ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯ แจงปม “ผู้ลี้ภัยเมียนมา” ยึดหลักมนุษยธรรม – มติ ครม.ตั้ง กบช. บังคับนายจ้างออมเงินให้ลูกจ้าง

นายกฯ แจงปม “ผู้ลี้ภัยเมียนมา” ยึดหลักมนุษยธรรม – มติ ครม.ตั้ง กบช. บังคับนายจ้างออมเงินให้ลูกจ้าง

30 มีนาคม 2021


น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์, นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (ซ้าย-ขวา)
4 รัฐมนตรีใหม่ใน ครม. ประยุทธ์ 2/4 สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบรัฐบาล

นายกฯ แจงปม “ผู้ลี้ภัยเมียนมา” ยึดหลักมนุษยธรรม-เดือดร้อนจริงไม่ปฏิเสธ-สั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วย “ไรเดอร์” ถูกเอาเปรียบ-มติ ครม.ตั้ง กบช.บังคับนายจ้างออมเงินให้ลูกจ้าง-สร้างเหรียญที่ระลึกพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสฯ

เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ซึ่งถือเป็นการประชุมนัดแรกใน ครม. ประยุทธ์ 2/4

แจงปม “ผู้ลี้ภัยเมียนมา” ยึดหลักมนุษยธรรม-เดือดร้อนจริงไม่ปฏิเสธ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงกรณีที่กลุ่มชาติพันธุ์ทะลักเข้าประเทศไทยและถูกผลักดันไป เนื่องจากตอนนี้ผู้รับผิดชอบและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ข้อมูลไม่ตรงกัน ว่า ตนดูจากภาพที่สื่อนำออกมาเผยแพร่แล้ว คิดว่ายังไม่ถึงขั้น “ทะลัก” ซึ่งในความเป็นจริงได้มีการเจรจาพูดคุย ซึ่งผู้อพยพหลายคนมีการเข้ามาตามหมู่บ้านต่างๆ มาก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่พบก็ได้พูดคุยทำความเข้าใจ ซึ่งหากไม่ใช่พื้นที่ที่ประสบปัญญาก็ขอความร่วมมือให้กลับไปก่อน ซึ่งเห็นว่านี่คือ “มนุษยธรรม”

“พอเจอเราก็ชี้แจง ถามเขาว่ามันมีปัญหาอะไรในประเทศของเขาในส่วนที่ทำอยู่ตอนนี้เขาก็บอกว่าไม่มี หากไม่มีก็กลับไปก่อนได้ไหม ไม่ได้เอาปืนผาหน้าไม้ไปจี้ไล่เขาเมื่อไหร่ ก็จับไม้จับมืออวยพรให้กันด้วยซ้ำไป คือมนุษยธรรมนะเอาไว้สถานการณ์รุนแรงขึ้นแล้วก็ค่อยๆ แก้ไปแล้วกัน”

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า ไทยมีประสบการณ์เรื่องนี้มาหลายปีแล้ว มีศูนย์อพยพประมาณ 9 ศูนย์ รองรับผู้อพยพมาประมาณ 10-20 ปี จำนวนกว่า 400,000 คน ซึ่งปัจจุบันเหลือประมาณ 100,000 คนที่ต้องดูแล

“เดิมก็เคยสัญญาว่าจะเอากลับ เพราะมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก็ต้องหยุดไว้อีก ของใหม่ก็ต้องเตรียมการให้พร้อม เราต้องดูแลมนุษยธรรม ประสบการณ์เราเยอะในเรื่องนี้ ไม่ต้องห่วง เราผลักดันไปไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าเขารบกันอยู่จะผลักดันไปได้อย่างไร ถ้าหากไม่มีก็กลับไปก่อนได้ไหม”

เมื่อถามว่าสถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมา มีชาวเมียนมาอพยพเข้ามาหวังพึ่งไทย เรามีการเตรียมรับอย่างไร พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ทำไมตนต้องพูดตรงนี้ มันเป็นเรื่องของความมั่นคง ถ้าถึงเวลาตนก็ตัดสินใจเอง การจะไปประกาศรับนู่นนี่มันใช่ เข้ามาแล้วจะทำอย่างไรต่อไปเราก็เตรียมแผน จำเป็นก็เข้ามาแล้วก็ดูแลเขาเท่านั้นเอง อย่าเปิดประเด็นเลยเรื่องนี้

เมื่อถามว่า ได้มอบนโยบายเจ้าหน้าที่ชายแดนอย่างไร เพราะมีการแจ้งว่ารับนโยบายให้บล็อกผู้ลี้ภัย พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า เราก็จำเป็นเพราะเป็นเขตแดนไทย การจะเข้ามาก็ต้องเข้ามาโดยกฎหมายเป็นอันดับแรก แต่ในสถานการณ์การสู้รบก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้ามันเกิดภัยพิบัติมาเกิดการบาดเจ็บล้มตายตรงนู้นเขาก็อาจจะเข้ามา เราก็ต้องหามาตรการของเรา ผมเตรียมเรื่องนี้ไว้แล้ว

เมื่อถามย้ำว่าจะไม่มีการผลักดันให้ผู้อพยพลี้ภัยกลับประเทศใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรียืนยันว่าไม่ผลักดัน ถ้าเดือดร้อนจริงๆ มีการสู้รบกันไทยก็ปฏิเสธไม่ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะให้ประกาศโครมครามได้ยินดีรับใครเข้ามามันไม่ใช่

เมื่อถามว่าสั่งการให้เจ้าหน้าที่มีแนวปฏิบัติอย่างไร พล.อ. ประยุทธ์ ระบุว่า มีหมดในสิ่งที่ตนพูด สั่งทั้งผู้บัญชาการทหารบก กระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ไปแล้ว เขามีวิธีการของเขา เรื่องอะไรที่มันอันตรายอย่าเพิ่งไปกระพือข่าวนักเลย เมื่อถามว่าหากมีจำนวนผู้อพยพเข้ามามากขึ้นเราจะประสานสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) หรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ต้องประสาน เขามาอยู่แล้วไม่ต้องกลัว มีมาตลอด บางทีมาแล้วก็ไปไม่ได้ในตอนนี้ การจะไปอยู่ประเทศโน้นประเทศนี้แล้วไปได้กี่คน มันก็ค้างอยู่ในนี้ ทุกคนมีความหวังที่จะไปประเทศโน้น

“เราคุยกันเฉยๆ ในหลักการ ไม่ได้แก้ตัว วันนี้นายกฯ ใจเย็นที่สุดแล้ว พูดกับสื่อต้องยิ้ม เดี๋ยวชอบหาว่าเราหน้างอหน้าหงิก บางทีคิดมันก็เครียด หน้าตาก็เลยเครียด จริงๆ แล้วเป็นคนใจดี ทุกคนรู้นิสัยฉันอยู่แล้ว”

