ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “วิษณุเผยคัดเลือก ส.ว. ใช้กลุ่มรองนากยกฯ และคน คสช.คัด” และ “วอชิงตันโพสต์ระบุ ประชาธิปไตยไทย ‘จอมปลอม’ แนะสหรัฐฯ ยังไม่ควรฟื้นฟูความสัมพันธ์เต็มรูปแบบ”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “วิษณุเผยคัดเลือก ส.ว. ใช้กลุ่มรองนากยกฯ และคน คสช.คัด” และ “วอชิงตันโพสต์ระบุ ประชาธิปไตยไทย ‘จอมปลอม’ แนะสหรัฐฯ ยังไม่ควรฟื้นฟูความสัมพันธ์เต็มรูปแบบ”

15 มิถุนายน 2019


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 8-14 มิ.ย. 2562

  • วิษณุเผยขั้นตอนคัดเลือก ส.ว. ใช้กลุ่มรองนากยกฯ และคน คสช.คัด
  • แปลงคำสั่ง คสช. 65 ฉบับเป็นกฎหมาย
  • จำคุกเปรมชัย 1 ปี ไม่รอลงอาญา คดีสินบน ยื่นประกัน 2 แสน อุทธรณ์ได้ใน 30 วัน
  • “คิง เพาเวอร์” คว้าสัมปทานดิวตี้ฟรีภูมิภาค 3 สนามบิน ทอท.แจงเหตุ “สคร.- สตง.” ไม่เข้าร่วมสังเกตุการณ์
  • วอชิงตันโพสต์ระบุ ประชาธิปไตยไทย “จอมปลอม” แนะสหรัฐฯ ยังไม่ควรฟื้นฟูความสัมพันธ์เต็มรูปแบบ
  • วิษณุเผยขั้นตอนคัดเลือก ส.ว. ใช้กลุ่มรองนากยกฯ และคน คสช.คัด

    นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผยรายชื่อกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ว่ามาจากรองนายกรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรี (ครม.) ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) 5 คน ได้แก่ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ, นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์, พล.อ.อ. ประจิน จั่นตอง, พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ และนายวิษณุ เครืองาม

    ใน 5 คนนี้ พล.อ. ประวิตร เป็นประธานให้สรรหารายชื่อคนจากสายความมั่นคงเข้ามา เช่น ตำรวจ ทหาร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง โดยเสนอมาประมาณ 50 คน, พล.อ.อ. ประจิน จะหาคนจากสายวงการการศึกษา ยุติธรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ และสื่อมวลชน 50 คน, นายสมคิด จะหาคนจากสายเศรษฐกิจ เกษตร การเงิน การคลัง การธนาคาร การลงทุน การค้า อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว 50 คน, พล.อ. ฉัตรชัย หาจากสายเกษตร สาธารณสุข และด้านที่เกี่ยวกับสังคม 50 คน ส่วนนายวิษณุ จะหาคนจากสายของกฎหมาย ระเบียบราชการ อดีตข้าราชการที่เกษียณไปแล้ว 50 คน

    ขณะเดียวกัน คสช.ก็ได้เลือกตัวแทนของ คสช.มาอีก 5 คน ได้แก่ พล.อ. ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร, พล.ร.อ. ณรงค์ พิพัฒนาศัย, พล.ต.อ. อดุลย์ แสงสิงแก้ว, พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รวมถึง นายพรเพชร วิชิตชลชัย โดยมีกติกาว่า กรรมการเหล่านี้จะต้องพิจารณาจากรายชื่อจากคนที่เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) กรรมการปฏิรูปประเทศ กรรมการยุทธศาสตร์ชาติ และให้ดูไปถึงคนที่อยู่ในวงการสภาอุตสากรรม สมาคมธนาคาร หอการค้า และนักวิชาการ รวมถึงกลุ่มอาชีพอื่นๆ ด้วย

    แต่ต่อมา หลังคณะกรรมการจากทั้ง 2 กลุ่มหารายชื่อมาได้ 500 ชื่อแล้ว นายพรเพชรลาออกเนื่องจากไม่ได้เข้าร่วมประชุม ทำให้เหลือกรรมการสรรหา ส.ว.ทั้งหมด 9 คน

