ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯ เลี่ยงตอบแก้ รธน. แย้มรื้อทุก กม. ที่มีปัญหา – มติ ครม. รับทราบความคืบหน้าโครงการ “รัฐบาลดิจิทัล”

นายกฯ เลี่ยงตอบแก้ รธน. แย้มรื้อทุก กม. ที่มีปัญหา – มติ ครม. รับทราบความคืบหน้าโครงการ “รัฐบาลดิจิทัล”

15 กรกฎาคม 2019


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/

เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2562 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษ ในเรื่องเร่งด่วนและมีความสำคัญ โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน โดยบรรยากาศในวันนี้เป็นไปอย่างเงียบเชียบ การประชุมดำเนินไปอย่างรวดเร็วเนื่องจากมีเรื่องเพียงเรื่องรับทราบ 3 เรื่องเท่านั้น โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำถึง 3 ครั้งว่าการประชุมวันนี้ไม่มีการอนุมัติงบประมาณอย่างที่สังคมกังวลแต่อย่างใด

ยันครม.นัดพิเศษไม่มีทิ้งทวน – แอบอนุมัติงบฯ

โดยระบุว่า การประชุม ครม.ในวันนี้ไม่มีการอนุมัติงบประมาณอะไรส่งท้ายอย่างที่หลายฝ่ายห่วงกังวล แต่มีเรื่องสำคัญที่นำมาหารือในที่ประชุม คือ การรับทราบความก้าวหน้าในการทำงานของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เนื่องจากเป็นเรื่องที่รอไม่ได้ จำเป็นต้องรับทราบว่ามีการดำเนินการอะไรไปแล้วบ้าง เพื่อสานต่อไปยังรัฐบาลต่อไป ที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ (16 กรกฎาคม 2562)

“นี่ก็เป็นเรื่องที่จัดให้มีการประชุมเร่งด่วนเพราะถือว่ามีความสำคัญในขณะนี้ เพราะมีการเคลื่อนไหวทุกวัน เราจะทำอย่างไรกันต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน หรือนิติบุคคลต่างๆ เพื่อให้การบริการเป็นไปได้อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นเรื่องต้องทำงานสานต่อในรัฐบาลต่อไปด้วย” นายกรัฐมนตรีกล่าว

โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวยืนยันอีกครั้งว่า การประชุมในวันนี้ไม่ได้มีการเห็นชอบหรืออนุมัติในเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ

เผยหลังถวายสัตย์ฯ นัดประชุม ครม.ชุดใหม่ต่อ

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงการหารือเรื่องการเตรียมการประชุม ครม.หลังการถวายสัตย์ปฏิญาณ ว่า ตนได้ให้มีการประชุม ครม.ชุดใหม่ในวันพรุ่งนี้เลย เพื่อจะได้ไม่เป็นการเสียเวลาในการทำงาน เพื่อหารือถึงระเบียบขั้นตอนการทำงานของ ครม.ให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น ในฐานะรัฐบาลจะร่วมกันทำงานต่อไป

“การเตรียมการต่างๆ ผมก็คิดไว้เป็นแผนของผมเอง ว่ามีอะไรที่ผมต้องคิดต้องทำบ้าง นี่ก็เป็นเรื่องที่ผมคิดแล้วผมก็เล่าให้เขาฟัง เพียงแต่ให้รับทราบว่า สิ่งที่รัฐมนตรีหลายท่านทั้งที่ออกไปก่อนหน้านี้ และในวันนี้ ช่วงนี้ ได้รับทราบว่าผมจะดำเนินการต่างๆ ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของเราที่ทำไว้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นเรื่องของรัฐบาลใหม่ที่ต้องดำเนินการต่อไป รัฐบาลเก่าก็ยุติการปฏิบัติหน้าที่” นายกรัฐมนตรีกล่าว

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า ตนจะมีสารออกไปในนามของหัวหน้า คสช. เนื่องจาก คสช.จะต้องยกเลิกหรือสิ้นสุดการปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่ 16 กรกฎาคม 2562 คือ หลังจากพิธีถวายสัตย์ฯ เป็นต้นไป โดยจะมีสารถึงพี่น้องประชาชน และทุกหน่วยงาน เพื่อขอบคุณการทำงานร่วมกันในระยะเวลา 5 ปี ซึ่งมีความก้าวหน้าหลายเรื่องเท่ากัน

“ก็คงมีเท่านี้ประเด็นเท่านี้คงไม่ได้มีประเด็นอะไรที่เป็นปัญหา จริงๆ แล้วเดิมผมก็คิดว่าครั้งที่แล้วเป็นครั้งสุดท้าย แต่เนื่องจากติดเรื่องต่างประเทศจึงต้องมีการประชุมด่วนในวันนี้” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2562 มีหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ลงนามโดยนายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส เลขาธิการ ครม. เรื่องแต่งตั้งรัฐมนตรีและการเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ใจความว่า

