ThaiPublica > สู่อาเซียน > “หมู่เจ้” ประตูการค้าจีน-เมียนมาที่ “ใหญ่” ที่สุด

“หมู่เจ้” ประตูการค้าจีน-เมียนมาที่ “ใหญ่” ที่สุด

8 มกราคม 2021


ปัณฑพ ตั้งศรีวงศ์ รายงาน

การประชุมระหว่าง อู หล่ายโซตัน นายอำเภอหมู่เจ้ กับหยาง ฉีหย่ง นายอำเภอรุ่ยลี่ บริเวณหน้าประตูฉ่วย นานดอ เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2564 ที่มาภาพ :เพจแผนกข้อมูลข่าวสารเมืองหมู่เจ้ https://www.facebook.com/IPRD-Muse-105187577855189

2 มกราคม 2564 อู หล่ายโซตัน นายอำเภอหมู่เจ้ กับหยาง ฉีหย่ง นายอำเภอรุ่ยลี่ พร้อมทีมงาน ได้ตั้งโต๊ะชั่วคราว นั่งประชุมกันบริเวณหน้าประตูฉ่วย นานดอ ที่เคยใช้เป็นช่องทางเข้า-ออกของผู้คนระหว่างเมืองหมู่เจ้กับรุ่ยลี่

หัวข้อการประชุม เพื่อพิจารณาผ่อนปรนกฎระเบียบที่ทั้ง 2 ฝ่าย (ส่วนใหญ่เป็นฝั่งรุ่ยลี่) ได้ประกาศใช้ในช่วง 5 เดือนก่อน หลังจากโควิด-19 เริ่มกลับมาระบาดรอบ 2 ในเมียนมา

เหตุผลที่ต้องพิจารณากันใหม่ เพราะกฎระเบียบเหล่านี้ กลับกลายเป็นอุปสรรคต่อการค้าขายผ่านแดนที่เกิดขึ้นระหว่าง 2 ฝั่ง

ฐานะตามโครงสร้างการปกครอง หมู่เจ้และรุ่ยลี่ เป็นพื้นที่ระดับอำเภอ

อำเภอหมู่เจ้ ขึ้นกับจังหวัดหมู่เจ้ ภาคเหนือของรัฐฉาน สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา

รุ่ยลี่ เป็นอำเภอ ขึ้นกับเขตปกครองตนเองชนชาติไตและจิ่งพัว เต๋อหง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน

แต่ทั้ง 2 อำเภอ มีบทบาทสูงทางด้านเศรษฐกิจ เป็นประตูการค้าที่สำคัญและมีมูลค่าสูงที่สุดระหว่างจีนและเมียนมา และไม่ใช่เป็นเพียงการค้าชายแดน แต่สินค้าทุกชนิดที่เมียนมานำเข้าจากจีน ส่วนใหญ่ต้องนำเข้าผ่านช่องทางนี้ ในทางกลับกัน สินค้าประมง ผลิตผลทางการเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติ ฯลฯ ที่เมียนมาส่งออกไปขายในจีน เกือบทั้งหมดต้องส่งผ่านช่องทางนี้ด้วยเช่นกัน

ทั้งจีนและเมียนมา ต่างสถาปนาเขตเศรษฐกิจพิเศษขึ้นทั้งฝั่งหมู่เจ้และรุ่ยลี่ เพื่อสนับสนุนการค้า การลงทุนระหว่าง 2 ประเทศ

มูลค่าการค้าระหว่างจีน-เมียนมา ผ่านช่องทางหมู่เจ้-รุ่ยลี่ เฉลี่ยปีละ 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ!!!