    จากนั้น มีการประชุมอย่างเป็นทางการ (เต็มคณะ) 3 ครั้ง ไม่เป็นทางการ 3 ครั้ง (ไม่เต็มคณะ) จนสามารถคัดเลือกให้เหลือ 395 ชื่อ ซึ่งในจำนวนนี้จะต้องมี 194 คนเป็นตัวจริง และบวกกับตัวสำรอง 50 คน จึงได้รวบรวมจัดทำบัญชีตามลำดับแล้วเสนอให้ คสช.พิจารณา ซึ่ง คสช.ก็พิจารณาอีก 3 ครั้งโดยไล่เรียงทีละชื่อ และมีนายวิษณุเป็นคนอ่านรายชื่อพร้อมบอกประวัติ

    ในส่วนของการเป็นผู้มีส่วนได้เสียระหว่างกลุ่มคณะกรรมการสรรหากับผู้ที่ได้รับการสรรหามาเข้ารับการคัดเลือกนั้น นายวิษณุบอกว่า “เมื่ออ่านถึงรายชื่อใครที่มีส่วนได้เสียอยู่ ไม่ว่าในชั้นกรรมการสรรหาหรือ คสช. คนนั้นถ้าหากออกนอกห้องประชุมได้ท่านก็ออก หรืองดออกเสียงไม่โหวต ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้มีการจดบันทึกไว้ในรายงานการประชุมทั้งหมด แม้ว่ามีอยู่บางชื่อที่มีปัญหา ที่ประชุมก็มีมติเพื่อไม่ต้องเรียกประชุมอีก เนื่องจากบางคนเราไปทาบทามแล้วเขาปฏิเสธ หรือปรากฎคุณสมบัติไม่ครบ ก็ให้หัวหน้า คสช.ใช้ดุลพินิจเปลี่ยนคนนั้น ซึ่งตรงนี้มีอยู่ 4-5 คนเท่านั้น จนกระทั่งพิจารณารายชื่อเสร็จแล้ว ในส่วนของตัวจริงจึงได้นำความขึ้นกราบบังคมทูล ส่วนรายชื่อสำรองนั้นไม่ต้องกราบบังคมทูล แต่ส่งไปยังประธานสภา ตรงนี้คือที่มาที่ไปทั้งหมด”

    อย่างไรก็ดี มีคณะกรรมการสรรหา 5 คนที่ผ่านการคัดเลือกได้เป็น ส.ว.ด้วย ได้แก่ พล.อ.อ. ประจิน จั่นตอง, พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ, พล.อ. ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร, พล.ร.อ. ณรงค์ พิพัฒนาศัย และ พล.ต.อ. อดุลย์ แสงสิงแก้ว และก็มีหลุ่มคนที่ใกล้ชิดกับทั้ง คสช.และคณะกรรมสรรหาที่ได้รับคัดเลอืกให้เป็น ส.ว.ด้วยเช่นกัน คือ พล.อ. ปรีชา จันทร์โอชา น้องชาย พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา, พล.ร.อ. ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ น้องชาย พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ, พล.อ.ต. เฉลิมชัย เครืองาม น้องชาย นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี และนายสม จาตุศรีพิทักษ์ พี่ชาย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี

    แปลงคำสั่ง คสช. 65 ฉบับเป็นกฎหมาย

    เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2562 เวลา 16.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมร่วมระหว่างคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ในที่ประชุมมีการรายงานผลดำเนินการที่เกี่ยวกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษก รวมถึงมีการสรุปการออกกฎหมายของ คสช.และ ครม.ที่ผ่านมาเกือบ 5 ปี โดยในส่วนของ คสช.มีทั้งสิ้น 456 ฉบับ แบ่งเป็น ประกาศ คสช.ที่ออกมาก่อนจะมีรัฐบาล 132 ฉบับ คำสั่ง คสช. 166 ฉบับ และคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ออกโดยใช้อำนาจมาตรา 44 จำนวน 158 ฉบับ ยกเลิกไปแล้ว 74 ฉบับ, สิ้นผลไปในตัวเองเมื่อเสร็จภารกิจ 133 ฉบับ และจะสิ้นผลไปโดยอัตโนมัติเมื่อ คสช.พ้นตำแหน่ง 39 ฉบับ เหลือ 210 ฉบับ โดยจะมีการใช้มาตรา 44 ออกคำสั่งหัวหน้า คสช.ยกเลิก 68 ฉบับ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างร่างคำสั่งหัวหน้า คสช. และจะมีบางคำสั่งให้บางฉบับมีผลบังคับใช้ต่อไปอีกระยะหนึ่ง นอกจากนี้ กระทรวงที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างทำกฎหมายใหม่ของตัวเองเพื่อทดแทนและยกเลิกไปในตัว 77 ฉบับ