เมื่อถามว่า ไทยแบกภาระตามแนวชายแดนมากไปหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า สื่อถามว่าเราจะรับหรือเปล่า นายกฯ ก็บอกว่ารับแล้วจะเป็นภาระต่อไปอย่างไร มันเป็นคำตอบอยู่ในตัวอยู่แล้ว ถ้าถามคำถามที่สองไปหาคำตอบจากคำถามที่หนึ่ง เมื่อถามว่าห่วงเชื้อโควิดที่จะเข้ามาด้วยหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เราได้เตรียมมาตรการไว้แล้ว ทั้งโรงพยาบาลสนามต่างๆ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงการเคลื่อนไหวชุมนุมของกลุ่มหมู่บ้านทะลุฟ้าและแนวร่วมในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ โดยกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า “ก็ให้เขาปฏิบัติตามขั้นตอนตามกฎหมาย ของไปห้ามใครไม่ได้อยู่แล้ว”

มอบฝ่ายมั่นคง หาทางออกปมย้ายสนามบินอุดร ฯ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงกรณีแนวคิดการย้ายท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี (สนามบินอุดรธานี) ที่มีการฝึกร่วมระหว่าง ไทย-สิงคโปร์ เพราะกระทบกับชาวบ้าน มีความคืบหน้าอย่างไร ว่า เรื่องการฝึกร่วมต่างๆ ก็ไปหารือกัน ฝ่ายมั่นคงได้รับเรื่องไว้พิจารณามันแล้ว

“เป็นความจำเป็นเหมือนกัน มันมีหลักการในเรื่องของการฝึกร่วมผสมในเรื่องของภูมิภาคเรื่องของความมั่นคงก็ต้องไปดูว่าจะแก้ปัญหาตรงนี้ได้อย่างไร รัฐบาลก็รับฟัง”

สั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วย “ไรเดอร์” ถูกเอาเปรียบ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงแนวทางการดำเนินการคุ้มครองดูแลกลุ่มคนขับรถส่งอาหาร (ไรเดอร์) ที่เรียกร้องสิทธิ ค่าตอบแทน และสวัสดิการ จากผู้ประกอบการต่างชาติเจ้าขอแอปพลิเคชันส่งอาหาร-สินค้า ที่มาเปิดกิจการในไทย เนื่องจากมีการเอารัดเอาเปรียบแรงงานไทย ว่า กรณีดังกล่าว วันนี้ตนได้ให้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับเรื่องราวไปแล้ว ว่าจะช่วยเหลือเขาได้อย่างไรบ้าง ซึ่งตนได้ติดตามเรื่องดังกล่าวอยู่เช่นกัน

“บางทีก็ถูกเอารัดเอาเปรียบทั้งแพลตฟอร์มต่างประเทศบ้าง แพลตฟอร์มไทยเองบ้าง ในเรื่องของการที่ไปส่งอาหารแล้วเขาไม่รับพอไม่รับขึ้นมาขนส่งก็ต้องรับผิดชอบราคาอาหารเองอย่างนี้ไม่ได้ ผมก็ติดตามเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน”

ปักหมุดแผน ฯ 13 รับมือความเสี่ยงการคลังหลังโควิด ฯ

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า วันนี้เป็นการรับน้องใหม่ มีอยู่ 2-3 ท่านที่ได้รับการแต่งตั้งเข้ามาใหม่ และในวันนี้ได้มีการพิจารณาหลายวาระด้วยกัน การหารือกันในหลักการสำคัญ หารือกันถึงอนาคตของประเทศ ซึ่งมีการพิจารณาถึงเรื่องความเสี่ยงในเรื่องของสถานะการคลัง ซึ่งเป็นการพิจารณาตามหลักการ โดยเอาความเสี่ยงที่น่าจะเกิดขึ้นโดยเฉพาะช่วงโควิด-19 ประกอบกับสงครามการค้าและความขัดแย้งในโลกที่สูงขึ้น ทำให้ต้องหาทางออก ซึ่งวันนี้ได้ปักหมุดแล้ว โดยเฉพาะแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 ของสภาพัฒน์ฯ

“ต้องกำหนดตรงนี้ปักหมุดแผนฯ 13 ในเรื่องสำคัญที่ต้องดำเนินการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องแรกเรื่องของเศรษฐกิจมูลค่าสูงและต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย ด้านวิถีชีวิตที่ยั่งยืน การกระจายโอกาสที่กระจุกตัวให้เข้าสู่กลุ่มคนทุกพื้นที่ ปัจจัยสนับสนุนการพลิกโฉมประเทศ การสร้างทรัพยากรมนุษย์พัฒนากำลังคนให้มีสมรรถนะสูง เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาประเทศ”

“เราก็ต้องแก้ปัญหา ในเรื่องของกำลังพลที่มีทักษะต่ำและภาครัฐที่ล้าสมัยเข้าสู่กำลังคนและภาครัฐที่มีสมรรถนะสูงหลายๆ อย่างต้องปฏิรูปไปด้วยกันทั้งหมดทั้งด้านเศรษฐกิจการศึกษาสังคมกฎหมาย ซึ่งเรื่องโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ รัฐบาลทำมาเยอะแล้วแต่สิ่งที่ต้องทำก็คือเราจะหารายได้จากสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร ต้องหาวิธีการให้คนเข้าถึงประโยชน์และไปขยายให้เกิดเศรษฐกิจต่อเนื่อง ทั้งจากภาคเกษตร ภาคการค้าการลงทุนต่างๆ ทั้งหมดนี้คือประเทศของเราทุกประเทศก็เป็นแบบนี้ถ้าทำทุกวันได้ก็ไปได้ดี”

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รายงานความเสี่ยงทางการคลังประจำปีงบประมาณ 2563 มีสาระสำคัญ เช่น

