ปัณฑพ ตั้งศรีวงศ์ รายงาน

2 มกราคม 2564 อู หล่ายโซตัน นายอำเภอหมู่เจ้ กับหยาง ฉีหย่ง นายอำเภอรุ่ยลี่ พร้อมทีมงาน ได้ตั้งโต๊ะชั่วคราว นั่งประชุมกันบริเวณหน้าประตูฉ่วย นานดอ ที่เคยใช้เป็นช่องทางเข้า-ออกของผู้คนระหว่างเมืองหมู่เจ้กับรุ่ยลี่
หัวข้อการประชุม เพื่อพิจารณาผ่อนปรนกฎระเบียบที่ทั้ง 2 ฝ่าย (ส่วนใหญ่เป็นฝั่งรุ่ยลี่) ได้ประกาศใช้ในช่วง 5 เดือนก่อน หลังจากโควิด-19 เริ่มกลับมาระบาดรอบ 2 ในเมียนมา
เหตุผลที่ต้องพิจารณากันใหม่ เพราะกฎระเบียบเหล่านี้ กลับกลายเป็นอุปสรรคต่อการค้าขายผ่านแดนที่เกิดขึ้นระหว่าง 2 ฝั่ง
…
ฐานะตามโครงสร้างการปกครอง หมู่เจ้และรุ่ยลี่ เป็นพื้นที่ระดับอำเภอ
อำเภอหมู่เจ้ ขึ้นกับจังหวัดหมู่เจ้ ภาคเหนือของรัฐฉาน สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
รุ่ยลี่ เป็นอำเภอ ขึ้นกับเขตปกครองตนเองชนชาติไตและจิ่งพัว เต๋อหง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน
แต่ทั้ง 2 อำเภอ มีบทบาทสูงทางด้านเศรษฐกิจ เป็นประตูการค้าที่สำคัญและมีมูลค่าสูงที่สุดระหว่างจีนและเมียนมา และไม่ใช่เป็นเพียงการค้าชายแดน แต่สินค้าทุกชนิดที่เมียนมานำเข้าจากจีน ส่วนใหญ่ต้องนำเข้าผ่านช่องทางนี้ ในทางกลับกัน สินค้าประมง ผลิตผลทางการเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติ ฯลฯ ที่เมียนมาส่งออกไปขายในจีน เกือบทั้งหมดต้องส่งผ่านช่องทางนี้ด้วยเช่นกัน
ทั้งจีนและเมียนมา ต่างสถาปนาเขตเศรษฐกิจพิเศษขึ้นทั้งฝั่งหมู่เจ้และรุ่ยลี่ เพื่อสนับสนุนการค้า การลงทุนระหว่าง 2 ประเทศ
มูลค่าการค้าระหว่างจีน-เมียนมา ผ่านช่องทางหมู่เจ้-รุ่ยลี่ เฉลี่ยปีละ 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ!!!
ในภาวะปกติ ที่หมู่เจ้ต้องพบเห็นรถบรรทุกสินค้าผ่านเข้า-ออกบริเวณหน้าด่านข้ามแดนวันละไม่ต่ำกว่า 1,000 คัน
ตามเส้นพรมแดนระหว่างหมู่เจ้-รุ่ยลี่ มีประตูเข้า-ออกของคนและสินค้าอย่างน้อย 5 จุด เช่น ประตูฉ่วย นานดอ กับประตูช้างเผือก ซึ่งถูกใช้เป็นช่องทางเข้า-ออกของคนเป็นหลัก
อีก 3 จุด คือประตูม่านเวียง ประตูจินซานจ่อ และประตูป่างซาย-วันติ่ง เป็นช่องทางเข้า-ออกของรถบรรทุกสินค้า
…
หลายคนอาจสงสัย ทำไมชื่อประตูที่เป็นช่องทางเข้า-ออกระหว่างหมู่เจ้และรุ่ยลี่บางแห่ง คล้ายกับภาษาไทย
เหตุผลคือ ประชากรของหมู่เจ้และรุ่ยลี่ส่วนใหญ่เป็นคนไต และภาษาไตกับภาษาไทยนั้นอยู่ในกลุ่มตระกูลเดียวกัน
ชื่อหมู่เจ้ในภาษาพม่าออกเสียงเป็น “มูแซ” เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า “Muse” คนไทยเมื่ออ่านจากภาษาอังกฤษจึงมักเรียกเมืองนี้ว่า “มูเซ” แต่จริงๆ แล้ว “หมู่เจ้” เป็นชื่อในภาษาไต