    “จะเหลือ 65 ฉบับ ที่จะอยู่ต่อไปจนรัฐบาลหน้า เพราะมีความจำเป็นต้องคงไว้ ซึ่งหน่วยงานขอให้คงไว้ เช่น เรื่องไอยูยู การแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าว ICAO โดยมีการให้คำแนะนำให้ถ่ายโอนไปเป็น พ.ร.บ.ปกติ แต่หากรัฐบาลหน้าอยากจะยกเลิกหรือแก้ไขสามารถดำเนินการได้” นายวิษณุ กล่าว

    รองนายกฯ กล่าวว่า ในส่วนของ ครม.ที่เสนอกฎหมายให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ออกเป็น พ.ร.บ.นั้น มีจำนวน 456 ฉบับเช่นกัน โดยมีกฎหมายที่สำคัญ เช่น พ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจ การลดภาษีเงินได้นิติบุคคล กฎหมายจัดตั้งกรมท่าอากาศยาน พ.ร.บ.การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ กฎหมายจัดตั้งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กฎหมายจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ร.บ.กองทุนยุติธรรม

    จำคุกเปรมชัย 1 ปี ไม่รอลงอาญา คดีสินบน ยื่นประกัน 2 แสน อุทธรณ์ได้ใน 30 วัน

    นายเปรมชัย กรรณสูต (นั่ง)ประธานบริหารและกรรมการ บริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด(มหาชน)ที่มาภาพ : https://www.facebook.com/Khonanurak/photos/

    เว็บไซต์ไทยพีบีเอสรายงานว่า วันที่ 11 มิ.ย. 2562 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 นัดฟังคำพิพากษากรณีพนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตภาค 7 ยื่นฟ้อง นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารบริษัท อิตาเลียน-ไทย ดีเว๊ลอปเมนต์ จำกัด (มหาชน) จำเลยที่ 1 และนายยงค์ โดดเครือ จำเลยที่ 2 ข้อหา “ร่วมกันให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิงการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่” ตาม ป.อาญา มาตรา 144 ประกอบมาตรา 83 หรือเสนอให้สินบนเจ้าพนักงาน โดยศาลอาญาคดีทุจริตคดีมิชอบภาค 7 ได้พิจารณาคดีพิพากษาให้นายเปรมชัย จำเลยที่ 1 ตามฟ้องโจทก์ ต้องโทษจำคุก 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา และรับโทษต่อจากศาลจังหวัดทองผาภูมิ ที่พิพากษาในคดีล่าสัตว์ป่า ซึ่งคดีดังกล่าวมีโทษจำคุก 1 ปี 16 เดือน ซึ่งอยู่ระหว่างการอุทธรณ์ 

    ส่วนนายยงค์ ศาลพิจารณาแล้วว่าไม่เกี่ยวข้อง ให้ยกฟ้อง ทั้งนี้แม้ว่าจะมีหลักฐานเป็นคลิปเสียงสนทนาความยาว 20 นาที แต่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของนายเปรมชัย เนื่องจากว่าเป็นการพูดคุยคนละช่วงเวลา และเป็นลักษณะพูดคุยทั่วไป 

    ต่อมา นายเปรมชัยได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว หลังจากทนายยื่นวงเงินประกัน 200,000 บาท โดยเปรมชัยสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 30 วัน

    ทั้งนี้นายเปรมชัย ยังมีคดีครอบครองงาช้างแอฟริกา โดยเป็นจำเลยร่วมกับภรรยา คดีนี้ศาลอาญากำหนดนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 8-9 ส.ค.นี้ และสืบพยานจำเลยในวันที่ 13-14 ส.ค.เช่นกัน

    ส่วนและคดีครอบครองอาวุธปืนไรเฟิลโดยไม่ได้รับอนุญาตที่พนักงานอัยการคดีอาญา 8 ยื่นฟ้องนายเปรมชัย มีอาวุธปืนยาวไรเฟิล 3 กระบอก และปืนแก๊ป 1 กระบอกไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ภายในบ้านพักเลขที่ 12/3 ซ.ศูนย์ วิจัย 3 แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กทม. ศาลอาญา กำหนดนัดสืบพยานเริ่มวันที่ 9 ก.ค.นี้

    “คิง เพาเวอร์” คว้าสัมปทานดิวตี้ฟรีภูมิภาค 3 สนามบิน ทอท.แจงเหตุ “สคร.- สตง.” ไม่ร่วมสังเกตุการณ์

    นายวิชัย บุญยู้ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจและการตลาด ทอท.

