ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯ เล็งต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ หากจำเป็น-มติ ครม.จัดงบฯ 699 ล้าน เพิ่มค่าตอบแทนกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน

นายกฯ เล็งต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ หากจำเป็น-มติ ครม.จัดงบฯ 699 ล้าน เพิ่มค่าตอบแทนกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน

23 มิถุนายน 2020


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/

นายกฯ เล็งต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ หากจำเป็น-วอนอย่าโยงการเมือง ดึงทุกกลุ่มร่วมสร้างชาติ ยกเว้นคนหนีคดี-มติ ครม.จัดงบฯ 699 ล้าน เพิ่มค่าตอบแทนกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน ไฟเขียวการเคหะฯกู้เสริมสภาพคล่อง 2,000 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2563 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน

ชูแนวคิด “รวมไทยสร้างชาติ” รับมือ New Normal

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึง แนวคิด “รวมไทยสร้างชาติ” หรือ new normal ของตน นั่นคือ ต้องคิดใหม่ทำใหม่ คิดนอกกรอบ เช่น การแก้ปัญหาการจัดสรรที่ดินทำกินให้ประชาชน นอกจากที่ ส.ป.ก. เช่น ที่ป่าไม้ที่เสื่อมสภาพไปแล้ว ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาก่อนหน้ารัฐบาลนี้ก็ได้ทำกลไกในเรื่องเหล่านี้ไว้ ก็เพื่อประชาชน โดยขอให้ทุกคนก็ต้องใจเย็นๆ เพราะคนทำก็ต้องระมัดระวัง ที่คิดโครงการขึ้นมาก็เพื่อแก้ปัญหาที่มันทับซ้อนกันมายาวนานเรื่องที่ดินทำกิน อันนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องร่วมกันในกติกาที่เราตั้งขึ้นมาเพื่อให้โครงการเดินหน้าต่อไปได้

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวไปถึงเรื่องการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ว่าเป็นกรณีของ new normal เช่นกัน โดยจะมีการนำประเด็นเรื่อง new normal เข้าสู่การขับเคลื่อนของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติด้วย ว่ารัฐบาลควรจะต้องทำอะไรอย่างไรกันต่อไป โดยตนได้ให้หลักการในการปรับปรุงแผนการบริหารราชการข้างใน ดังกล่าวแล้ว เพราะหลักการมี 6 ยุทธศาสตร์อยู่แล้ว เป็นพื้นฐานของประเทศ

โดยขอให้ทุกคนเข้าใจและร่วมกันปรับปรุงแผนดังกล่าวด้วย รัฐบาลมีระบบให้ประชาชนติดตามความก้าวหน้า ซึ่งปัจจุบันก็ต้องมีการรายงานต่อวุฒิสภาอยู่แล้ว ข้อสำคัญคือ ต้องยึดโยงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ด้วย วันนี้ก็ให้เลขาสภาพัฒน์ฯ ติดตามเรื่องนี้ต่อไป

“ตรงนี้เป็นพื้นฐานของประเทศ หลายคนก็ไปมองแต่เพียงว่ามันจะลงพื้นที่เราเท่าไร เราต้องนึกถึงโครงสร้างด้วย อันนี้จะทำให้เกิดโครงสร้างขึ้นทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเกษตร การลดความเหลื่อมล้ำ ความมั่นคง การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การปรับระเบียบบริหารราชการแผ่นดินให้ทันสมัย มีอยู่ในทั้ง 6 ยุทธศาสตร์นั้นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นตรงนั้นจะถอดมาสู่แผนปฏิบัติการของแต่ละกระทรวงซึ่งตอบสนองตรงนี้ และบางอย่างก็จะไปใช้งบประมาณของกลุ่มงานบูรณาการ ไม่อย่างนั้นจะเป็นการทำงานเป็นเสี้ยวไม่เกิดผลสัมฤทธิ์โดยรวม อันนี้ผมก็ได้นำเรียนให้ ครม.ให้ความสำคัญในเรื่องเหล่านี้ด้วย”

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า รวมไทยสร้างชาติ เป็นการทำงานเชิงรุกขจัดปัญหาอุปสรรค ต้องคิดถึงเป้าหมายแล้วย้อนกลับมาที่วัตถุประสงค์ที่ต้องการ เพื่อจะเดินไปสู่เป้าหมายตามระยะเวลา และใช้งบประมาณแก้ปัญหาให้เป็นระยะๆ ไป พร้อมย้ำว่า หากคิดวันนี้เอาพรุ่งนี้มันไม่ได้ทั้งหมดเพราะตั้งต้นด้วยงบประมาณที่มีอยู่ของแผ่นดินซึ่งได้มาจากภาษีของเราทั้งหมด จึงต้องใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดให้ทั่วถึงมากบ้างน้อยบ้างเป็นระยะเวลาต่างกันไป

ดึงทุกกลุ่มร่วมสร้างชาติ ยกเว้นคนหนีคดี

ต่อคำถามถึงกรณีที่มีแนวคิดรวมไทยสร้างชาติ จะมีมิติในการที่จะรวมคนไทยทุกกลุ่มเข้าด้วยกันใช่หรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า รวมทุกกลุ่ม แต่ไม่ได้หมายความว่ากลุ่มใดที่มีการกระทำผิดกฎหมายแล้วจะดึงเข้ามา ต้องไปว่ากันตามคดีความให้จบสิ้นก่อน วันข้างหน้าหากมีการรับโทษกันแล้วก็จบ เพราะทุกคนก็เป็นคนไทยด้วยกัน แต่ถ้าไม่รับโทษแล้วจะทำอย่างไร ไม่เช่นนั้นคนก็ไม่เกรงกลัวการทำผิด อ้างเหตุผลอื่นมันไม่เหมาะ ยืนยันว่าไม่ได้รังเกียจใคร และไม่ได้เป็นศัตรูกับใครสักคน แต่อย่าจุดประเด็นเหล่านี้ขึ้นมา ซึ่งมันไม่ใช่ประเด็นแต่เป็นข้อเท็จจริง

