ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ – “ตอบโจทย์ประเทศไทย?” และ รัฐบาลกับการกู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ – “ตอบโจทย์ประเทศไทย?” และ รัฐบาลกับการกู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท

23 มีนาคม 2013


ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากสุดในโซเชียลมีเดียในรอบสัปดาห์ 17–22 มีนาคม 2556

เรื่องแรก เกิดเป็นกระแสให้มีข้อถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์ เมื่อ “ตอบโจทย์ประเทศไทย” รายการดังจากสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส รายการที่มักจะนำเหล่าคู่กรณีมาตอบโจทย์ชนกัน กระทั่งล่าสุดได้นำเสนอประเด็นสถาบันพระมหากษัตริย์และการแก้ไขมาตรา 112 โดยเทปดังกล่าวเป็นการสัมภาษณ์อาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ นักเขียนและนักวิชาการอิสระ ดำเนินรายการโดย “ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา” ซึ่งในรายการในส่วนของแขกรับเชิญคู่ดังกล่าวแบ่งออกเป็นสองเทป เทปแรกออกอากาศเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม 2556 และเทปที่สอง จากเดิมจะออกอากาศในวันที่ 15 มีนาคม 2556 แต่ทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ได้สั่งยุติการออกอากาศโดยอ้างมาตรา 46 ของ พ.ร.บ.องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ.2551 และเมื่อคืนวันจันทร์ที่18 มีนาคม 2556 ทางสถานีจึงได้นำเทปที่สอง (ที่ถูกระงับไป) มาออกอากาศอีกครั้ง พร้อมชี้แจงว่าคณะอนุกรรมการมีมติให้นำมาออกอากาศได้ หลังได้รับการพิจารณาแล้ว ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าว กลายเป็นประเด็นให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากอีกครั้ง

ที่มาภาพ : http://news.sanook.com1174656
ที่มาภาพ: http://news.sanook.com1174656

ทั้งนี้แต่ละตอนของรายการมีการเชิญผู้ร่วมรายการมาออกอากาศ ดังนี้
ตอนที่ 1 ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ตอนที่ 2 อาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ตอนที่ 3 พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตหัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำ
ตอนที่ 4 อาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์
ตอนที่ 5 อาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์

ขณะที่มีการนำเสนอรายการตอนสถาบันกษัตริย์ ภายใต้รัฐธรรมนูญ ตอนที่ 5 ซึ่งเป็นตอนสุดท้ายนั้น ทางด้านเฟซบุ๊กของราบการตอบโจทย์ประเทศไทยก็ได้มีการโพสต์ภาพพระสยามเทวาธิราชพร้อมข้อความ โดยตั้งชื่อหัวข้อว่า “แสงสว่างเสมอด้วยปัญญานั้นไม่มี” ซึ่งมีเนื้อหามีดังนี้

“ทีมงานรายการตอบโจทย์ประเทศไทยขอขอบพระคุณเพื่อนมิตรในไทยพีบีเอส รวมทั้งเพื่อนสื่อมวลชนทุกแขนง นักวิชาการ ปัญญาชน และที่สำคัญ ผู้ชมทุกท่าน ที่ร่วมยืนยันเสรีภาพของสื่อมวลชนอันเป็นหนึ่งในรากฐานสำคัญของประชาธิปไตย จนทำให้ตอบโจทย์ 5 ตอนสุดท้ายในชุด สถาบันพระมหากษัตริย์ ภายใต้รัฐธรรมนูญ ได้ผ่านการตัดสินใจจนนำไปสู่การออกอากาศในค่ำคืนวันที่ 18 มีนาคม 2556

ขอกราบขอบพระคุณคณะกรรมการนโยบาย ฝ่ายบริหาร ที่ช่วยทำให้ตอบโจทย์ตอนสุดท้ายของสัปดาห์ประวัติศาสตร์ ได้ออกอากาศในที่สุด แม้อาจจะมีผู้มองต่างในเรื่องประเด็นและความเห็น แต่นี่คือย่างก้าวที่สำคัญของวงการสื่อสารมวลชนไทย ที่เราสามารถนำผู้เห็นต่างทั้งสองด้าน มานั่งลงสนทนากันอย่างตรงไปตรงมา ตลอดทั้งสัปดาห์หน้าจอโทรทัศน์ ให้คนไทยนับล้านคนทั่วประเทศ ได้ฟังอย่างมีสติ ไตร่ตรอง และขบคิด เพื่อตอบหนึ่งในโจทย์ใหญ่ของประเทศไทย ที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

