันรบที่โดดเด่นและเป็นข่าวดังตามหน้าสื่อมาตลอดคือ กองพลน้อยที่ 5 ที่บ้านเดปุนุ เมือง มือตรอ (กองพลน้อยที่ 5 ตรงข้าม อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ) มี พล.อ. บอจ่อแฮ เป็นผู้บัญชาการ และด้วยอุดมการรักชาติและบุคลิกที่โด่ดเด่นทำให้เขากลายเป็นที่จับตาของประชาคมโลกในฐานะนายทหารกะเหรี่ยงผู้เข้มแข็ง (จบหลักสูตรคอมานโดจากประเทศอังกฤษ) ที่หาญกล้าเปิดยุทธการเข้าโจมตีช่วงชิงฐานที่มั่นของทหารเมียนมาในพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญริมน้ำสาละวินในปัจจุบัน

พล.ท. บอจ่อแฮ ผบ.กองพลน้อย ที่ 5

นอกจากนี้ยังมีกลุ่มกองกำลังย่อยอื่นๆ เช่น องค์กรป้องกันแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen Nation Defense Organization — KNDO) ปัจจุบันมี พล.ต. เนอดา โบ เมียะ (บุตรชายของ นายพล โบ เมียะ อดีตผู้นำสูงสุด KNU ) เป็นกองกำลังติดอาวุธอีกกลุ่มหนึ่งของกะเหรี่ยง KNU ควบคู่กับ KNLA ซึ่งเริ่มต่อสู้กับรัฐบาลตั้งแต่ปี 2490 ในฐานะกองกำลังติดอาวุธของกะเหรี่ยง KNU ก่อนที่จะมีการตั้ง KNLA เป็นกองกำลังติดอาวุธอย่างเป็นทางการที่เข้าร่วมสู้รบเคียงข้าง KNLA มาตลอดเช่นกัน

กะเหรี่ยงพุทธ-กะเหรี่ยงคริสต์ “แผลใจ”อุปสรรคของการรวมชาติ

กองกำลังกะเหรี่ยงประชาธิปไตยฝ่ายพุทธ (DKBA) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ 2538 โดยกองทัพเมียนมาโน้มน้าวให้พระภิกษุอุทูสะนะ ผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวกะเหรี่ยงสายพุทธให้เข้ามาเจรจาทางลับ หว่านล้อมให้ผู้นำพลเรือน และฝ่ายกุมกำลังของชาวกะเหรี่ยงสายที่นับถือศาสนาพุทธ เพื่อให้แยกตัวออกมาจากกะเหรี่ยง KNU

เนื่องจากความขัดแย้งทางศาสนาโดยมองว่าพวกเขาถูกเอาเปรียบ เหลื่อมล้ำ และไม่ได้รับความเป็นธรรมจากชาวกะเหรี่ยง KNU ที่นับถือศาสนาคริสต์ ผ่านไปสิบห้าปี DKBA ก็ถูกแปลงรูปร่างไปเป็นกองกำลังป้องกันชายแดน BGF ปี พ.ศ. 2554 มีการจัดการรูปแบบของทหารชัดเจนขึ้น โดยตั้ง กองพัน ขึ้น 12 กองพัน เริ่มแต่ 1011-1022 มี 4 กรม ทำหน้าที่เป็นกองกำลังพิทักษ์ถิ่น ขึ้นการบังคับบัญชากับกองทัพเมียนมา

แต่ปัจจุบันมีกรม BGF ที่มีอิทธิพลค่อนข้างมากในพื้นที่ตลอดแนวชายแดนไทยด้านตรงข้าม จ.ตาก คือ BGF กรม 2 ที่มี พ.ต. โม้โต่ง เป็น ผบ.กรม และ BGF กรม 3 โดยมี พ.อ. ซอชิดตู่ เป็น ผบ.กรม 3 (คนไทยเรียก หม่องชิดตู) พ.ต. โม้โต่ง เป็น ผบ.กรม 2 โดยมีการแบ่งพื้นที่แบบง่ายๆ ด้านเหนือเมียวดี กรม 3 เป็นผู้ควบคุม ส่วนด้านใต้เมียวดี ให้กรม 2 เป็นผู้ควบคุม โดยได้รับเอกสิทธิ์ในการทำมาหากินในพื้นที่ตามแนวชายแดนมาตลอด 25 ปี จนทำให้ชื่อชิดตู่กับโม้โต่ง เป็นที่รู้จักของนักธุรกิจทุกรูปแบบ