  • ความเสี่ยงทางการคลังจากภาครัฐบาลในด้านรายได้ พบว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล โดยผลการจัดเก็บรายได้สุทธิในปีงบประมาณ 2563 อยู่ที่ 2,391,570 ล้านบาท ต่ำกว่าปี 2562 ร้อยละ 6.80 มีสาเหตุสำคัญมาจากรายได้ภาษีที่ลดลง ขณะที่สัดส่วนรายได้รัฐบาลสุทธิต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้สัดส่วนภาษีจากฐานรายได้ต่อภาษีจากฐานบริโภคของประเทศไทยยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับต่างประเทศ สะท้อนถึงกลไกการกระจายรายได้และการสร้างเสถียรภาพในตัวเองของระบบภาษีของประเทศไทยที่อาจไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
  • ด้านงบประมาณรายจ่ายพบว่า อัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 อยู่ที่ร้อยละ 92 ลดลงจากปีก่อนหน้า โดยเฉพาะรายจ่ายลงทุนเบิกจ่ายได้เพียงร้อยละ 66.28 ขณะที่สัดส่วนรายจ่ายที่ยากต่อการลดทอนต่องบประมาณรายจ่ายประจำปีปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น มีสาเหตุสำคัญมาจากรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการบุคลากรภาครัฐและสวัสดิการสำหรับประชาชนทั่วไป ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย และรายจ่ายดอกเบี้ยที่คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากความจำเป็นในการกู้เงินของรัฐบาล และจากแผนการคลังระยะปานกลางปีงบประมาณ 2565-2568 รัฐบาลวางแผนในการจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลต่อเนื่องในอีก 5 ปีงบประมาณข้างหน้า โดยกำหนดให้งบรายจ่ายประจำปีขยายตัวในระดับต่ำที่เฉลี่ยร้อยละ 1.40 ต่อปี ซึ่งอาจส่งผลให้เม็ดเงินรายจ่ายลงทุนปรับตัวลดลง
  • ฐานะการคลังและหนี้สาธารณะ รายได้รัฐบาลที่ลดลงจากผลกระทบโควิด-19 ส่งผลให้รัฐบาลขาดดุลงบประมาณทั้งสิ้น 822,533 ล้านบาท โดยระดับเงินคงคลัง ณ สิ้นปีงบประมาณ 2563 อยู่ที่ 572,104 ล้านบาท สะท้อนถึงระดับกระแสเงินสดสำหรับการเบิกจ่ายงบประมาณยังอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ในปีงบประมาณ 2564 อย่างไรก็ดี ความไม่แน่นอนของการจัดเก็บรายได้ท่ามกลางสถานการณ์โควิดฯ อาจสร้างความตึงตัวด้านสภาพคล่องทางการคลัง ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ณ สิ้นปีงบประมาณ 2563 อยู่ที่ร้อยละ 49.34 เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จากความจำเป็นในการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ และการกู้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างไรก็ตามประมาณการสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีตาม MTFF ปีงบประมาณ 2565-2568 จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยสิ้นปีงบประมาณ 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 58.72 แต่ยังคงไม่เกินร้อยละ 60 ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนด

จัดโซนนิ่ง “ภูเก็ต” รับนักท่องเที่ยว-ฉีดครบ 2 โดส ไม่ต้องกักตัว

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงความคืบหน้าในการรับวัคซีนและการเปิดรับนักท่องเที่ยว ว่า รัฐบาลโดยศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ได้มาบูรณาการให้เกิดความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้นเพื่อช่วยกระทรวงสาธารณะสุข โดยให้กระทรวงการคลัง ธนาคารกรุงไทย ร่วมกันทำแพลตฟอร์มในเรื่องของการฉีดวัคซีนให้กระจายไปทั่วทุกจังหวัด เพราะเดิมมีการให้วัคซีนไปตามการพิจารณาของหลักการกระทรวงสาธารณะสุขเพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจยังไม่ทั่วถึง แต่ทั้งนี้ก็ยังเป็นไปตามวัคซีนที่มีอยู่ในตามปัจจุบัน ทั้งสองยี่ห้อ ในเดือนพฤษภาและมิถุนาจะเข้ามาเพิ่มเป็นจำนวนล้านโดส ซึ่งตอนนี้เข้ามาเป็นแสนโดสอยู่

“เพราะฉะนั้นต้องเตรียมการตรงนี้ ในวันข้างหน้าเมื่อออกจากตรงนี้ไป ก็เหมือนกับมาตราการคนละครึ่ง ก็มีการแจ้งเข้ามา มีความประสงค์ของกลุ่มไหน ก็จะนัดมาเพื่อมาทำการฉีด ก็ขอให้ติดตามตรงนั้น แต่ในระหว่างนี้ก็จะมีการฉีดอย่างต่อเนื่อง ตามวัคซีนที่มีอยู่และแบ่งกระจายไปแล้วในแต่ละพื้นที่ในขั้นต้น”

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมีความเห็นว่า การฉีดวัคซีนกำลังเดินหน้าไปได้ด้วยดีสอดคล้องกับการท่องเที่ยวที่จะเปิดในช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2564 ที่ภูเก็ต ซึ่งต้องเตรียมการ เพราะต้องแข่งขันกับต่างประเทศเช่นกัน ซึ่งเป็นประเด็นที่ว่าจะทำอย่างไรให้ปลอดภัย

ส่วนในด้านพื้นที่ภูเก็ตก็มีข้อเสนอมาว่าทำอย่างไร ไม่ให้กัดตัวนั้น นายกรัฐมนตรีระบุว่า “หากฉีดวัคซีนมาแล้ว 2 เข็ม หรือกี่เข็มก็ตาม ก็จะต้องไปพิจารณาอีกทีว่าแค่ไหนอย่างไร ซึ่งผมพร้อมที่จะดูแลตรงนี้ แต่ข้อสำคัญคือ เกาะภูเก็ต มีตอนบน ตอนกลาง ตอนล่าง ก็สามารถจัดระเบียบการเคลื่นย้ายของคนได้ บน กลาง ล่าง ซึ่งต้องใช้เวลาเท่าไหร่ การจัดแพลตฟอร์มแบบไหน เพื่อที่จะให้ปลอดภัยกับทุกส่วนของพื้นที่ผมว่ามันก็ปลอดภัยกว่าที่จะปล่อยให้สะอาดหาขยายกันเต็มทั้งเกาะทีเดียวแล้วไปมาทั้งเกาะก็จะวุ่นวายเหมือนกันค่ะเกิดอะไรขึ้นมา”

นอกจากนี้ได้เน้นย้ำในเรื่องของตลาดต่างๆ โดยขอความร่วมมือกับเจ้าของตลาดต้องมีความรับผิดชอบ จัดให้มีจุดคัดกรอง ตรวจวัดอุณหภูมิ การสวมใส่หน้ากากอนามัยทั้งผู้ซื้อผู้ขาย ซึ่งหากไม่ได้รับความร่วมมือรัฐบาลจะแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ เพราะรัฐบาลได้กำหนดนโยบายไปหมดแล้ว มาตรการต่างๆ ต้องช่วยกันคงไม่โทษใครแต่ต้องช่วยกัน

ปัดตอบปมจัดซื้อรถปรับอากาศ ขส.ทบ.-ไล่สื่อดู พ.ร.บ.จัดซื้อฯ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถาม ถึงกรณีตรวจสอบข้อมูลที่กองทัพบกจัดซื้อรถยนต์โดยสารปรับอากาศขนาดใหญ่ของกรมการชนส่งทหารบก (ขส.ทบ.) ในปีงบประมาณ 2558, 2561-2563 รวม 7 ครั้ง รวมทั้งสิ้น 429 คัน เป็นเงินประมาณ 2,250 ล้านบาท ว่า “เรื่องของการจัดซื้อ-จัดจ้างไห้ไปดูเอาแล้วกัน เป็นเรื่องของการกฏิบัติการตาม พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ท่านผิดถูกตรงไหนให้ไปดูตรงนู้น บอกแล้วพูดแล้วก็กลับมาใหม่ ก็ให้ไปฟังการตรวจสอบของทางนู้นนะ”

แจงความคืบหน้า ป.ป.ช.สอบปมรถไฟฟ้าสายสีเขียว

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงความคืบหน้าในการตรวจสอบรถไฟฟ้าสายสีเขียวของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่า “ตอนนี้กำลังพิจารณา เรื่องบางเรื่องก็รับรู้ถึงความเดือดร้อนของประชาชนนะครับ ซึ่งรัฐบาลจะทำให้ดีที่สุด”

