ThaiPublica > เกาะกระแส > จากอดีตที่ล้มลุกคลุกคลาน สู่ยุคสมัยของ“รถยนต์ไฟฟ้า” ที่กำลังใกล้จะมาถึงแล้ว

จากอดีตที่ล้มลุกคลุกคลาน สู่ยุคสมัยของ“รถยนต์ไฟฟ้า” ที่กำลังใกล้จะมาถึงแล้ว

26 กุมภาพันธ์ 2021


รายงานโดย ปรีดี บุญซื่อ

นาง Mary T. Barra CEO ของ GM ที่มาภาพ : https://www.newsday.com/long-island/columnists/dan-janison/biden-barra-trump-obama-climate-gm-gasoline-tesla-texas-1.50135838

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีนโยบายชัดเจนที่จะต่อสู้กับปัญหาโลกร้อน นักลงทุนวอลล์สตรีทก็คิดว่าบริษัทรถยนต์ไฟฟ้า Tesla มีมูลค่ามากกว่ามูลค่ารวมกันของ General Motors (GM) Toyota Volkswagen และ Ford ส่วนประเทศที่เป็นตลาดรถยนต์ใหญ่สุดของโลกอย่างจีน ก็ประกาศเมื่อเร็วๆนี้ว่า ในอีก 15 ปีข้างหน้า รถยนต์ใหม่ทั้งหมด จะต้องใช้พลังงานจากไฟฟ้า

หลังจากที่ โจ ไบเดน ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเรื่อง การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ นาง Mary T. Barra CEO ของ GM ก็ประกาศว่า ในปี 2035 บริษัท GM จะมีเป้าหมายที่จะผลิตและขายรถยนต์กับรถบรรทุก ที่ควันพิษเป็นศูนย์ หรือไม่ปล่อยไอเสียออกจากแหล่งผลิตพลังงานให้รถยนต์ไฟฟ้า

ความกลัวการสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับ Tesla และมาตรการของจีน ล้วนเป็นตัวเร่งการตัดสินใจของ GM เพราะ GM ขายรถยนต์ในจีน เป็นจำนวนมากกว่าในสหรัฐฯ

ที่มาภาพ : https://www.nytimes.com/2021/01/28/business/gm-zero-emission-vehicles.html

เวลาของรถยนต์ไฟฟ้าใกล้มาถึงแล้ว

บทความของ The New York Times เรื่อง GM Will Sell Only Zero-Emission Vehicles by 2035 บอกว่า การประกาศของ GM ทำให้ยุคของเครื่องยนต์แบบสันดาปใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว การตัดสินใจของ GM ยังทำให้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลก ต้องแสดงท่าทีแบบเดียวกันนี้

การตัดสินใจของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง GM แสดงให้เห็นว่า เวลามาถึงแล้ว ที่โลกเราจะเข้าสู่ระยะเปลี่ยนผ่าน โดยการก้าวออกจากพลังงานฟอสซิล ที่เคยเป็นพลังงานให้แก่เศรษฐกิจโลกมานานกว่า 1 ศตวรรษ การตัดสินใจของ GM จะสร้างความปั่นป่วนแก่อุตสาหกรรมรถยนต์ ในปี 2019 บริษัทผู้ผลิตรถยนต์และผู้ผลิตชิ้นส่วนในสหรัฐฯ จ้างงานกว่า 1 ล้านคน มากกว่าการจ้างงานในอุตสาหกรรมอย่างอื่น และยังจะกระทบต่ออุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นธุรกิจเกี่ยวข้องโดยตรงกับเครื่องยนต์แบบสันดาป

การปรับตัวอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมรถยนต์ ที่จะมุ่งการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า จะทำให้การจ้างงานแบบเดิมๆหายไป ส่วนธุรกิจที่เคยเกี่ยวข้องกับรถยนต์ใช้น้ำมัน ต้องปิดกิจการลงไป รถยนต์ไฟฟ้าไม่มีระบบเกียร์ จึงไม่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะเวลา ศูนย์บริการรถยนต์ก็ต้องฝึกฝนการทำงานแบบใหม่ให้แก่พนักงาน โรงงานรถยนต์ไฟฟ้า ต้องการคนงานน้อยลง แต่ธุรกิจใหม่ที่จะเติบโตคือ อุตสาหกรรมแบตเตอร์รี่ และสถานีชาร์ตไฟฟ้า

