ปัณฑพ ตั้งศรีวงศ์ รายงาน

ข่าวซึ่งปรากฏในเมียนมาตลอด 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ยังเป็นความเคลื่อนไหวภาคประชาชน ที่ได้ออกมาต่อต้านการทำรัฐประหารของกองทัพพม่า
แต่มีอีกความเคลื่อนไหวหนึ่งซึ่งได้เริ่มปรากฏออกมา และต้องจับตาต่อไปอย่างใกล้ชิดนับแต่นี้ นั่นคือท่าทีของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ…
ในจำนวนประชากรรวมกว่า 50 ล้านคน เมียนมาเป็นประเทศที่ประกอบด้วยคนชาติพันธุ์ต่างๆถึง 135 ชาติพันธุ์ หลายกลุ่มชาติพันธุ์มีกองกำลังติดอาวุธเป็นของตนเอง
เคยมีการเปรียบเปรยไว้ว่า ถ้าจะประเมินทิศทางความเป็นไปของเมียนมา ต้องดูบทบาทของ 3 เสาหลัก ได้แก่ กองทัพพม่า กลุ่มชาติพันธุ์ และภาคการเมือง โดยมีประชาชนเป็นฐาน
การยึดอำนาจเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นการจัดการสมดุลระหว่าง 2 เสาหลัก คือกองทัพพม่ากับภาคการเมือง ขณะที่บทบาทของกลุ่มชาติพันธุ์ เพิ่งเริ่มปรากฏให้เห็นเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว

ระหว่างวันที่ 19-20 กุมภาพันธ์ 2564 คณะทำงานกระบวนการสันติภาพ(Peace Process Steering Team : PPST) ที่ประกอบด้วยผู้นำกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์ 10 กลุ่ม ได้จัดประชุมวาระพิเศษผ่านระบบ Video Conference โดยมี พล.อ.เจ้ายอดศึก ประธานสภาเพื่อกอบกู้รัฐฉาน ในฐานะรักษาการประธาน PPST เป็นผู้นำการประชุม


การประชุมสิ้นสุดลงเมื่อวันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2564 โดย PPST มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าจะยืนอยู่ข้างประชาชน และได้ออกแถลงการณ์ 5 ข้อ มีรายละเอียดดังนี้
1.PPST สนับสนุนความเคลื่อนไหวของประชาชน ที่ได้ออกมาประท้วงอย่างสันติในการต่อต้านระบอบเผด็จการ และการเข้ามายึดอำนาจของกองทัพพม่า โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวตามแนวทางอารยะขัดขืน(Civil Disobedence Movement : CDM)
2.เรียกร้องให้กองทัพพม่า ต้องปล่อยตัวผู้นำและผู้ประท้วงทุกคนที่ถูกจับกุมตัวไปตั้งแต่เริ่มเข้ามายึดอำนาจโดยทันที อย่างไม่มีเงื่อนไข
3.ขอประณามการใช้ความรุนแรงในทุกวิถีทาง เพื่อจัดการกับผู้ที่ชุมนุมต่อต้านอย่างสันติ
4.PPST ขอยุติการเจรจาทางการเมืองกับตัวแทนกองทัพพม่าไปก่อน
5.PPST จะให้ความร่วมมือกับทุกประเทศ องค์กรระหว่างประเทศ เพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบเผด็จการทหาร และหนทางแก้ไขสถานการณ์การเมืองภายในประเทศ