มติ ครม. มีดังนี้

สร้างเหรียญที่ระลึกพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ฯ

นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกในโอกาสพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส 1 พฤษภาคม 2562 พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อจัดทำเหรียญที่ระลึกในโอกาสพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส 1 พฤษภาคม 2562

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติและน้อมสำนักในพระมหากรุณาธิกคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ที่ทั้งสองพระองค์ทรงตั้งมั่นในพระราชปณิธาน “สืบสาน รักษา ต่อยอด” แนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อทรงแก้ไขและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนให้มีความร่มเย็นเป็นสุข ด้วยน้ำพระราชหฤทันอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักที่มีต่อพสกนิกรชาวไทย และเพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณของทั้ง2 พระองค์ ให้แผ่ไพศาลไปทั้งในและนานาประเทศ

ในการนี้ กระทรวงการคลังได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกในโอกาสดังกล่าว ตามแบบที่ได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทรงทราบฝ่าละอองและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้ว

สำหรับเหรียญกษาปณ์ที่กระทรวงการคลังจะดำเนินการจัดทำมีทั้งสิ้น 4 ชนิด ประกอบด้วยเหรียญกษาปณ์ทองคำ ประเภทขัดเงา ชนิดราคา 20,000 บาท จำหน่ายราคา 40,000 บาท ผลิตตามจองจำนวนไม่เกิน 10,000 เหรียญ เหรียญกษาปณ์เงิน ประเภทขัดเงา ชนิดราคา 1,000 บาท จำหน่ายราคา 3,000 บาท ผลิตตามจองจำนวนไม่เกิน 50,000 เหรียญ

เหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ประเภทขัดเงา ชนิดราคา 20 บาท จำหน่ายราคา 200 บาท ผลิตจำนวนไม่เกิน 100,000 เหรียญ และเหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิเกิล) ประเภทธรรมดาชนิดราคา 20 บาท จำหน่ายราคา 20 บาท ผลิตจำนวนไม่เกิน 5,000,000 เหรียญ

พร้อมกันนี้ ครม. ได้เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาเหรียญเฉลิมพระเกียรติในโอกาสพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี 4 พฤษภาคม 2562 พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ

ทั้งนี้ เพื่อจัดทำเหรียญเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี และเผยแพร่พระเกียรติคุณของพระองค์ท่านให้แผ่ไพศาลไปทั้งภายในประเทศและนานาประเทศ ตลอดจนน้อมนำจิตใจของปวงชนชาวไทยให้แสดงความกตัญญูกตเวทีและความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อประชาชนทุกหมู่เหล่า

ในการนี้ กระทรวงการคลังได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาติจัดทำเหรียญเฉลิมพระเกียรติในโอกาสดังกล่าว ตามแบบที่ทูลเกล้าฯ ถวาย ซึ่งได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว

สำหรับการดำเนินการนั้น กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง จะจัดทำเป็นเหรียญเงินชนิดบุรุษและสตรี จำนวนไม่เกิน 300,000 เหรียญ ราคาจำหน่ายเหรียญเฉลิมพระเกียรติทั้งชนิดบุรุษและชนิดสตรี ราคาเหรียญละ 1,600 บาท

จัดสรรงบ ฯ สปสช. 3,753 ล้าน ให้ รพ.ป้องกันโควิด ฯ

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการค่าบริการสาธารณสุขภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุขกรอบวงเงินรวม 3,752.71 ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าบริการสาธารณสุขสำหรับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วงเงิน 3,652.39 ล้านบาท และค่าบริการอื่นที่เกี่ยวข้องกับบริการโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรอบวงเงิน 100.32 ล้านบาท

ทั้งนี้ สปสช. จะจัดสรรงบประมาณให้แก่หน่วยงานบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและสถานพยาบาลอื่น ตามจำนวนผลงานบริการจริงที่เกิดขึ้น ภายใต้หลักเกณฑ์ เงื่อนไข แนวทางที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติประกาศกำหนด เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายให้กับหน่วยบริการสถานพยาบาลที่ให้บริการสาธารณสุขโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สำหรับประชาชนทุกสิทธิ์ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-กันยายน โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นประชาชนคนไทยประมาณ 67 ล้านคน

“คาดว่าจะได้รับช่วยลดงบประมาณในภาพรวมด้านการรักษาพยาบาล เพราะจะมีบริการตรวจคัดกรอง รวมทั้งสนับสนุนให้ประชาชนได้รับวัคซีนโควิด-19 ซึ่งมีค่าใช้จ่ายต้นทุนบริการน้อยกว่าการรักษาเมื่อป่วยแล้ว รวมทั้งยังสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนที่จะได้รับวัคซีน โควิด-19 หากภายหลังการรับวัคซีนโควิด-19 และเกิดผลกระทบข้างเคียงที่รุนแรง ยังจะได้รับเงินเยียวยาช่วยเหลือด้วย” โฆษกรัฐบาลกล่าว

เห็นชอบจ่ายค่าป่วยการ อสม. 3 เดือน 1,575 ล้าน

นายอนุชากล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการค่าตอบแทน เยียวยา ชดเชย และเสี่ยงภัย สำหรับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในชุมชน เป็นระยะเวลา 3 เดือน (เมษายน-มิถุนายน 2564) กรอบวงเงินรวมไม่เกิน 1,575.46 ล้านบาท

ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนบทบาทของ อสม. ในการสื่อสาร ให้ความรู้ สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รวมถึงสำรวจและติดตามอาการประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับวัคซีนในชุมชน รวมทั้งบทบาทของ อสม. ในการเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ช่วยเหลือฟื้นฟูทางด้านจิตใจแก่ประชาชนในระดับหมู่บ้าน/ชุมชน พัฒนาประชาชน/ชุมชน ในการสร้างวิถีชีวิตใหม่ เพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัส โควิด-19 โดยมีกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ อสม. 1,039,729 คน และ อสส. 10,577 คน รวมทั้งสิ้น 1,050,306 คน ที่มีสิทธิรับค่าป่วยการในการปฏิบัติหน้าที่

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังเพิ่มเติมอีกด้วยว่า ในที่ประชุม ครม. ยังกำชับให้กระทรวงสาธารณสุข เร่งฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ครอบคลุม อสม. และ อสส. ทุกราย เพื่อลดความเสี่ยงในการปฏิบัติหน้าที่ด้วย

ผศ. ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประสำนักนายกรัฐมนตรี และนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ซ้าย-ขวา)

ผ่านร่าง กม. รองรับการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ

นายอนุชากล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. …. เพื่อส่งเสริมการทำงานและการบริการภาครัฐปรับเปลี่ยนสู่ระบบดิจิทัลและสามารถใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลักได้ โดยเน้นหลักการสำคัญ คือ การอนุมัติ อนุญาต การจดทะเบียน การแจ้งตามกฎหมายต่างๆ ที่มีอยู่ สามารถดำเนินการโดยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์โดยชอบด้วยกฎหมาย และให้การรับส่งข้อมูลระหว่างหน่วยงานของรัฐทั้งภายในและภายนอก สามารถทำได้ผ่านอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความมั่นคงปลอดภัย

สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ ได้แก่ กำหนดให้ประชาชนสามารถยื่นคำขอ จ่ายเงิน หรือติดต่อราชการโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่สามารถปฏิเสธการรับคำขอที่ใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ ขณะเดียวกันหน่วยงานรัฐจะต้องกำหนดวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้ผู้ยื่นคำขอทางอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มเติมได้ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนหรือเพื่อการยืนยันตัวตน เช่น การสร้างแบบฟอร์มคำขออิเล็กทรอนิกส์ให้ประชาชนสามารถกรอกในระบบและยื่นทางอิเล็กทรอนิกส์ได้โดยไม่ต้องเขียนในแบบที่เป็นกระดาษแล้วสแกนส่งทางอีเมล เป็นต้น รวมทั้งหน่วยงานของรัฐเป็นผู้จัดทำสำเนาและรับรองความถูกต้องของสำเนาเอง โดยประชาชนไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งนี้ การติดต่อระหว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกัน และระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับหน่วยงานของรัฐ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ทำผ่านวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ถือว่าชอบด้วยกฎหมายและใช้เป็นหลักฐานตามกฎหมายได้ รวมถึงการใช้เป็นหลักฐานในการเบิกจ่ายเงินแผ่นดินด้วย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การรับรองให้การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์นี้ ช่วยให้หน่วยงานภาครัฐสามารถนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในขั้นตอนการปฏิบัติราชการ พัฒนาประสิทธิภาพ เพิ่มความรวดเร็วในการปฏิบัติงานและการให้บริการประชาชน โดยเฉพาะการรับคำขอ การอนุมัติอนุญาตหรือการให้สวัสดิการต่างๆ ได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น รวมทั้งช่วยลดขั้นตอนติดต่อราชการแลภาระค่าใช้จ่ายในการติดต่อราชการให้แก่ประชาชนและภาคธุรกิจด้วย

เข็น 4 ยุทธศาสตร์ ขับเคลื่อน “รัฐบาลดิจิทัล” วงเงิน 6,505 ล้าน

นายอนุชา กล่าวต่อว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอนุมัติ (ร่าง) แผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทย พ.ศ. 2563-2565 ภายใต้วิสัยทัศน์ “รัฐบาลดิจิทัล เปิดเผย เชื่อมโยง และร่วมกันสร้างบริการที่มีคุณค่าให้ประชาชน” โดยให้ความสำคัญ 6 ประเด็น ได้แก่ การศึกษา สุขภาพและการแพทย์ การเกษตร ความเหลื่อมล้ำทางสิทธิสวัสดิการประชาชน การมีส่วนร่วม โปร่งใสและตรวจสอบได้ของประชาชน และการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) โดยมีเป้าหมายสำคัญ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการและสวัสดิการของประชาชน เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของไทย การทำงานของภาครัฐมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ รวมทั้ง ประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาและกำหนดนโยบายสำคัญของประเทศ

ทั้งนี้ (ร่าง) แผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลฯ ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ ในกรอบงบประมาณ 6,504.69 ล้านบาท ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1 ยกระดับคุณภาพการให้บริการแก่ประชาชนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ยุทธศาสตร์ที่ 2 อำนวยความสะดวกภาคธุรกิจไทยด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ยุทธศาสตร์ที่ 3 ผลักดันให้เกิดธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐในทุกกระบวนการทำงานของภาครัฐ และยุทธศาสตร์ที่ 4 พัฒนากลไกการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนร่วมขับเคลื่อนรัฐบาลดิจิทัล โดยโครงการสำคัญ เช่น การพัฒนาแพลตฟอร์มการให้บริการประชาชนแบบเบ็ดเสร็จ การพัฒนาระบบฐานข้อมูลเกษตรกร ระบบรับคำขออนุญาตเพื่ออำนวยความสะดวกให้ภาคธุรกิจ การพัฒนาศูนย์กลางการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ การพัฒนาระบบรับฟังความคิดเห็นประชาชนผ่านช่องทางดิจิทัล รวมทั้งการปรับปรุงหรือแก้ไขกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับ เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจนโยบายของรัฐ

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า ที่ผ่านมาการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทยมีความก้าวหน้า หน่วยงานต่างๆ ได้ลดจำนวนเอกสารที่ต้องยื่นประกอบการพิจารณาใบอนุญาต ปรับกระบวนงานและการให้บริการให้อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-service) และพัฒนาแพลตฟอร์ม (e-government) เข้ามาช่วยในการบริหารงานระหว่างรัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐหรือรัฐบาลของรัฐอื่น (government to government: G2G) รัฐบาลและองค์กรธุรกิจ (government to business: G2B) รัฐบาลและประชาชน (government to citizen: G2C) เพื่อรองรับกิจกรรมและธุรกรรมระหว่างภาครัฐ เอกชนและประชาชน พร้อมเร่งพัฒนาปัจจัยพื้นฐานของสถาปัตยกรรมรัฐบาลดิจิทัล เช่น การพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลสำหรับบุคลากรภาครัฐ การจัดทำนโยบาย กฎหมายและกฎระเบียบ รวมทั้งการจัดทำมาตรฐาน (standard) เพื่อขับเคลื่อนแผนงาน/โครงการไปสู่รัฐบาลดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ

เพิ่มงบฯ 2,170 ล้าน เวนคืนที่ดินทำ “ไฮสปีดเทรน” เชื่อม 3 สนามบิน

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. อนุมัติตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (บอร์ด อีอีซี) ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ขยายกรอบวงเงินไม่เกิน 2,170 ล้านบาท สำหรับงานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและสำรวจอสังหาริมทรัพย์ ในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ทำให้ต้องใช้วงเงินเพิ่มจากเดิม 3,570 ล้านบาท เป็นจำนวนไม่เกิน 5,740 ล้านบาท โดยเงินในส่วนที่เพิ่มขึ้นจะจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับงานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและสำรวจอสังหาริมทรัพย์ในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน 607 ล้านบาท เนื่องจากมีความจำเป็นเร่งด่วนต้องส่งมอบพื้นที่โครงการช่วงสุวรรณภูมิถึงอู่ตะเภาให้เอกชนคู่สัญญาภายในวันที่ ต.ค. 2564 ตามที่กำหนดในสัญญาร่วมลงทุนโครงการฯ ซึ่งมีความจำเป็นต้องได้รับจัดสรรงบประมาณภายในวันที่ 21 พ.ค.2564 เพื่อให้ รฟท. ส่งมอบพื้นที่ให้เอกชนคู่สัญญาได้ตามที่กำหนดในสัญญาร่วมลงทุนและอีก 1,562 ล้านบาท จะจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565