ในภาวะปกติ ที่หมู่เจ้ต้องพบเห็นรถบรรทุกสินค้าผ่านเข้า-ออกบริเวณหน้าด่านข้ามแดนวันละไม่ต่ำกว่า 1,000 คัน

ตามเส้นพรมแดนระหว่างหมู่เจ้-รุ่ยลี่ มีประตูเข้า-ออกของคนและสินค้าอย่างน้อย 5 จุด เช่น ประตูฉ่วย นานดอ กับประตูช้างเผือก ซึ่งถูกใช้เป็นช่องทางเข้า-ออกของคนเป็นหลัก

อีก 3 จุด คือประตูม่านเวียง ประตูจินซานจ่อ และประตูป่างซาย-วันติ่ง เป็นช่องทางเข้า-ออกของรถบรรทุกสินค้า

หลายคนอาจสงสัย ทำไมชื่อประตูที่เป็นช่องทางเข้า-ออกระหว่างหมู่เจ้และรุ่ยลี่บางแห่ง คล้ายกับภาษาไทย

เหตุผลคือ ประชากรของหมู่เจ้และรุ่ยลี่ส่วนใหญ่เป็นคนไต และภาษาไตกับภาษาไทยนั้นอยู่ในกลุ่มตระกูลเดียวกัน

ชื่อหมู่เจ้ในภาษาพม่าออกเสียงเป็น “มูแซ” เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า “Muse” คนไทยเมื่ออ่านจากภาษาอังกฤษจึงมักเรียกเมืองนี้ว่า “มูเซ” แต่จริงๆ แล้ว “หมู่เจ้” เป็นชื่อในภาษาไต

คำว่า “เจ้” หรือ “เจ” ในภาษาไตหมายถึงกระดาษที่ทำขึ้นจากเยื่อไม้ เมืองหมู่เจ้จึงเป็นการเรียกชื่อดินแดนตามวิถีการทำมาหากินของกลุ่มหรือหมู่คนที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ ซึ่งมีอาชีพหลักคือการผลิตเจหรือกระดาษ

ป้ายชื่อเมืองหมู่เจ้ในภาษาพม่า ที่มาภาพ : เพจแผนกข้อมูลข่าวสารเมืองหมู่เจ้ https://www.facebook.com/IPRD-Muse-105187577855189

พื้นที่บริเวณนี้เมื่อประมาณ 700-800 ปีก่อน คืออาณาจักร “มาวโหลง” หรือ “มาวหลวง” อาณาจักรที่เคยยิ่งใหญ่ของคนไตในอดีต มีกษัตริย์ผู้มีชื่อเสียงคือ “เจ้าเสือข่านฟ้า” ผู้ที่สามารถรวบรวมหัวเมืองไตซึ่งกระจัดกระจายอยู่เป็นเอกเทศตามพื้นที่ต่างๆ ให้เข้ามาร่วมเป็นหนึ่งเดียว

ทั้งหมู่เจ้และรุ่ยลี่ เมื่อก่อนนี้เป็นเมืองเดียวกัน ไม่ได้แยกว่าที่นั่นเป็นจีน ที่นี่เป็นรัฐฉาน

คนไตที่หมู่เจ้และรุ่ยลี่ ถูกเรียกเป็นชาวไตมาวหรือไตเหนือ มีวัฒนธรรม ประเพณี อาหารการกิน การแต่งกาย ทุกอย่างเหมือนกับชาวไทใหญ่ทั่วไปในรัฐฉาน เพียงแต่มีเอกลักษณ์ในสำเนียงการพูดที่ดูห้วนและเร็วกว่า

ส่วนภาษาเขียน ไตมาวและไทใหญ่มีตัวอักษรและการลำดับตัวอักษรเหมือนกัน เพราะมีรากมาจากภาษามอญโบราณเช่นเดียวกัน เพียงแต่ตัวอักษรที่คนไตมาวใช้ ซึ่งเรียกว่าอักษรถั่วงอก มีลักษณะผอมเรียว แตกต่างจากตัวอักษรไทใหญ่ที่เป็นตัวกลม แต่หลักไวยากรณ์ การเขียน การสะกดคำ อักษรถั่วงอกของไตมาว อักษรตัวกลมของไทใหญ่ และอักษรภาษาไทย ใช้หลักเดียวกัน