ขอคุณพระศรีรัตนตรัย ดลบันดาลให้คนไทยสนทนากันด้วยเหตุและผล ขอคุณพระสยามเทวาธิราช ดลให้คนไทยใช้ความอดกลั้นและอดทน ในการฟังความเห็นต่างอย่างสงบ ขอสังคมไทยพบทางออกที่สร้างสรรค์ ในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ จนกว่าจะพบกันใหม่”

โดยขณะนี้ เฟซบุ๊กของรายการตอบโจทย์ประเทศไทยได้ปิดตัวลง และมีการโพสต์ข้อความจากพิธีกรรายการ นายภิญโญ ไตรสุริยธรรมา ไว้ก่อนการปิดเฟซบุ๊กว่า

“ผมและทีมงานทุกคนมีมติเป็นเอกฉันท์ ขอยุติการทำรายการตอบโจทย์ประเทศไทย นับจากบัดนี้เป็นต้นไป เนื่องจากไม่สามารถตอบโจทย์ได้อีกต่อไป ว่าเรายังจะรักษาความเชื่อมั่นในเสรีภาพของสื่อสารมวลชน ซึ่งได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญไว้ได้อย่างไร

เรายินดีเลือกที่จะสละรายการ เพื่อรักษาหลักการ เรายินดีที่จะถูกประณาม คุกคาม เพื่อจะจุดไฟท่ามกลางความมืดหวาดขลาดกลัวต่อการสนทนาเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้สว่างไสว เพื่อนำการกล่าวร้ายโจมตีในที่มืดออกสู่ที่แจ้ง ให้คนได้ถกแถลงแสดงเหตุผลและหักล้างกันด้วยปัญญา มิใช่อารมณ์”

แม้เรื่องนี้จะยังไม่มี การอธิบายใดอย่างชัดเจนจากทีมงานรายการ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องก็ตาม แต่ก็ยังคงเป็นประเด็นทางสังคมที่พร้อมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้กันอย่างมากมาย

“แสงสว่างเสมอด้วยปัญญานั้นไม่มี” จริงรึ? ฤาคุณ “มืดบอดปัญญาในอัตตาว่าด้วยเสรีภาพ” เคยรู้จักคำว่า”เผด็จการบวกด้วยทรราชย์ / กับ เผด็จการที่ทีธรรมเป็นหลัก” มันชั่งต่างกันเลย คิดกันเองออกแบบกันเองเป็นบ้างไหม ที่นี่… ประเทศไทย ดูกายดูใจบ้างมันอยู่ลึกไม่เกิน 5 นิ้ว แล้ว”แสงสว่างจะเป็นปัญญาเท่าเทียมกัน”

“เราอยู่มาจนป่านนี้ มาตรา 112 ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้เราและครอบครัว แม้แต่ปลายเล็บของเรา มาตรานี้ถ้าคนเจตนาดี มีศีลธรรม หากินสุจริต ไม่รับจ้างล้มเจ้า จะไม่เดือดร้อนเลย. แล้วจะมาเร่งรีบยกเลิกเพื่ออะไร ใครมีหน้าที่อะไรก็ไปทำ รับเงินเดือนจากภาษีประชาชนก็ควรทำหน้าที่ของตัวเอง ไม่ใช่เบียดบังเงินเดือนจากประชาชนแล้ว สรรหาแต่เรื่องให้บ้านเมืองป่วน พังทะลาย”

“คอมมิวนิสต์ยุคใหม่พวกนี้อยากล้มเจ้า เพราะจะได้ขึ้นเป็นชนชั้นปกครองแทน ที่โอ้โลมปฏิโลมคนรากหญ้าอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะหลอกใช้ให้เป็นมวลชน”