PPST เป็นองค์กรของกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์ 10 กลุ่ม ที่ได้ลงนามในสัญญาหยุดยิงทั่วประเทศ(NCA) กับรัฐบาลไปแล้ว และรวมตัวเป็นองค์กรตัวแทนเพื่อเดินหน้ากระบวนการสันติภาพในเมียนมา
สมาชิกของ PPST ประกอบด้วย 1.สภากอบกู้รัฐฉาน(RCSS/SSA)2.สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง(KNU)3.องค์กรปลดปล่อยชาติปะโอ(PNLO)4.กองกำลังกะเหรี่ยงประชาธิปไตย(DKBA)5.แนวร่วมแห่งชาติชิน(CNF)6.แนวร่วมประชาธิปไตยของมวลนักศึกษาพม่า(ABSDF)7.พรรคปลดปล่อยอาระกัน(ALP)8.สภาแห่งชาติกะเหรี่ยงสันติภาพ(KNU/KNLA-PC)9.พรรครัฐมอญใหม่(NMSP) 10.สหภาพประชาธิปไตยลาหู่(LDU)
8 กลุ่มแรก ได้เซ็น NCA กับรัฐบาลเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2558 ในสมัยประธานาธิบดีเตงเส่ง ส่วน 2 กลุ่มหลังคือ NMSP และ LDU เซ็น NCA กับรัฐบาลที่มีพรรค NLD ของอองซาน ซูจี เป็นแกนนำ
อย่างไรก็ตาม ในเมียนมา นอกจาก PPST แล้ว ยังมีองค์กรของกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์ที่มีบทบาทสำคัญอีกองค์กรหนึ่ง ได้แก่ Myanmar Peace Commission and Federal Political Negotiation Consultative Committee หรือ FPNCC สมาชิกขององค์กรนี้ เป็นกองกำลังติดอาวุธ 7 กลุ่ม ได้แก่ 1.กองทัพสหรัฐว้า(UWSA)2.กองทัพคะฉิ่น(KIA)3.กองทัพโกก้าง(MNDAA)4.พรรคก้าวหน้ารัฐฉาน(SSPP/SSA)5.กองทัพตะอั้ง(TNLA)6.กองทัพเมืองลา(NDAA)7.กองทัพอาระกัน(AA)

พื้นที่ในการปกครองและเคลื่อนไหวของ 7 กลุ่มนี้ นอกจากกองทัพอาระกันที่เคลื่อนไหวอยู่ในภาคเหนือของรัฐยะไข่ขึ้นไปถึงตอนใต้ของรัฐชิน และกองทัพคะฉิ่น ที่เคลื่อนไหวอยู่ในรัฐคะฉิ่นแล้ว ที่เหลืออีก 5 กลุ่ม ล้วนมีพื้นที่อยู่ในรัฐฉานทั้งสิ้น
ทั้ง 7 กลุ่ม เป็นกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์ที่ยังไม่ได้เซ็น NCA กับรัฐบาล มีบางกลุ่มที่ได้เซ็นสัญญาในลักษณะหยุดยิง 2 ฝ่ายไปตั้งแต่ก่อนเดือนตุลาคม 2538 เช่น กองทัพว้า กองทัพเมืองลา พรรคก้าวหน้ารัฐฉานฯลฯ