ชื่อเขตปกครองตนเองชนชาติไตและจิ่งพัว เต๋อหง คำว่าเต๋อหง (Dehong) มาจากคำว่า “ใต้คง” ในภาษาไต หมายถึงดินแดนที่อยู่ทางทิศใต้ของแม่น้ำคง ซึ่งเป็นอีกชื่อหนึ่งของแม่น้ำสาลวิน

หลักเขตแดนหมู่เจ้-รุ่ยลี่

เมืองรุ่ยลี่เป็นชื่อในภาษาจีน ส่วนชื่อในภาษาไตคือ “เมืองมาว”

ส่วนชนชาติ “จิ่งพัว” เป็นชาติพันธุ์เก่าแก่อีกกลุ่มหนึ่ง ที่ตั้งรกรากอยู่ในบริเวณนี้มาช้านานพอๆ กับคนไต คนไทยรู้จักจิ่งพัวในชื่อ “คะฉิ่น”

ช่วงที่อิทธิพลจากประเทศตะวันตกแผ่ขยายเข้ามาในพื้นที่ซึ่งเป็นรัฐฉานปัจจุบัน เมื่อ 100 กว่าปีก่อน ได้มีการแบ่งพื้นที่ระหว่างรัฐฉานกับจีน หรือระหว่างหมู่เจ้กับรุ่ยลี่ให้ชัดเจน โดยใช้แนวแม่น้ำ “มาว” เป็นเส้นกั้นเขตแดน

แม่น้ำมาวมีต้นกำเนิดอยู่ในเขตเต๋อหง และไหลลงมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้

แม่น้ำสายนี้มีชื่อเรียกหลายชื่อ ช่วงที่อยู่ในจีนและช่วงถูกใช้เป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างหมู่เจ้-รุ่ยลี่ แม่น้ำสายนี้ถูกเรียกว่าแม่น้ำรุ่ยลี่ หลังไหลผ่านหมู่เจ้ไปทางทิศตะวันตกเข้าสู่อำเภอน้ำคำ (อีกอำเภอหนึ่งของจังหวัดหมู่เจ้) ชื่อถูกเปลี่ยนเป็นแม่น้ำฉ่วยหลี (Shweli)

คำว่า “ฉ่วย” ในภาษาพม่าแปลว่าทอง ซึ่งในภาษาไตและภาษาลาวเรียกทองว่า “คำ” เหมือนกัน ชื่อ “ฉ่วยหลี” จึงไปพ้องกับชื่อเมือง “น้ำคำ” ที่แม่น้ำไหลผ่าน

ส่วนชื่อแม่น้ำมาวเป็นภาษาไต เรียกตามชื่อดั้งเดิมของดินแดนบริเวณนี้ทั้งหมด

จากอำเภอน้ำคำ แม่น้ำฉ่วยหลีไหลเข้าไปในเขตรัฐฉาน ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ จนถึงจังหวัดเมืองมีด จึงไหลวกขึ้นไปทางทิศเหนือ และถูกใช้เป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างรัฐฉานกับภาคสะกาย จนไปบรรจบกับแม่น้ำอิรวดี ที่เมืองอินหยั่ว จังหวัด “กะต่า” หรือ “กาดสา” ในภาษาไต ในภาคสะกาย

ย้อนกลับขึ้นไปที่หมู่เจ้-รุ่ยลี่ ภายในเขตปกครองตนเองชนชาติไตและจิ่งพัว เต๋อหง ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตจีน ประกอบด้วย 5 เมืองหลัก นอกจากรุ่ยลี่หรือเมืองมาวแล้ว ยังมี

