กฤษฎา บุญชัย สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา
จนถึงเวลานี้ ประวัติศาสตร์สังคมไทยที่เคยหยุดนิ่งกำลังเคลื่อนไปสู่ทางแพร่งที่เปิดกว้าง เกิดการเปลี่ยนผ่านวัฒนธรรมการเมืองจากที่เคยถูกครอบงำด้วยวัฒนธรรมอนุรักษนิยมมานาน
ในทางการเมือง รัฐบาลประยุทธ์ (จันทร์โอชา) ไม่มีอนาคตแล้ว แต่มากไปกว่านั้น ฝ่ายอนุรักษนิยมคงต้องยอมรับว่า วัฒนธรรมอนุรักษนิยมได้เสื่อมถอยจนหมดบทบาทอำนาจนำ ต้องเปิดทางให้ฝ่ายเสรีนิยมขึ้นมามีอำนาจในทางวัฒนธรรม แม้ในทางการเมืองจะยังต่อสู้ขับเคี่ยวไปอีกนาน
อำนาจรัฐต้องเปลี่ยนผ่าน แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมสนใจเท่ากับบาดแผลทางวัฒนธรรมที่ผู้คนในสังคมห้ำหั่นกัน ก่อให้เกิดบาดแผล ความเจ็บปวดรวดร้าว สายใยสังคมฉีกขาดรุนแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
การใช้ความรุนแรงไม่ว่าจะเป็นการสลายการชุมนุมของรัฐ ถูกเมินเฉยจากฝ่ายอนุรักษนิยม โดยโยนมนุษยธรรมทิ้งไปหน้าตาเฉย การเคลื่อนไหวของเด็กๆ ด้วยเจตนาที่บริสุทธ์ถูกลดคุณค่าด้วยการอ้างว่ามีขบวนการชักใยอยู่เบื้องหลัง หรือตีตราว่าการเป็นพวก “ชังชาติ” “ล้มสถาบัน” และดึงภาพความรุนแรงของเพียงบางส่วนที่เป็นสาย “เหยี่ยว” ในขบวนการมาใส่ร้ายป้ายสีผู้ชุมนุมทั้งหมดเพื่อหนุนให้รัฐปราบปราม
ในทางกลับกัน ฝ่ายผู้ชุมนุมและกองเชียร์บางส่วนก็มีความสะใจไม่น้อยในการคุกคามคนคิดต่าง และเอาคุณค่าศรัทธาที่คนจำนวนหนึ่งยึดถือเป็นหลักชีวิตลงมา “กระทืบ” ด้วยความสะใจในฐานะสิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์ โดยไม่ใส่ใจใยดีต่อความแตกสลายทางจิตใจของพวกเขา
ในภาวะวิกฤติเช่นนี้ สังคมควรมีกระบวนการทางปัญญาเพื่อเตือนสติ เบรกความรุนแรง และหาทางออกให้กับสังคมด้วยความเข้าใจและปรารถนาดีต่อสังคมทั้งหมด (แม้แต่กับกลุ่มคนที่คิดต่าง) แต่นักคิด นักวิชาการ นักเคลื่อนไหวทางสังคมจำนวนไม่น้อยในตอนนี้ลดบทบาทการทำหน้าที่ทางปัญญาเพื่อสังคมทั้งมวล หลายคนกระโจนเข้าสู่สนามต่อสู้อย่างเต็มตัว ทำหน้าที่เป็นนักเคลื่อนไหว และเป็นกองเชียร์ที่กระตุ้นเร่งเร้า เยาะเย้ย ถากถาง เพื่อเป้าหมายอยู่ที่ชัยชนะ
