ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯ เตรียมแผนฉีดวัคซีน-ลอตแรกปลาย ก.พ. นี้-มติ ครม. ตั้งงบฯ 2.5 หมื่นล้าน เพิ่มค่าอาหารกลางวันเด็ก 5%

นายกฯ เตรียมแผนฉีดวัคซีน-ลอตแรกปลาย ก.พ. นี้-มติ ครม. ตั้งงบฯ 2.5 หมื่นล้าน เพิ่มค่าอาหารกลางวันเด็ก 5%

9 กุมภาพันธ์ 2021


พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

นายก ฯเตรียมแผนฉีดวัคซีนพร้อม-รับล็อตแรกปลาย ก.พ.นี้-สั่งทุกกระทรวงเตรียมข้อมูล รับศึกอภิปราย – มติ ครม.ตั้งงบ ฯปี 65 กว่า 2.5 หมื่นล้าน เพิ่มค่าอาหารกลางวันนักเรียน 5%-เห็นชอบลงทุนส่วนต่อขยาย “รถไฟฟ้าสายสีชมพู” 4,230 ล้าน-สร้างทางหลวงพิเศษ “เอกชัย – บ้านแพ้ว” อีก 19,700 ล้าน

เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้แนะนำหนังสือ “ความรู้เรื่องเมืองไทย” โดยวิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ให้แก่ที่ประชุม ครม. โดยเห็นว่าเป็นหนังสือที่มีประโยชน์เนื่องจากจะทำให้คนไทยรู้จักประเทศไทยมากขึ้น เข้าใจสังคมไทยมากขึ้น และตระหนักในความเป็นไทย

ปรับประเมินคุณธรรมภาครัฐฯ – ชี้คดี “บอส” เหลือแค่ตามตัว

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงดัชนีการรับรู้การทุจริตของประเทศไทยว่า ตนได้ให้มีการประชุมร่วมกันทั้งในส่วนของส่วนราชการกับในส่วนของภาคประชาชน โดยมีข้อหารือ ถึงกำหนดมาตรการให้เจ้าหน้าที่ของรัฐและแต่ละหน่วยงานและปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวก โดยมีสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สำนักงาน ก.พ.ร.) เป็นเจ้าภาพรวมถึงนายมานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ที่เป็นผู้แทนร่วมในคณะกรรมการ

นอกจากนี้ยังมีการหารือกันถึง การปรับปรุงการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA) ซึ่งเป็นการประเมินที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเพื่อสะท้อนดัชนีวัดภาพลักษณ์คอร์รัปชัน (Corruption Perception Index: CPI ) มากยิ่งขึ้นโดยมีสำนักงาน ก.พ.ร. และสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นหน่วยงานหลัก ขณะเดียวกัน หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องต้องเร่งประชาสัมพันธ์เชิงรุก ถึงผลงานในการป้องกันและปราบปรามทุจริตคอรัปชั่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน โดยเฉพาะคดีของนายบอส อยู่วิทยา ยืนยันไม่นิ่งนอนใจ

“คดีบอส อยู่วิทยา เท่าที่ผมได้รายการมาวันนี้ก็มีการฟ้องร้องคดีใหม่ไปแล้ว มีการออกหมายแดงแล้วเรียบร้อย ขอให้ติดตามได้จากข้อมูลที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ชี้แจงไปบ้างแล้วนะครับ ก็มีความก้าวหน้า การประสานงานกับต่างประเทศต่างๆ ก็ได้ดำเนินการไปครบถ้วนแล้ว เหลือเพียงแต่เมื่อไหร่จะได้ตัวกลับมา ไม่ใช่นิ่งนอนใจไม่ได้เก็บเรื่องไว้ในกระเป๋า ทุกเรื่องนายกฯ เอามาดำเนินการให้หมด”

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของจำนวนคดีอาจจะมีมากขึ้นนั้นขออย่ามองด้านเดียวว่าคดีมากขึ้นเพราะมีการทุจริตมากขึ้น เพราะตามหลักกฎหมายไทยนั้นใครก็ฟ้องได้ แต่เมื่อฟ้องแล้วก็จะอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของศาล ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการตรวจสอบทุจริต ภาครัฐภาคประชาชน ยืนยันว่าทุกอย่างต้องมีหลักฐานตามกระบวนการยุติธรรม

“ไม่อยากให้มันมีปัญหานะครับในการไม่เข้าใจกันต่อไปได้ หลายท่านออกมาพูดว่านายกฯ ไม่ทำอะไรเลย ถ้าไม่ทำมันจะคดีไหม จะมีการหนีคดีหรือเปล่า วันนี้ท่านทุกท่านก็ทราบดีอยู่แล้ว”