“ขอบอกว่า สถาบันที่สูงสุด และมีแต่ให้ไม่ได้หวังอะไรเลย จะมาพูดถึงกันมั่วๆ จาบจ้วงไม่ได้ ถ้าเป็นสมัยก่อน ตัดหัวเจ็ดชั่วโคตร หน่วยงานที่รับผิดชอบก็ไม่แยแส ปล่อยปะละเลย ให้มีการกระทำอย่างนี้ มากขึ้นทุกวัน อย่างดีก็ฮึ่มๆ แล้วมีอะไรดีขึ้น”

“ผมไม่เห็นว่า ม. 112 มันจะส่งผลกระทบต่อเสรีภาพ การปกครอง หรือความเป็นประชาธิปไตยของประเทศเลย คนไทยบางส่วนเห่อของฝรั่ง คิดว่าของฝรั่งเป็นสิ่งที่ประเสริฐเลิศเลอ และจำเป็นต้องเลียนแบบ แต่ผมอยากให้คนไทยพิจารณาถึงสิ่งที่ในหลวงทรงทำให้กับประชาชนของพระองค์ด้วยครับ ว่าท่านอุทิศให้มากขนาดไหนซึ่งไม่มีราชวงศ์ใดในโลกปัจจุบันทำได้เท่าท่าน พระราชดำรัสที่ประทานให้แต่ละครั้งก็มีแต่สิ่งดีๆ ลึกซึ้ง และเป็นข้อคิดที่ควรนำไปปฏิบัติ (เช่น “… เราไม่สามารถทำให้คนไทยทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด แต่เราต้องส่งเสริมคนดีให้ปกครองประเทศ เพื่อควบคุมคนไม่ดีไม่ให้กระทำผิด…”) เรามีกษัตริย์ที่ทรงทศพิธราชธรรมอยู่ แล้วทำไมเราจะมี ม. 112 เพื่อป้องกันมิให้ผู้ใดดูหมิ่นหรืออาฆาตมาดร้ายกับในหลวงที่รักและเคารพของเราไม่ได้ล่ะครับ ถ้าคนเหล่านี้เห็นแก่ประโยชน์ของประเทศชาติจริง ทำไมไม่ไปดิ้นรนในการผลักดันให้มีกฎหมายควบคุมการคอรัปชั่นที่รุนแรงมากขึ้นล่ะครับ เพราะใครๆ ก็รู้ว่าการคอรัปชั่นเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย ณ ขณะนี้ ทีนักการเมืองจะยกเลิกกฎหมายที่เกี่ยวกับการยุบพรรคเมื่อมีผู้บริหารพรรคกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง คนเหล่านี้กลับไม่เห็นทำอะไร (ถ้าพรรคการเมืองหาผู้บริหารพรรคที่ไม่กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งได้ แล้วจะหาผู้สมัคร สส. ที่ดีได้อย่างไร มันก็ไม่ควรจะให้เป็นพรรคการเมืองแล้วครับ) จริงๆ แล้วการคงอยู่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทยขึ้นอยู่กับศรัทธาของประชาชนครับ เมื่อไรประชาชนเสื่อมศรัทธา การดำรงอยู่ของสถาบันกษัตริย์ก็จะกลายเป็นในลักษณ์ของสัญญลักษณ์ไปเองหล่ะครับ เพราะอำนาจตามกฎหมายของสถาบันกษัตริย์มีอยู่อย่างจำกัด ถ้าผมจำไม่ผิด ขนาดกฎหมายที่ในหลวงไม่ทรงลงพระปรมาภิไธยในช่วงเวลาที่กำหนดไว้ รัฐสภาไทยยังสามารถนำมาโหวตลงคะแนน และถ้าได้คะแนนเสียงข้างมาก ก็นำมาประกาศใช้ได้ทันทีเลยหนิครับ คนไทยมีในหลวงที่ทรงทศพิศราชธรรมซึ่งประเทศอื่นๆไม่มี แทนที่จะรักษาไว้ กลับพยายามล้มล้างออกให้เหมือนกับประเทศที่เขาไม่มี เพื่ออะไรครับ”

เรื่องที่สอง หลังจากที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกมาเปิดเผยถึงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ 19 มีนาคม 2556 ที่ผ่าน โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบและให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินตราต่างประเทศจำนวน 2 ล้านล้านบาท ในร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท เพื่อนำเงินมาลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ภายใต้ยุทธศาสตร์และแผนงานที่กำหนดไว้