  • เมืองหมานซื่อ (Mangshi) ชื่อในภาษาไตคือ “เมืองขอน”
  • เมืองหยิงเจียง (Ying Jiang) หรืออีกชื่อหนึ่งคือ “เมืองหล้า”
  • เมืองเลียงเคอ (Lianghe) คือ “เมืองตี” ในภาษาไต
  • เมืองหล่งชวน (Long Chuan) อีกชื่อหนึ่งคือ “เมืองวัน”

ปัจจุบัน มีคนไตอยู่ในเขตปกครองตนเองเต๋อหงประมาณ 1.3 ล้านคน

โควิด-19 เริ่มกลับมาระบาดรอบ 2 ในเมียนมาเมื่อกลางเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว จากนั้นเริ่มแพร่ลามไปทั่วประเทศ จนขึ้นมาถึงรัฐฉานและจังหวัดหมู่เจ้ในอีกประมาณ 1 เดือนถัดมา

ช่วงนั้น พื้นที่ส่วนใหญ่ในจีนหลายแห่งเริ่มปลอดจากเชื้อโควิด-19 แล้ว เมื่อการระบาดแพร่ลามมาถึงชายแดนรัฐฉาน ทางการท้องถิ่นของจีนที่อยู่ติดกัน จึงต้องมีการป้องกันพื้นที่อย่างเข้มงวด

ประตูช้างเผือก ประตูฉ่วย นานดอ ที่เคยเปิดให้คนจาก 2 ฝั่งข้ามไปมาหาสู่กันได้ฉันญาติมิตร ถูกทางการรุ่ยลี่ปิดตาย มีการส่งกำลังตำรวจ ทหาร มายืนรักษาการณ์ และลาดตระเวนตามแนวชายแดนที่เคยเป็นช่องทางธรรมชาติ ซึ่งคนจากฝั่งหมู่เจ้มักแอบข้ามไปทำงานในฝั่งรุ่ยลี่ ธุรกิจ ร้านอาหาร สถานบริการในหมู่เจ้ที่เปิดขึ้นมารองรับลูกค้าที่ข้ามมาจากรุ่ยลี่ เงียบเหงาลงไปถนัดตา

แผนที่แสดงตำแหน่งเมืองหมู่เจ้ และเส้นทางหลักในการขนส่งสินค้าระหว่างจีน-เมียนมา

แต่ที่สำคัญกว่า คือมูลค่าการค้าระหว่าง 2 ประเทศ ที่เคยคึกคัก ได้ซบเซาลงทันที อย่างเห็นได้ชัด

ประตูม่านเวียง ประตูจินซานจ่อ และประตูป่างซาย-วันติ่ง จากเดิมที่เคยเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ได้ถูกปิดในช่วงแรก เมื่อกลับมาเปิดใหม่ก็จำกัดเวลา ลดเหลือเพียงวันละ 12-16 ชั่วโมง

คนขับรถบรรทุกสินค้าจากเดิมที่เคยขับผ่านเข้า-ออก ไป-มาได้สะดวก มีการจำกัดจำนวนคนขับรถที่สามารถขับรถข้ามเข้าไปในเขตจีนได้เหลือเพียง 50 คน

ทั้ง 50 คนนี้ ถูกเลือกมาจากผู้ที่ผ่านการตรวจเชื้อโควิด-19 แล้ว และมีผลยืนยันว่าเป็นลบ จากนั้นต้องมีการเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อในโพรงจมูกของทุกคนเพื่อติดตามผลต่อเนื่องทุก 3 วัน

จำนวนคนขับรถที่เหลือเพียง 50 คน ทำให้รถบรรทุกสินค้าจำนวนมาก ที่ขับมาจากทุกสารทิศของเมียนมา พอมาถึงหมู่เจ้ ต้องจอดเพื่อรอสับเปลี่ยนคนขับรถ บางคันรอ 6-8 ชั่วโมง บางคันต้องรอเป็นวันๆ
สินค้าประมง ผลิตผลทางการเกษตร หลายคันรถได้รับความเสียหาย เพราะต้องรอข้ามฝั่งเป็นเวลานาน…