ประวัติรถยนต์ไฟฟ้า

หนังสือ Electric Cars: The Ultimate Guide 2021 Edition กล่าวว่า รถยนต์ไฟฟ้าไม่ใช่เรื่องใหม่ เกิดขึ้นมาแล้วกว่า 200 ปี ก่อนที่จะมีการพัฒนาเครื่องยนต์ระบบสันดาป เมื่อต้นศตวรรษที่ 20 รถยนต์ไฟฟ้าได้รับความนิยม แต่ในช่วงปี 1910-1920 รถยนต์ไฟฟ้าเกือบจะสูญพันธุ์ เมื่อบริษัท Ford ผลิตรถยนต์ Model T ออกมาแบบอุตสาหกรรม ในราคาถูก โดยมีเป้าหมายให้คนงานก็สามารถซื้อรถรุ่นนี้ได้

ที่มาภาพ : amazon.com

เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 รถยนต์ไฟฟ้าก็กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งหนึ่ง ช่วงปี 2010-2020 เป็นทศวรรษของนวัตกรรมด้านรถยนต์ไฟฟ้า จุดเปลี่ยนที่สำคัญคือการวางตลาดของรถยนต์ Nissan Leaf ในปี 2010 ที่เป็นรถยนต์คันแรกในโลก ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าทั้งหมด และมีการผลิตออกมาเป็นอุตสาหกรรม โดยได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น แต่ความนิยมชะลอตัวลง เพราะการขาดสถานีชาร์ตไฟฟ้า แต่ Nissan Leaf ก็เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายดีที่สุด ในช่วง 10 ที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน ก็เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอร์รี่แบบใหม่ ที่ช่วยเพิ่มระยะทางของรถยนต์ไฟฟ้า ส่วนแบตเตอร์รี่แบบลิเทียมไอออน ก็มีราคาถูกลง 50% แบตเตอร์รี่รถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นสินค้าธรรมดาอย่างหนึ่ง ช่วยให้รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาถูกลง ในระดับที่คนทั่วไปสามารถซื้อได้ ส่วนราคามอเตอร์ไฟฟ้าของรถยนต์ ก็มีสัดส่วนที่น้อยกว่า 10% ของต้นทุนทั้งหมด

ในปี 2012 บริษัท เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า Model S ที่ได้รับรางวัลรถยนต์แห่งปี 2012 และรางวัล “รถยนต์สีเขียวปี 2013” ต่อมากลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายดีทั่วโลกในปี 2015 และ 2016 เมื่อปี 2020 ทาง Tesla ประกาศว่า Model S สามารถวิ่งได้ไกล 647 กม. ถือเป็นรถยนต์ไฟฟ้าใช้แบตเตอร์รี่ที่วิ่งได้ไกลที่สุด ปัจจุบัน รถยนต์ไฟฟ้าสามารถวิ่งได้ระหว่าง 320-480 กม. ต่อการชาร์ตแบตเตอร์รี่ 1 ครั้ง

รถยนต์ไฟฟ้า ที่มาภาพ : theguardian.com

ใกล้ถึงจุดคนส่วนใหญ่ยอมรับ

หนังสือพิมพ์ The Guardian รายงานว่า รถยนต์ไฟฟ้ากำลังใกล้ที่จะก้าวมาถึงจุดที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ให้การยอมรับ เนื่องจากต้นทุนแบตเตอร์รี่ลดต่ำลง ปี 2020 ยอดรายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกเพิ่ม 43% และคาดกันว่า ยอดขายจะเพิ่มอย่างรวดเร็ว เมื่อราคารถยนต์ไฟฟ้าต่ำกว่ารถยนต์ใช้น้ำมัน ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2023-2025