อย่างไรตาม รายงานข่าวระบุว่า นายกิตติรัตน์ชี้แจงถึงเรื่องการออก พ.ร.บ.เงินกู้ฯ ดังกล่าวว่า จะเป็นการลงทุนในด้านการขนส่ง ซึ่งจะทำให้เกิดการประหยัดพลังงานและพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน โดยมีความครอบคลุมใน 5 เรื่อง ได้แก่

1. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งด้วยระบบราง ใช้งบ 1.185 ล้านล้านบาท
2. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบขนส่งทางบก ใชังบ 4.29 แสนล้านบาท
3. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบขนส่งทางน้ำ ใช้งบ 1.26 แสนล้านบาท
4. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบขนส่งทางอากาศ ใช้งบ 66,989 ล้านบาท
5. โครงสร้างพื้นฐานด้านอื่นๆ ใช้งบ 392,786 ล้านบาท

ภาพประกอบเรื่อง  ที่มาภาพ: https://www.facebook.comphoto.phpfbid=491827294206038&set=a.173284956060275.51156.173064882748949&type=1&theater
ภาพประกอบเรื่อง ที่มาภาพ: https://www.facebook.comphoto.phpfbid=491827294206038&set=a.173284956060275.51156.173064882748949&type=1&theater

พร้อมกับยืนยันว่า หนี้สาธารณะไม่เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี และสำหรับการชำระหนี้ จะมีการส่งให้รัฐสภาพิจารณา โดยใน 10 ปีแรกที่ยังเป็นการลงทุนก่อสร้างจะใช้หนี้เฉพาะส่วนที่เป็นดอกเบี้ย ไม่ใช้หนี้ส่วนเงินต้น ส่วนในปีที่ 11 เป็นต้นไป จะใช้หนี้ในส่วนของเงินต้นปีละ 20,000 ล้านบาท เมื่อเงินต้นน้อยลง ดอกเบี้ยก็จะน้อยลง ทำให้การใช้หนี้ในระยะยาวค่อยๆ หมดเร็วขึ้น ซึ่งคาดว่าจะชำระเงินหมดก่อน 50 ปี ในขณะทรัพย์สินที่สร้างมาจะอยู่กับประเทศไปอีก 100 ปี พร้อมกันนี้ นายกิตติรัตน์ยังมีการยืนยันต่อสื่อมวลชนว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้มีมาตรฐานสูงสุดเท่าที่เคยมีมาอีกด้วย

ทั้งนี้ หลังจากมีข่าวการนำเสนอ พ.ร.บ.กู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท นี้ออกมา ทาง “นิด้าโพล” ของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “รัฐบาลกับการกู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท” ซึ่งผลการสำรวจพบว่า ประชาชนร้อยละ 51.56 เห็นด้วยกับการกู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท ของรัฐบาล เพื่อการปรับโครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภค ระบบคมนาคมการขนส่งทั่วประเทศ โดยมีเหตุผลว่า เพื่อเป็นการช่วยการพัฒนาประเทศชาติ และต้องการเห็นระบบการคมนาคมขนส่งที่ดีขึ้นในประเทศประเทศไทย รองลงมาร้อยละ 35.07 ไม่เห็นด้วย เพราะเป็นวงเงินจำนวนค่อนข้างมาก ควรนำไปพัฒนาเรื่องอื่น อีกทั้งเป็นการเพิ่มหนี้สาธารณะต่อคน และอาจจะเป็นช่องทางของการเกิดคอร์รัปชันในประเทศได้ และร้อยละ 13.37 ยังไม่แน่ใจต่อเหตุผล

นอกจากนี้ ทางนิด้าโพลยังได้ทำการตั้งคำถามสำรวจความคิดเห็นว่า มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการทุจริต ในโครงการกู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท หรือไม่ พบว่าประชาชนร้อยละ 74.78 ระบุว่า มีความเป็นไปได้ เพราะเป็นงบประมาณจำนวนค่อนข้างมาก และน่าจะมีเป็นปกติอยู่แล้ว เพราะเป็นการเอื้อประโยชน์แอบแฝงอยู่ มีเพียงร้อยละ 6.41 เท่านั้นที่ระบุว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะเชื่อว่ารัฐบาลน่าจะมีมาตรการที่รัดกุมในการบริหารโครงการและมีการเคร่งครัดในการตรวจสอบเป็นอย่างดี และร้อยละ 18.82 ยังไม่แน่ใจ

