ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “ ไม่พลิกโผ คิงพาวเวอร์คว้าดิวตี้ฟรีดอนเมือง“ และ “ ฟิลิปปินส์แบน 2 ส.ว.สหรัฐ ขู่ยกเลิกฟรีวีซ่าอเมริกัน”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “ ไม่พลิกโผ คิงพาวเวอร์คว้าดิวตี้ฟรีดอนเมือง“ และ “ ฟิลิปปินส์แบน 2 ส.ว.สหรัฐ ขู่ยกเลิกฟรีวีซ่าอเมริกัน”

29 ธันวาคม 2019


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 21-27 ธ.ค. 2562

  • ไม่พลิกโผ คิงพาวเวอร์คว้าดิวตี้ฟรีดอนเมือง
  • ศาลฎีกาจำคุก “เบญจา หลุยเจริญ” คดีช่วยเลี่ยงภาษีหุ้นชิน
  • ยธ.-สธ.ลงนามร่วมปลด “กระท่อม-กัญชา” พ้นยาเสพติดให้โทษ มั่นใจ ผ่าน ครม.แน่
  • ศิริราชคิดค้นวัคซีนภูมิแพ้ไรฝุ่นสำเร็จชาติแรกในอาเซียน ประหยัดค่านำเข้า 360 ล้านบาท
  • ฟิลิปปินส์แบน 2 ส.ว.สหรัฐ ขู่ยกเลิกฟรีวีซ่าอเมริกัน

ไม่พลิกโผ คิงพาวเวอร์คว้าดิวตี้ฟรีดอนเมือง

ที่มาภาพ : http://www.kingpower.com/

เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ รายงานว่า ในการประชุมคณะกรรมการ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ครั้งที่ 15/2562 ในวันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม 2562 ณ สำนักงานใหญ่ ทอท.ซึ่งมีนายประสงค์ พูนธเนศ ประธานกรรมการ ทอท. เป็นประธาน ที่ประชุมมีมติอนุมัติผลการคัดเลือกการให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) โดยให้ บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด เป็นผู้ได้รับสิทธิประกอบกิจการฯ

ทั้งนี้ ทอท.ได้ออกประกาศเชิญชวนคัดเลือกผู้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ทดม.ระหว่างวันที่ 24 ตุลาคม – 8 พฤศจิกายน 2562 โดยมีผู้สนใจซื้อเอกสาร รวมทั้งสิ้น 2 ราย ได้แก่ บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด และบริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด และเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2562 ทอท. กำหนดให้มีการยื่นข้อเสนอการดำเนินงาน โดยมีผู้มายื่นข้อเสนอเพียงรายเดียว ได้แก่ บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด นั้น เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2562 คณะกรรมการพิจารณารายได้ของ ทอท.ได้เห็นชอบตามที่คณะกรรมการพิจารณาผลการคัดเลือกผู้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ทดม.เสนอ โดยให้ บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด เป็นผู้ได้รับสิทธิประกอบกิจการฯ ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง

โดยระยะเวลาสัมปทานใหม่นี้จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 – 31 มีนาคม 2576 เป็นระยะเวลา 10 ปี 6 เดือน ซึ่งผู้ได้รับสิทธิประกอบกิจการฯ ได้เสนอค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำรายปี (Minimum Guarantee) ปีแรก เป็นจำนวนเงินกว่า 1.5 พันล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ซึ่งสูงกว่าประมาณการรายได้ที่ ทอท.คาดการณ์ว่าจะได้รับในปีสุดท้าย และสูงกว่าราคาที่ ทอท.คาดหวังไว้ ทั้งนี้ ทอท.คาดว่าจะลงนามในสัญญากับบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ภายในเดือนมกราคม 2563

ศาลฎีกาจำคุก “เบญจา หลุยเจริญ” คดีช่วยเลี่ยงภาษีหุ้นชิน

วันที่ 27 ธ.ค. 2562 เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า ที่ห้องพิจารณา 703 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 26 ธ.ค. ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ฟ้องนางเบญจา หลุยเจริญ อดีต รมช.คลัง สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น.ส.จำรัส แหยมสร้อยทอง อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย กรมสรรพากร น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย

กรมสรรพากร นายกริช วิปุลานุสาสน์ อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย กรมสรรพากร และ น.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ คนใกล้ชิดเลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยที่ 1-5 ฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ ตาม ป.อาญา ม.157