จุดที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่หันมายอมรับ หรือที่เรียกว่า Tipping Point เกิดขึ้นแล้วในนอร์เวย์ การลดหย่อนภาษีทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาถูกลง รถยนต์ไฟฟ้าในนอร์เวย์มีราคาถูกกว่ารถยนต์ใช้น้ำมัน 0.3% ในปี 2020 รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย มีส่วนแบ่งตลาด 54% ขณะที่ประเทศในยุโรปอื่นๆ ส่วนแบ่งตลาดยังน้อยกว่า 5% ในอังกฤษ รถยนต์ไฟฟ้าแพงกว่ารถยนต์ใช้น้ำมัน 1.3% มีส่วนแบ่งตลาด 1.6%

แม้ค่าใช้จ่ายการใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะถูกกว่า แต่ปัญหาสำหรับผู้บริโภคคือราคารถยนต์ไฟฟ้าที่สูงกว่ารถใช้น้ำมัน BloombergNEF พยากรณ์ว่า ราคาแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนจะถูกลง จนทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาเท่ากับรถยนต์ใช้น้ำมันในปี 2023

อีกปัญหาหนึ่งคือความกังวลของผู้ใช้รถยนต์ เรื่องระยะทางวิ่งของรถยนต์ไฟฟ้าต่อการชาร์ตแบตเตอร์รี่ 1 ครั้ง ความกังวลดังกล่าวทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดว่า รถยนต์ไฟฟ้าไม่สามารถวิ่งระยะไกลได้ จึงไม่เหมาะที่จะใช้ในการเดินทางไกล

โครงการ G-Box ระบบกักเก็บพลังงานผ่านแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System) ขนาด 150 กิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) นำร่องติดตั้งในสถานีบริการน้ำมัน PTT Station สาขาหนองแขม รองรับ EV Station พร้อมโซลูชั่นจ่ายไฟฟ้าครอบคลุมกิจกรรมต่างๆ ภายในสถานี มุ่งสู่การบริหารจัดการพลังงาน เพื่อสร้างเสถียรภาพ และลดต้นทุนค่าไฟฟ้า รองรับกระแสยานยนต์ไฟฟ้า

แต่หนังสือ Electric Cars ก็กล่าวว่า คนใช้รถยนต์ส่วนใหญ่ในอังกฤษ ก็ยังมีความเข้าใจผิดหลายอย่างเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า เช่น แรงม้าของรถยนต์ไฟฟ้ามีน้อยกว่ารถยนต์ใช้น้ำมัน ไม่สามารถนำไปใช้ขับในมอเตอร์เวย์ ช่วงฝนตกหนักไม่ควรขับหรือชาร์ตแบตเตอร์รี่ ต้องเปลี่ยนแบตเตอร์รี่ทุกๆ 5 ปี นำมาวิ่งระยะไกลไม่ได้ การดูแลรักษามีค่าใช้จ่ายแพงกว่า วิ่งช้าแบบรถกอล์ฟ หรือจำนวนสถานีชาร์ตแบตเตอร์รี่ยังมีไม่พอ

ในเรื่องค่าใช้จ่ายดูแลรถยนต์ไฟฟ้า สถาบัน MIT เคยทำการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างรถยนต์ไฟฟ้ากับรถยนต์ใช้น้ำมัน นอกจากจะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว เพราะรถยนต์ไฟฟ้าไม่มีการขับควันพิษออกมา การดูแลรักษาตลอดอายุการใช้งงาน ก็ถูกกว่า เพราะรถยนต์ไฟฟ้าไม่ใช้ระบบเกียร์ จึงไม่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง และไม่ต้องเปลี่ยนผ้าเบรค เพราะใช้มอเตอร์ไฟฟ้ามาช่วยชะลอความเร็ว เรียกว่า Regenerative Braking

อย่างไรก็ตาม แม้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์จะหันไปผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดในอีก 15-20 ปีข้างหน้า แต่รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบสันดาป ก็จะยังวิ่งในท้องถนนไปอีกหลายสิบปี ยกเว้นรัฐบาลประเทศต่างๆจะมีนโยบายส่งเสริมให้คนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าเร็วขึ้น

เอกสารประกอบ

GM Will Sell Only Zero-Emission Vehicles by 2035, January 28, 2021, nytimes.com
Electric vehicles close to a “tipping point” of mass adoption, January 22, 2021, theguardian.com
Electric Cars: The Ultimate Guide, 2021, Keith Chamberlain, Green Tech Publishing, 2020.