“สุสานตอหม้อตามทางรถไฟ ค่าโง่ทางด่วน
สิ่งก่อสร้างต่างๆที่รัฐบาลทั้งเก่าและใหม่ อนุมัติสร้างเอาไว้แต่ไร้ประโยชน์ใช้สอย
ไม่ได้ขัดขวางการสร้างโน่นสร้างนี่ แต่ถ้าเอาเศรษฐกิจพอเพียงของพ่อมาใช้
ประเทศไทยและเมืองหลวง ไม่จำเป็นต้องเจริญเติบโตแบบฮวบฮาบ
ค่อยๆเป็นค่อยๆไปอย่างพอเพียง ไม่ต้องกลัวว่าจะตามไม่ทันประเทศอื่นๆ
ความเจริญสิ่งปลูกสร้างเกิดขึ้นได้แต่ก็ทรุดโทรมลงได้ สุดท้ายหวลคืนสู่ธรรมชาติ”

“อย่าไปกลัวกับการลงทุนรถไฟฟ้าความเร็วสูง ประชาชนส่วนมากเขาต้องการเขารอกันมากี่ปีแล้ว พวกคุณไม่ต้องมาขัดขวาง ยอมรับเสียงที่มาจากประชาชนบ้างนะ”

“จะกู้อะไรกันนักหนาคะท่าน ไฟเขียวเนี่ยถามประชาชนที่เสียภาษีบ้างมั๊ยคะ ว่าให้ไฟเขียวด้วยรึเปล่า ต้องให้พวกเราแบกรับภาระหนี้กับท่านมันเหมาะมั๊ยคะ โครงการในฝันพันแปดแต่ไม่เห็นว่ามันจะพัฒนาไปอย่างที่พูดเลย เข้ามาพัฒนาประเทศให้เจริญกันหรือพัฒนาเงินเข้ากระเป๋าพวกท่านกันคะ???”

“เอาอีกแล้วครับท่าน เป็นหนี้กันอีกทั้งประเทศ นโยบายกู้เงินนี่ เห็นชอบกันง่ายจัง แบ่งๆๆไปพัฒนาอย่างอื่นกันบ้างครับท่าน มีแต่พัฒนาเรื่องระบบขนส่งกันเท่านั้นเหรอครับ หรือ ยอดเงิน มันสูงเปอร์เซนต์มันเย่อะ ? ใช่ไหมครับท่าน ประหยัดพลังงาน สวนทางกับรถ คันแรก เราประชาชน งง ดีจังครับท่าน”

“จะเอาเงินกู้มาทำไมครับ เอา ปตท มาเป็นของหลวงพอ ปตท ได้รายปี 3.xx ล้าน ล้าน บาท แต่ รัฐได้ปันผลแค่ 1.xx ล้าน ล้าน บาท ถ้าเข้าหลวงได้เต็ม ๆ 3.xx ล้าน ล้าน บาท ไม่ต้องไปกู้ใคร”

“มาร์คจัดมาแล้ว 8 แสนล้าน (คนด่ากันตรึม) ปูจะจัดมั่ง 2.2 ล้านล้าน (เคลื่อนไหวเล็กน้อย) รวม 3 ล้านล้าน (จมดิ่งแน่) หาร 75 ล้านคน (เสียภาษีจริงกี่คนไม่รู้) ตกหัวละเท่าไหร่? นี่ยังไม่รวมดอกเบี้ย แค่คิดก็เพลียแล้ว เราจะตามไซปรัสไปเร็วๆ นี้หรือป่าว? ไม่ขัดขวางการพัฒนาแต่ต้องดูศักยภาพของประเทศกันด้วยนะครับ มว่าสามารถใช้หนี้กันได้ไหม?”