คำว่า “เจ้” หรือ “เจ” ในภาษาไตหมายถึงกระดาษที่ทำขึ้นจากเยื่อไม้ เมืองหมู่เจ้จึงเป็นการเรียกชื่อดินแดนตามวิถีการทำมาหากินของกลุ่มหรือหมู่คนที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ ซึ่งมีอาชีพหลักคือการผลิตเจหรือกระดาษ

พื้นที่บริเวณนี้เมื่อประมาณ 700-800 ปีก่อน คืออาณาจักร “มาวโหลง” หรือ “มาวหลวง” อาณาจักรที่เคยยิ่งใหญ่ของคนไตในอดีต มีกษัตริย์ผู้มีชื่อเสียงคือ “เจ้าเสือข่านฟ้า” ผู้ที่สามารถรวบรวมหัวเมืองไตซึ่งกระจัดกระจายอยู่เป็นเอกเทศตามพื้นที่ต่างๆ ให้เข้ามาร่วมเป็นหนึ่งเดียว
ทั้งหมู่เจ้และรุ่ยลี่ เมื่อก่อนนี้เป็นเมืองเดียวกัน ไม่ได้แยกว่าที่นั่นเป็นจีน ที่นี่เป็นรัฐฉาน
คนไตที่หมู่เจ้และรุ่ยลี่ ถูกเรียกเป็นชาวไตมาวหรือไตเหนือ มีวัฒนธรรม ประเพณี อาหารการกิน การแต่งกาย ทุกอย่างเหมือนกับชาวไทใหญ่ทั่วไปในรัฐฉาน เพียงแต่มีเอกลักษณ์ในสำเนียงการพูดที่ดูห้วนและเร็วกว่า
ส่วนภาษาเขียน ไตมาวและไทใหญ่มีตัวอักษรและการลำดับตัวอักษรเหมือนกัน เพราะมีรากมาจากภาษามอญโบราณเช่นเดียวกัน เพียงแต่ตัวอักษรที่คนไตมาวใช้ ซึ่งเรียกว่าอักษรถั่วงอก มีลักษณะผอมเรียว แตกต่างจากตัวอักษรไทใหญ่ที่เป็นตัวกลม แต่หลักไวยากรณ์ การเขียน การสะกดคำ อักษรถั่วงอกของไตมาว อักษรตัวกลมของไทใหญ่ และอักษรภาษาไทย ใช้หลักเดียวกัน
ชื่อเขตปกครองตนเองชนชาติไตและจิ่งพัว เต๋อหง คำว่าเต๋อหง (Dehong) มาจากคำว่า “ใต้คง” ในภาษาไต หมายถึงดินแดนที่อยู่ทางทิศใต้ของแม่น้ำคง ซึ่งเป็นอีกชื่อหนึ่งของแม่น้ำสาลวิน

เมืองรุ่ยลี่เป็นชื่อในภาษาจีน ส่วนชื่อในภาษาไตคือ “เมืองมาว”
ส่วนชนชาติ “จิ่งพัว” เป็นชาติพันธุ์เก่าแก่อีกกลุ่มหนึ่ง ที่ตั้งรกรากอยู่ในบริเวณนี้มาช้านานพอๆ กับคนไต คนไทยรู้จักจิ่งพัวในชื่อ “คะฉิ่น”
ช่วงที่อิทธิพลจากประเทศตะวันตกแผ่ขยายเข้ามาในพื้นที่ซึ่งเป็นรัฐฉานปัจจุบัน เมื่อ 100 กว่าปีก่อน ได้มีการแบ่งพื้นที่ระหว่างรัฐฉานกับจีน หรือระหว่างหมู่เจ้กับรุ่ยลี่ให้ชัดเจน โดยใช้แนวแม่น้ำ “มาว” เป็นเส้นกั้นเขตแดน
แม่น้ำมาวมีต้นกำเนิดอยู่ในเขตเต๋อหง และไหลลงมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
แม่น้ำสายนี้มีชื่อเรียกหลายชื่อ ช่วงที่อยู่ในจีนและช่วงถูกใช้เป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างหมู่เจ้-รุ่ยลี่ แม่น้ำสายนี้ถูกเรียกว่าแม่น้ำรุ่ยลี่ หลังไหลผ่านหมู่เจ้ไปทางทิศตะวันตกเข้าสู่อำเภอน้ำคำ (อีกอำเภอหนึ่งของจังหวัดหมู่เจ้) ชื่อถูกเปลี่ยนเป็นแม่น้ำฉ่วยหลี (Shweli)