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยร่วมกันช่วยเหลือนายพานทองแท้ หรือโอ๊ค ชินวัตร และ น.ส.พินทองทา หรือเอม ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาวของนายทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี เลี่ยงเสียภาษีอากร หรือเสียภาษีน้อยกว่าที่จะต้องเสีย ในการซื้อหุ้นชินคอร์ปอเรชั่น เมื่อปี 49 คนละ 164,600,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 1 บาท ขณะที่ราคาตลาดหุ้นละ 49.25 บาท ถือเป็นผู้ได้รับเงินพึงประเมิน ตามประมวลรัษฎากร ม.39 และมีหน้าที่ต้องเสียภาษีของส่วนต่างราคาหุ้น คนละ 7,941,950,000 บาท จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1-4 คนละ 3 ปี ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้เกิดความเสียหายแก่กรมสรรพากร ส่วนจำเลยที่ 5 จำคุก 2 ปี ฐานเป็นผู้สนับสนุนฯ จำเลยทั้งหมดยื่นฎีกา ขอให้ศาลพิจารณาลงโทษสถานเบา

ศาลฎีกาตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 1-4 ในการตอบข้อหารือประเมินภาษี การซื้อขายหุ้น ชินคอร์ปฯ ระหว่างบริษัทแอมเพิลริชกับนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ให้กับจำเลยที่ 5 รับทราบนั้น แอบแฝงเจตนาที่จะช่วยให้นายพาน-ทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ไม่ต้องแจ้งรายได้ที่เป็นส่วนต่างการซื้อขายหุ้นที่ราคาต่ำกว่าทุน เพื่อเลี่ยงภาษีมูลค่า 15,883,900,000 บาท ของนายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทา อีกทั้งฟังได้ว่า การที่จำเลยที่ 5 มีหนังสือแจ้งถามข้อหารือมายังกรมสรรพากร เป็นการวางแผนที่เตรียมไว้ในการขายหุ้นกลุ่มชินคอร์ปฯ ให้กับกลุ่มเทมาเส็ก ประเทศสิงคโปร์ ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเคยวินิจฉัยว่าเจ้าของหุ้นที่แท้จริงคือนายทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 1-4 เป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรระดับสูง เคยวินิจฉัยข้อกฎหมายต่างๆมา ถือเป็นมันสมองของกรมสรรพากร ขณะที่จำเลยที่ 5 เคยทำงานเกี่ยวกับการตรวจสอบบัญชีและตรวจสอบการประเมินภาษี จึงย่อมรู้ดีว่าการมีหนังสือถามข้อหารือดังกล่าว นายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทา สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการยื่นแบบรายการประเมินภาษีได้ หากมีคดีความเกิดขึ้นสามารถนำหนังสือตอบข้อหารือนี้ไปใช้อ้างเพื่อเป็นประโยชน์ได้ ขณะที่ข้อสงสัยในการประเมินภาษีลักษณะดังกล่าวยังไม่เคยมีแนวคำวินิจฉัยของศาลฎีกา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย

ส่วนที่จำเลยทั้ง 5 ขอให้ลงโทษสถานเบาหรือรอลงอาญา ศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำของจำเลยทั้ง 5 คน ตามที่วินิจฉัยถือว่ามีพฤติการณ์ร้ายแรง ไม่สมควรให้รอการลงโทษ แต่เมื่อพิเคราะห์จากคำให้การของจำเลยที่ 1-4 แล้ว เห็นว่ายังมีประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง เห็นควรลดโทษให้คนละ 1 ใน 3 จึงพิพากษาแก้เป็นให้จำคุกจำเลยที่ 1-4 คนละ 2 ปี ส่วนจำเลยที่ 5 คงจำคุกไว้ 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น จำเลยเกือบทั้งหมดมีสีหน้าเคร่งเครียด ส่วนบรรดาญาติๆ ที่มารับฟังคำพิพากษาด้วยต่างร่ำไห้เข้าไปโอบกอดปลอบใจ มีเพียงนางเบญจายังใจแข็งนั่งนิ่งสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีน้ำตา ขณะที่จำเลยที่ 5 ที่มีอายุประมาณ 70 ปี มีอาการป่วย ญาติต้องนำยาประจำตัวมาให้ ก่อนเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คุมตัวจำเลยทั้งหมด โดยแยกผู้ชายไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ส่วนจำเลยผู้หญิงนำไปคุมขังที่ทัณฑสถานหญิงกลาง