“ถ้าทำการเมืองโดยที่ต้องเอาทุกคนเข้ามา ผิดถูกไม่เป็นไร กฎหมายก็จะเสียหมดทั้งประเทศ แล้วพวกคุณชอบกันหรือ ต้องการให้ประเทศไม่ต้องมีกฎหมายหรือมีกฎหมายอะไรก็ยกเลิกไปให้หมดเพราะว่าประชาธิปไตยอย่างนี้หรือ ความเป็นประชาธิปไตยต้องมีกฎหมาย กฎหมายคือประชาธิปไตยที่ให้ความเท่าเทียมกับทุกคน การจะไปเลือกลงโทษคนนี้แล้วไม่ลงโทษคนนั้นมันทำไม่ได้ เพราะถือเป็นกฎหมายกลาง” 

“ผมก็นับถือกฎหมายเหมือนท่านทุกคน ผมต้องระมัดระวังการใช้กฎหมายและยังมีกฎหมายฉบับอื่นๆ อีกโดยเฉพาะกฎหมายบริหารราชการแผ่นดินที่ต้องระมัดระวังตัวเอง กฎหมายส่วนราชการก็ต้องรักษาไว้ทุกฉบับ ไม่ใช่มองการเมืองอย่างเดียว พวกท่านก็ต้องทำความดีของท่านกันต่อไปวันข้างหน้า ประชาชนเองก็มี 2 – 3 ฝ่ายเสมอ เพียงแต่ทำอย่างไรให้ประชาชนยอมรับได้ ทั้งหมดต้องยอมรับกฎหมายก่อนเพราะกฎหมายคือข้อยุติ ขอให้ไปดูและศึกษากฎหมายต่างๆ เขียนว่าอย่างไร ใครจะผิดจะถูก ใครจะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ อยู่ที่การตัดสินของศาล อยู่ในกระบวนการเขาว่าอย่างไรก็ต้องดูหลักการของข้อกฎหมายมีอยู่ทุกฉบับ ฝากไว้ด้วยขอให้ช่วยศึกษาจะได้ช่วยกัน”

อนุมัติโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจเฟสแรก ก.ค.นี้

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า วันนี้สิ่งที่รัฐบาลระมัดระวังอย่างที่สุดคือการใช้จ่ายงบประมาณ ทั้งในส่วนของงบประมาณประจำปี 2563 งบประมาณโอนรายจ่ายประจำปี 2563 และงบประมาณในการฟื้นฟูเยียวยา ซึ่งทุกคนให้ความสนใจ ตนก็ต้องระมัดระวังอย่างที่สุด โดยแผนงานโครงการที่จะอนุมัติในระยะแรก คือ เดือนกรกฎาคม อยู่ในขั้นตอนการคัดกรองออกมา

“เมื่อระยะที่ 1 เสร็จไปแล้วไม่ใช่เพียงอนุมัติไปแล้วทำได้เลย แต่ต้องผ่านกลไกการมีส่วนร่วมของประชาชนด้วยในการที่จะเสนอโครงการขึ้นมา ดังนั้นในการติดตามเรื่องเหล่านี้ ก็มีการติดตามโดยการะบวนการตรวจสอบ ทั้งภายใน ภายนอก องค์กรอิสระ และการเสอนแผนงานโครงการผ่านแอปพลิเคชัน ในระบบดิจิทัลออกมาอยู่แล้วทุกคนสามารถเสนอมาได้ทันที”

นอกจากนี้ ตนได้เน้นย้ำให้กระทรวงทุกกระทรวงนำเสนอผลสัมฤทธิ์ของแต่ละกระทรวงให้กับสื่อเพื่อไปเผยแพร่ให้แก่รัฐบาลด้วย ต้องไปวางไว้ว่าทุกกระทรวงในทุกเดือนหรือทุก 3 เดือน โครงการต่างๆ มีความก้าวหน้าอย่างไร มีคนได้ประโยชน์เท่าไหร่ ต้องทยอยให้ประชาชนรับทราบ ไม่เช่นนั้นคนจะไม่รู้ว่ารัฐบาลทำอะไรไปบ้าง

หนักใจงบฯมีจำกัด-การใช้จ่ายเงินอยู่ในกรอบวินัยการคลัง

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า นโยบายรัฐบาลวันนี้มีทั้ง 12 ด้าน ซึ่งรัฐบาลก็พยายามเดินหน้าไปทุกๆ นโยบายทั้ง 12 ด้าน ให้มีความต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นวันนี้ตนอยากให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบได้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ที่กำหนดไว้ในนโยบายของรัฐบาล

“ท่านจะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาเราทำอะไรไม่ค่อยได้มากนักเพราะมันเกิดแรงต่อต้าน กระแสนู่นนี่เยอะแยะ ประเทศไทยเราต้องคิดใหม่เหมือนกัน ฝากประชาชนให้ช่วยคิดกันใหม่ ถ้ายังมีการคัดค้านสิ่งที่ควรจะเป็นประโยชน์ก็ไม่สำเร็จสักอย่าง แก้ไขอะไรไม่ได้ปัญหาใหม่ก็ทับซ้อนเข้ามาอีก เราจะต้องเปลี่ยนวิธีการคิดอย่างไร อันนี้รัฐบาลก็พยายามทำอย่างเต็มที่ซึ่งต้องดูในเรื่องกฎหมายด้วยทั้งการปฏิรูปกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง”

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีระบุว่า มาตรการต่างๆ รัฐบาลได้ทยอยออกไป และเนื่องจากการใช้งบประมาณนั้นมีพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาตรา 28 มีสัดส่วนการใช้งบประมาณอยู่และงบประมาณนั้นมีจำกัดอยู่ ผู้รับประโยชน์ก็จะทยอยได้รับไม่ใช่ได้ทีเดียว อยู่แล้วหากใช้เกินมากๆ ก็ต้องตั้งงบประมาณในการใช้แทนในปีต่อไป ซึ่งตนก็หนักใจในเรื่องนี้

“ประชาชนต้องการทั้งหมดอยู่แล้ว แต่ต้องทำความเข้าใจว่าจะทยอยให้ได้อย่างไรก็ขอความร่วมมือตรงนี้ด้วย หากเอามากเกินไปตรงอื่นก็เดือดร้อน งบประมาณก็ไม่พอ เป็นเรื่องหนักใจของผม ผมก็อยากให้ทั้งหมดอยู่แล้ว ก็ขอกันว่าปีนี้เอาแค่นี้ก่อนได้ไหมปีหน้าค่อยเอาต่ออีก เพราะมีมาตรการทั้งมาตรการหลัก มาตรการคู่ขนานเต็มไปหมด ไม่อย่างนั้นตรงนี้จะพอกพูนไปเรื่อยๆ อยากให้สื่อช่วยทำความเข้าใจตรงนี้”