FPNCC ตั้งขึ้นเพื่อใช้ให้เป็นตัวกลางในการเจรจากับรัฐบาล โดยในหมู่สมาชิก มีพันธะระหว่างกันว่า จะไม่มีการแยกเจรจากับรัฐบาลเป็นรายกลุ่ม
กองทัพว้าเป็นแกนนำผลักดันให้มีการจัดตั้ง FPNCC โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน มีประมาณ 4 เหตุผลที่จีนต้องเข้ามามีบทบาทเรื่องนี้ คือ
1.พื้นที่ในการปกครองและเคลื่อนไหวของ FPNCC ส่วนใหญ่เป็นชายแดนเมียนมา-จีน จึงเป็นเหมือนรัฐกันชนของ 2 ประเทศ ได้แก่
- รัฐคะฉิ่น ซึ่งเป็นพื้นที่เคลื่อนไหวของ KIA อยู่ตรงข้ามกับเขตปกครองตนเองชนชาติลีซอ นู่เจียง และเขตปกครองตนเองชนชาติไตและจิ่งพัว เต๋อหง มณฑลยูนนาน
- เขตปกครองตนเองโกก้าง รัฐฉาน ซึ่งเป็นพื้นที่เคลื่อนไหวของ MNDAA อยู่ตรงข้ามกับเขตปกครองตนเองชนชาติไตและว้า กึ่งม้า จังหวัดหลินซาง มณฑลยูนนาน
- เขตพิเศษหมายเลข 2 สหรัฐว้า ซึ่งเป็นพื้นที่เคลื่อนไหวของ UWSA อยู่ตรงข้ามกับเขตปกครองตนเองชนชาติไต ลาหู่ และว้า เมิ่งเหลียน จังหวัดผูเอ่อร์ มณฑลยูนนาน
- เขตพิเศษหมายเลข 4 เมืองลา ซึ่งเป็นพื้นที่เคลื่อนไหวของ NDAA อยู่ตรงข้ามกับเขตปกครองตนเองชนชาติไต สิบสองปันนา มณฑลยูนนาน
2.ชายแดนเมียนมา-จีน มีช่องทางเข้า-ออกของสินค้าที่ซื้อขายกันระหว่าง 2 ประเทศ อยู่หลายจุด จุดสำคัญที่สุด คือช่องทางหมู่เจ้-รุ่ยลี่ ในจังหวัดหมู่เจ้ของรัฐฉาน ซึ่งเป็นช่องทางหลักของการค้าขายกันระหว่างจีนและเมียนมา มูลค่าสินค้าที่ซื้อขายกันผ่านช่องทางนี้ ตกปีละกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
หมู่เจ้ เป็นพื้นที่เคลื่อนไหวของกองกำลังหลายกลุ่ม และเฉกเช่นพื้นที่ชายแดนทั่วไป ธุรกิจในหมู่เจ้ส่วนหนึ่งเป็นธุรกิจสีเทา เกี่ยวพันธ์กับผลประโยชน์ของกลุ่มติดอาวุธหลายกลุ่ม
นอกจากหมู่เจ้แล้ว ยังมีช่องทางค้าขายของเมียนมา-จีนที่มีความสำคัญรองลงมา ได้แก่ ช่องทางชิงส่วยเหอ ในเขตปกครองตนเองโกก้าง กับอีกหลายๆช่องทางในรัฐคะฉิ่น

3.ใน 7 กองกำลังที่เป็นสมาชิก FPNCC มี 5 กองกำลัง ได้แก่ กองทัพคะฉิ่น กองทัพว้า กองทัพโกก้าง กองทัพเมืองลา และพรรคก้าาวหน้ารัฐฉาน ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของพรรคคอมมิวนิสต์พม่า(CPB) ซึ่งได้รับการจัดตั้งโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนตั้งแต่เมื่อครั้งทำสงครามเผยแพร่อุดมการณ์
เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์พม่าสลายตัวลงในปี 2532 กองทหารเคยอยู่ร่วมด้วยเหล่านี้ จึงได้แยกตัวออกมาเป็นกองกำลังเอกเทศ
4.จากชายแดนเมียนมา-จีน ที่รัฐฉาน ยาวลงไปตามทิศตะวันตกเฉียงใต้ถึงชายทะเลรัฐยะไข่ เป็นแนวท่อแก๊สธรรมชาติและน้ำมัน ที่จีนได้ลงทุนวางไว้เพื่อใช้เป็นเส้นทางลำเลียงพลังงานจากอ่าวเบงกอลเข้าไปในจีน โดยไม่ต้องแล่นเรืออ้อมช่องแคบมะละกา
ยะไข่ยังเป็นรัฐที่จีนมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่อยู่ในนั้น ได้แก่ ท่าเรือน้ำลึกและเขตอุตสาหกรรมที่เมืองเจ้าก์ผิ่ว จึงเป็นแหล่งผลประโยชน์สำคัญของจีน