“ด้วยมีประกาศพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งท่านเป็นรัฐมนตรี บัดนี้ ได้พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ ครม.เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2562 เวลา 18.00 น. ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ทั้งนี้ ขอให้ไปถึงทำเนียบรัฐบาล ณ ตึกภักดีบดินทร์ ก่อนเวลา 16.30 น. สำหรับการเดินทางไปเข้าเฝ้าฯ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้จัดรถยนต์โดยสารตู้ เพื่อให้รัฐมนตรีเดินทางไปเป็นคณะ โดยจะออกจากทำเนียบรัฐบาลเวลา 17.00 น. และเดินทางกลับพร้อมกันเมื่อเสร็จพิธี”

โดยกำหนดการแต่งกายของ ครม.คือ เครื่องแบบขาวปกติ และติดเครื่องหมายแสดงสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี

ย้ำแถลงนโยบาย 25 ก.ค. นี้ – ไม่ใช่วาระเปิดอภิปรายรัฐบาล

จะทำอย่างไรให้ดิจิทัลของรัฐบาลสามารถให้การบริการแก่ประชาชนได้อย่างแท้จริง ซึ่งต้องมีโครงการทั้งเร่งด่วนและโครงการที่ต้องทำต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้หลายๆ อย่างต้องกำหนดไว้ในนโยบายของรัฐบาลด้วย

“คำว่า นโยบายรัฐบาล นั้นทุกคนก็ต้องเข้าใจว่าอะไรคือคำว่านโยบาย ซึ่งนโยบายรัฐบาลเป็นแบบฟอร์มแบบฟอร์มหนึ่ง ที่เป็นกรอบในการทำงาน ซึ่งจะตอบรับกับการทำงานในส่วนของบรรดานักการเมือง พรรคการเมือง รวมถึงรัฐมนตรีต่างๆ ที่เข้ามาทำงานด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็มีมาตรการที่ต้องระมัดระวังหลายเรื่องด้วยกัน ฉะนั้นขอให้มเข้าใจว่ามันคนละบริบทกับเรื่องนโยบายอื่น”

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า นโยบายที่จัดทำขึ้นนี้ต้องสอดคล้องกับนโยบายความมั่นคง แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนการปฏิรูป โดยจะมีทั้งนโยบายเร่งด่วนและระยะยาว ที่ต้องดำเนินการ จึงขอให้ทุกคนเข้าใจ โดยยืนยันวันแถลงนโยบายนั้นยังคงเป็นวันที่ 25 กรกฎาคม 2562 นี้เช่นเดิม

“ขอให้เข้าใจว่า เป็นเรื่องการแถลงนโยบาย และการเสนอข้อคิดเห็นต่างๆ เพื่อให้เกิดความครบถ้วนสมบูรณ์ขึ้นเท่านั้น ไม่ใช่การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เป็นคนละเรื่องคนละวาระกัน ขอกราบเรียนสมาชิกผู้ทรงเกียรติต่างๆ ไว้ด้วย เพราะตนเห็นว่าหลายอย่างยังไม่ตรงกับหน้าที่ในการทำงาน มันไม่ใช่เรื่องการอภิปรายการทำงานของรัฐบาล ถือเป็นคนละเรื่อง ผมเคารพทุกคนให้เกียรติทุกคนเสมอมา ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล และให้เกียรติประชาชนที่เลือกพวกท่านเข้ามาด้วย เรื่องนี้ถือเป็นประเด็นสำคัญของผม” นายกรัฐมนตรีกล่าว

พล.อ. ประยุทธ์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการจัดทำร่างนโยบายของรัฐบาลว่า ขณะนี้ร่างนโยบายที่จะแถลงนั้นถึงมือเรียบร้อยแล้ว โดยกำลังปรับแก้อยู่ ส่วนจะใช้เวลาแถลงนโยบายกี่วันนั้นคงต้องหาหรือร่วมกัน ซึ่งหลายเรื่องตนต้องสงวนคำพูดไว้บ้าง โดยบางอย่างต้องหารือได้ ส่วนจะมอบหมายให้รัฐมนตรีคนใดแถลงนโยบายบ้างนั้น รัฐมนตรีทั้ง 36 คนจะต้องไปร่วมประชุมด้วยกันอยู่แล้ว

เลี่ยงตอบแก้รธน. แย้มรื้อทุกกม.ที่มีปัญหา

เมื่อถามว่า เห็นว่าไม่มีการบรรจุประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ในนโยบายรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ยังไม่มีอะไรเลย จะร่างอะไรออกมา เดี๋ยวก็รู้เอง