สั่ง พม.ดูแลที่อยู่อาศัย ปชช.พร้อมช่วยธุรกิจบ้านจัดสรร

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า วันนี้สิ่งที่รัฐบาลเร่งทำคือในส่วนของที่อยู่อาศัยของประชาชน โดยตนได้ให้แนวทางว่าจะทำอย่างไรในการจะช่วยภาคธุรกิจที่ขายบ้านจัดสรรไม่ได้ และต้องการให้ทุกคนมีบ้านอยู่อาศัยได้ถาวร โดยได้มอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ไปดำเนินการในฐานะผู้รับผิดชอบโดยตรง

“ผมต้องการให้ทุกคนมีบ้านอยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นบ้านที่สร้าง หรือซ่อมให้ฟรี เป็นเรื่องการใช้งบประมาณส่วนหนึ่ง ร่วมกับเงินบริจาคบ้าง โดยเฉพาะเรื่องของการเช่าในราคาถูก ในการซื้อ การเช่าซื้อและสามารถที่ปรับเปลี่ยนได้ในกรณีที่มีรายได้สูงขึ้น โดยการเอาหลังนี้ไปให้คนอื่นแล้วไปซื้อในที่ที่ดีกว่า เพราะฉะนั้นขอความร่วมมือจากภาคธุรกิจการก่อสร้างต่างๆ ซึ่งต้องดูความต้องการของประชาชนในวันนี้ว่ามีเงินซื้อบ้านขนาดใหญ่แค่ไหนถ้าสร้างมากเกินไปมี ดีมานด์น้อยกว่าซับพลายก็คือปัญหา อันนี้ก็ต้องแก้ปัญหาด้วยกัน”

วอนหยุดสร้างความขัดแย้ง-รบ.ไม่อยากลงโทษใคร

พล.อ. ประยุทธ์ ระบุว่า วันนี้รัฐบาลก็ต้องพยายามตามหารายได้ให้กับประชาชนให้มากที่สุดเพราะว่าอยู่ในวาระพิเศษที่มีโควิค-19 แพร่ระบาดอยู่ โดยตนอยากให้สื่อมวลชนให้ช่วยเสนอข่าวที่เป็นข่าวดีข่าวความก้าวหน้าให้สักหน่อย ไม่ใช่เอาแต่ข่าวความขัดแย้งที่มีผลกระทบต่อเสถียรภาพ เพราะต่างชาติก็ติดตามข่าวสารจากประเทศไทยอยู่

“เรื่องจริงคืออะไรก็ถามมาแล้วกัน อย่าเอาข่าวที่เป็นเพียงคำบอกคำอ้างแหล่งข่าว ถ้าตราบใดที่ผมยังไม่อนุมัติหรือยังไม่มีการนำเข้า ครม.ก็ไม่ใช่ทั้งหมดบางทีก็มีการพูดไปก่อนว่าจะได้นู่นได้นี่บางทีก็ไม่ได้เพราะยังไม่ได้ผ่าน ครม.เพราะฉะนั้นต้องไปดูในหลายๆ มาตรการความคิดเห็นของแต่ละกระทรวงไม่ใช่กระทรวงใดเสนอขึ้นมาแล้วมีการเห็นชอบเลย แต่ต้องมีการผ่านความคิดเห็นจากหลายกระทรวงที่เกี่ยวข้อง กลไกตรวจสอบก็มีอยู่แล้ว”

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า รัฐบาลยืนยันว่าจะทำให้ดีที่สุดให้สมกับที่ประชาชนได้ไว้วางใจมาทั้งปี จากรัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตย จากรัฐมนตรีที่มาจาก ส.ส.ที่เหมาะสม ซึ่งตนไม่ต้องการให้เอาการเมืองมาพัวพัน หากบ้านเมืองเสียหายใครจะรับผิดชอบ ซึ่งตนกังวลว่าต่างประเทศจะเชื่อกระแสข่าวไปด้วยซึ่งจะส่งผลต่อภาคธุรกิจ และการลงทุน

“วันนี้ขอร้องอย่าสร้างความขัดแย้งในเรื่องที่ไม่ควร อย่าให้มีการละเมิดสถาบัน และละเมิดกฎหมาย เพราะกฎหมายทำให้สังคมสงบสุข ถ้าไม่ไปยุ่งกับเขามันก็ไม่มีใครถูกลงโทษ รัฐบาลไม่ต้องการลงโทษใครโดยเฉพาะผมเอง ถ้าไม่ผิดกฎหมายผมจะไปหาเรื่องทำไม ประชาชนคนไทยด้วยกัน แต่ถ้าเขาหาเรื่องกับกฎหมายก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไรเหมือนกัน” 

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า บางอย่างก็เหมือนนิยาย เขียนกันจนเป็นนิยาย แต่บางคนก็เป็นนิสัยของเขา เป็นพิธีกรบางทีก็พูดเลยเถิดไปเรื่อยมันก็เลยไม่จบเสียที หลายเรื่องควรจะจบก็ไม่จบ เรื่องอะไรก็ตามที่เคยเกิดขึ้นก่อนตนเข้ามา มันก็ไม่ควรจะเกิดขึ้นอีก ถ้าไม่เกิดขึ้นบ้านเมืองก็จะไปของมันเรื่อยๆ กลไกหลักของเรามีอยู่แล้วคือประชาชนไม่ใช่พรรค แต่เป็นความร่วมมือแบบประชารัฐ ภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชน และประชาสังคมกลุ่มต่างๆ เคลื่อนไหวไปด้วยกันในเชิงสร้างสรรค์

ชี้หยุดยาว 8 วัน ไม่มีรัฐบาลไหนทำ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงถึงกระแสข่าวในสื่อโซเชียลที่ระบุว่ารัฐบาลอนุมัติให้มีวันหยุดยาว 8 วันว่า คงไม่มีรัฐบาลไหนทำแบบนั้น รัฐบาลยังไม่ได้กำหนดวันหยุดตามเป็นข่าว โดยจะพิจารณาวันที่เหมาะสมต่อไป ซึ่งการที่นำข้อมูลดังกล่าวไปเผยแพร่เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะเมื่อประชาชนไม่เข้าใจก็จะมาต่อว่ารัฐบาล ดังนั้น ขอร้องสื่อให้ช่วยกันนำเสนอข่าวที่ดี มีความก้าวหน้าในการทำงาน ไม่ใช่นำเสนอแต่ความขัดแย้งหรือส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพ เพราะต่างประเทศได้จับตาดูอยู่