ยธ.-สธ.ลงนามร่วมปลด “กระท่อม-กัญชา” พ้นยาเสพติดให้โทษ มั่นใจ ผ่าน ครม.แน่

นายอนุทิน ชาญวีรกูล
นายอนุทิน ชาญวีรกูล

วันที่ 27 ธ.ค. 2562 เว็บไซต์เนชั่นทีวีรายงานว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วย ความร่วมมือ ในการดำเนินการเพื่อยกเลิกพืชกระท่อมจากยาเสพติดให้โทษ และบันทึกข้อตกลงว่าด้วนความร่วมมือในการดำเนินการเพื่อพิจารณายกเลิกพืชกัญชาจากยาเสพติดให้โทษ ร่วมกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐนตรีและรัฐนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อวางรากฐานการศึกษาและวิเคราะห์แนวทางผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น อย่างรอบด้านให้ประเทศไทยสามารถใช้ประโยชน์จากพืชกระท่อมและพืชกัญชาให้มีประสิทธิภาพ โดยมี ศาสตราจารพิเศษ นายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรม นายนิยม เติมศรี เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานภาคีที่เกี่ยวข้อง ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ กระทรวงยุติธรรม

โดย นายสมศักดิ์ บอกว่า วันนี้ถือว่าแสดงถึงเจตนารมณ์ ที่เป็นประโยชน์ทางการแพทย์ และสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ พร้อมช่วยให้ประเทศมีกำลังซื้อ ซึ่งส่วนตัวสนันสนุน รมว.สาธารณสุข ในการนำพืชกระท่อม ออกจากสารเสพติด เพราะเห็นว่า พืชกระท่อมก็เป็นส่วนหนึ่งที่มีการนำเข้า และมีการค้าขายส่งออกในหลายประเทศ โดยสร้างมูลค่ามหาศาล ซึ่งวันถือเป็นประวัติศาสตร์ของประเทศ

ขณะเดียวกัน นายสมศักดิ์ ยอมรับว่า ในอดีตตั้งแต่ปี 2486 ประเทศไทยออกกฎหมาย เพื่อเอื้อบุคคลกลุ่มหนึ่ง ที่เป็นโรงฝิ่น โดยขึ้นบัญชีคนเสพฝิ่น เพื่อต้องการภาษี รวมถึงเพื่อห้ามพืชกระท่อม ซึ่งถือว่ามีประเทศเดียวในโลก แต่วันนี้เริ่มศึกษาในการถอนออกจากสารเสพติด โดยคณะทำงานต้องใช้เวลาอย่างประหยัดในการศึกษา เพื่อไม่ให้เสียโอกาส การลงนามวันนี้ถือเป็นของขวัญให้กับประชาชนเนื่องในโอกาสปีใหม่ นอกจากนี้ ได้ขอความร่วมมือ ส.ส.ในสภาฯ ให้ช่วยกันผลักดัด พร้อมมั่นใจว่า จะผ่านการเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี

ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่ากระทรวงสาธารณสุข และรองนายกรัฐมนตรึ ระบุว่า การแก้ไขกฎหมายใช้กัญชารักษาโรค ได้มุ่งเน้นการแพทย์มากกว่าด้านอื่นๆ ส่วนพืชกระท่อมยังไม่ได้ถูกคุมเท่ากัญชา โดยมีความคล่องตัวในการผลักดันมากกว่า ซึ่งส่วนตัวอยากให้ออกจากการเป็นยาเสพติด และคุ้มครองสิทธิทางการแพทย์ เพื่อความมั่นคงด้านยาของประเทศ แต่ก็ต้องศึกษาวิเคราะห์อย่างละเอียด

จากนั้นภายหลังพิธีลงนาม ทั้งสองรัฐมนตรีได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเพื่อเติม โดยนายสมศักดิ์ระบุว่า ในส่วนของการดำเนินการ นำกระท่อมมาใช้ประโยชน์ จะมีขั้นตอนตามมาว่าจะใช้ได้แค่ไหนอย่างไร ซึ่งการปลดล็อคในช่วงเเรกจะเป็นนโยบายและหลักการ ส่วนเรื่องรายละเอียดจะต้องมีการร่างข้อบังคับขึ้นมา ถึงแนวทางการปฏิบัติ