    เว็บไซต์ไทยพับลิก้ารายงานว่าhttp://bit.ly/2IBihjm เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2562 บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ “ทอท.” ได้ประกาศผลคะแนนรวมสูงสุดของผู้ยื่นข้อเสนองานประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) , ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) และท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.) คือ บริษัท คิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด

    นายวิชัย บุญยู้ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจและการตลาด ทอท. กล่าวว่า ตามที่ ทอท.ได้จำหน่ายเอกสารการยื่นข้อเสนอการดำเนินงานให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ทภก., ทชม.และ ทหญ. ระหว่างวันที่ 5 – 25 เมษายน 2562 มีผู้สนใจซื้อเอกสาร รวมทั้งสิ้น 4 ราย ได้แก่

      1. บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด
      2. บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
      3. บริษัท โรงแรมรอยัลออคิด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
      4. บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด

  • ผู้ร่วมประมูลสัมปทานดิวตี้ฟรี ถามหาความโปร่งใส ทอท.ไม่ประกาศ “ราคาผลตอบแทนให้รัฐ – คะแนนเทคนิค” ของผู้ยื่นซองทุกราย
  • “เซ็นทรัล”ถอยไม่ยื่นซอง ปล่อย “คิง เพาเวอร์ – ดูฟรี – ล็อตเต้” ชิงสัมปทานดิวตี้ฟรีสนามบินภูมิภาค
  • ต่อมา เมื่อถึงกำหนดวันยื่นข้อเสนอการดำเนินงานในวันที่ 4 มิถุนายน 2562 ปรากฏว่ามีผู้มายื่นข้อเสนอ 3 ราย ได้แก่

      1. บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด
      2. บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ยื่นข้อเสนอการดำเนินงานในนามกิจการร่วมค้าการบินกรุงเทพ ล็อตเต้ ดิวตี้ฟรี (ท่าอากาศยานภูมิภาค) ประกอบด้วย บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัท โฮเต็ล ล็อตเต้ จำกัด และบริษัท บางกอกแอร์เวย์สโฮลดิ้ง จำกัด
      3. บริษัทโรงแรมรอยัลออคิด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ยื่นข้อเสนอการดำเนินงานในนามกิจการร่วมค้า ประกอบด้วย บริษัทโรงแรมรอยัลออคิด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัท เอ็มไพร์ เอเชีย กรุ๊ป จำกัด และ WDFG UK LIMITED

    โดยผู้ยื่นข้อเสนอทั้ง 3 ราย ได้นำเสนอผลงานด้านเทคนิค (Presentation) ต่อทอท. เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2562 ทอท. เป็นที่เรียบร้อย ล่าสุดเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2562 ทอท.ได้มีการเปิดซองเสนอค่าตอบแทนและประกาศผลคะแนนสูงสุด ซึ่งผู้ที่ได้รับคะแนนรวมสูงสุด คือ บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด เป็นผู้ชนะได้เสนอค่าตอบแทนสูงกว่าที่ ทอท.เคยได้รับอยู่เดิม และสูงกว่าที่ ทอท.คาดหมาย

    ทั้งนี้ การดำเนินการขั้นตอนต่อไป คือ ทอท.จะนำผลการคัดเลือกเสนอต่อคณะกรรมการพิจารณารายได้ของ ทอท.ในวันที่ 12 มิถุนายน 2562 และคณะกรรมการ ทอท.ในวันที่ 19 มิถุนายน 2562 เพื่อพิจารณาอนุมัติ และจะนำเสนอสื่อมวลชนต่อไป