ด้าน นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรณีวันหยุดต่อเนื่อง 4 วันตั้งแต่วันที่ 4-7 กรกฎาคม 2563 นี้ เป็นการหยุดตามปฏิทินปกติที่กำหนดไว้โดยไม่ได้เป็นมติ ครม.ที่ได้มีมติให้มีการหยุดยาวในครั้งนี้ โดยที่ประชุมรับทราบว่าให้มีการเลื่อนกรประชุม ครม.ในวันที่ 8 กรกฎาคม แทนเนื่องจากเป็นวันที่ 7 กรกฎาคมเป็นวันหยุดราชการ

เล็งต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯหากจำเป็น – วอนอย่าโยงการเมือง

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงการขยายการบังคับใช้พระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) ว่า เป็นเรื่องที่ตนพิจารณาอยู่ หากมีความจำเป็นก็ต้องใช้ต่อ เพราะสิ่งที่เกิดได้วันนี้ ที่มีความปลอดภัยก็ด้วย พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แต่ก็จะพยายามผ่อนคลายให้มากที่สุดเพราะเป็นการใช้กฎหมายในเชิงบูรณาการ ขณะเดียวกัน ปัจจุบันสถานการณ์ทั่วโลกยังไม่จบ ยังคงมีการติดเชื้อเกือบ 10 ล้านคน

“หากเราไม่ควบคุมตรงนี้ก็ไม่ได้แบบนี้ผมคิดว่านะ ในส่วนของการหารือร่วมกันระหว่างคณะทำงานทุกคณะ มีความเห็นชอบต่อหรือไม่ต่อ ไม่ใช่ผมคนเดียวเพราะฉะนั้นก็อยากให้สังคมเข้าใจว่าให้ย้อนกลับไปดูว่าถ้าเราทำแบบเดิมจะมาถึงวันนี้ไหม”

“ผมไม่ได้ต้องการใช้กฎหมายมากดดันใครเลยหลายคนก็ต้องการเรื่องเดียวเป็นเรื่องของการเมือง แล้วทำไมจะต้องมาเคลื่อนไหวอะไรกันตอนนี้ บ้านเมืองกำลังมีปัญหาการค้าการลงทุนก็มีปัญหาเศรษฐกิจการลงทุนก็มีปัญหาจะขัดแย้งกันมันใช่เวลาหรือไม่ลองคิดตรงนี้สินี่คือรวมไทยสร้างชาติ”

โดยตนขอให้ประชาชนทุกคนติดตามสถานการณ์ภายนอกประเทศด้วย สนใจแต่ในประเทศอย่างเดียวคงไม่พอ ต้องตรวจสอบอย่างเข้มงวด หากกลับมาอีกครั้งจะลำบาก เพราะหลายประเทศมีการติดเชื้อเพิ่มขึ้น มีการกลับมาติดเชื้อใหม่เพราะเกิดจากการเปิดประเทศในเปิดกิจกรรมต่างๆ ที่มีความเสี่ยงสูง

“สถานประกอบการต่างๆ ที่ขอมาผมก็เห็นใจ แต่ท่านต้องมีมาตรการที่เหมาะสมนอกจากมาตรการของรัฐ ท่านต้องทำมาตรการของท่านเองด้วย มันอาจจะไม่เหมือนเดิมนี่เป็น new normal การแสดงดนตรีอาจจะต้องมีที่กั้นซึ่งยังตอบ 100% ไม่ได้ โอกาสติดเชื้อยังมีอยู่ในเรื่องของการท่องเที่ยวก็ยังอยู่ในการพิจารณาทั้งหมดในประเทศจะทำได้ก่อนจากต่างประเทศที่เข้ามาอาจจะต้องดูความเหมาะสมของห้วงเวลาดังกล่าวแต่เราก็ต้องดูแลการต้องหาวิธีการที่เหมาะสม”

นอกจากนี้ พล.อ. ประยุทธ์ ยังกล่าวไปถึงปฏิบัติการเรื่องเหลื่อมเวลาหรือการทำงานที่บ้านด้วย ซึ่งปัจจุบันมาตรการการทำงานที่บ้านน่าจะลดลง เพราะสถานการณ์ดีขึ้น หลายคนต้องกลับมาทำหน้าที่ ทั้งในส่วนราชการรวมความถึงธุรกิจเอกชนด้วย

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตนแนะนำเป็นนโยบายของรัฐบาลก็และถือเป็น new normal เช่นกัน คือ การเหลื่อมเวลาทำงาน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคธุรกิจถ้าทำได้จะเป็นการช่วยแก้ปัญหาการจราจรได้ เพราะจะไปสัมพันธ์กับเรื่องของการเลิกเวลาเรียนของเด็กด้วย ฉะนั้นหากคนเหล่านี้มีการขึ้นบัญชีไว้ตามหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนวิสาหกิจต่างๆ ก็จะสบายขึ้น เมื่อมีการเลื่อนเวลาให้ตรงกับที่โรงเรียนจะเปิด

สำหรับเรื่องของการลงพื้นที่นั้น ตนได้คิดไว้อยู่แล้วว่าจะลงพื้นที่ไปเยี่ยมเยียนพี่น้องประชาชนอย่างไร สถานการณ์เริ่มดีขึ้นแล้ว

ชี้ “แผนแหกคุก” มีแต่ในหนัง

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถาม กรณีกระแสข่าว พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ วางแผนแหกคุก ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นข่าวหลายวันแล้ว ซึ่งตนคิดว่าดูหนังมากไปหรือเปล่ามัน หากทำได้แสดงว่ากระบวนการราชทัณฑ์บกพร่อง เรื่องดังกล่าวต้องไปว่ากันในการสอบสวนติดตาม ซึ่งตนได้ย้ำกรมราชทัณฑ์ให้ดูแลพฤติกรรมของผู้ต้องหาให้ดีที่สุด เพราะมีต่างคนต่างร้องกันไปมาทำอย่างไรจะยุติได้ในขั้นต้นก็คือให้มีกระบวนการสอบสวนและรอผลการสอบสวนออกมา