ต่อมาทั้งสองคนกลายเป็นผู้มีอิทธิพลและมากบารมี เนื่องมาจากควบคุมธุรกิจสีเทาตามแนวชายแดนด้านตรงข้าม จ.ตาก ตั้งแต่พื้นที่ อ.แม่สอด อ.แม่ระมาด อ.พบพระ โดยเฉพาะฝั่งเมียวดี ตั้งแต่ท่าข้ามขนส่งสินค้ากว่ายี่สิบแห่ง บ่อนคาสิโนนับสิบๆ แห่ง หรือการดูแลโครงการหมื่นล้านในการสร้างเมืองใหม่ของจีน ที่ส่วยก๊กโก่ (ซึ่งตามแผนงานจะมีสนามบินแห่งใหม่เป็นของตัวเอง และมีคอมเพล็กซ์ย่อยๆ ภายในจำนวนมาก โดยมีกลุ่มทุนใหญ่จากจีน Yatai มาเป็นโต้โผ้ใหญ่ในการระดมทุนและดำเนินการ ก่อนหน้านี้เมื่อได้อำนาจจากทหารเมียนมาใหม่ๆ ก็เริ่มต้นจากควบคุมธุรกิจไม้ พัฒนามาเป็นม้า และจากม้าก็ยกระดับมาเป็นบ่อน เป็นคอมเพล็กซ์ ไม่ต้องนับธุรกิจเถื่อนๆ เทาๆ เช่น สินค้าหนีภาษี (โดยเฉพาะเหล้า บุหรี่ เบียร์ ไวน์) และแม้กระทั่งรถยนต์มือสองจากญี่ปุ่น ที่ผ่านออกทางช่องทางนี้นับแสนคัน

ยี่สิบกว่าปีของผู้นำ BGF ทำให้พวกเขาแปรสภาพไปเป็น “กองทัพธุรกิจ” โดยปริยาย แน่นอนว่าผลจากการเลิกทำสงครามสู้รบทำให้วิถีชีวิตชาวบ้านในพื้นที่เขตอิทธิพลของ BGF สะดวกสบาย มีชีวิตที่สงบสุข อิ่มปากอิ่มท้องมากกว่าชาวบ้านมวลชนกะเหรี่ยง KNU ตามที่เราพบเห็นในพื้นที่ชายขอบ แต่ทั้งหมดนี้กลายเป็นอุปสรรคสำคัญของการรวมชาติตามความฝันของบรรพชนกะเหรี่ยงก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน

เมื่อรัฐบาลซูจีเข้ามาบริหารประเทศห้าปีที่ผ่านมา ต้องใช้เงินพัฒนาประเทศ แต่การเก็บภาษีจากนำเข้าส่งออกชายแดนนั้นได้น้อยมาก เพราะพื้นที่เป็นเขตอิทธิพลของชนกลุ่มน้อย ดังนั้นนับจากต้นปี 2563 เป็นต้นมา ทางการเมียนมาพยายามจะเข้ามาจัดการระบบการค้าชายแดนเสียใหม่ ให้เข้าสู่ระบบที่ทางการสามารถควบคุมได้มากกว่าที่เป็นมา แม่ทัพภาคตะวันออกเฉียงใต้ที่คุมพื้นที่ด้านนี้ถูกบีบให้หาทางปลดสองนายพล BGF ออกจากตำแหน่งเพื่อเปิดทางจัดระบบระเบียบชายแดนใหม่

โดยเมื่อ 6 มกราคม 2564 กองทัพได้กดดันให้ บุคคลสำคัญผู้ทรงอิทธิพล 2 คน (พ.อ. หม่องชิตตู่ และ พ.ต. โมโต่ง) ของ BGF ลาออกจากการเป็นทหาร โดยเมื่อระหว่างวันที่ 14-15 มกราคม 2564 พ.อ. หม่องชิตตู่ ได้เข้าเจรจากับผู้แทนกองทัพเมียนมาโดยได้ยื่นใบลาออกพร้อมกับนายทหารหลักของ BGF จำนวน 90 นาย และจะกลับไปเข้ากับกลุ่ม DKBA ดังเดิม ส่งผลให้กองทัพเมียนมาสั่งระงับการลาออกของกลุ่มนายทหาร BGF และให้ดำรงตำแหน่งตามเดิม ส่วน พ.ต. โมโต่ง ที่มีการยื่นใบลาออกไปก่อนหน้านี้ เมื่อ 9 มกราคม 2564

ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าทางกองทัพเมียนมาไม่อยากให้ BGF กลับเข้าไปร่วมกับ DKBA เพราะหากกลับเข้าไปแล้วอาจมีการไปจับมือกับทาง KNU อีกก็จะไม่ส่งผลดีกับกองทัพเมียนมา โดยผู้นำ BGF เองก็เล่นเกมอำนาจได้เหนือชั้นเพราะไม่อยากเสียธุรกิจและทรัพย์สินที่มีมูลค่ากว่าห้าร้อยล้านบาทไปง่ายๆ

ระหว่างที่เรื่องราวกระชับพื้นที่ชายแดนดำเนินไปในทิศในทางที่ดีขึ้น แต่ไม่ทันสำเร็จก็เกิดเหตุการณ์ยึดอำนาจรัฐบาลพลเรือนที่ชนะการเลือกตั้งเสียก่อน จนนำมาสู่เหตุการณ์เปิดศึกสู้รบระหว่าง KNU กับทหารเมียนมา ตั้งแต่เดือนมีนาคม เป็นต้นมา และแนวโน้มที่เห็นคือฝ่ายทหารเมียนมาตกอยู่ในวงล้อมและเป็นฝ่ายเสียเปรียบ KNU ที่ชำนาญการรบแบบกองโจรมากกว่า

จนเกิดเหตุการณ์ KNU สามารถเข้ายึดฐานที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของฝ่ายเมียนมาได้ ทำให้เกิดการสูญเสียมากมายต่อฝ่ายเมียนมา ในที่สุดกองทัพเมียนมาก็หันมาใช้บริการกองกำลัง BGF คือให้กะเหรี่ยงรบกันเอง ฆ่ากันเอง เหมือนเดิม แล้วอย่างนี้จะรวมชาติได้อย่างไรกันหรือ

เมืองใหม่ ส่วยก๊กโก่ ชายแดนด้าน อ.แม่สอด จ.ตาก

ชาติกับผลประโยชน์จะเลือกอะไร

ก่อนหน้านี้ พ.อ. เกลอ โด่ โฆษกกองพลที่ 5 สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง KNU ให้สัมภาษณ์แก่ศูนย์ข้อมูลกะเหรี่ยง KIC ว่า “ทุกครั้งที่กองทัพเมียนมาเกิดความสูญเสีย พวกเขาจะไปกระทำลงกับประชาชน เพราะทหารเมียนมาไม่สามารถที่จะเอาคืนกับกองกำลัง KNU-KNLA ได้ เป็นวิธีการที่กองทัพเผด็จการเมียนมาใช้เพื่อให้ประชาชนกะเหรี่ยงหันกลับมากดดันทหารกะเหรี่ยงไม่ให้ทำการโจมตีกองทัพเมียนมาอีก ตอนนี้กองทัพเมียนมามีกำลังไม่เพียงพอ จึงขอกำลังสนับสนุนจากกองกำลังพิทักษ์ชายแดน BGF เพราะกองทัพเมียนมาต้องการส่งเสบียง กำลังบำรุง จากพื้นที่เมืองกะมาหม่อง มายังเมืองผาปูน รวมถึงส่งเสบียงบำรุงมายังค่ายทหารเมียนมาต่างๆ ในเขตพื้นที่ชายแดนริมแม่น้ำสาละวิน BGF รับเงินเดือนจากกองทัพเมียนมา เมื่อมีคำสั่งก็ต้องทำตาม”

นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า BGF ส่งกำลังเข้ามาเพิ่มรวมทั้งหมด 550 นาย ซึ่งภารกิจของ BGF คือส่งเสบียงให้ทหารเมียนมา ขณะนี้ BGF บางส่วนได้เข้าไปร่วมปฏิบัติการกับกองทัพเมียนมาในพื้นที่กองพลที่ 1 ของ KNU ที่ผ่านมาการปฏิบัติการของ BGF แทบไม่ต่างจากกองทัพเมียนมา คือแทบไม่สนใจความเป็น “คนกะเหรี่ยง” อีกต่อไป พวกเขาเข้าไปปล้นสะดม แย่งชิงเอาอาหารของชาวบ้าน ยิงปืนในชุมชน และสถานการณ์ล่าสุดคือ กองทัพเมียนมาตัดสินใจออกคำสั่งใช้กองกำลัง BGF เข้ายึดคืนค่ายและฐานทหารเมียนมาทั้งหมดที่ถูก KNLA โจมตีและยึดไปให้กลับคืนมาทั้งหมด