ความจริง ก่อนการระบาดของโควิด-19 การค้าจีน-เมียนมาผ่านช่องทางหมู่เจ้-รุ่ยลี่ ต้องประสบกับปัญหามาตั้งแต่ปลายปี 2562 จากเหตุความไม่สงบในพื้นที่รัฐฉานภาคเหนือ

กลางเดือนสิงหาคม 2562 กองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์ 3 กลุ่ม ซึ่งรวมตัวกันในนามพันธมิตรภาคเหนือ ประกอบด้วย กองทัพอารกัน (AA) กองทัพตะอั้ง (TNLA) และกองทัพโกก้าง (MNDAA) ได้เข้าโจมตีฐานที่มั่นของทหารพม่า และโรงเรียนนายร้อยเทคนิคกองทัพพม่า ที่เมืองปินอูลวิน เมืองตากอากาศชื่อดังของภาคมัณฑะเลย์

จากนั้นได้วางระเบิดสะพานก๊กตวิน ที่อยู่ใจกลางหุบเขาก๊กเทค จนเสียหายใช้การไม่ได้

สำหรับคนที่เคยไปเที่ยวเมียนมา ต้องคุ้นหูกับชื่อหุบเขาก๊กเทค เพราะเป็นหุบเขาที่มีสะพานรถไฟซึ่งเก่าแก่และยาวที่สุดในเมียนมา และสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก อยู่ด้านบน นักท่องเที่ยวหลายคนนิยมนั่งรถไฟจากเมืองปินอูลวินข้ามสะพานก๊กเทค เพื่อไปเที่ยวยังเมืองสีป้อ

แต่ในแง่ของการค้า สะพานก๊กตวินที่อยู่ด้านล่างสุดของหุบเขา คือคอขวดบนเส้นทางขนส่งสินค้าหลักที่มีการซื้อ-ขายกันระหว่างจีนและเมียนมา

สินค้าทุกชนิดที่จะส่งออกไปยังจีนและที่ซื้อจากจีนเข้ามาในเมียนมาผ่านช่องทางหมู่เจ้-รุ่ยลี่ ต้องถูกลำเลียงผ่านทางหลวงหมายเลข 3 “หมู่เจ้-ล่าเสี้ยว-มัณฑะเลย์” ต่อไปถึงกรุงย่างกุ้ง ก่อนกระจายต่อไปทั่วเมียนมา

บนทางหลวงสายนี้ รถบรรทุกสินค้าทุกคันต้องลงไปข้ามสะพานก๊กตวิน

เมื่อสะพานก๊กตวินถูกวางระเบิดจนไม่สามารถผ่านได้ การค้าระหว่างจีน-เมียนมา ผ่านช่องทางหมู่เจ้-รุ่ยลี่ จึงต้องเป็นอัมพาตไปเกือบ 1 เดือน เพื่อรอให้กระทรวงก่อสร้างเมียนมา สร้างสะพานชั่วคราวมาใช้แทนสะพานที่ถูกระเบิดทำลายให้เสร็จเสียก่อน

รถบรรทุกสินค้าที่รอผ่านประตูม่านเวียงเข้าไปในเขตรุ่ยลี่ ในคืนวันที่ 5 มกราคม หลังเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมงเป็นวันแรก ที่มาภาพ : เพจแผนกข้อมูลข่าวสารเมืองหมู่เจ้ https://www.facebook.com/IPRD-Muse-105187577855189

ปีงบประมาณ 2559-2560 มูลค่าการค้าระหว่างเมียนมาและจีนผ่านช่องทางหมู่เจ้-รุ่ยลี่ สูงถึง 5.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเพิ่มขึ้นเป็น 5.8 พันล้านดอลลาร์ในปี 2560-2561