เมื่อถามว่า สรุปจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนพร้อมสนับสนุนให้มีการดำเนินการแก้ไขทุกกฎหมาย เพราะกฎหมายบางฉบับก็มีปัญหาอยู่ ต้องไปว่ากันตามกระบวนการขั้นตอน ไม่ได้ขัดแย้งอะไรกับใคร วันนี้เราเป็นรัฐบาลของประเทศ

มีรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ในวันเดียวกันมีรายงานว่า นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล โฆษกพรรคพลังประชารัฐ และคณะทำงานประสานพรรคร่วมรัฐบาลในการจัดทำร่างนโยบาย ได้เดินทางมาพบนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่ห้องทำงานของนายสมคิด ชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งคาดว่าจะมาหารือถึงความเรียบร้อยของการจัดทำร่างนโยบายรัฐบาล ซึ่งก่อนที่จะนำเข้าขอความเห็นชอบจากที่ประชุม ครม.ชุดใหม่ หลังจาก พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นำ ครม.เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนรับหน้าที่ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ในวันพรุ่งนี้

เมื่อถามว่าได้บรรจุเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของพรรคประชาธิปัตย์ลงไปด้วยหรือไม่ นายกอบศักดิ์กล่าวว่า ขอให้อดใจรอดู เพราะเรากำลังจะหารือกับพรรคร่วมรัฐบาล ส่วนกระแสข่าวที่ว่านายกอบศักดิ์จะดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) นั้น นายกอบศักดิ์ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม

อนึ่งผู้สื่อข่าวรายงานถึง ร่างนโยบายรัฐบาลที่จะแถลงต่อรัฐสภาวันที่ 25 กรกฎาคมว่า มีทั้งหมด 41 หน้า โดยรวบรวมนโยบายจากพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค มีนโยบายเร่งด่วน 1 ปี กับ 4 ปี นโยบายเร่งด่วนครอบคลุม 4 ด้าน ได้แก่ แก้ปัญหาปากท้อง, แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ, การสร้างอนาคตให้ประชาชน และการแก้ปัญหาเร่งด่วนเฉพาะหน้า

ขณะที่นโยบายเร่งด่วนที่ต้องทำทันทีใน 1 ปีแรก คือ 1. นโยบายลดความเหลื่อมล้ำ ต้องสานต่อในเรื่องบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรคนจน) ต้องทำให้เหมาะสมและเป็นธรรม นโยบายมารดาประชารัฐ นโยบายเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ คนพิการ และค่าแรงขั้นต่ำ 2. นโยบายด้านเศรษฐกิจทั้งระยะสั้น และระยะยาว เช่น การแก้ไขปัญหาพืชผลทางการเกษตร การส่งออกสินค้าทางการเกษตร และการทำอุโมงค์ส่งน้ำจากภาคเหนือไปยังภาคอีสาน เป็นต้น

มติ ครม.มีดังนี้

แจงความคืบหน้า “รัฐบาลดิจิทัล” อำนวยความสะดวกภาคธุรกิจ – ปชช.

ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า ครม.รับทราบรายงานถึงความคืบหน้าและกรอบแนวคิดเกี่ยวกับการดำเนินโครงการรัฐบาลดิจิทัลที่จะยกระดับการให้บริการประชาชนในลักษณะ one-stop service (OSS) เพื่อให้บริการภาคประชาชน และธุรกิจให้มีความรวดเร็วครบถ้วนในทุกกระบวนการ โดยองค์ประกอบหลักจะประกอบไปด้วยส่วนของโครงสร้างพื้นฐานที่จะเป็นศูนย์ข้อมูล หรือ data center, บุคคลากรที่จะต้องพัฒนาตั้งแต่ระดับปฏิบัติการที่ให้บริการประชาชนจนถึงระดับออกแบบระบบหลังบ้าน, ศูนย์เชื่อมโยงข้อมูล หรือ data exchange center ที่ทำหน้าที่เป็นสมุดหน้าเหลืองชี้เป้าไปยังฐานข้อมูลอื่นๆ ในระบบเพื่อดึงข้อมูลที่เกี่ยวข้อง และประเด็นสุดท้ายจะเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (privacy) และดูแลความปลอดภัยของเครือข่าย หรือ cybersecurity