สั่งลงโทษคนรื้อ “บอมเบย์เบอร์มา” ยันต้องสร้างคืน

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถาม กรณีเรื่องของการรื้ออาคารประวัติศาตร์ “บอมเบย์เบอร์มา” อายุ 127 ปี ที่ จ.แพร่ ว่า วันนี้ได้มีการลงโทษไปแล้ว ถึงแม้ว่าจะช้าไปบ้างแต่อย่าลืมว่ากลไกในการบริหารมีหลายระดับด้วยกันบางอย่างก็อยู่ในพื้นที่ ทั้งนี้ตนได้ให้รัฐมนตรีเจ้ากระทรวงลงไปแก้ปัญหาและได้ชี้แจงในสภาฯ แล้วทุกอย่าง โดยได้รับการยืนยันว่าจะมีการสร้างกลับมาเหมือนเดิม

เพราะฉะนั้นการจะรื้อต้องมีแบบแปลน ว่ารื้อแล้วจะทำอย่างไร จะสร้างอะไรต่อไป หากไม่มีการอนุมัติจะไปทำก่อนไม่ได้ เป็นเรื่องที่ต้องไปสอบสวน เพราะมีประวัติศาสตร์ในตัวของมันเอง ใช้ในเรื่องของการศึกษารากเหง้าทางวัฒนธรรม แต่ต้องมีการปรับปรุงให้อยู่ในสภาพที่ดีขึ้น

“จะรื้อทิ้งทั้งหมดก็ไม่ใช่ก็ต้องทำให้ดีขึ้น แต่คำว่าดีขึ้นหากเป็นการซ่อมบางส่วนจากแข็งแรงอยู่หรือไม่ก็เป็นเรื่องยากง่ายอยู่ที่ผู้ปฏิบัติว่าจะทำอย่างไรให้เกิดความโปร่งใสให้มากที่สุด”

มติ ครม.มีดังนี้

ผศ. ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, ศ. ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ซ้าย-ขวา)
ที่มาภาพ www.thaigov.go.th

ยกเว้นค่าธรรมเนียนงานทะเบียนราษฎร์

ศ. ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม.เห็นชอบร่างกฎกระทรวง 5 ฉบับเกี่ยวกับการยกเว้นและลดค่าธรรมเนียมการทะเบียนของประชาชน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และในช่วงสถานการณ์ที่เกิดสาธารณภัยอื่นด้วย

ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงประกอบด้วยร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้คนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยปฏิบัติเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับบัตรประจำตัวประชาชน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจดทะเบียนชื่อสกุลและค่าธรรมเนียมการออกหนังสือสำคัญ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และ ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พุทธศักราช 2478 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….

“สาระสำคัญของกฎกระทรวงจะให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมสำหรับคนสัญชาติไทย ในเขตพื้นที่ประสบภัยตามประกาศของกระทรวงมหาดไทย ทั้งการขอคัดสำเนาหรือคัดและรับรองสำเนารายการทะเบียนราษฎร การออกบัตรประจำตัวประชาชนการแจ้งเกิดและการตายต่างท้องที่ การแจ้งการย้ายที่อยู่ และการขอรับสำเนาทะเบียนบ้าน”

นอกจากนี้ ยังยกเว้นค่าธรรมเนียมสำหรับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่ประสบภัยหรือได้รับผลกระทบจากภัยตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 ได้แก่ การออกบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย การขอคัดสำเนาหรือคัดและรับรองสำเนารายการทะเบียนหรือบัตรประจำตัวและรายการข้อมูลทะเบียนประวัติราษฎร แจ้งเกิดและการตายต่างท้องที่ แจ้งการย้ายที่อยู่ ขอรับสำเนาทะเบียนบ้าน

จัดงบฯ 699 ล้าน เพิ่มค่าตอบแทนกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน

ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่า ครม.มีมติเห็นชอบเพิ่มค่าตอบแทนพิเศษให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบเป็นกรณีพิเศษจำนวนกว่า 200,000 คน ในลักษณะเงินเพิ่มพิเศษรายเดือนรวมระยะเวลา 7 เดือน เพื่อเป็นขวัญกำลังใจและช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติหน้าที่เพิ่มเติมร่วมป้องกันและลดความเสี่ยงในการแพร่โรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระบาดเข้าสู่หมู่บ้าน ตำบล

“ทั้งนี้ ให้พิจารณาอัตราเงินเพิ่มพิเศษเท่าที่จำเป็นและเหมาะสมในการปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละตำแหน่ง นอกจากนี้ ครม.ยังกำชับให้จัดทำระเบียบ หลักเกณฑ์การจัดสรรเงินเพิ่มพิเศษให้สอดคล้องกับกฎหมายหรือระเบียบว่าด้วยการจ่ายเงินอื่นที่กำหนดให้จ่ายเป็นรายเดือน อย่างเคร่งครัด โดยแหล่งเงินจะมาจากงบประมาณปี 2564 วงเงิน 699 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเริ่มจ่ายในวันที่ 1 ตุลาคมนี้”

อนึ่ง ที่ผ่านมาในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ประกาศกระทรวงสาธารณสุขได้แต่งตั้งให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ เป็นเจ้าพนักงานโรคติดต่อตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 มีหน้าที่ร่วมช่วยคัดกรอง แยกกัก กักกัน สังเกตการณ์ในระดับหมู่บ้าน ค้นหาเชิงรุกและฝ้าระวังคนในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อรวมทั้งช่วยตรวจตราห้ามบุคคลออกนอกเคหสถานในช่วงเวลาเคอร์ฟิวในฐานะหนึ่งในคณะทำงานชุดปฏิบัติการระดับตำบลด้วย ทำให้ต้องเสียสละเวลาในการประกอบอาชีพส่วนตัว กระทบต่อรายได้หรือต้องออกค่าใช้จ่ายในการออกปฎิหน้าที่อีกด้วย ขณะที่เงินตอบแทนตำแหน่งในปัจจุบันก็ไม่สอดคล้องกัน