มีนักปรัชญาน้อยมากที่จะออกมาตั้งคำถาม ตรวจสอบทุกอุดมการณ์ ความเชื่อ (แม้แต่ความเชื่อที่เราเห็นด้วย) ที่อาจพาเราไปสู่ความรุนแรง ความตีบตันทางสังคม และแสวงหาความเป็นไปได้ใหม่ๆ ของสังคมที่สันติสุขและเป็นธรรม เราจึงไม่ค่อยมี “เห็บบนหลังม้า” ที่คอยเตือนสติม้าให้ระวังเส้นทางที่จะไปอีกแล้ว เหลือแต่ “นักขี่ม้า” ที่มุ่งควบตะบึงม้าไปตามเป้าหมาย ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีไปให้สุดทาง
เราไม่เห็นนักมานุษยวิทยาที่แสดงความเข้าใจคุณค่า ศรัทธาทางวัฒนธรรมประเพณีที่ยึดโยงตัวตนทางสังคมหรืออัตลักษณ์จากโลกทัศน์ของพวกเขา ไม่มีใครออกมาชี้ให้เห็นว่า การบดขยี้คุณค่าทางวัฒนธรรม ไม่เพียงแต่จะสร้างความปวดร้าวแก่สังคม แต่จะขยายความรุนแรงทางวัฒธรรมจนสถาบันทางสังคมต่างๆ พังพินาศ
ซึ่งบทเรียนทางวัฒนธรรมทั่วโลกก็สะท้อนสิ่งเหล่านั้น และควรชี้ถึงการเปิดพื้นที่ให้กับเรียนรู้ เคารพความหลากหลายและการเปลี่ยนผ่านวัฒนธรรมที่สันติ เราจะมีก็แต่นัก “การเมืองวัฒนธรรม” จำนวนมากที่ใช้เครื่องมือทางวัฒนธรรมเพื่อการต่อสู้ทางการเมืองตามเป้าหมายของตน
ในการเปลี่ยนผ่านทางวัฒนธรรม ควรเปลี่ยนจากวัฒนธรรมอำนาจเชิงเดี่ยว เป็นวัฒนธรรมเสรีภาพที่หลากหลายไม่ใช่หรือ หาใช่เปลี่ยนวัฒนธรรมเชิงเดี่ยวชุดหนึ่งไปสู่วัฒนธรรมเชิงเดี่ยวอีกชุดหนึ่ง

ทำให้ผมนึกหนังซีรีส์แนวไซไฟหลายเรื่อง โดยเฉพาะ “Star Trek” ที่ผมชื่นชอบ ที่จินตนาการโลกอนาคต หรือโลกในอุดมคติ ที่คุณค่าทางสังคมอันหลากหลายอยู่ร่วมกันได้ด้วยการเคารพซึ่งกัน แต่ก็ยืนหยัดในหลักการคุณค่าสากลร่วมกัน คือ สิทธิของสรรพชีวิต (มนุษย์ สิ่งมีชีวิตต่างดาว ไซบอร์ก ทวยเทพ ฯลฯ) และความหลากหลายที่ร่วมกันในคุณค่าสากล
Star Trek เป็นหนังไซไฟซีรีส์ของอเมริกาในยุค 50 ยุคที่โลกตกอยู่ในห้วงสงครามเย็นที่ขับเคี่ยวทางอุดมการณ์ แต่จินตนาการของผู้สร้างไม่ได้ถูกครอบงำจากอุดมการณ์ทางการเมืองในช่วงนั้น ด้วยการพาให้เราเรียนรู้และยอมรับวัฒนธรรมที่หลากหลาย ดังคำปฏิญาณของภารกิจของยาน Enterprise ที่ต้องออกไปสำรวจอวกาศเป็นเวลา 5 ปีว่า
“อวกาศ พรมแดนด่านสุดท้าย นี่คือการเดินทางของยานเอนเทอร์ไพรซ์ ภาระกิจของยานคือ การสำรวจโลกใหม่ ค้นหารูปแบบชีวิตใหม่ และอารยธรรมใหม่ ท่องไปอย่างกล้าหาญ สู่ที่ซึ่งไม่มีใครไปมาก่อน”
