ThaiPublica > คอลัมน์ > The Great Awakening – การตื่นรู้ครั้งใหญ่และโจทย์ใหม่ของประเทศไทย

The Great Awakening – การตื่นรู้ครั้งใหญ่และโจทย์ใหม่ของประเทศไทย

7 มีนาคม 2020


ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา

ที่มาภาพ : https://web.facebook.com/openbooks2/

Life begins on the other side of despair ชีวิตเริ่มต้นเมื่อสุดจะทนกับความสิ้นหวัง -Jean-Paul Sartre

การตื่นตัวของนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศพร้อมๆ กัน เรื่อยไปจนนักเรียนในระดับมัธยม เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา ถ้านับในเชิงปริมาณ ทั้งจำนวนผู้ชุมนุมและจำนวนสถาบันที่เข้าร่วม น่าจะมีมากกว่าครั้งเมื่อเกิดเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 อย่างมีนัยสำคัญ

เนื่องจากเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน คนรุ่นก่อนที่เคยผ่านเหตุการณ์ทางการเมืองในยุคเก่า จึงยากที่จะทำความเข้าใจ กระทั่งไม่อยากจะเข้าใจ จึงได้แต่ผลิตชุดคำอธิบายที่ผิดฝาผิดตัว และไม่ได้ช่วยนำไปสู่คำตอบและทางออกของสังคมที่ดีขึ้น หรือดีกว่า นำมาสู่ปัญหา การตกยุค หลงยุค จนกลายมาเป็น ความแตกต่างทางความคิดของคนแต่ละยุค (generation division) ซึ่งสร้างปัญหาทั้งในระดับครอบครัว (พ่อแม่ VS ลูก) สถาบันการศึกษา (ครูบาอาจารย์ VS ลูกศิษย์) กระทั่งกลายเป็นปัญหาใหญ่ในระดับชาติ (รัฐบาล VS ประชาชน) และถ้ายังอ่านปัญหาไม่ขาด อาจนำมาสู่ความขัดแย้งใหญ่ในระดับชาติ ที่คนในชาติไม่เคยคิด ไม่เคยจินตนาการ และไม่เคยพบพานมาก่อน

นักเรียน นักศึกษา กระทั่งคนทำงานวัยหนุ่มสาวเหล่านี้ คือคนที่เกิดและเติบโตขึ้นมาในยุคการปฏิวัติเทคโนโลยีใหญ่ของโลก นับจากมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก สร้างเฟซบุ๊กในปี 2004 การก่อเกิดของทวิตเตอร์ในปี 2006 ซึ่งถูกเร่งปฏิกิริยาด้วยการเปิดตัวไอโฟนของ สตีฟ จอบส์ ในปี 2007 ตามมาด้วยเทคโนโลยีสมาร์ทโฟนที่เชื่อมคนทั้งโลกเข้าด้วยกัน อันเป็นเทคโนโลยีพลิกผันที่ทำให้เกิดการดิสรัปชั่นไปทั่วทุกวงการ

หันกลับมามองเมืองไทยในช่วงเวลาเดียวกัน เรามีการชุมนุมสีเสื้อใหญ่ๆ สามครั้ง นับจากม็อบเสื้อเหลืองพันธมิตร ม็อบเสื้อแดงราชประสงค์ ม็อบนกหวีดแยกปทุมวัน จนนำมาสู่การรัฐประหารสองครั้ง และครั้งหลังสุด กินเวลาในอำนาจนานกว่า 5 ปี และยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติเมื่อใด

ในขณะที่โลกและประเทศเพื่อนบ้านก้าวไปข้างหน้า ประเทศไทยกลับถูกดึงให้ล้าหลังลงในทุกๆ มิติ นำมาสู่การสูญเสียโอกาสในชีวิต ของคนหนุ่มสาวที่เติบโตขึ้นมาในช่วงเวลานี้

ในขณะที่ความเหลื่อมล้ำเพิ่มทวี จนประเทศไทยขึ้นมายืนในอันดับหนึ่ง บริษัทยักษ์ใหญ่มั่งคั่งร่ำรวยขึ้น แต่คนหนุ่มสาวกลับไม่สามารถเอื้อมถึงอนาคตของพวกเขาได้ เพราะอนาคตทั้งหลายตกอยู่ในมือคนเพียง 1% ของสังคม

ไม่ต้องมีความอยุติธรรมทางกฎหมาย ไม่ต้องมีการบังคับใช้กฎหมายแบบสองมาตรฐาน ไม่ต้องมีการใช้อำนาจโดยมิชอบและการทุจริตมโหฬาร ลำพังปัญหาเศรษฐกิจ การขาดเสรีภาพในทางความคิด การถูกปิดกั้นทางการเมือง ก็น่าจะเพียงพอที่จะสร้างความขุ่นเคืองให้คนหนุ่มสาว ยิ่งเมื่อถูกกดทับมานานปี ความไม่พอใจเหล่านี้ ย่อมนำมาซึ่งความโกรธแค้นแห่งยุคสมัย กลายเป็นความโกรธแค้นมวลรวมประชาชาติ ที่ไม่น่าจะเป็นผลดีต่อผู้ใด

อุปมาเหมือนผู้มีอำนาจราดน้ำมันไว้ทั่วประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง น้ำมันในหัวใจของหนุ่มสาว เยาวชนคนรุ่นใหม่ เมื่อมีเหตุการณ์ที่เปรียบได้ดั่งไม้ขีดไฟที่ถูกจุดขึ้น เปลวไฟย่อมสว่างไสวไปทั่วทุกพื้นที่ของมหาวิทยาลัย ดังที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