เห็นชอบแถลงร่วมอาเซียนช่วยแรงงานที่ได้รับผลกระทบโควิดฯ

ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่า ครม.มีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน สมัยพิเศษเกี่ยวกับผลกระทบของโควิด-19 ต่อแรงงานและการจ้างงาน ผ่านระบบประชุมทางไกล (Video Conference) และเห็นชอบการรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมระดับรัฐมนตรีเพื่อตอบสนองต่อผลกระทบของโควิด-19 ต่อแรงงานและการจ้างงาน เพื่อยืนยันเจตนารมณ์ของไทยที่จะร่วมสร้างความเข้มแข็งในการดำเนินมาตรการเพื่อรองรับผลกระทบต่อแรงงานและการจ้างงานจากปัญหาโควิด-19 รวมถึงส่งเสริมให้ไตรภาคี (ภาครัฐ นายจ้าง และลูกจ้าง) ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการลดผลกระทบ

ในปัจจุบัน อาเซียนมีแนวทางความร่วมมือด้านแรงงานที่ชัดเจน เพื่อลดผลกระทบต่อแรงงานและการจ้างงานในภูมิภาค โดยสาระสำคัญของร่างถ้อยแถลงร่วมนี้ จะสนับสนุนความเป็นอยู่และสุขภาพของแรงงานทุดคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงงานกลุ่มเสี่ยงจัดหาค่าตอบแทนอย่างเหมาะสมให้กับแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และสิทธิที่จะเข้าถึงการช่วยเหลือทางสังคม หรือสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานจากภาครัฐ อำนวยความสะดวกให้แรงงานที่ติดเชื้อโควิด-19 ทุกคนเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขที่จำเป็น ด้วย

ผ่านกฎหมายต้านการทรมาน เยียวยาผู้เสียหาย

ผศ. ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม.เห็นชอบพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ให้ความคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการกระทำทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ 2) เพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อป้องกันและปรามปราบและเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำในลักษณะดังกล่าว และ 3) เพื่อขจัดปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรงและสร้างหลักประกันความเป็นธรรมแก่ประชาชน

“สำหรับความจำเป็นที่ต้องตราพระราชบัญญัตินี้ เพราะปัจจุบันมีการกระทำทรมานและทำให้บุคคลสูญหายเกิดขึ้นอยู่และมีการร้องเรียนไปยังสหประชาชาติ โดยเฉพาะประเด็นการงดเว้นโทษแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่มีการกำหนดความผิด บทลงโทษ รวมไปถึงมาตรการป้องกันและเยียวยากรณีดังกล่าวไว้ในกฎหมาย ฉะนั้นการตรากฎหมายฉบับนี้จึงเป็นแนวทางที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องดังกล่าว”

มากไปกว่านั้น ร่างกฎหมายนี้ถือเป็นมาตรการสำคัญตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรี (Convention against Torture and other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment: CAT) และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้สูญหาย (ICPPED) ซึ่งไทยได้เป็นภาคีอนุสัญญาทั้งสองฉบับไปแล้ว

สาระสำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้เป็นการกำหนดฐานความผิดของการกระทำทรมานและทำให้บุคคลสูญหาย มีการกำหนดมาตรการป้องกัน การเยียวยาผู้เสียหาย และการดำเนินคดีสำหรับความผิดดังกล่าวให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ซึ่งมีสาระสำคัญ เช่น

  1. กำหนดฐานความผิดการกระทำทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย โดยกำหนดให้ไม่เป็นความผิดทางการเมือง ซึ่งสามี ภรรยา บุพการี ผู้สืบสันดานของผู้เสียหายสามารถดำเนินการฟ้องร้องคดีได้
  2. กำหนดให้ความผิดตามพระราชบัญญัติในเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษ ตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ และให้เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ มีอำนาจหน้าที่สอบสวนเป็นหลัก เว้นแต่กรณีเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษตกเป็นผู้ต้องหา ให้ตำรวจเป็นผู้มีอำนาจสืบสวนแทน
  3. กำหนดระวางโทษความผิดฐานกระทำทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย เช่น ผู้ใดกระทำความผิดฐานกระทำทรมานหรือกระทำให้บุคคลสูญหาย มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท หากกรณีผู้ถูกกระทำได้รับอันตรายสาหัส มีโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 15 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000 บาท ถึง 300,000 บาท และกรณีผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตาย มีโทษจำคุกตั้งแต่ 10 ปี ถึง 20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 200,000 บาท ถึง 400,000 บาท

ทั้งนี้ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม จะเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการปฏิบัติตามร่างพระราชบัญญัติฯนี้ และที่ผ่านมากระทรวงยุติธรรมได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัตินี้ เมื่อวันที่ 4 – 31 ธันวาคม 2562 ผ่านเว็บไซต์และจัดเวทีประชุมเชิงปฏิบัติการใน 4 ภูมิภาค พร้อมทั้งเผยแพร่ผลการรับฟังความคิดเห็นและการวิเคราะห์ผลกระทบจากกฎหมายต่อประชาชนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และลำดับต่อไปหลังจาก ครม. มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติฯ ในวันนี้ จะส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป

การเคหะฯกู้ 2,000 ล้าน เสริมสภาพคล่อง

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม.มีมติเห็นชอบให้การเคหะแห่งชาติ (กคช.) กู้เงินเพื่อบรรเทาการขาดสภาพคล่องหรือเพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการทั่วไป จำนวน 2,000 ล้านบาท ภายใต้แผนบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2563 (ปรับปรุงครั้งที่ 1) โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินต้นและดอกเบี้ย ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2563

“เนื่องจากการเคหะแห่งชาติได้ดำเนินการมาตรการเร่งด่วนในการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนแก่ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้มีรายได้น้อย โดยดำเนินมาตรการช่วยเหลือเป็นเวลา 3 เดือน (เมษายน – มิถุนายน 2563) ดังนี้ 1)พักชำระหนี้ค่าเช่าซื้อ สำหรับลูกค้าเช่าซื้ออาคาร อาคารพร้อมที่ดิน และที่ดิน (สัญญาเช่าซื้อจะถูกขยายออกไปอีก 3 เดือน) 2)ปลอดค่าเช่า สำหรับลูกค้า สัญญาเช่าอาคาร อาคารพร้อมที่ดินและที่ดิน ลูกค้าแผงตลาดรายย่อยที่ทำสัญญาตรงกับการเคหะแห่งชาติ และผู้เช่าที่ทำสัญญาเช่ากับผู้เช่าเหมาอาคาร 3)ลดค่าเช่า ร้อยละ 50 สำหรับผู้เช่ารายย่อยในพลาซ่าหรือตลาดเช่าเหมา และ 4)พักชำระเงินมัดจำ เงินจอง (เงินดาวน์) สำหรับลูกค้าสัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญาจอง”