เรื่องราว Star Trek เริ่มต้นเมื่อมนุษย์คนพบเทคโนโลยีการเดินทางด้วยความเร็วเหนือแสง หรือ “warp” (วาร์ป) จึงได้รับการติดต่อจากมนุษย์ต่างดาว ทำให้เห็นมนุษย์ประจักษ์เป็นครั้งแรกว่า เราไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล แต่ยังมีอารยธรรมต่างๆ ในจักรวาลที่เราควรเรียนรู้อีกมากมายเพื่อกลับมาพัฒนาวัฒนธรรมมนุษย์ให้อารยะยิ่งขึ้นไป หลักการสำคัญที่ยานเอนเทอร์ไพรซ์ยึดถือก็คือ การเข้าไปเรียนรู้อารยธรรมต่างๆ โดยไม่เข้าไปแทรกแซง หรือสร้างผลกระทบต่อวัฒนธรรมของดวงดาวต่างๆ แม้ว่าจะเป็นไปเพื่อเจตนาดีก็ตาม! เพราะมันจะส่งผลกระทบต่อวัฒนธรรมนั้นๆ อย่างคาดไม่ถึง
สิ่งที่น่าสนใจคือ ทีมเอนเทอร์ไพรซ์ปฏิบัติอย่างไรยามเผชิญกับความขัดแย้งทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะวัฒนธรรมที่ถูกมองว่า “ล้าหลัง”
กัปตันเคิร์กและลูกทีมเคยถูก “เทพอพอลโล” เทพเจ้ากรีกที่หลีกเร้นจากโลกมนุษย์ในยุคกรีกโบราณ มาสถิตอยู่ ณ ดวงดาวหนึ่งจับตัวไว้ เพื่อจะได้มาเลี้ยงดูให้เป็นสุข (เหมือนเลี้ยงสัตว์) ในดินแดนสรวงสรรค์ เทพอพอลโลยังหวังว่ามนุษย์จะยังรักและศรัทธาเทพเช่นเดิม เทพไม่เข้าใจว่าโลกเปลี่ยนไปแล้ว การพยายามยื้อยุดจบลงด้วยกัปตันเคิร์กจำต้องใช้ยานยิงแสงเฟสเซอร์ทำลายวิหารอพอลโลที่เป็นแหล่งพลังของเทพเพื่อปลดปล่อยพวกเขาสู่อิสระ เทพต้องส่งเสียงร่ำไห้เพราะไม่มีตัวตนแล้วในสายตามนุษย์ แทนที่กัปตันเคิร์กจะย่ำยีคุณค่าของสังคมเก่า แต่เขาและพวกยังกล่าวขอบคุณคุณค่าของอารยธรรมกรีกโบราณที่เป็นฐานของปรัชญามนุษยชาติจนมีอารยธรรมโลกในยุคท่องดวงดาวในขณะนี้
กัปตันฌอง ลุค พิคาร์ด ในยุคต่อมาก็เปี่ยมด้วยความเคารพต่อวัฒนธรรมที่หลากหลาย แม้แต่วัฒนธรรมของผู้ใต้บังคับบัญชาที่มาจากดาวอื่น อย่าง “วอร์ฟ” ชาวคลิงออนที่ดูเหมือน “ป่าเถื่อน” ในสายตามนุษย์ เปิดโอกาสให้วอร์ฟบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อของชนเผ่าตน เกิดกรณีที่มีกลุ่มคลิงออนบางกลุ่มโคลนนิงผู้นำทางศรัทธาในตำนานแล้วมาอ้างเป็นผู้นำที่ยังไม่ตาย ทั้งพิคาร์ดและวอร์ฟหาได้เหยียบย่ำศรัทธาเหล่านั้น แต่สนับสนุนที่จะรักษาศรัทธาพร้อมไปกับการเปิดเผยความจริง เพราะความจริงกับศรัทธายังหาจุดร่วมกันได้
ผู้การซิสโก จากสถานีอวกาศ Deep Space Nine ก็เช่นกัน ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างชาวบาจอรัน ที่เคยตกเป็นอาณานิคมของชาวคาร์เดเซียน ที่แม้จะถอนทัพไปแล้วแต่ก็ยังหาทางครอบงำกดขี่ต่อไป ชาวบาจอรันฟื้นวัฒนธรรมประเพณี ศาสนาโบราณมาเคลื่อนไหวทางการเมืองต่อสู้เพื่อปลดแอก จนบางส่วนกลายเป็นพวกสุดโต่งทางศรัทธา เชิดชูผู้นำในตำนานซึ่งถูกขยายความเกินจริง