ศึกในรอบนี้คือ คนกะเหรี่ยงต้องหันอาวุธเข้าประหัดประหารกันเอง โดยมีข้ออ้างดั้งเดิมของบรรดาแกนนำว่าเกิดจากความเป็นพุทธ ความเป็นคริสต์ แต่แท้จริงแล้วมันคือกิเลสที่มีผลประโยชน์ตอบแทนเป็นตัวล่อใจ หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ ไม่มีวันที่ความฝันในการรวมชาติกะเหรี่ยงจะบรรลุได้


แผนที่สถานการณ์สู้รบระหว่าง KNU กับ ทหารเมียนมา

พล.อ. บอจ่อแฮ ผบ.พลน้อยที่ 5 กล่าวเรียกร้องไปถึง BGF ว่า “อยากจะถามว่า กองกำลังพิทักษ์ชายแดน BGF ที่จะเข้ามาเปิดศึกในพื้นที่กองพลที่ 5 เหล่านี้ เคยคิดและรู้สึกหรือไม่ว่าพวกเขาคือคนกะเหรี่ยง เคยรู้สึกหรือไม่ว่านี้คือ รัฐกะเหรี่ยง แผ่นดินของคนกะเหรี่ยง แน่นอนว่าอาจมีบ้างที่ชนชาติพันธ์ุอื่นอยู่ร่วมในกองกำลัง รวมถึงทหารเมียนมาด้วย แต่พวกเราเข้าใจว่ากองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยงได้รับการจัดตั้งและรวบรวมโดยคนกะเหรี่ยง ผมอยากจะบอกว่า พวกเราคนกะเหรี่ยงด้วยกันต้องมาเผชิญหน้ากัน รบฆ่าฟันกันเองด้วยความรุนแรง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่สมควร แต่เมื่อพวกเขารับคำสั่งจากเผด็จการทหารเมียนมา มาทำร้ายประชาชนของเรา ลุกล้ำแผ่นดินของเรา เราคงอยู่เฉยไม่ได้ ในฐานะที่เรามีกำลังพล เรามีอาวุธอยู่ในมือ ผมอยากจะบอกเพียงว่า หากพวกเขารับคำสั่งและทำตามเผด็จการทหารเมียนมา ทำร้ายประชาชน เราทุกคนรู้ดีว่าต้องทำอย่างไร”

แล้วบทบาทของไทยอยู่ที่ไหน

เชื่อว่าในระยะเวลาต่อจากนี้การสู้รบระหว่าง KNU กับทหารเมียนมายังต้องดำเนินต่อไปอีกนาน เนื่องจากทาง KNU ตั้งเป้าหมายจะกวาดล้างกองกำลังทหารเมียนมาที่เข้ามาตั้งฐานในพื้นที่อิทธิพลของตนออกไปให้หมด (จากข้อมูลปัจจุบัน ทราบว่ามีกองกำลังทหารเมียนมาเข้ามาตั้งฐานปฏิบัติการตามจุดยุทธศาสตร์ต่างๆ ในพื้นที่อิทธิพลของ KNU จำนวนมากถึง 82 ฐาน ซึ่งแน่นอนว่าทางกองทัพเมียนมาไม่มีวันยอมเสียฐานที่มั่นของตนแม้แต่แห่งเดียว

ตามยุทวิธีการรบแล้ว ทางกองทัพเมียนมาเลือกที่จะตอบโต้การเข้าโจมตีของ KNU อย่างทันควัน ด้วยการใช้พลานุภาพของกองกำลังทางอากาศที่เหนือกว่า และ KNU ไม่สามารถจะตอบโต้ได้เลย เพราะทหารส่วนใหญ่มีเพียงอาวุธประจำกาย ทำได้เพียงการรบแบบกองโจรเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม การระดมโจมตีและทิ้งระเบิดของกองทัพเมียนมาก็ไม่สามารถเข้ายึดครองพื้นที่ยุทธศาสตร์จริงๆ คืนมาได้ ต้องใช้กำลังทหารราบ คือทหารเมียนมาและ BGF เข้ากวาดล้างอีกทีหนึ่ง

บทบาทของฝ่ายไทยในห้วงเดือนเศษๆ ที่ผ่านมา ทำได้เพียงการระมัดระวังชายแดน ไม่ให้มีการล่วงล้ำเข้ามา และอำนวยความสะดวกในการอพยพพลเรือนไทยที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบไปยังพื้นที่ปลอดภัย รวมทั้งพยายามจัดระบบ อำนวยความสะดวก (แบบจำกัด) ให้กับกลุ่มชาวบ้านที่อพยพหนีภัยเข้ามา (ทางราชการเรียกพวกเขาว่า “กลุ่มผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมา (ผภสม.)”