คำว่า “ฉ่วย” ในภาษาพม่าแปลว่าทอง ซึ่งในภาษาไตและภาษาลาวเรียกทองว่า “คำ” เหมือนกัน ชื่อ “ฉ่วยหลี” จึงไปพ้องกับชื่อเมือง “น้ำคำ” ที่แม่น้ำไหลผ่าน
ส่วนชื่อแม่น้ำมาวเป็นภาษาไต เรียกตามชื่อดั้งเดิมของดินแดนบริเวณนี้ทั้งหมด
จากอำเภอน้ำคำ แม่น้ำฉ่วยหลีไหลเข้าไปในเขตรัฐฉาน ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ จนถึงจังหวัดเมืองมีด จึงไหลวกขึ้นไปทางทิศเหนือ และถูกใช้เป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างรัฐฉานกับภาคสะกาย จนไปบรรจบกับแม่น้ำอิรวดี ที่เมืองอินหยั่ว จังหวัด “กะต่า” หรือ “กาดสา” ในภาษาไต ในภาคสะกาย
ย้อนกลับขึ้นไปที่หมู่เจ้-รุ่ยลี่ ภายในเขตปกครองตนเองชนชาติไตและจิ่งพัว เต๋อหง ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตจีน ประกอบด้วย 5 เมืองหลัก นอกจากรุ่ยลี่หรือเมืองมาวแล้ว ยังมี
- เมืองหมานซื่อ (Mangshi) ชื่อในภาษาไตคือ “เมืองขอน”
- เมืองหยิงเจียง (Ying Jiang) หรืออีกชื่อหนึ่งคือ “เมืองหล้า”
- เมืองเลียงเคอ (Lianghe) คือ “เมืองตี” ในภาษาไต
- เมืองหล่งชวน (Long Chuan) อีกชื่อหนึ่งคือ “เมืองวัน”
ปัจจุบัน มีคนไตอยู่ในเขตปกครองตนเองเต๋อหงประมาณ 1.3 ล้านคน
…
โควิด-19 เริ่มกลับมาระบาดรอบ 2 ในเมียนมาเมื่อกลางเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว จากนั้นเริ่มแพร่ลามไปทั่วประเทศ จนขึ้นมาถึงรัฐฉานและจังหวัดหมู่เจ้ในอีกประมาณ 1 เดือนถัดมา
ช่วงนั้น พื้นที่ส่วนใหญ่ในจีนหลายแห่งเริ่มปลอดจากเชื้อโควิด-19 แล้ว เมื่อการระบาดแพร่ลามมาถึงชายแดนรัฐฉาน ทางการท้องถิ่นของจีนที่อยู่ติดกัน จึงต้องมีการป้องกันพื้นที่อย่างเข้มงวด
ประตูช้างเผือก ประตูฉ่วย นานดอ ที่เคยเปิดให้คนจาก 2 ฝั่งข้ามไปมาหาสู่กันได้ฉันญาติมิตร ถูกทางการรุ่ยลี่ปิดตาย มีการส่งกำลังตำรวจ ทหาร มายืนรักษาการณ์ และลาดตระเวนตามแนวชายแดนที่เคยเป็นช่องทางธรรมชาติ ซึ่งคนจากฝั่งหมู่เจ้มักแอบข้ามไปทำงานในฝั่งรุ่ยลี่ ธุรกิจ ร้านอาหาร สถานบริการในหมู่เจ้ที่เปิดขึ้นมารองรับลูกค้าที่ข้ามมาจากรุ่ยลี่ เงียบเหงาลงไปถนัดตา

แต่ที่สำคัญกว่า คือมูลค่าการค้าระหว่าง 2 ประเทศ ที่เคยคึกคัก ได้ซบเซาลงทันที อย่างเห็นได้ชัด
ประตูม่านเวียง ประตูจินซานจ่อ และประตูป่างซาย-วันติ่ง จากเดิมที่เคยเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ได้ถูกปิดในช่วงแรก เมื่อกลับมาเปิดใหม่ก็จำกัดเวลา ลดเหลือเพียงวันละ 12-16 ชั่วโมง