ดังนั้น มาตรการช่วยเหลือช่วงโควิดดังกล่าว ได้ส่งผลกระทบต่อรายได้และสภาพคล่องทางการเงินของการเคหะแห่งชาติทั้งการขายโครงการ การรับชำระค่าเช่า และค่าเช่าซื้อ ที่ต่ำกว่าแผนอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น เพื่อให้การเคหะแห่งชาติมีสภาพคล่องเพียงพอรองรับการบริหารงานได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุดชะงักในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง จึงมีความจำเป็นต้องกู้เงินดังกล่าว ทั้งนี้ การเคหะฯ จะทำการกู้เฉพาะวงเงินที่จำเป็นเท่านั้น

เห็นชอบกรอบเจรจา “มาตรฐานทางการเกษตรอาเซียน”

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม.เห็นชอบกรอบการเจรจาความตกลงที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานและการตรวจสอบรับรองระบบการผลิตสินค้าเกษตรที่เป็นอาหารของอาเซียน ภายใต้รัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ ตามที่กระทรวงเกษตรกรและสหกรณ์เสนอ ซึ่งเป็นการกำหนดท่าทีของประเทศไทยที่จะไปตกลงในเรื่องดังกล่าว เพื่อลดอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) อำนวยความสะดวกทางการค้าสินค้าเกษตรที่เป็นอาหารระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน โดยมีสาระสำคัญคือ

  1. กำหนดหรือพิจารณามาตรฐานของอาเซียนด้านระบบการผลิตพืชปศุสัตว์ และประมง ในระดับฟาร์ม และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องสำหรับใช้ในการตรวจสอบและรับรองระบบการผลิตสินค้าเกษตรที่เป็นอาหารของประเทศสมาชิกอาเซียน
  2. กำหนดขอบข่ายและเงื่อนไขในการยอมรับผลการตรวจสอบรับรองระบบการผลิตสินค้าเกษตรที่เป็นอาหารร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียน
  3. พัฒนากลไกการประสานงานของอาเซียนและการปฏิบัติตามความตกลงของประเทศสมาชิก โดยกำหนดกลไกในการดำเนินการให้การยอมรับร่วมผลการตรวจสอบและรับรองระบบการผลิตสินค้าเกษตรที่เป็นอาหารของประเทศสมาชิกอาเซียนที่เป็นไปตามเงื่อนไขในการตกลงในการนำเข้าและส่งออกในภูมิภาค
  4. ประเด็นอื่นๆ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติความตกลงนี้ เช่น การระงับข้อพิพาท ความโปร่งใส การเพิ่มบทบาทของอาเซียนและของประเทศสมาชิกอาเซียนในเวทีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตรที่เป็นอาหาร การมีผลใช้บังคับ และการแก้ไขความตกลง รวมทั้งประเด็นอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อไทย

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า กรอบเจรจาดังกล่าว จะมีการเจรจาเพิ่มเติมในรายละเอียดระหว่างการประชุมคณะทำงานเฉพาะกิจ (MRA Task Force on MAMRASCA) ภายใต้รัฐมนตรีอาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้ (AMAF) ที่จะจัดขึ้นภายในเดือนมิถุนายนนี้ และหากมีความก้าวหน้าถึงขั้นการจัดทำความตกลงระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน ก็จะต้องเสนอ ครม. พิจารณาก่อน

และหากความตกลงนั้น มีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ จะเข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และหากการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามหนังสือสัญญานั้น ต้องมีการออกพระราชบัญญัติ หรืออาจะมีผลกระทบต่อความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม หรือการค้าการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวางตามมาตรา 178 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ก็จะต้องเสนอขอความเห็นชอบจากรัฐสภาด้วย

อนุมัติงบฯ 3.3 ล้าน ช่วยสหประชาชาติ รับมือโควิดฯ

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม.มีมติเห็นชอบการจัดทำข้อตกลงการบริหารจัดการกองทุน “United Nations COVID-19 Response and Recovery Multi-Partner Trust Fund หรือ “UN COVID-19 MPTF” ซึ่งเป็นกองทุนระหว่างหน่วยงานของสหประชาชาติ สำหรับสนับสนุนการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะประเทศที่มีรายได้ต่ำถึงปานกลาง ทั้งนี้ กองทุนฯมีเป้างบประมาณจำนวน 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มีระยะเวลาในการบริหารกองทุน 2 ปี (จนถึง เมษายน 2565)

การลงนามในข้อตกลงจะทำกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) เป็นไปเพื่อความโปร่งใสต่อแนวทางการบริหารจัดการเงินบริจาค โดย ครม.อนุมัติให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก เป็นผู้ลงนามข้อตกลงของฝ่ายไทย ซึ่งกระทรวงต่างประเทศอนุมัติการสนับสนุนงบประมาณแก่กองทุนฯ จำนวน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3.3 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณปี 2563 ของกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อเป็นการแสดงออกถึงการมีส่วนร่วมของไทยในกรอบสหประชาชาติในการรับมือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และเป็นโอกาสให้ไทยแสดงจุดยืนในการส่งเสริมการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยังยืนที่ไม่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

“ทั้งนี้ สถานะ ณ เดือนมิถุนายน 2563 มีประเทศต่างๆบริจาคเพื่อสนับสนุนกองทุนฯแล้ว ได้แก่ เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก นอร์เวย์ สวิสเซอร์แลนด์ และสโลวาเกีย” ผศ. ดร.รัชดา กล่าว

เห็นชอบลงนามประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 36

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม.เห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการลงนามหรือรับรองในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 36 โดยมีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามเป็นประธานอาเซียน ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 26 มิถุนายน 2563 ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ซึ่งมีเอกสาร 2 ฉบับคือ

1.ร่างวิสัยทัศน์ผู้นำอาเซียนว่าด้วยอาเซียนที่แน่นแฟ้นและตอบสนอง: ก้าวข้ามความท้าทายและเสริมสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน (ASEAN Leader’s Vision Statement on a Cohesive and Responsive ASEAN: Rising Above Challenges and Sustaining Growth) มีสาระคือ เน้นเสริมสร้างประชาคมอาเซียนที่แน่นแฟ้นและเป็นเอกภาพในทุกมิติ เพื่อรับมือกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว เช่น ภัยคุกคามความมั่นคงรูปแบบใหม่ การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 และผลกระทบจากโรคโควิด-19 เป็นต้น

2.ร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์สำหรับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปของงาน (ASEAN Declaration on Human Resources Development for the Changing World of Work) ประกอบด้วยมาตรการเพื่อส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ อาทิ 1)การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดช่วงวัย 2)การเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานและโอกาสการจ้างงานของสตรี คนพิการ และผู้สูงอายุ 3)การใช้ประโยชน์จากการอาชีวศึกษา เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงงานที่มีคุณค่า และ 4)การเพิ่มบทบาทของภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม และสถาบันการศึกษาในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ผ่านการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานและการฝึกงาน เป็นต้น

“อาเซียนยังคงมีความมุ่งมั่นร่วมกันในการสร้างความสามัคคีและความร่วมมือภายในประเทศสมาชิกอาเซียนและภาคีภายนอก เพื่อต่อสู้กับโรคโควิด-19 อีกทั้งแนวคิดที่ว่าด้วย “อาเซียนที่แน่นแฟ้นและการตอบสนอง” จะนำไปสู่ประสิทธิภาพในการตอบสนองต่อความท้าทายต่างๆ ที่ประเทศอาเซียนต้องเผชิญ”

แก้ กม.เว้นโทษอาญาเด็กอายุไม่เกิน 12 ปี

นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติ ครม. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา โดยมีสาระสำคัญ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมเกณฑ์อายุของเด็กที่ไม่ต้องรับโทษทางอาญา ซึ่งปัจจุบันกำหนดไว้ที่อายุไม่เกิน 10 ปี จะมีการแก้ไขเป็นไม่เกิน 12 ปี และเกณฑ์อายุของเด็กที่ใช้มาตรการอื่นแทนการรับโทษทางอาญา จากเดิมที่กำหนดไว้อายุมากกว่า 10 ปีแต่ไม่เกิน 15 ปี แก้เป็นอายุมากกว่า 12 ปี แต่ไม่เกิน 15 ปี

ทั้งนี้ หลักเกณฑ์อายุดังกล่าวนี้จะสอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองและสอดคล้องกับเหตุผลทางการแพทย์ที่เห็นว่าเด็กอายุ 12 ปีไม่มีความแตกต่างจากเด็กอายุ 10 ปี ซึ่งจะเป็นช่วงอายุเด็กที่มีความอ่อนด้อยทางความนึกคิด ยังไม่รู้ผิดชอบชั่วดี

เสนอ “ดอยเชียงดาว” เป็นพื้นที่สงวนชีวมณฑล

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบให้เสนอพื้นที่ดอยเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพื้นที่สงวนชีวมณฑลแห่งใหม่ต่อองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก จะต้องเสนอต่อยูเนสโกภายในสิ้นเดือนกันยายนนี้ เพื่อให้เข้าสู่กรอบการพิจารณาในปีถัดไป

สำหรับพื้นที่สงวนชีวมณฑล เป็นพื้นที่ระบบนิเวศบนบก ทะเล หรือชายฝั่งทะเล หรือระบบนิเวศทั้งหมด รวมกันที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ เพื่ออนุรักษ์ความหลากหลายของพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ ระบบนิเวศ เป็นการส่งเสริมการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคมอย่างยั่งยืน และเป็นการศึกษา วิจัย อบรมต่างๆ เกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

อนึ่ง ประเทศไทยมีพื้นที่ชีวมณฑลอยู่ 4 แห่ง ได้แก่ พื้นที่ชีวมณฑลสะแกราช จ.นครราชสีมา, พื้นที่ชีวมณฑลสวนสัก-ห้วยทาก จ.ลำปาง, พื้นที่ชีวมณฑลห้วยคอกม้า จ.เชียงใหม่, พื้นที่ชีวมณฑลรันอง จ.ระนอง และเนื่องจากพื้นที่ดอยเชียงดาว มีเทือกเขาสูงชัน เป็นภูเขาหินปูน มียอดดอยหลวงเชียงดาว ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงอันดับ 3 ของประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นแหล่งของพืชที่หายากและสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ รวมทั้งยังความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง และสามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างสันติ จึงมีเงื่อนไขที่สอดคล้องกับการเป็นพื้นที่สงวนชีวมณฑล

เลื่อนจัดงาน “WORLD EXPO DUBAI 2020”

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. รับทราบเรื่องการจัดงาน “WORLD EXPO DUBAI 2020” ณ นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (โควิด-19) ยังไม่มีแนวโน้มที่จะคลี่คลาย รัฐบาลดูไบ จึงได้ยื่นข้อเสนอไปยังองค์การนิทรรศการนานาชาติ เพื่อขอเลื่อนวันจัดงานจากวันที่ 20 ตุลาคม 2563-10 เมษายน 2564 เป็นวันที่ 1 ตุลาคม 2564-31 มีนาคม 2565 แต่งานยังคงใช้ชื่อเดิม

ทั้งนี้ ในส่วนของประเทศไทยได้เข้าไปดำเนินการก่อสร้าง Pavilion ไปถึง 50%แล้ว แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ต้องหยุดการก่อสร้างไปก่อน

ตั้ง “บุญญนิตย์” นั่งผู้ว่า กฟผ.

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอการแต่งตั้ง นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในอัตราเดือนละ 690,000 บาท (ตามมติคณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยในการประชุมครั้งที่ 6/2563 เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2563) ซึ่งกระทรวงการคลังได้ให้ความเห็นชอบแล้ว และให้ นายบุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ลาออกจากการเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ ก่อนลงนามในสัญญาจ้างด้วย

อ่านมติ ครม.ประจำวันที่ 23 มิถุนายน 2563เพิ่มเติม