“วงเงินที่ ครม.อนุมัติเพิ่มให้อีก ในจำนวนไม่เกิน 2,170 ล้านบาท แบ่งเป็น 2 ส่วน โดย 871ล้านบาท สำหรับค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและสำรวจอสังหาริมทรัพย์ของโครงการฯ ในส่วนโครงการแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ส่วนต่อขยาย ส่วนอีก 1,298ล้านบาท สำหรับค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและสำรวจอสังหาริมทรัพย์ของโครงการฯ ช่วงสุวรรณภูมิถึงอู่ตะเภา เนื่องจากมีพื้นที่ที่ต้องเวนคืนเพิ่มขึ้นประมาณ 70 ไร่ จากเหตุผลด้านวิศวกรรมที่จำเป็นต้องขยายเขตทางรถไฟใน 4 พื้นที่ คือ บริเวณทางเข้าออกสนามบินอู่ตะเภา บริเวณประตูระบายน้ำบ้านใหม่ บริเวณสะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง และบริเวณทางเข้าออกอุโมงค์เขาขีจรรย์ เพื่อความปลอดภัยระหว่างการก่อสร้างและการเดินรถไฟ” นายศักดิ์สยาม กล่าว

นอกจากนี้ เมื่อมีการเข้าสำรวจรายละเอียดที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ และไม้ยืนต้นในพื้นที่จริง โดยพระราชกฤษฎีกาเวนคืน พบว่าการประเมินมูลค่าจัดกรรมสิทธิ์ฯ มีความคลาดเคลื่อนจากเดิม อีกทั้งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืน และการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์พ.ศ. 2562 มาตรา 26 กำหนดให้กรณีที่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ตกลงซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืน ให้เพิ่มเงินค่าทดแทนอีก 2% ของราคาที่คณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นฯ กำหนด และคณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นฯ ให้เงินค่าเดินทางมาทำสัญญาแก่ผู้ถูกเวนคืน 10,000 บาทต่อสัญญา อีกทั้ง มีการเพิ่มตัวคูณปรับราคาประเมินที่ดินเป็นราคาตลาด โดยใช้หลักเกณฑ์พระราชบัญญัติเวนคืนฯ พ.ศ. 2562 และอ้างอิงคู่มือการกำหนดเงินค่าทดแทน กระทรวงคมนาคม สิงหาคม2556 ที่มีผลบังคับใช้ในปัจจุบัน ให้กำหนดค่าทดแทนที่ดินอย่างเป็นธรรมโดยคำนึงถึงราคาที่ซื้อขายกัน

พม.รายงานสถานการณ์ผู้สูงวัย

ผศ. ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. รับทราบรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2562 โดยสถานการณ์ในปี 2562 ประเทศไทยมีประชากรผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 11.6 ล้านคน หรือร้อยละ 17.5 ของประชากรทั้งประเทศ และตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป จะมีคนไทยอายุถึง 60 ปี ปีละล้านคน และในปี 2576 จะมีประชากรผู้สูงอายุร้อยละ 28 ของประชากรทั้งประเทศ ขณะที่การเกิดในปี 2562 มีจำนวนลดต่ำลงเหลือเพียง 6.1 แสนคน

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวต่อว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ มีข้อเสนอเพื่อรับมือสถานการณ์ผู้สูงอายุ ดังนี้

  1. ทบทวนภาระด้านงบประมาณอย่างจริงจังต่อการจัดสวัสดิการฯ ผ่านโครงการต่างๆ ของรัฐ
  2. ปรับเปลี่ยนนโยบายโดยไม่มุ่งเน้นเฉพาะแนวคิดการสงเคราะห์ แต่ควรจัดสวัสดิการสังคมบนพื้นฐานของสิทธิพลเมือง
  3. เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนในสังคมมีส่วนร่วมและสนับสนุนการจัดสวัสดิการสังคมสำหรับผู้สูงอายุอย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลจัดสวัสดิการสังคมสำหรับผู้สูงอายุ (social welfare for elderly) มาตลอด โดยดำเนินการจัดสวัสดิการด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น จัดตั้งโรงเรียนผู้สูงอายุ จำนวน 1,555 แห่ง, พัฒนาสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และกองทุนหลักประกันสุขภาพ ทำให้มีผู้สูงอายุได้รับสิทธื 219,518 คน, ซ่อมแซมบ้านให้ผู้สูงอายุ 3,200 หลัง

นอกจากนี้ยังมีด้านการจ้างงาน เช่น ออกมาตรการจูงใจเพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนจ้างแรงงานผู้สูงอายุเข้าทำงานมากขึ้น ตั้งศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ (ศพอส.) 1,489 แห่ง สนับสนุนเงินทุนกู้ยืมเพื่อประกอบอาชีพผู้สูงอายุผ่านกองทุนผู้สูงอายุ จำนวน 8,991 คน เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 9.09 ล้านคน และ สวัสดิการบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนการออมแห่งชาติ

ตั้ง กบช. บังคับนายจ้างออมเงินให้ลูกจ้าง

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติ 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. …. และร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. …. โดยร่างกฎหมายทั้งสองฉบับมีสาระสำคัญ ดังนี้

ร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. …. กำหนดให้จัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) เพื่อเป็นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพภาคบังคับสำหรับแรงงานในระบบทั้งลูกจ้างเอกชน ลูกจ้างชั่วคราวของราชการ พนักงานราชการ เจ้าหน้าที่องค์การมหาชน และพนักงานรัฐวิสาหกิจ และกำหนดให้ลูกจ้างและนายจ้างส่งเงินสมทบแต่ละฝ่าย แบ่งเป็น ปีที่ 1-3 ไม่น้อยกว่าร้อยละ 3 ของค่าจ้าง ปีที่ 4-6 ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของค่าจ้าง ปีที่ 7-9 ไม่น้อยกว่าร้อยละ 7 ของค่าจ้าง ปีที่ 10 เป็นต้นไป ไม่น้อยกว่าร้อยละ 7-10 ของค่าจ้าง โดยกำหนดเพดานค่าจ้างสูงสุดไม่เกิน 60,000 บาทต่อเดือน กรณีลูกจ้างเงินเดือนน้อยกว่า 10,000 บาท ให้นายจ้างส่งเงินฝ่ายเดียว และเมื่อสมาชิกอายุครบ 60 ปี สามารถเลือกรับบำเหน็จหรือบำนาญรายเดือนเป็นระยะเวลา 20 ปี

ร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ พ.ศ. …. กำหนดให้แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (คนบ.) มีอำนาจหน้าที่จัดทำนโยบาย แผนแม่บท และแนวทางการพัฒนาระบบบำเหน็จบำนาญ โดยองค์ประกอบของคณะกรรมการฯ ประกอบด้วย 13 คน โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ และผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เป็นกรรมการและเลขานุการ

อนุมัติ 2.9 พันล้าน ประกันภัยข้าวนาปี

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564 พื้นที่ประกันภัย รวม 46 ล้านไร่ ภายใต้วงเงิน 2,936 ล้านบาท โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทดลองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันแทนรัฐบาลและเบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริง

โดยโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564 มีพื้นที่เป้าหมายประกันภัย รวม 46 ล้านไร่ มีอัตราค่าเบี้ยประกันภัย ดังนี้