ปี 2561-2562 มูลค่าการค้าที่หมู่เจ้-รุ่ยลี่ลดลงมาเหลือ 4.9 พันล้านดอลลาร์ เพราะสะพานก๊กตวินถูกระเบิดเสียหาย ไม่สามารถข้ามได้ในช่วงปลายของปีงบประมาณ

ปี 2562-2563 หลังสะพานชั่วคราวแทนสะพานก๊กตวินเปิดใช้งาน กระทรวงพาณิชย์เมียนมาตั้งเป้ามูลค่าการค้าผ่านช่องทางหมู่เจ้-รุ่ยลี่ไว้ที่ 5 พันล้านดอลลาร์ แต่ทำได้จริงแค่ 4.86 พันล้านดอลลาร์เท่านั้น เพราะเกิดการระบาดของโควิด-19

1 ตุลาคมถึง 18 ธันวาคมปีที่แล้ว 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563-2564 มูลค่าการค้าผ่านช่องทางหมู่เจ้-รุ่ยลี่ ลดลงมาเหลือเพียง 785.6 ล้านดอลลาร์ น้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีงบประมาณก่อนถึง 468 ล้านดอลลาร์ เพราะมีการนำมาตรการป้องกันโควิด-19 มาใช้ในเมืองหมู่เจ้และรุ่ยลี่ อย่างเข้มงวด

อันเป็นที่มาของการประชุมระหว่างนายอำเภอหมู่เจ้ และรุ่ยลี่ ที่โต๊ะประชุมชั่วคราวบริเวณประตูฉ่วย นานดอ เมื่อวันที่ 2 มกราคม…

ที่ประชุม 2 ฝ่ายในวันนั้น เห็นพ้องกันว่าจะทดลองเปิดประตูม่านเวียงตลอด 24 ชั่วโมงเป็นการชั่วคราว เป็นเวลา 10 วัน ตั้งแต่วัน 5-14 มกราคม เพื่อเพื่อเพิ่มเวลาในการทำพิธีการส่งออก-นำเข้าสินค้าให้มากขึ้น แต่ยังคงมาตรการหมุนเวียนคนขับรถที่ได้รับอนุญาตเข้าไปในเขตจีน ที่ให้โควตาเพียง 50 คนไว้ก่อน

การขยายเวลาให้บริการที่ประตูม่านเวียงเป็นตลอด 24 ชั่วโมง จะเป็นทดสอบระบบสาธารณสุข และการกำกับดูแลการส่งออก-นำเข้าสินค้า ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19

โดยที่ประตูม่านเวียง ช่วงที่มีการจำกัดเวลาให้บริการ มีรถสินค้าเข้า-ออกเฉลี่ยวันละ 150 คัน ทั้งฝ่ายหมู่เจ้และรุ่ยลี่คาดหมายว่า หลังเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว จำนวนรถสินค้าผ่านประตูม่านเวียงจะเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 250-300 คัน

ช่องทางขนส่งสินค้าจุดหนึ่งในเมืองหมู่เจ้ช่วงกลางวัน ที่มาภาพ : เพจแผนกข้อมูลข่าวสารเมืองหมู่เจ้ https://www.facebook.com/IPRD-Muse-105187577855189

หากในช่วง 10 วันที่ประตูม่านเวียงเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น ทั้ง 2 ฝ่ายจะพิจารณาขยายเวลาให้บริการในจุดอื่นๆ รวมถึงเปิดจุดผ่านแดนที่ประตูอื่นๆ เพิ่มขึ้นอีก

เป้าหมายทุกฝ่ายตั้งไว้ เพื่อให้มูลค่าการค้าระหว่างจีนและเมียนมาผ่านช่องทางนี้ กลับมามากกว่าปีละ 5,000 ล้านดอลลาร์อีกครั้ง

ผลลัพธ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นที่หมู่เจ้-รุ่ยลี่ นั้นน่าสนใจ และเป็นเรื่องที่ต้องติดตามดูต่อไปอีก…