แต่แทนที่ซิสโกจะเหยียบย่ำตำนาน ความเชื่อเหล่านี้ด้วย “ข้อเท็จจริง” จากมุมมองทาง “วิทยาศาสตร์” เขายังยืดหยัดให้ลูกทีมเคารพคุณค่าและประโยชน์ของตำนาน แต่ให้สร้างพื้นที่การเรียนรู้ สืบสานตำนานบนหลักสันติ และเสรีภาพที่เปิดกว้างในการยอมรับความหลากหลาย
เพราะมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล เราเห็นจักรวาลจึงเห็นทั้งอดีตและอนาคตของตนเองที่หลากหลาย จักรวาลยิ่งกว้างเรายิ่งนอบน้อมในความหลากหลายที่แม้จะต่างจากเราอย่างสิ้นเชิง แต่มนุษย์ก็ร่วมผลักดันให้ทุกจักรวาลร่วมยืนหยัดในหลักคุณค่าที่เป็นสากลของทุกสรรพชีวิตตั้งแต่สัตว์ประหลาดต่างดาว มนุษย์ ไปถึงไซบอร์ก นั่นคือ หลักสิทธิ เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพที่เรามีต่อกัน มาจากจุดกำเนิดจักรวาล “Big Bang” ร่วมกัน การก้าวข้ามอคติทางวัฒนธรรมซึ่งเป็นความรุนแรงเป็นสิ่งที่ต้องผ่านพ้นไปให้ได้
ผมสนับสนุนและร่วมเป็นส่วนหนึ่งของพลังเยาวชนรุ่นใหม่ครับ สนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสังคมสู่อิสรภาพ ปลดแอกจากการครอบงำทางการเมืองและวัฒนธรรมของอำนาจนิยม และต่อต้านการใช้ความรุนแรงทางวัฒนธรรม และการสร้างความเกลียดชังจากฝ่ายอนุรักษนิยมสุดโต่ง
แต่ผมก็อยากเห็นพลังการเคลื่อนไหวของเยาวชนที่บริสุทธิ์ในเจตนา ไม่ถูกชี้นำโดยฝ่ายสุดโต่งในขบวนการที่สร้างความเกลียดชังผู้เห็นต่าง และเหยียบย่ำทำลายคุณค่า ศรัทธาของประชาชนอีกจำนวนไม่น้อยที่ถูกมองว่า “ล้าหลัง” อยากเห็นนักคิด นักขับเคลื่อนมุ่งมั่นสร้างปัญญาและอาทรให้แก่สังคมทุกกลุ่มจริงๆ เราจึงจะสานพลังของคนทั้งสังคมได้
เพราะผมเชื่อแบบ Star Trek ครับว่า ในห้วงเวลาแห่งอวกาศ ประวัติศาสตร์ไม่ได้เดินแบบเส้นตรง จึงไม่มีสิ่งเก่าและใหม่ มีแต่ชุดคุณค่าที่เกิดขึ้น ดำรงอยู่ ดับไป เกิดใหม่ แปรเปลี่ยน ปรับตัวในตามปัจจัยเพื่อธำรงคุณค่าและศักดิ์ศรีของอารยธรรม อาจไม่มีสิ่งล้าหลังอย่างสมบูรณ์แบบจนต้องขจัดทิ้ง อาจไม่มีความก้าวหน้าที่สมบูรณ์ที่สุดโดยไม่มีคำถาม อดีตและอนาคตอาจไม่ใช่คู่ตรงข้าม มีแต่วัฒนธรรมหรืออารยธรรมสนทนากันได้ ด้วยกระบวนการสันติ บนหลักแห่งเสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพของสังคมร่วมกันให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป