ThaiPublica > เกาะกระแส > กรมการค้าต่างประเทศเตรียม 4 มาตรการ รับมือสหรัฐฯ ตัด GSP

กรมการค้าต่างประเทศเตรียม 4 มาตรการ รับมือสหรัฐฯ ตัด GSP

23 มกราคม 2020


นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ

คต.เตรียม 4 มาตรการ รับมือสหรัฐฯ ตัด GSP – เผย 11 เดือนแรกปี 62 ส่งออกใช้สิทธิ FTA – GSP กว่า 6.5 หมื่นล้านเหรียญ

นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยการใช้สิทธิประโยชน์สำหรับการส่งออกภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) และภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) ระหว่างเดือนมกราคม – พฤศจิกายน 2562 โดยมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ รวมอยู่ที่ 65,642.88 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์ฯ อยู่ที่ร้อยละ 75.98 ลดลงที่ร้อยละ 4.14 แบ่งเป็นมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) 60,790.30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) 4,852.57 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

การใช้สิทธิประโยชน์ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2562 (มกราคม – พฤศจิกายน) ภายใต้ความตกลง FTA ของไทยจำนวน 11 ฉบับ จาก FTA ที่ไทยมีรวมทั้งหมด 13 ฉบับ เนื่องจากไม่คิดรวมความตกลงอาเซียน-ฮ่องกงที่เพิ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2562 และ ไทย-นิวซีแลนด์ ที่ใช้ระบบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของผู้ส่งออก (Self-declaration) มีมูลค่า 60,790.30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นร้อยละ 77.26 ของมูลค่าการส่งออกรวมในรายการสินค้าที่ได้รับสิทธิฯ ซึ่งมีมูลค่าอยู่ที่ 78,679.96 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สอดคล้องกับทิศทางการส่งออกที่ลดลงร้อยละ 2.8 ซึ่งยังคงลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา อยู่ที่ร้อยละ 5.52 โดยยังคงมีสาเหตุสำคัญมาจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวอันเนื่องมาจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน รวมถึงปัจจัยด้านค่าเงินบาทที่ยังคงแข็งค่า

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ภายใต้ FTA ในภาพรวมจะลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่ยังมีบางตลาดที่มีการขยายตัวของอัตราการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ได้แก่

    1) เปรู ขยายตัวดีที่ร้อยละ 31.96 มีการส่งออกเพิ่มขึ้นในสินค้า เช่น ถุงมือใช้ในทางศัลยกรรม รถจักรยานยนต์ความจุกระบอกสูบ 250-500 ลบ.ซม. มอนิเตอร์และเครื่องฉาย เป็นต้น

    2) จีน ขยายตัวที่ร้อยละ 2.17 มีการส่งออกเพิ่มขึ้นในสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ ทุเรียนสด ผลไม้ประเภทฝรั่ง มะม่วง และมังคุดสดหรือแห้ง เป็นต้น และ

    3) นิวซีแลนด์ ขยายตัวที่ร้อยละ 1.77 มีการส่งออกเพิ่มขึ้นในสินค้า เช่น เครื่องประดับที่ทำจากเงิน แผ่นและแถบทำด้วยอะลูมิเนียม แผ่นฟิล์มทำด้วยพลาสติก เป็นต้น สำหรับตลาดที่มีการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ภายใต้ FTA ลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ อาเซียนลดลงร้อยละ 8.27 ออสเตรเลียลดลงร้อยละ 15.00 ชิลีลดลงร้อยละ 29.19 อินเดียลดลงร้อยละ 3.33 ญี่ปุ่นลดลงร้อยละ 0.81 และเกาหลีลดลงร้อยละ 6.12

ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2562 ตลาดที่ไทยส่งออกโดยมีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลง FTA สูงสุด 5 อันดับแรกยังคงเป็น

    1) อาเซียนมูลค่า 22,716.49 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
    2) จีนมูลค่า 16,566.45 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
    3) ออสเตรเลียมูลค่า 7,285.75 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
    4) ญี่ปุ่นมูลค่า 6,971.05 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และ
    5) อินเดียมูลค่า 3,963.52 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

กรอบความตกลงการค้าเสรีที่มีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์ฯ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่

    1) ไทย-ชิลี ร้อยละ 100
    2) ไทย-เปรู ร้อยละ 93.28
    3) อาเซียน-จีน ร้อยละ 90.94
    4) ไทย-ญี่ปุ่น ร้อยละ 88.88 และ
    5) อาเซียน-เกาหลี ร้อยละ 82.86

สำหรับรายการสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ รถยนต์บรรทุก ผลิตภัณฑ์ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ ทุเรียนสด น้ำตาลจากอ้อย และผลไม้ประเภทฝรั่ง มะม่วง และมังคุดสดหรือแห้ง

ส่วนการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป หรือ GSP ระหว่างเดือนมกราคม – พฤศจิกายน 2562 ไทยยังคงได้รับสิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบ GSP จำนวน 4 ระบบ คือ สหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ รัสเซียและเครือรัฐเอกราช และนอร์เวย์ โดยมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบ GSP 11 เดือนแรกอยู่ที่ 4,852.57 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ คิดเป็นร้อยละ 62.87 ของมูลค่าการส่งออกรวมในรายการสินค้าที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางการค้าซึ่งมีมูลค่า 7,718.52 ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 17.44