ทั้งนี้มีนโยบายที่ชัดเจน จากระดับสูงของไทยว่า ในดำเนินการนำผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมา พักรอในพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว (พื้นที่แรกรับ) ซึ่งอยู่ในการกำกับดูแลของทางทหาร บริเวณชายแดน โดยมีการคัดกรองโควิด-19 และแยกพื้นที่กรณีมีผู้ติดเชื้อตามมาตรการสาธารณสุขต่อไป และในส่วนกระบวนการทางสาธารณสุขอื่นๆ ได้มีมาตรการในการเตรียมความพร้อมรองรับไว้ครบถ้วนแล้วตามหลักมนุษยธรรม

ผู้อพยพชาวกะเหรี่ยง ที่มาภาพ : https://www.ucanews.com/news/thailand-urged-not-to-force-karen-refugees-back-to-myanmar/91938#

หากเกิดกรณีการสู้รบมีความรุนแรงและยืดเยื้อมีแผนดำเนินการเคลื่อนย้ายผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมา เข้าไปพักรอในพื้นที่พักรอที่จัดเตรียมไว้ ซึ่งห่างจากชายแดน ประมาณ 1 กิโลเมตร โดยจะดูแลตามหลักมนุษยธรรม (อาหาร, น้ำ, ยารักษาโรค) โดยมีหน่วยงานภาครัฐ องค์กรการกุศลเอกชนที่เกี่ยวข้องในการสนับสนุนช่วยเหลือ และยังไม่มีประกาศรับบริจาคแต่อย่างใด

การช่วยเหลือราษฎรไทยที่ได้รับผลกระทบเบื้องต้นอยู่ในความดูแลช่วยเหลือจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานภาครัฐ หากเกินขีดความสามารถจะได้ประกาศขอรับบริจาคต่อไปและหากมีผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมาหลบหนีข้ามฝั่งมายังฝั่งไทย ในเบื้องต้นจะกำกับดูแลโดยฝ่ายทหาร หากเกินขีดความสามารถจะประสานจังหวัดแม่ฮ่องสอนเพื่อประกาศขอรับบริจาคช่วยเหลือต่อไป

สำคัญที่สุดคือแนวนโยบายแห่งรัฐต่อสถานการณ์ครั้งนี้ ประเทศไทยไม่สนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มุ่งเน้นให้ประชาชนชาวไทย ที่อยู่ใกล้กับพื้นที่ ที่เกิดเหตุการณ์ได้รับความปลอดภัยสูงสุดและทั้งนี้จะดูแลช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย อย่างเท่าเทียมกัน เหล่านี้….ดูช่างเป็นคำตอบที่โลกสวยเหลือเกินสำหรับพี่ไทยเรา

ขณะที่กำลังเขียนรายงานฉบับนี้ ในพื้นที่กำลังมีฝนตกลงมาอย่างหนัก และทราบว่ากำลังมีชาวบ้าน ผู้หญิง เด็ก คนชรา รวมไปถึงเด็กทารกจำนวนมาก เลือกจะอพยพหลบซ่อนภัยสงครามอยู่ตามป่าเขา อาศัยเพิงพักที่สร้างขึ้นแบบง่ายๆ พอมีที่ซุกหัวนอนหลบแดดหลบฝน พวกเขากำลังต้องเผชิญกับความอดอยาก หิวโหย และความหนาวเหน็บ พวกเขายังไม่ไม่อยากหนีข้ามมาฝั่งประเทศไทย เพราะหลายครั้งที่ผ่านมาพวกเขาพบว่ามิตรที่แสนดีเปลี่ยนไป ยังไม่ทันได้ตั้งหม้อก่อไฟหุงข้าว พวกเขาก็ถูกพลักดันให้กลับออกไปจากชายแดนไทยเสียแล้ว

ผู้อพยพชาวกะเหรี่ยง ที่มาภาพ : https://www.facebook.com/karenwomenorganization/photos/pcb.10159288851992208/10159288847707208

…ภาพของเพื่อนมนุษย์ชาวกะเหรี่ยงลอยอยู่ในมโนสำนึกของผม ในขณะที่ทวิตเตอร์ในมือถือของผม มีแต่ข่าวคนหนุ่มสาวไทยรุ่นใหม่ กำลังตั้งแฮชแท็กขอย้ายประเทศ….