เมื่อถามว่ากระท่อมจะถูกกฏหมายได้เมื่อไหร่และผู้ที่ถูกดำเนินคดีที่เกี่ยวกับกระท่อมจะมีการนิรโทษกรรมหรือไม่ นายสมศักดิ์ ตอบว่า ในเรื่องของกฏหมายจะเป็นกลไกลของรัฐสภา โดยจะถูกกฏหมายช้า หรือ เร็ว ก็ขึ้นอยู่กับกลไกลนี้ ส่วนการนิรโทษกรรม ยังอยู่ระหว่างการปรึกษาหารือของกระทรวงยุติธรรมว่าจะเดินไปในช่วงไหนอย่างไร

ส่วนนายอนุทิน ยืนยันผลักดันในเรื่องของกัญชาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้สามารถเริ่มใช้ในทาง การเเพทย์ได้บ้างแล้ว เมื่อถามว่า นโยบายกัญชาของพรรคภูมิใจไทย จะไม่สามารถใช้ สันทนาการได้แล้วใช่หรือไม่ นายอนุทิน มองว่า การใช้กัญชาเพื่อการสันทนาการคือการใช้ประโยชน์ เช่น การใช้เป็นส่วนผสมอาหารในครัวเรือน ซึ่งถ้ามีการให้ข้อมูลเรื่องปริมาณการใช้ที่ถูกต้อง ก็จะไม่มีปัญหา เพราะจะเป็นการช่วยลดความเครียด โดยถ้าใช้ในปริมาณที่ปลอดภัย ก็จะไม่มีปัญหา พร้อมยอมรับว่า ไม่ใช่การซื้อขายขายหรือสูบกันบนท้องถนน ซึ่งทุกอย่างต้องอยู่การควบคุมและกำกับดูแล

สำหรับบันทึกข้อตกลงฯ เพื่อยกเลิกพืชกระท่อม และพิจารณายกเลิกพืชกัญชาจากยาเสพติดให้โทษ เป็นการกำหนดขอบเขตความร่วมมือระหว่าง 2 กระทรวง โดยได้พิจารณา เสนอแนะแนวทาง รวมถึงรวบรวมข้อมูลกฏหมายและข้อมูลทางวิชาการเสนอต่อรัฐบาลเพื่อประกอบการเสนอร่างกฎหมายเพื่อการยกเลิกพืชกระท่อมจากยาเสพติด นอกจากนี้ยังศึกษาสภาพปัญหา แนวทางการยกเลิกพืชกัญชาจากกฎหมายเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ อีกทั้งพิจารณา ให้ความเห็นแนวทางการสนับสนุนให้บุคลากรทางการแพทย์และประชาชนใช้ประโยชน์จากพืชกัญชาอย่างถูกต้อง ตลอดจนมาตรการควบคุมที่เหมาะสมกับประเทศไทย

ศิริราชคิดค้นวัคซีนภูมิแพ้ไรฝุ่นสำเร็จชาติแรกในอาเซียน ประหยัดค่านำเข้า 360 ล้านบาท

เว็บไซต์ช่องสามรายงานว่า คณะแพทย์ศิริราชคิดค้นวัคซีนรักษาภูมิแพ้ไรฝุ่น สำเร็จรายแรกในอาเซียน

จากสถานการณ์ของโรคภูมิแพ้ไรฝุ่น ที่มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าจาก 20 ปีก่อน ทีมวิจัย นำโดยรศ นพ.พงศกร ตันติลีปิกร, รศ. ดร. พญ.อัญชลี ตั้งตรงจิต, ผศ. ดร.ณัฐ มาลัยนวล และศูนย์วิจัยไรฝุ่นพยายามคิดค้น วัคซีนโรคภูมิแพ้มานานกว่า 20 ปีด้วยการเพาะเลี้ยงไรฝุ่นบริสุทธิ์เอง ไม่ต้องนำเข้าไรฝุ่นจากต่างประเทศ ไร่ฝุ่น 1 กรัม หรือ 100 ล้านตัว ราคากรัมละ 9 พันบาท จากนั้นสกัดสารภูมิแพ้ จากตัวไรฝุ่นที่ผู้ป่วยแพ้ ฉีดกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานต่อสิ่งที่แพ้ โดยฉีดทางผิวหนัง ซึ่งปริมาณที่ฉีดอยู่ที่การวินิจจัยของแพทย์ 