คนขับรถบรรทุกสินค้าจากเดิมที่เคยขับผ่านเข้า-ออก ไป-มาได้สะดวก มีการจำกัดจำนวนคนขับรถที่สามารถขับรถข้ามเข้าไปในเขตจีนได้เหลือเพียง 50 คน
ทั้ง 50 คนนี้ ถูกเลือกมาจากผู้ที่ผ่านการตรวจเชื้อโควิด-19 แล้ว และมีผลยืนยันว่าเป็นลบ จากนั้นต้องมีการเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อในโพรงจมูกของทุกคนเพื่อติดตามผลต่อเนื่องทุก 3 วัน
จำนวนคนขับรถที่เหลือเพียง 50 คน ทำให้รถบรรทุกสินค้าจำนวนมาก ที่ขับมาจากทุกสารทิศของเมียนมา พอมาถึงหมู่เจ้ ต้องจอดเพื่อรอสับเปลี่ยนคนขับรถ บางคันรอ 6-8 ชั่วโมง บางคันต้องรอเป็นวันๆ
สินค้าประมง ผลิตผลทางการเกษตร หลายคันรถได้รับความเสียหาย เพราะต้องรอข้ามฝั่งเป็นเวลานาน…
ความจริง ก่อนการระบาดของโควิด-19 การค้าจีน-เมียนมาผ่านช่องทางหมู่เจ้-รุ่ยลี่ ต้องประสบกับปัญหามาตั้งแต่ปลายปี 2562 จากเหตุความไม่สงบในพื้นที่รัฐฉานภาคเหนือ
กลางเดือนสิงหาคม 2562 กองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์ 3 กลุ่ม ซึ่งรวมตัวกันในนามพันธมิตรภาคเหนือ ประกอบด้วย กองทัพอารกัน (AA) กองทัพตะอั้ง (TNLA) และกองทัพโกก้าง (MNDAA) ได้เข้าโจมตีฐานที่มั่นของทหารพม่า และโรงเรียนนายร้อยเทคนิคกองทัพพม่า ที่เมืองปินอูลวิน เมืองตากอากาศชื่อดังของภาคมัณฑะเลย์
จากนั้นได้วางระเบิดสะพานก๊กตวิน ที่อยู่ใจกลางหุบเขาก๊กเทค จนเสียหายใช้การไม่ได้
สำหรับคนที่เคยไปเที่ยวเมียนมา ต้องคุ้นหูกับชื่อหุบเขาก๊กเทค เพราะเป็นหุบเขาที่มีสะพานรถไฟซึ่งเก่าแก่และยาวที่สุดในเมียนมา และสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก อยู่ด้านบน นักท่องเที่ยวหลายคนนิยมนั่งรถไฟจากเมืองปินอูลวินข้ามสะพานก๊กเทค เพื่อไปเที่ยวยังเมืองสีป้อ
แต่ในแง่ของการค้า สะพานก๊กตวินที่อยู่ด้านล่างสุดของหุบเขา คือคอขวดบนเส้นทางขนส่งสินค้าหลักที่มีการซื้อ-ขายกันระหว่างจีนและเมียนมา
สินค้าทุกชนิดที่จะส่งออกไปยังจีนและที่ซื้อจากจีนเข้ามาในเมียนมาผ่านช่องทางหมู่เจ้-รุ่ยลี่ ต้องถูกลำเลียงผ่านทางหลวงหมายเลข 3 “หมู่เจ้-ล่าเสี้ยว-มัณฑะเลย์” ต่อไปถึงกรุงย่างกุ้ง ก่อนกระจายต่อไปทั่วเมียนมา
บนทางหลวงสายนี้ รถบรรทุกสินค้าทุกคันต้องลงไปข้ามสะพานก๊กตวิน
เมื่อสะพานก๊กตวินถูกวางระเบิดจนไม่สามารถผ่านได้ การค้าระหว่างจีน-เมียนมา ผ่านช่องทางหมู่เจ้-รุ่ยลี่ จึงต้องเป็นอัมพาตไปเกือบ 1 เดือน เพื่อรอให้กระทรวงก่อสร้างเมียนมา สร้างสะพานชั่วคราวมาใช้แทนสะพานที่ถูกระเบิดทำลายให้เสร็จเสียก่อน
…

ปีงบประมาณ 2559-2560 มูลค่าการค้าระหว่างเมียนมาและจีนผ่านช่องทางหมู่เจ้-รุ่ยลี่ สูงถึง 5.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเพิ่มขึ้นเป็น 5.8 พันล้านดอลลาร์ในปี 2560-2561
ปี 2561-2562 มูลค่าการค้าที่หมู่เจ้-รุ่ยลี่ลดลงมาเหลือ 4.9 พันล้านดอลลาร์ เพราะสะพานก๊กตวินถูกระเบิดเสียหาย ไม่สามารถข้ามได้ในช่วงปลายของปีงบประมาณ
ปี 2562-2563 หลังสะพานชั่วคราวแทนสะพานก๊กตวินเปิดใช้งาน กระทรวงพาณิชย์เมียนมาตั้งเป้ามูลค่าการค้าผ่านช่องทางหมู่เจ้-รุ่ยลี่ไว้ที่ 5 พันล้านดอลลาร์ แต่ทำได้จริงแค่ 4.86 พันล้านดอลลาร์เท่านั้น เพราะเกิดการระบาดของโควิด-19
1 ตุลาคมถึง 18 ธันวาคมปีที่แล้ว 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563-2564 มูลค่าการค้าผ่านช่องทางหมู่เจ้-รุ่ยลี่ ลดลงมาเหลือเพียง 785.6 ล้านดอลลาร์ น้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีงบประมาณก่อนถึง 468 ล้านดอลลาร์ เพราะมีการนำมาตรการป้องกันโควิด-19 มาใช้ในเมืองหมู่เจ้และรุ่ยลี่ อย่างเข้มงวด
อันเป็นที่มาของการประชุมระหว่างนายอำเภอหมู่เจ้ และรุ่ยลี่ ที่โต๊ะประชุมชั่วคราวบริเวณประตูฉ่วย นานดอ เมื่อวันที่ 2 มกราคม…
ที่ประชุม 2 ฝ่ายในวันนั้น เห็นพ้องกันว่าจะทดลองเปิดประตูม่านเวียงตลอด 24 ชั่วโมงเป็นการชั่วคราว เป็นเวลา 10 วัน ตั้งแต่วัน 5-14 มกราคม เพื่อเพื่อเพิ่มเวลาในการทำพิธีการส่งออก-นำเข้าสินค้าให้มากขึ้น แต่ยังคงมาตรการหมุนเวียนคนขับรถที่ได้รับอนุญาตเข้าไปในเขตจีน ที่ให้โควตาเพียง 50 คนไว้ก่อน
การขยายเวลาให้บริการที่ประตูม่านเวียงเป็นตลอด 24 ชั่วโมง จะเป็นทดสอบระบบสาธารณสุข และการกำกับดูแลการส่งออก-นำเข้าสินค้า ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19
โดยที่ประตูม่านเวียง ช่วงที่มีการจำกัดเวลาให้บริการ มีรถสินค้าเข้า-ออกเฉลี่ยวันละ 150 คัน ทั้งฝ่ายหมู่เจ้และรุ่ยลี่คาดหมายว่า หลังเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว จำนวนรถสินค้าผ่านประตูม่านเวียงจะเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 250-300 คัน

หากในช่วง 10 วันที่ประตูม่านเวียงเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น ทั้ง 2 ฝ่ายจะพิจารณาขยายเวลาให้บริการในจุดอื่นๆ รวมถึงเปิดจุดผ่านแดนที่ประตูอื่นๆ เพิ่มขึ้นอีก
เป้าหมายทุกฝ่ายตั้งไว้ เพื่อให้มูลค่าการค้าระหว่างจีนและเมียนมาผ่านช่องทางนี้ กลับมามากกว่าปีละ 5,000 ล้านดอลลาร์อีกครั้ง
ผลลัพธ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นที่หมู่เจ้-รุ่ยลี่ นั้นน่าสนใจ และเป็นเรื่องที่ต้องติดตามดูต่อไปอีก…