FPNCC จึงเป็นกลุ่มกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์ ซึ่งมีพื้นที่เคลื่อนไหวอยู่ตามแนวท่อแก๊ส ท่อน้ำมัน ตั้งแต่รัฐฉานลงไปถึงรัฐยะไข่ ที่ล้วนเป็นแนวผลประโยชน์ของจีนทั้งสิ้น
…
หลังพรรค NLD ชนะเลือกตั้ง ได้จัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศตั้งแต่ปี 2559 สถานการณ์สู้รบระหว่างทหารพม่ากับกองกำลังชาติพันธุ์ดูคล้ายสงบลง หากเทียบกับช่วงก่อนหน้าที่เมียนมาอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหาร
แต่จริงๆแล้ว ไม่สงบ!!!
การปะทะกันระหว่างกองทัพกับกองกำลังกลุ่มต่างๆ ยังเกิดขึ้นตลอดเวลา ในหลายๆจุด
- ในรัฐยะไข่ มีกรณีที่กองทัพพม่าใช้กำลังกดดัน จนทำให้ชาวโรฮิงญาต้องอพยพหนีภัยสงครามเข้าไปอยู่ในบังคลาเทศกว่า 7 แสนคน
- พื้นที่ตั้งแต่ตอนเหนือของรัฐยะไข่ขึ้นไปถึงตอนใต้ของรัฐชิน เป็นพื้นที่สู้รบระหว่างกองทัพพม่ากับกองทัพอาระกัน ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปลายปี 2561 จนเพิ่งมาสงบลงในช่วงการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนต้นพฤศจิกายน 2563
- ใน FPNCC เอง ก็ยังมีการรวมตัวกันกลุ่มย่อยในนามพันธมิตรภาคเหนือ ประกอบด้วย กองทัพคะฉิ่น กองทัพอาระกัน กองทัพโกก้าง และกองทัพตะอั้ง กลุ่มนี้มีการสู้รบกับกองทัพพม่าอย่างรุนแรง ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2559 ในหลายพื้นที่ตั้งแต่ภาคเหนือสุดของรัฐฉาน ลงมาถึงรอยต่อระหว่างรัฐฉานกับภาคมัณฑะเลย์

การสู้รบที่รุนแรงและถูกเผยแพร่เป็นข่าวออกไปอย่างกว้างขวาง เริ่มเมื่อกลางเดือนสิงหาคม 2562 เมื่อพันธมิตรภาคเหนือได้ใช้อาวุธหนักโจมตีโรงเรียนนายร้อยเทคนิค ของกองทัพพม่า ในเมืองปินอูลวิน ภาคมัณฑะเลย์ และวางระเบิดสะพานก๊กตวิน ในหุบเขาก๊กเทค เมืองหนองเขียว จังหวัดจ๊อกแม รัฐฉาน
จากนั้นได้เกิดการสู้รบต่อเนื่อง และขยายพื้นที่ขึ้นไปถึงเมืองแสนหวี จังหวัดล่าเสี้ยว เมืองก๊ตขาย จังหวัดหมู่เจ้ มีการวางระเบิดสะพานข้ามแม่น้ำสาลวินที่เมืองกุ๋นโหลง ซึ่งเชื่อมระหว่างเมืองแสนหวีกับด่านชายแดนชิงส่วยเหอ เขตปกครองตนเองโกก้าง
การสู้รบครั้งนั้น กระทบต่อการค้าขายระหว่างจีนและเมียนมาโดยตรง เพราะเส้นทางขนส่งสินค้าหลักที่ซื้อขายกันผ่านด่านชายแดนหมู่เจ้และชิงส่วยเหอถูกตัดขาดลงอย่างสิ้นเชิง
ทำให้จีนต้องออกมาแสดงบทบาทเป็นตัวกลางให้มีการเจรจาระหว่างรัฐบาลเมียนมากับผู้นำพันธมิตรภาคเหนือ
ศูนย์สันติภาพและความปรองดองแห่งชาติ(NRPC) ซึ่งมีอองซาน ซูจี เป็นประธาน เป็นตัวแทนรัฐบาลจัดประชุมอย่างเป็นทางการกับตัวแทนพันธมิตรภาคเหนือ 3 ครั้ง เพื่อคลี่คลายสถานการณ์และหาหนทางนำไปสู่สันติภาพที่ถาวร