เรื่องที่สาม เป็นเหตุร้ายที่เกิดขึ้นอย่างง่ายดายในสังคมเมือง เมื่อผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ประจำศาลอาญา นายสุวัฒน์ ปัญจวงศ์ อายุ 29 ปี ถูกคนร้ายใช้มีดปาดคอจนได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อนชิงโทรศัพท์มือถือแล้วหลบหนีไป โดยเหตุการณ์นี้เกิดภายในซอยรัชดาภิเษก 36 หรือซอยเสือใหญ่อุทิศ อีกทั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญแบบนี้ เพราะประชาชนในซอยต่างยืนยันว่าเกิดเหตุวิ่งราวเช่นนี้แทบทุกวัน เพียงแต่อาจไม่เป็นข่าวโด่งดังมาก โดยก่อนหน้านี้ นักร้องแห่งค่ายเคพีเอ็น นายธรรศภาคย์ ซี หรือบี้ อายุ 20 ปี และ นายอนุรักษ์ บุญเพิ่มพูน หรือบอมบ์ อายุ 25 ปี ก็ถูกคนร้ายตีด้วยไม้เบสบอลจนได้รับบาดเจ็บก่อนทำการชิงทรัพย์ในซอยนี้เช่นกัน

ล่าสุด ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุชิงทรัพย์และปาดคอนายสุวัฒน์ ผู้สื่อข่าวจากหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ได้แล้ว ทราบชื่อคือ นายศรัณ ชูนิ่ม หรืออ็อป อายุ 22 ปี และนายปรีชา วารารัมย์ หรือบอม อายุ 19 ปี โดยทั้งสองให้การรับสารภาพว่า ปกติจะก่อเหตุเฉพาะกับผู้หญิง แต่ในวันดังกล่าวไม่พบเหยื่อที่เป็นผู้หญิง และได้เคยก่อเหตุลักษณะดังกล่าวมาแล้วหลายครั้ง ทั้งในพื้นที่บางใหญ่และบางบัวทอง จ.นนทบุรี

โดยหลังจากเกิดเหตุการณ์อันตรายเช่นนี้ ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาล จึงได้เปิดเผย 10 จุดอันตรายในกรุงเทพมหานคร ที่เสี่ยงต่อการโดนชิงทรัพย์ เพื่อให้ประชาชนได้มีความระมัดระวังในการสัญจรเพียงลำพัง ดังนี้
1. ซอยลาดพร้าว 101 ท้องที่ สน.ลาดพร้าว จุดนั้นเป็นซอยเปลี่ยวและมีพื้นที่รกร้าง คนร้ายจึงมักก่อเหตุขึ้นบ่อยครั้ง
2. ซอยลาดพร้าว 107 ท้องที่ สน.ลาดพร้าว แม้จะอยู่ย่านกลางเมือง และเป็นที่พักอาศัยของประชาชน แต่ในเวลากลางคืนนั้น ค่อนข้างเปลี่ยว
3. ซอยสุขุมวิท 105 ท้องที่ สน.บางนา ในซอยดังกล่าวมีป่าละเมาะปกคลุม 2 ข้างทาง ทำให้เป็นช่องทางในการอำพรางคดี และหลบหนีของคนร้ายได้เป็นอย่างดี
4. พหลโยธินซอย 52 ท้องที่ สน.บางเขน ถึงแม้ว่าจุดนี้จะอยู่ใจกลางเมือง แต่ก็มักมีคดีอาชญากรรมเกิดขึ้นเช่นกัน
5. ซอยสุภาพงษ์ ท้องที่ สน.พระโขนง
6. ซอยอ่อนนุช ท้องที่ สน.พระโขนง
7. ซอยเฉลิมพระเกียรติ 14 ท้องที่ สน.บางนา เป็นย่านชานเมือง ซึ่งคนร้ายมักตระเวนขี่รถจักรยานยนต์ออกหาเหยื่อ
8. อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ท้องที่ สน.พญาไท
9. สนามหลวง ท้องที่ สน.ชนะสงคราม
10. ตลาดรามอินทรา กิโลเมตรที่ 2 ท้องที่ สน.บางเขน

“ข้าวของแพงทุกสิ่งโจรร้ายจะเพิ่มเป็นเงาหลอกหลอนทุกวันนี่การใช้ชีวิตจะยากลําบากเพิ่มพูนทวียากเข็น”

“น่ากลัวมาก เฉียดตายแค่สองนาที มันตั้งใจฆ่าให้ตาย คามือ มัน ต้องโทษให้หนักๆ สาหัส”

“ถึงสถานการณ์จริงใครก็ไม่อาจจะเสี่ยงเพื่อสู้ สุดท้ายมันก็ได้ไปอยู่ดี ได้แต่เอกสารการแจ้งความมาเตือนสติ เหตุการณ์จะไม่เป็นเช่นนี้ถ้าไม่ตกเป็นข่าว หรือ เจอกับของจริง เพราะฉะนั้นเราจึงต้องดูแลตนเองดีที่สุด อย่าคิดว่ากรุงเทพมหานคร จะเป็นเมืองน่าอยู่เสมอ”

“ในซอยเสือใหญ่มีโต๊ะสนุ๊กและบ่อนของตำรวจ สน.พหลแท้ๆ วันก่อนหน้าคอนโดเราก็มี ผู้ชายโดนจี้ไม่รู้ว่าเป็นโจรคนเดียวกันป่าว”

“ทุกๆวันนี้ มีแต่ข่าวฆ่า ข่มขืน ทุกๆวันเลย ควรแก้กฏหมายใหม่ได้แล้วนะครับ ผมเป็นคนนึงที่ไม่อยากให้เรื่องพวกนี่เกิดกับคนที่ผมรักและทุกคน”

“เดี๋ยวนี้ใช้โทรศัพท์เเพงก็อันตราย ใส่ทองก็อันตราย สะพายกระเป๋าก็โดนจี้ เฮ้อเมืองไทย เปลี่ยนกฎหมายให้เหมือนต่างประเทศเถอะ ขมขืนประหารชีวิต ขโมยของตัดมือ ไม่งั้นคนดีๆจะตายห่าหมดเหลือเเต่คนเลวๆ ไว้สืบทอดสายพันธ์”

เรื่องที่สี่ ความเลวร้ายของการใช้โซเชียลมีเดียในด้านมืด เมื่อแก๊งวัยรุ่น ชื่อ “แก๊งวัดต้นสน” ในจังหวัดอ่างทอง มีการเปิดเฟซบุ๊กเพื่อทำการค้าสิ่งผิดกฎหมาย ทั้งยาเสพติดและอาวุธปืน โดยมีการโพสต์ภาพการขายยาบ้าและอาวุธลงในเฟซบุ๊กอย่างชัดเจน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการแทรกซึมและล่อซื้อขายผ่านเฟซบุ๊ก ก่อนจะรวบตัวได้ในที่สุด

ก่อนหน้านี้ เมื่อประมาณเดือนตุลาคม 2554 ก็เคยมีกรณีการค้ายาบ้าโดยใช้ช่องทางเฟซบุ๊กมาแล้ว ซึ่งเป็นกรณีของนักศึกษามหาวิทยาลัยของรัฐชื่อดังในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเมื่อตำรวจได้เบาะแสก็ได้แทรกซึมโดยการสนทนาผ่านกล่องข้อความในเฟซบุ๊ก แต่ก็ต่างกับครั้งนี้ ที่แก๊งวัดต้นสนโพสต์รูปและข้อความให้เห็นอย่างโจ่งแจ้ง เรื่องนี้ถือว่าชาวโซเชียลให้ความสนใจกันมาก

ภาพประกอบ ที่มาภาพ: http://news.springnewstv.tv19859
ภาพประกอบ ที่มาภาพ: http://news.springnewstv.tv19859

“ทำเพื่ออะไรก็ย่อมรู้ดีนะครับ ตำรวจจับส่งต่อเรือนจำไปเจอเอเย่นต์ส่งของรายใหญ่ในเรือนจำต่อไป เขาทำงานเป็นระบบครับ”

“ไปลงผิดที่ดันไปลงใน FB ที่ผ่านมาเขาไปลงใน YT แล้วไม่ช้าก็ดัง แถมหากล่ำลาเข้าสู่รสพระธรรมก็จะได้เป็น HERO ได้ป็นคนดีของสังคมไป เพราะเดียวนี้สังคมส่วนหนึ่งเขาคิดแบบกลับหัว วัฏจักรที่กลับไปสู่ยุคมืด สรรพสิ่งกำลังจะกลับกลาย”

“ยาบ้า ทำลายลูกหลาน ทำลายสังคมและทำลายประเทศชาติ พวกนี้เลวมาก”

“แก๊งนี้เยาวชนเกือบทั้งแก๊ง แต่มีลูกพี่ใหญ่อยู่แถวนั้นแหละ ตำรวจต้องจับให้ได้นะ”

“ขายผ่านระบบโซเชียวเน็ตเวิร์คเลยหรอ ทันสมัยวจริงนะ พวกนี้”

“พวกบ่อนทำลายชาติ”

เรื่องที่ห้า เป็นคลิปวิดีโอน่ารักๆ ที่ถูกโพสต์โดยแฟนเพจเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า “สมาคมนิยมสาวน่ารักแห่งประเทศไทย (สสนท)” กับคลิปที่มีการบรรยายใต้ภาพว่า “วันนี้ต้องปัดเยอะหน่อยนะคะ เพราะต้องไปโรบินสัน 5555555555555 ตอนจบโดนแม่ตีปะเนี่ย ได้ยินเสียง” ถูกโพสต์เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2556 เวลา 15:40 น. ชมคลิป

โดยเนื้อหาภายในคลิป ถ้าผู้ที่อยู่ในสังคมโซเชียลเน็ตเวิร์กจะรู้จักอาชีพหนึ่งที่เรียกว่า “บล็อกเกอร์” ที่ทำการรีวิว ผลิตภัณฑ์สินค้า บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ รวมทั้งการสอนการแต่งหน้า ซึ่งภายในคลิปน่ารักนี้ เป็นการเลียนแบบรีวิวสอนแต่งหน้าโดยบล็อกเกอร์ซึ่งเป็นเด็กหญิงอายุน้อยคนนี้ แม้ฝีมือการแต่งหน้าและเทคนิคความรู้เรื่องการแต่งหน้ายังมีไม่มาก แต่ขอบอกได้เลยว่า ลีลาการพูดจาของหนูน้อยคนนี้ สุดยอดจริงๆ

ที่มาภาพ : https://www.facebook.comthailandtorrent
ที่มาภาพ: https://www.facebook.comthailandtorrent

“เด็กทุกคน เค้ามีจินตนาการของเค้า โลกของเค้า ตอนเราเป็นเด็ก เราอาจจะเคยทำอะไร ก๋ากั่นกว่านี้ ก็ได้เพียงแต่ สังคมยังปิด ถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอไม่ได้ ไม่แน่นะคะ เด็กคนนี้ โตขึ้นเค้าอาจจะเป็น เมคอัพอาร์ติส มือหนึ่งของโลก ก็เป็นได้นะคะ”

” นั่งดูแล้วบอกตามตรง น้องเขาเก่งมากๆ น้องเขาสามารถรู้หมดเลยว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง และสามารถบอกวิธีต่างๆได้ละเอียดรู้จัก ยี่ห้อดังๆ ด้วย แต่เนื่องด้วยเป็นเด็กอาจจะยังขาดความระมัดระวัง กลัวโดนทิ่มตาสะมากกว่า”

“เด็กตัวแค่นี้แค่เขียนหนังสือให้สวยยังยากเลยนะ ทักษะการใช้มือใช้นิ้วยังไม่เหมือนผู้ใหญ่ อย่าไปดูที่เส้นสายลายมือที่น้องเค้าเขียนเลย มันเป็นไปตามวัยตามธรรมชาติ แต่ดูที่พรสวรรค์และใจรักดีกว่ามั๊ย เค้ามีความพยายามและมีสมาธิทำไรได้ขนาดนี้ถือว่าเก่งมากอ่ะ เก็บรายละเอียดและเรียนรู้จากผู้ใหญ่ได้เยอะมาก เก่งกว่าสาวๆ บางคนด้วยซ้ำนะ”

“เก่งอ่ะ ถ่ายคลิปเอง ลงเอง ทำเอง เจ๋งจริวตัวแค่เนี่ย 55+”

“บอกได้คำเดียวว่าสุดยอด เชื่อว่าทุกคนจะนั่งดูจนจบ”

“ชิดซ้ายไปเลยพวกที่บอกว่าตัวเองขั้นเทพทั้งหลาย เก่งมาก ความจำดี กล้าแสดงออก”

“ใครแต่งหน้าไม่เป็นดูหนูเป็นตัวอย่างนะคะ ขนตาต้องงอน ไม่งอนไม่ได้!!!! 55555 น่ารักจัง”