  1. ค่าเบี้ยประกันภัยพื้นฐาน Tier 1 กำหนดตามความเสี่ยงจริงของเกษตรกร รวม 45 ล้านไร่ แบ่งเป็น
    • ลูกค้า ธ.ก.ส. ทุกราย ค่าเบี้ยประกันภัย 96 บาทต่อไร่ (รวม 28 ล้านไร่) โดยรัฐบาลเป็นผู้อุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยให้ 58 บาทต่อไร่ และธกส. อุดหนนุนให้ 38 บาทต่อไร่ (ยังไม่รวมค่าอาการแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม)
    • เกษตรกรทั่วไป และลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. ที่ซื้อเพิ่ม ค่าเบี้ยประกันภัยในพื้นที่เสี่ยงต่ำ 55 บาทต่อไร่ พื้นที่เสี่ยงปานกลาง 210 บาทต่อไร่ และพื้นที่เสี่ยงสูง 230 บาทต่อไร่ (รวม 17 ล้านไร่) โดยรัฐบาลเป็นผู้อุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยให้ 55 บาทต่อไร่ (ยังไม่รวมค่าอาการแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยคุ้มครองความเสี่ยงจาก 7 ภัยธรรมชาติ ไร่ละ 1,260 บาท ได้แก่ 1)น้ำท่วมหรือฝนต กหนัก 2)ภัยแล้ง ฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วง 3)ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น 4)ภัยอากาศหนาว หรือน้ำค้างแข็ง 5)ลูกเห็บ 6)ไฟไหม้ 7)ช้างป่า และภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาดไร่ละ 630 บาท
  2. ค่าเบี้ยประกันภัยแบบสมัครใจ Tier 2 กำหนดตามความเสี่ยงจริงของเกษตรกร จำนวน 1 ล้านไร่ ซึ่งเกษตรกรจะต้องเป็นผู้ชำระเอง แบ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงต่ำ 24 บาทต่อไร่ พื้นที่เสี่ยงปานกลาง 48 บาทต่อไร่ และพื้นที่เสี่ยงสูง 101 บาทต่อไร่ โดยคุ้มครองความเสี่ยงจาก 7 ภัยธรรมชาติ ไร่ละ 240 บาท และภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาดไร่ละ 120 บาท

นายกฯ ขอบคุณทุกภาคส่วน ช่วยผู้ประสบภัย “พายุซิลากู”

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอบคุณหน่วยงานภาครัฐ ประชาชน อาสาสมัครที่ร่วมกันช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากพายุ “ซิลากู”ภายใต้แนวคิด รวมไทย สร้างชาติ” โดยที่ผ่านมาได้ช่วยเหลือไปแล้วกว่า 2 หมื่นครัวเรือนใน 13 จังหวัด

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวถึงการช่วยเหลือในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น พาณิชย์จังหวัดได้ประสานให้ผู้ผลิตหรือตัวแทนจำหน่ายส่งสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการ หรือพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์จังหวัดเข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบเหตุโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง นอกจากนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัด ทหาร ตำรวจ รวมทั้งหน่วยงานทั้งที่เกี่ยวข้องยังติดตามสถานการณ์น้ำ เพื่อแจ้งเตือนประชาชนให้ทราบถึงปริมาณน้ำอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ได้รายงานสถานการณ์น้ำใน ณ วันที่ 4 สิงหาคม 2563 ว่าพายุซิลากูได้เติมปริมาณน้ำใน 4 เขื่อนหลักลุ่มเจ้าพระยา ได้แก่ เขื่อนภูมิพลมีปริมาณน้ำ 137 ล้านลูกบาศก์เมตร เขื่อนสิริกิติ์มีปริมาณ 531 ล้านลูกบาศก์เมตร เขื่อนแควน้อยบำรุงแดนมีปริมาณน้ำ 86 ล้านลูกบาศก์เมตรและเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์มีปริมาณน้ำ 84 ล้านลูกบาศก์เมตร

เตรียมประชุมความร่วมมือ “อ่าวเบงกอล” 7 ประเทศ

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม. รับทราบความคืบหน้าการจัดการประชุมความร่วมมืออ่าวเบงกอล หรือ BIMSTEC (Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation โดยการประชุมดังกล่าวจะจัดขึ้นในเดือนเมษายน 2564 โดยมีประเทศศรีลังกาเป็นเจ้าภาพการประชุม และกระทรวงว่าการต่างประเทศได้ขอความเห็นชอบถ้อยแถลงแสดงเจตนารมณ์ในการประชุม

สาระสำคัญของการประชุมคือการพิจารณาร่างบทบาท BIMSTEC เพื่อเสนอให้ผู้ประชุมรับรองร่างบทบาท และยกระดับความร่วมมือให้มีสถานะเป็นองค์กรระหว่างประเทศระดับสากล แบ่งความร่วมมือออกเป็น 7 สาขาโดยให้ประเทศสมาชิกเป็นผู้นำแต่ละสาขา ได้แก่ สาขาการเกษตรและความมั่นคงทางอาหารโดยเมียนมา สาขาความเชื่อมโยงประเทศไทย สาขาสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยภูฏาน สาขาการค้า การลงทุนและการพัฒนาโดยบังกลาเทศ สาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมโดยศรีลังกา สาขาความมั่นคงโดยอินเดีย และสาขาการปฏิสัมพันธ์ระหว่างประชาชนโดยเนปาล

รับทราบแนวทางการแก้ปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า ครม. รับทราบแนวทางการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ในธุรกิจการขนส่งสินค้าทางทะเล โดยมีแนวทางดังนี้คือ

  1. ให้ท่าเรือกรุงเทพปรับลดค่าภาระตู้สินค้าเปล่าขาเข้าผ่านท่าเรือกรุงเทพในอัตรา 1,000 บาทต่อทีอียู เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคม-มีนาคม 2564 รวมค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเป็นจำนวนเงิน 5.28 ล้านบาท
  2. ให้ท่าเรือแหลมฉบังชดเชยค่ายกขนตู้สินค้าให้แก่เอกชนผู้ประกอบการนำเข้าที่ท่าเรือแหลมฉบัง โดยจ่ายส่วนลดคืนในอัตรา 1,000 บาทต่อทีอียู เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคม-มีนาคม 2564

รวมค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเป็นเงิน 384 ล้านบาท รวม 2 รายการเป็นเงินทั้งสิ้น 389.28 ล้านบาท โดย ครม. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคม ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินความคุ้มค่าในการดำเนินการและประโยชน์ที่ผู้ประกอบการส่งออกรายย่อยได้รับ รวมทั้งให้หาข้อยุติเกี่ยวกับแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในการดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว

อนึ่ง ประเทศไทยประสบปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์เปล่าเพื่อใช้ในการส่งออก และอัตราค่าระวางเรือปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไตรมาสที่ 3-4 ปี 2563 ส่งผลกระทบให้ผู้ส่งออกที่ต้องการใช้ตู้คอนเทนเนอร์ต้องจ่ายเงินค่าระวางในอัตราที่สูงกว่าปกติ กระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ดังนั้นเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ โดยเฉพาะการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์สำหรับบรรจุสินค้าในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 การท่าเรือแห่งประเทศไทยจึงเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวมาให้ทางกระทรวงคมนาคมพิจารณา

ตั้งศูนย์ฝึก ตร.ด้านก่อการร้าย-อารักขาบุคคลสำคัญ

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า ครม. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีสาระสำคัญคือการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรม สังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เป็นหน่วยงานระดับกองบังคับการ และกำหนดอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการดังกล่าว แก้ไขการแบ่งส่วนราชการภายในกองบังคับการอำนวยการ รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของกองบังคับการปฏิบัติการพิเศษ ในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ให้สอดคล้องกับภารกิจที่เพิ่มขึ้นและเหมาะสมกับสภาพของงานที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งจะทำให้การปฏิบัติภารกิจตามอำนาจหน้าที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น โดยเรื่องนี้จะส่งผลให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีค่าใช้จ่ายงบบุคลากรเพิ่มขึ้นในส่วนของเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษประมาณ 2,283,600 บาทต่อปี

โดยศูนย์ฝึกอบรมดังกล่าวจะอยู่ ในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ประกอบด้วย ฝ่ายอำนวยการ ฝ่ายฝึกอบรม ฝ่ายวิชาการ และฝ่ายวิทยบริการ กำหนดให้ศูนย์ฝึกอบรม มีอำนาจหน้าที่ เป็นศูนย์กลางการฝึกอบรมข้าราชการตำรวจ โดยเน้นการฝึกอบรมพัฒนาทักษะในภารกิจถวายความปลอดภัยและอารักขาบุคคลสำคัญ การต่อต้านการก่อการร้าย การป้องกันปราบปรามอาชญากรรมเฉพาะด้านและอาชญากรรมองค์กร และทักษะทางยุทธวิธีและการปฏิบัติการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งบริหารและพัฒนาการศึกษาตามระเบียบแบบแผนและหลักสูตรตลอดจนปรับปรุงพัฒนาหลักสูตร ระบบการเรียนการสอน และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง

ขณะเดียวกันยังมีหน้าที่ติดต่อและประสานความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา หรือองค์กรอื่น เพื่อมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาและการฝึกอบรมเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญา การรักษาความสงบเรียบร้อย การอำนวยความยุติธรรมและการรักษาความปลอดภัยของประชาชน

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติรายงานว่า สภาพการณ์ปัจจุบันพบว่า ปัญหาอาชญากรรมมีความรุนแรง และซับซ้อนมากขึ้น มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการกระทำความผิด กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่บังคับใช้กฎหมายเฉพาะทาง จึงมีความจำเป็นต้องมีการฝึกอบรมข้าราชการตำรวจเพื่อเพิ่มพูนทักษะ ทบทวนความรู้ในการปฏิบัติงานให้เกิดความเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะการปฏิบัติหน้าที่ทางยุทธวิธีต่างๆ เพื่อเป็นการสร้างความปลอดภัย ลดความสูญเสียจากการปฏิบัติหน้าที่ และให้ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปอย่างถูกต้อง ประกอบกับยังไม่มีหน่วยงานอบรม จึงเสนอให้ตั้งจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมเป็นหน่วยงานระดับกองบังคับการในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยยุบฝ่ายอำนวยการ10 ในกองบังคับการอำนวยการ สังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และปรับโอนภารกิจเกี่ยวกับการฝึกอบรมของกองกำกับการ 6 มารวมกับศูนย์ฝึกอบรม

เห็นชอบร่างประมวลจริยธรรม ขรก.การเมือง

นางสาวไตรศุลี​ กล่าวว่า​ ครม. ​เห็นชอบร่างประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง ซึ่งเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์​ ในการประพฤติปฏิบัติอย่างมีคุณธรรมของข้าราชการการเมือง​ ตามที่นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้ยกร่างประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมืองขึ้นมา และทางสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นต่อร่างประมวลจริยธรรมสำหรับข้าราชการการเมืองไปแล้ว

สำหรับสาระสำคัญของร่างประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง อาทิ​ การกำหนดนิยามคำว่า ข้าราชการการเมือง หมายความถึง ข้าราชการการเมือง​ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการการเมือง และให้รวมถึงกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีด้วย​ กำหนดให้ข้าราชการการเมืองต้องยึดมั่นในสถาบันหลักของประเทศอันได้แก่ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

กำหนดให้ข้าราชการการเมืองต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความชื่อสัตย์สุจริต​ มีจิตสำนึกที่ดีและรับผิดชอบต่อหน้าที่​ ต้องกล้าตัดสินใจและกระทำในสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม​ ข้าราชการการเมืองต้องยึดถือประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม และมีจิตสาธารณะ และกำหนดให้ต้องปฏิบัติหน้าที่โดยมุ่งผลสัมฤทธิ์ของงานโดยต้องดำรงตน ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบแบบแผนของทางราชการ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ​ ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติ​ รวมทั้งต้องดำรงตนเป็นแบบอย่างที่ดีและรักษาภาพลักษณ์ของทางราชการ

ต่อเวลา พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฯถึงสิ้นพ.ค.นี้

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า ครม. เห็นชอบการขยายระยะเวลาสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 เพื่อเป็นการบังคับใช้บรรดามาตราการควบคุมและระงับยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลักษาไว้เพื่อความปลอดภัยขแงสุขภาพและชีวิตของประชาชนเป็นสำคัญ

มอบสิทธิรักษาพยาบาล เด็กตกสำรวจ-ทะเบียนซ้ำซ้อน 5,203 คน

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า ครม. เห็นชอบในหลักการการให้สิทธิขั้นพื้นฐานด้านสาธารณะสุขกับบุคคลที่มีปัญหาสถานะสิทธิเด็กและบุคคลที่เรียนอยู่ในสถานศึกษาครั้งที่สองตามที่กระทรวงมหาดไทยได้ตรวจสอบความซ้ำซ้อนและกำหนดเลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลักเรียบร้อยแล้ว จำนวนทั้งสิ้น 5,203 คน

เพื่อให้ครอบคลุมด้านงานบริการสาธารณะสุข ได้แก่การสร้างเสริมด้านสุขภาพการป้องกันโรค การรักษาพยาบาลและการฟื้นฟูด้านสมรรถภาพ ทั้งนี้จะเป็นการลดความเหลื่อมล้ำและเป็นการช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรม ซึ่งทุกคนมีโอกาสที่จะเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานในการรักษาพยาบาล สำหรับงบประมาณ เป็นงบเหมาจ่ายรายหัวจะตกอยู่ที่ 2,453 บาทต่อคน รวมทั้งสิ้นจะใช้งบประมาณการดำเนินการจำนวน 12,760,000 บาท ซึ่งเป็นการอนุมัติครั้งที่สอง จากเดิมครั้งแรกได้อนุมัติไปแล้ว เมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ.2563

อ่านมติ ครม. ประจำวันที่ 30 มีนาคม 2564เพิ่มเติม