การประชุม 2 ครั้งแรก จัดในปลายเดือนสิงหาคมและปลายเดือนกันยายน 2562 ที่โรงแรมอเมซิ่ง เชียงตุง เมืองเชียงตุง รัฐฉานตะวันออก การประชุมครั้งที่ 3 จัดในเดือนพฤศจิกายน ที่นครคุนหมิง มณฑลยูนนาน
จากนั้น เกิดการระบาดของโควิด-19 ในเมืองอู่ฮั่นและแพร่ออกไปยังอีกหลายเมืองของจีน ทำให้การเจรจาระหว่าง NRPC กับตัวแทนพันธมิตรภาคเหนือหยุดชะงักมาจนถึงปัจจุบัน…
ก่อนการรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 กองทัพอาระกันอยู่ในขั้นตอนการเจรจาสันติภาพกับกองทัพพม่า จึงได้หยุดสู้รบกันตั้งแต่ช่วงที่มีการเลือกตั้งทั่วไปในต้นเดือนพฤศจิกายน
ส่วนพันธมิตรภาคเหนือ กำลังอยู่ระหว่างการประสานงานว่าจะกลับมานั่งโต๊ะเจรจากับ NRPC อีกครั้งในต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2564 กำหนดสถานที่ไว้แล้วในนครคุนหมิง มณฑลยูนนาน แต่เกิดการยึดอำนาจขึ้นมาเสียก่อน
…

นอกจากการสู้รบหนักๆที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว ยังมีการรบกันระหว่างกองทัพพม่ากับกองกำลังเป็นรายกลุ่ม และระหว่างกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์ด้วยกันเอง เป็นจุดๆ ในหลายพื้นที่
- กองทัพพม่ามีการปะทะกับกองทัพตะอั้งอย่างต่อเนื่อง หลายพื้นที่ในภาคเหนือของรัฐฉาน
- กองทัพพม่า มีการสู้รบกับกองทัพคะฉิ่นในเมืองหมู่เจ้และน้ำคำ ภาคเหนือของรัฐฉาน
- กองทัพพม่าสู้รบกับกองพลที่ 3 และ 5 กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติกะเหรี่ยง(KNLA 3 และ 5) ในพื้นที่เมืองเจ้าก์จี จังหวัดตองอู ภาคพะโค ข้ามมาถึงเมืองหญ่องเลปิน และจังหวัดผาปูน รัฐกะเหรี่ยง ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับอำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน
- กองทัพสภาเพื่อกอบกู้รัฐฉาน(RCSS) สู้รบกับกองทัพพม่า กองทัพตะอั้ง และกองทัพของพรรคก้าวหน้ารัฐฉาน ในจังหวัดจ๊อกแม ภาคเหนือของรัฐฉาน
พื้นที่ซึ่งได้กล่าวถึงข้างต้น ทุกวันนี้ อุณหภูมิยังคุกรุ่นอยู่
…
ทั้งสภาเพื่อกอบกู้รัฐฉานและกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติกะเหรี่ยง เป็นสมาชิกของ PPST ซึ่งแสดงท่าทีชัดเจนออกมาแล้ว จากแถลงการณ์เมื่อวันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ส่วนกองทัพอาระกัน กองทัพตะอั้ง กองทัพคะฉิ่น พรรคก้าวหน้ารัฐฉาน เป็น 1 ใน 7 สมาชิก FPNCC
ตั้งแต่เกิดการรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 จนถึงขณะนี้ FPNCC ยังไม่แสดงท่าทีที่ชัดเจนใดๆออกมา!!!
ต้องจับตาว่าท่าทีของกลุ่มนี้ นับจากนี้ จะเป็นเช่นไร…