วัคซีนภูมิแพ้ไรฝุ่นใช้สำหรับรักษาผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจัยว่าแพ้ไรฝุ่นเท่านั้น ซึ่งผู้ป่วยจะได้รับการทดสอบด้วยน้ำยาสารก่อภูมิแพ้อย่างน้อย 8 ชนิด เช่น ภูมิแพ้ไรฝุ่น แพ้ขนแมว แพ้ขนสุนัข ขนแมลงสาบ หญ้าขน ผักโขม และเชื้อรา ซึ่งทางทีมวิจัยจากศูนย์วิจัยไรฝุ่นและโรคภูมิแพ้ ศิริราชพยาบาล เป็นผู้ผลิตขึ้น เมื่อวินิจฉัยแล้วว่าเป็นภูมิแพ้ไรฝุ่น จึงจะรักษาด้วยวัคซีนไรฝุ่นนี้ได้ 
 
ผู้ป่วยสะท้อนว่า หลังรักษาด้วยวัคซีนภูมิแพ้ไรฝุ่น นานกว่า 3 ปี ส่งผลให้อาการแพ้ลดลง สุขภาพดีขึ้น 
 
ในอนาคต ทีมวิจัยเตรียมพัฒนาวัคซีนสำหรับผู้ป่วยภูมิแพ้แมลงสาบ เกสรหญ้า เนื่องจากเป็นภูมิแพ้ที่พบมากรองจากภูมิแพ้ไรฝุ่น ละจะพัฒนาวัคซีนให้สามารถหยดใต้ลิ้นแทนการฉีด เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการรักษาได้สะดวก

ฟิลิปปินส์แบน 2 ส.ว.สหรัฐ ขู่ยกเลิกฟรีวีซ่าอเมริกัน

รอดริโก ดูแตร์เต ประธานาธิบดีประเทศฟิลิปปินส์
ที่มาภาพ: เว็บไซต์ข่าวสด (https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_62722)

เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า นายซัลวาดอร์ ปาเนโล โฆษกทำเนียบมาลากันยัง แถลงเมื่อวันศุกร์ ว่าประธานาธิบดีโรดริโก ดูแตร์เต มีคำสั่งห้ามวุฒิสมาชิกของสหรัฐ 2 คนของพรรคเดโมแครตจากการเดินทางเข้าประเทศ คือนายริชาร์ด เดอร์บิน วุฒิสมาชิกรัฐแมสซาชูเซตส์ และนายแพทริก เลฮี วุฒิสมาชิกรัฐเวอร์มอนต์ จากการที่กฎหมายงบประมาณสหรัฐประจำปีงบประมาณ 2563 มีการเสนอบทบัญญัติว่าด้วยการคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่รัฐบาลมะนิลาคนใดก็ตาม ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการคุมขังและดำเนินคดีต่อนางไลลา เดอ ลิมา วุฒิสมาชิกชาวฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่วิจารณ์นโยบายสงครามยาเสพติดของรัฐอย่างหนัก และเธอถูกฟ้องร้องในข้อหาค้ายาเสพติด ในช่วงดำรงตำแหน่งรมว.กระทรวงยุติธรรมสมัยอดีตประธานาธิบดีเบนิกโน อาคีโน ที่ 3

ขณะเดียวกัน ปาเนโลกล่าวว่า กระบวนการยุติธรรมที่เดอ ลิมา กำลังเผชิญอยู่ตั้งแต่ปี 2560 เป็นไปตามกฎหมายของฟิลิปปินส์ทุกประการ รัฐบาลมะนิลาจึงไม่อาจเพิกเฉยได้ต่อความเคลื่อนไหวของสภาคองเกรสสหรัฐ ซึ่งแทรกแซงกิจการภายในของรัฐเอกราชอย่างโจ่งแจ้ง ทั้งนี้ มาตรการต่อเดอร์บินและเลฮีมีผลบังคับใช้ทันที และหากรัฐบาลวอชิงตันตอบโต้ ด้วยการบังคับใช้บทบัญญัติตามการเสนอของเดอร์บินและเลฮีไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม เมื่อนั้นพลเมืองอเมริกันทุกคนต้องยื่นคำร้องขอวีซ่าก่อนเดินทางเข้าฟิลิปปินส์

ปัจจุบันฟิลิปปินส์ยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวเป็นเวลานานสูงสุด 30 วันให้แก่พลเมืองอเมริกัน ซึ่งเดินทางมาท่องเที่ยวยังฟิลิปปินส์มากถึง 792,000 คน ตลอดช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาของปี 2562 คิดเป็น 13% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด ด้านสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำกรุงมะนิลายังปฏิเสธให้ความเห็นอย่างเป็นทางการ