นี่คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น และกำลังจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาต่อจากนี้ นี่คือการเหวี่ยงกลับของนาฬิกาลูกตุ้ม จากขวาสุด นาฬิกานี้กำลังจะสวิงกลับไปทางซ้ายสุด

สิ่งที่สังคมเคยให้ค่า คนที่เคยเสนอหน้าว่าเป็นคุณค่าที่ถูกต้องในยุคหนึ่ง กำลังถูกอนาคตไล่ล่า รูปการร่วมชุมนุมอันล้ำค่ากำลังจะถูกขุดขึ้นมาเพื่อตีความใหม่ และคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์ กระทั่งคนรุ่นเจนเอ็กซ์ จะไม่ใช่คนตีความอีกต่อไป

ดารา เซเลบ ครูบาอาจารย์ กำลังจะต้องพบเจอกับกระแสลมย้อนกลับ เมื่อลมได้พัดเอาเปลวไฟที่เคยเผาผลาญผู้อื่นด้วยทีท่าและวาจา กลับมาเผาผลาญตัวเองและสถาบันของตนจนมอดไหม้ ความขัดแย้งนี้จะกลายเป็นไฟลามทุ่ง นี่คือจุดเริ่มต้นของปรากฏการณ์ที่เรายังไม่รู้ว่าจะนำไปสู่สิ่งใด

ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ แต่บัดนี้ ไฟได้ถูกจุดขึ้นในใจคนหนุ่มสาวแล้ว เมื่อไฟติดแล้วและลามไปคล้ายไฟป่า จึงยากยิ่งจะดับไฟ ยิ่งโหม โมหะ โทสะ และอวิชชาเข้าใส่ ก็ยิ่งจะทำให้ไฟลุกลามมากขึ้น

สังคมไทยจึงต้องเตรียมรับมือ กับการตื่นขึ้นครั้งใหญ่ของคนหนุ่มสาวไทย ว่าเราจะนำไฟอันร้อนแรงนี้ ไปใช้ในการสร้างอนาคตของพวกเขาอย่างไร

ไฟย่อมมีประโยชน์อันยิ่งใหญ่ ถ้าเรากำหนดทิศทางและการใช้งานได้ แต่ถ้าเราเร่งโหมเปลวไฟ ไฟนั้นย่อมเผาบ้านเมืองและผู้คนให้มอดไหม้ และคงไม่มีผู้ใดได้ประโยชน์จากไฟนั้น

และนี่คือโจทย์ใหญ่ที่ผู้ใหญ่ ผู้เคยอาบน้ำร้อน และเคยเดินผ่านฝน ผ่านเปลวไฟทางการเมืองอันร้อนแรงมาก่อน หลายต่อหลายครั้ง จะต้องขบคิดว่า จะนำไฟแห่งการตื่นรู้ของคนหนุ่มสาว ผู้เป็นลูกหลานของเรานั้น ไปในทิศทางไหน

การกำหนดบทบาท ท่าที และวิธีการดำเนินนโยบายทางการเมือง ต่อการตื่นรู้ใหญ่ในครั้งนี้ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดอนาคตของประเทศไทย ในช่วงเวลานับจากนี้

หนุ่มสาวในวันนี้คือพ่อแม่ในวันหน้า ลูกศิษย์ในวันนี้คือครูบาอาจารย์ในวันหน้า พ่อแม่ย่อมเฒ่าชะแรแก่ชราจึงเป็นหนุ่มสาวเหล่านี้ที่จะต้องแบกรับภาระในการดูแลสังคมและบุพการี ในวันที่ประเทศเดินเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยในเวลาอันสั้น

อย่าผลักไส อย่าทำร้าย อย่าป้ายสี เพราะเขาเหล่านี้คืออนาคตของประเทศไทย ขอให้เราช่วยกันประคับประคองลูกหลานของเราและช่วยพวกเขาสร้างอนาคตให้กับประเทศเถิด

เราเกิด เราแก่ เราเจ็บ และเราคงต้องตายก่อนพวกเขา ขอเราจงใช้ขันติธรรมที่ควรมีมากกว่า เมตตาธรรมที่สร้างสมมา หลอมรวมสร้างเป็นปัญญา เพื่อนำพาสังคมไปสู่ทางออกที่ดีกว่าทางออกเก่าของเราในอดีต

ทั้งเราและเขาจึงคือหนึ่งเดียวกัน คือผู้ที่จะสร้างสรรค์และกำหนดอนาคตให้ประเทศชาติได้

ขอจงมองให้เห็นภาพที่ใหญ่กว่า เพราะเรายังคงต้องเผชิญกับภัยพิบัตินานาที่ถาโถมเข้ามาดังพายุ ทั้งพายุเศรษฐกิจ โรคภัย หายนะจากภัยแล้ง

วิสัยทัศน์ที่กว้างไกลสุดขอบฟ้า และหัวใจหนักแน่นดั่งหินผา คือคุณสมบัติที่จะช่วยให้พวกเราฝ่าวิกฤติใหญ่ในครั้งนี้ได้ โลกในยุคที่กำลังจะมาถึงเบื้องหน้า มีโจทย์ที่ยากและท้าทายกว่าโลกที่เราใช้ชีวิตผ่านมามากมายนัก เราทั้งหมดต้องร่วมกันใช้สรรพกำลัง เพื่อรับมือกับโจทย์อันยากยิ่งนั้นในอนาคตอันใกล้

ตีพิมพ์ครั้งแรก : เฟซบุ๊ก Openbooks วันที่ 2 มีนาคม 2563