โดยยกตัวอย่าง เวลาประชาชนมารับบริการ หน่วยงานรัฐจะส่งข้อมูลของบุคคลคือเลขที่บัตรประชาชนไปยังศูนย์ข้อมูลของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ที่เป็นเหมือนศูนย์กลางเชื่อมโยงและการส่งข้อมูล ก่อนจะระบุว่าบริการดังกล่าวต้องใช้ข้อมูลอะไรบ้างจากหน่วยงานใด ซึ่งเชื่อมโยงข้อมูลอยู่กับกระทรวงมหาดไทย พร้อมทั้งให้หน่วยงานดังกล่าวส่งข้อมูลกลับมาที่กระทรวงมหาดไทย และส่งกลับไปยังหน่วยบริการอีกที ในกรณีของธุรกิจอาจจะมีศูนย์กลางเชื่อมโยงและการส่งข้อมูลอยู่กับหน่วยงานอื่นๆ เช่น กรมศุลกากรที่จะดูแลเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ

“ปัจจุบันจากการศึกษาหน่วยงานภาครัฐ ทำให้ทราบว่าภาครัฐจะต้องรองรับกระบวนงานทั้งจากภาคประชาชนและธุรกิจรวมอยู่ที่ 5,217 กระบวนงาน แบ่งเป็นภาคธุรกิจร้อยละ 77 และภาคประชาชนร้อยละ 23 ซึ่งปัจจุบันได้แบ่งกระบวนงานออกเป็นมิติความพร้อมและมีผลกระทบต่อการให้บริการประชาชน โดยส่วนที่มีความพร้อมและมีผลกระทบมากคือมักจะเป็นเรื่องที่ไม่ต้องเชื่อมโยงหลายหน่วยงานและเกี่ยวข้องกับการบริการประชาชนโดยตรงมีอยู่ประมาณ 200 กระบวนงานที่จะเริ่มเร่งผลักดันก่อน” ดร.พิเชฐกล่าว

พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่า ที่ผ่านมาราชการไทยเชื่อมโยงกันไม่ได้เพราะแต่ละกรมกองก็ห่วงข้อมูลของตนเอง คิดว่าส่วนใหญ่น่าจะมาจากความไม่พร้อมของข้อมูลมากกว่าที่ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นข้อมูลดิติทัลแต่แรก เช่น โฉนดที่ดิน และการแปลงข้อมูลให้เป็นระบบดิจิทัลก็ต้องใช้เงินและเวลาดำเนินการมาก นอกจากนี้ แม้หน่วยราชการจะมีข้อมูลเป็นดิจิทัล แต่ยังขาดมาตรฐานที่สอดคล้องกันทำให้เชื่อมโยงไม่ได้ และเรื่องของข้อมูลส่วนบุคคลหรือมีชั้นความลับก็เป็นอุปสรรค ซึ่งต้องแก้ไขกฎระเบียบเรื่องอำนาจหน้าที่ให้สอดคล้องกันทั้งหมด

“หากมีการหวงข้อมูลจริง แต่ในอนาคตเมื่อมีการออกกฎหมายหรือแก้ไขระเบียบให้สอดคล้องกัน หน่อยราชการก็มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามอยู่แล้ว” พล.อ. อนุพงษ์ กล่าว

รับทราบร่างแถลงการณ์ร่วมที่ประชุมอาเซียน สปป.ลาว

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ในการประชุมวันนี้นอกจากมีเรื่องการเชื่อมโยงข้อมูลของดีอีที่ต้องรายงาน ครม.ครั้งสุดท้ายก่อนส่งไม้ต่อให้รัฐบาลหน้าแล้ว ที่ประชุม ครม.ยังรับทราบร่างถ้อยแถลงร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนที่รับผิดชอบงานเยาวชน ครั้งที่ 11 (Joint Ministerial Statement of the Eleventh ASEAN Ministerial Meeting on Youth) และร่างถ้อยแถลงร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนที่รับผิดชอบงานเยาวชน +3 ครั้งที่ 7 (Joint Ministerial Statement of the Seventh ASEAN Plus Three Ministerial Meeting on Youth) ที่จะมีประชุมวันที่ 16 กรกฎาคม 2562 ที่ สปป.ลาว

และเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 52 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสิ้น 19 ฉบับ เช่น ร่างแนวปฏิบัติอันเป็นเลิศและแนวทางที่ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายสำหรับกิจกรรมความร่วมมือในการปกป้องสิ่งแวดล้อมทางทะเลในทะเลจีนใต้, ร่างแผนปฏิบัติการเพื่อดำเนินความร่วมมือหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างอาเซียน-ออสเตรเลีย 2563-2567, ร่างถ้อยแถลงวิสัยทัศน์ร่วมอาเซียนสาธารณรัฐเกาหลีเพื่อสันติภาพ ความเจริญรุ่งเรือง และความเป็นหุ้นส่วน เป็นต้น โดยจะมีการประชุมวันที่ 30 กรกฎาคม 2562 นี้

อ่านมติ ครม. ประจำวันที่ 15 กรกฎาคม 2562เพิ่มเติม