  • อีไอซี ประเมินการส่งออกไทยกำลังผ่านพ้นจุดต่ำสุด
  • สำหรับ 11 เดือนแรกของปี 2562 ตลาดที่ไทยส่งออกโดยมีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯมากที่สุดคือ สหรัฐอเมริกา มีมูลค่าการใช้สิทธิอยู่ที่ 4,413.48 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีอัตราการใช้สิทธิฯ ร้อยละ 67.03 ของมูลค่าการส่งออกที่ได้รับสิทธิฯ ซึ่งมีมูลค่า 6,583.97 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมาร้อยละ 11 ถัดมาคือ สวิตเซอร์แลนด์ มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ อยู่ที่ 283.27 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีอัตราการใช้สิทธิฯ ที่ร้อยละ 35.49 ของมูลค่าการส่งออกที่ได้รับสิทธิ GSP ซึ่งมีมูลค่า 798.10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่ร้อยละ 2.27 ในส่วนประเทศรัสเซียและเครือรัฐ มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ อยู่ที่ 129.30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีอัตราการใช้สิทธิฯ ที่ร้อยละ 80.77 ของมูลค่าการส่งออกที่ได้รับสิทธิ GSP ซึ่งมีมูลค่า 160.10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่ร้อยละ 15.14 และนอร์เวย์ มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ อยู่ที่ 25.39 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีอัตราการใช้สิทธิฯ ที่ร้อยละ 100 ของมูลค่าการส่งออกที่ได้รับสิทธิ GSP ซึ่งมีมูลค่า 25.23 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่ร้อยละ 35.99 สำหรับสินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ภายใต้ระบบ GSP สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ส่วนประกอบเครื่องปรับอากาศ ถุงมือยางอื่นๆ อาหารปรุงแต่งอื่นๆ น้ำผลไม้ และเลนส์แว่นตา

    ในปี 2562 ที่ผ่านมา ประเทศไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายต่างๆ อาทิ สงครามการค้า ปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่า รวมไปถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการที่สหรัฐฯ ประกาศระงับสิทธิ GSP สินค้าไทยบางรายการ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2562 ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาคการค้าระหว่างประเทศต่อเนื่องถึงปี 2563 อย่างไรก็ดี สำหรับกรณีสหรัฐฯ ประกาศระงับสิทธิ GSP สินค้าไทยบางรายการ ควบคู่ไปกับการเจรจากับฝ่ายสหรัฐฯ กรมฯ ได้ส่งแบบสอบถามเพื่อสำรวจผลกระทบและมาตรการบรรเทาที่ภาคเอกชนประสงค์จะได้รับความช่วยเหลือ และสนับสนุนจากภาครัฐ

    รวมถึงได้จัดประชุมหารือเพื่อเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องแล้ว 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2562 เพื่อติดตามผลกระทบต่อการส่งออกไทย โดยมีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน และครั้งที่ 2 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2563 เพื่อหารือมาตรการรองรับผลกระทบต่อผู้ส่งออกที่มีการพึ่งพาสิทธิ GSP โดยในการประชุมครั้งที่ 2 นี้ กรมฯ ได้ประสานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อเชิญผู้แทนกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ เช่น อาหารปรุงแต่ง เซรามิก เคมีภัณฑ์ เครื่องหนังฟอก กลุ่มไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มเหล็ก เข้าร่วมประชุมฯ และแจ้งข้อมูลเพื่อให้กรมฯ และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องได้รับทราบข้อมูลผลกระทบและความต้องการที่แท้จริงของภาคเอกชน ซึ่งภาครัฐได้เตรียมมาตรการรองรับทั้งระยะสั้นและระยาวที่สามารถให้การสนับสนุนและ สรุปได้ 4 แนวทาง ได้แก่

      1) ด้านการเงิน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและเข้าถึงแหล่งเงินทุน
      2) ด้านตลาด อาทิ เร่งทำข้อตกลงทางการค้าโดยเฉพาะกับสหภาพยุโรป และ RCEP พร้อมสนับสนุนกิจกรรมการขยายตลาดใหม่โดยการจัดแสดงสินค้าในต่างประเทศ การจัดคณะนักลงทุน นักธุรกิจร่วมกิจกรรมเจรจาธุรกิจ (Business matching) รวมถึงการสนับสนุนในลักษณะพี่เลี้ยงให้คำปรึกษาในการเข้าสู่ตลาดใหม่
      3) ด้านการอำนวยความสะดวก อาทิ ลดต้นทุนการผลิต ลดขั้นตอนและค่าใช้จ่ายในการนำเข้า-ส่งออกสินค้า และ
      4) ด้านการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและสร้างนวัตกรรม เช่น ส่งเสริมการลงทุน R&D สนับสนุนการนำงานวิจัยมาต่อยอดเชิงพาณิชย์ และสร้าง Startup ผู้ประกอบการสินค้านวัตกรรมในตลาดสหรัฐฯ ในระยะต่อไป กรมการค้าต่างประเทศจะดำเนินการร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการรองรับผลกระทบในรายละเอียดเพื่อกำหนดมาตรการช่วยเหลืออย่างมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อภาคเอกชนอย่างแท้จริงต่อไป