    สำหรับบรรยากาศการเปิดซองเสนอค่าตอบแทนและประกาศผลคะแนนในห้องประชุมคณะกรรมการ ทอท. ชั้น 7 สำนักงานใหญ่ ทอท.ครั้งนี้ แหล่งข่าวจากผู้ยื่นข้อเสนอรายหนึ่ง กล่าวว่ามีผู้ยื่นข้อเสนอรายหนึ่งได้สอบถามต่อที่ประชุมว่า ทำไมการเปิดซองเสนอค่าตอบแทนและประกาศผลคะแนน จึงไม่มีตัวแทนจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เข้าร่วมสังเกตการณ์ เห็นมีแต่ป้ายชื่อ นายวิชัย บุญยู้ ชี้แจงผู้ยื่นข้อเสนอว่า ก่อนหน้านี้ ทอท.ได้ทำหนังสือเชิญตัวแทนจาก สคร.เข้าร่วมสังเกตุการณ์ไปแล้ว แต่ สคร.ได้ทำหนังสือตอบกลับมาว่า เนื่องจากเรื่องนี้ไม่เข้าข่ายต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 จึงไม่ขอเข้าร่วมสังเกตการณ์ ส่วน สตง.ไม่ได้ส่งตัวแทนเข้าร่วมสังเกตการณ์

  • อ่านซีรีส์เจาะธุรกิจดิวตี้ฟรีไทย
  • วอชิงตันโพสต์ระบุ ประชาธิปไตยไทย ‘จอมปลอม’ แนะสหรัฐฯ ยังไม่ควรฟื้นฟูความสัมพันธ์เต็มรูปแบบ

    ที่มาภาพ: http://www .khaosodenglish.com/politics/2019/03/24/live-blog-thailand-2019-election-day/

    เว็บไซต์บีบีซีไทยรายงานถึงบทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ที่แนะนำรัฐบาลสหรัฐฯ ว่ายังไม่ควรฟื้นฟูความสัมพันธ์กับไทยอย่างเต็มรูปแบบ โดยชี้ว่า แม้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรัฐประหาร ได้กลายเป็นนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลที่ได้ชื่อว่ามาจากการเลือกตั้ง แต่ประชาธิปไตยจอมปลอมของไทยไม่คู่ควรกับความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ

    บทบรรณาธิการดังกล่าวยังบอกอีกว่า การตัดความช่วยเหลือเป็นไปตามบทบัญญัติในรัฐบัญญัติการให้ความช่วยเหลือต่างประเทศ (Foreign Assistance Act) ของสหรัฐฯ ที่ห้ามไม่ให้มีความร่วมมือทางการทหารกับประเทศที่ขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยการใช้กำลัง การห้ามนี้อาจถูกยกเลิกได้ หากกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ให้การรับรองว่า ประเทศนั้นได้กลับคืนสู่ระบอบประชาธิปไตยแล้ว แต่การรับรองให้ พล.อ. ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (5 มิ.ย. 2562) ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าประชาธิปไตยของปลอม หลังจากจัดการเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรมอย่างน่ารังเกียจ โดยฝ่ายที่เห็นตรงข้ามรัฐบาลทหารบางส่วนถูกห้ามไม่ให้ลงเลือกตั้ง และมีอีกหลายคนที่ถูกตั้งข้อหาอาญาหลายข้อหา

    และยังบอกอีกด้วยว่า รัฐธรรมนูญใหม่สร้างความได้เปรียบอย่างใหญ่หลวงให้กองทัพ วุฒิสภาซึ่งมีสมาชิก 250 คนที่มาจากการแต่งตั้ง แต่กลับมีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรีร่วมกับสภาผู้แทนราษฎรที่มีสมาชิก 500 คน แม้ว่าประชาชนไม่ชื่นชอบ พล.อ. ประยุทธ์ แต่เขาก็เอาชนะมาได้ แม้การเลือกตั้งในเดือน มี.ค. แนวร่วมฝ่ายค้านจะได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ขณะที่พรรคที่สนับสนุนกองทัพได้ที่นั่งไม่ถึง 126 ที่นั่ง ซึ่งเป็นจำนวนเสียงที่ต้องมีในการสนับสนุน พล.อ. ประยุทธ์ ให้เป็นนายกรัฐมนตรี

    และนั่นได้นำไปสู่การร่วมกันหาทางจัดการเพื่อสร้างความได้เปรียบอีกครั้งหนึ่ง เริ่มจากคณะกรรมการการเลือกตั้งได้แก้ไขกฎในการจัดสรรปันส่วนจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลังการเลือกตั้ง ส่งผลให้แนวร่วมฝ่ายค้านสูญเสียเสียงข้างมาก และพรรคขนาดเล็ก 11 พรรค ได้ที่นั่งพรรคละ 1 ที่นั่ง ทุกพรรคสนับสนุน พล.อ. ประยุทธ์ ทำให้เขาได้คะแนนเสียงตามที่ต้องการ ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