สั่งหาช่องขยายวันทำประมง ยันทุกอย่างตามเกณฑ์ “ไอยูยู”

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงกรณีชาวประมงร้องเรียนขอวันทำประมงเพิ่มเติม ว่า กรณีดังกล่าวตนได้สั่งการให้คณะกรรมการพิจารณาตามความเหมาะสมแล้ว ซึ่งจำเป็นต้องดูแลตรงนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงของการแพร่ระบาดโควิด-19

“คณะกรรมการได้พิจารณาไปแล้ว ก็เรียนเพื่อทราบว่ารัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจในการแก้ปัญหาประมง อย่างไรก็ตามยืนยันว่าทุกอย่างก็ยังต้องรักษากฎเกณฑ์ของไอยูยูต่อไป”

เตรียมแผนฉีดวัคซีนพร้อม-รับล็อตแรกปลาย ก.พ.นี้

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงความคืบหน้าเรื่องการฉีดวัคซีนให้กับคนไทย ว่า จากที่ตนได้รับรายงานนั้น ประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ จะส่งมาล็อตแรกจำนวน 200,000 โดส ในเดือนมีนาคมอีก 800,000 โดส และในเดือนเมษายนอีก 1 ล้านโดสตามที่รับการยืนยันมา ซึ่งทางองค์การอาหารและยา (อย.) ของไทยกำลังดำเนินการอยู่ด้วยความรอบคอบการ ส่วนการฉีดนั้นมีแผนไว้แล้ว สำหรับผู้ปฏิบัติงาน กลุ่มเสี่ยง พื้นที่เสี่ยง หรือกิจการที่มีความเสี่ยง

ด้านนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมถึงการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนว่า จากการประชุมของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติมีข้อสรุปว่า ไทยจะได้วัคซีนจากบริษัท ซิโนแวค ไบโอเทค จำกัด (Sinovac Biotech) จำนวน 2 ล้านโดส และในส่วนของแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) อีก 26 ล้านโดสที่ได้จองไปแล้ว และจะมีการจองเพิ่มอีก 35 ล้านโดส รวมทั้งสิ้น 63 ล้านโดส ที่จะสามารถทยอยฉีดให้กับประชาชนคนไทยครอบคลุมประมาณร้อยละ 50 ของประชากรทั้งหมด

โดยจะมีการแบ่งการฉีดออกเป็น 2 ระยะ ระยะแรก จะฉีดให้กับกลุ่มบุคคลดังต่อไปนี้ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าทั้งภาครัฐและเอกชน ประชาชนที่มีโรคประจำตัว ประชาชนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย และก็ประชาชนทั่วไปและแรงงานในพื้นที่ที่มีการระบาด

สำหรับในระยะที่ 2 จะฉีดให้กับประชาชน 7 กลุ่ม ได้แก่ ประชาชนทั่วไป แรงงานในภาคอุตสาหกรรม ผู้ประกอบอาชีพด้านการท่องเที่ยว ผู้เดินทางระหว่างประเทศ นักธุรกิจระหว่างประเทศ นักการทูต เจ้าหน้าที่องค์การระหว่างประเทศ จากนั้นจึงจะมีการฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมายในระยะที่ 1 ในจังหวัดที่เหลือ รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขอื่นๆ ด้วย

“1 คนจะต้องได้รับการฉีด 2 โดส ซึ่งก็จะทยอยเข้ามา ตอนนี้บางส่วนได้ผ่านการขึ้นทะเบียนจาก อย. แล้ว ที่เหลือก็จะมีการดำเนินการแล้วก็จะมีการแจ้งให้ประชาชนได้รับทราบในรายละเอียดเพิ่มเติมต่อไป”

ยันความสัมพันธ์ พปชร-พรรคร่วม ยังเหนียวแน่น

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคพลังประชารัฐ เตรียมโหวตสวนมติพรรคในการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า เรื่องดังกล่าวตนได้ตรวจสอบจากท่านหัวหน้าพรรคไปแล้ว ยืนยันว่าไม่มีเรื่องนี้ ก็เป็นเรื่องของพรรคการเมือง

ต่อกรณีความสามัคคีภายในพรรคพลังประชารัฐ และพรรคร่วมรัฐบาล นายกรัฐมนตรียืนยันว่า ความสัมพันธ์ยังคงเหนียวแน่น เราเหนียวแทนกันด้วยการทำงาน เหนียวแน่นกันด้วยว่าเราจะทำเพื่อประชาชนอย่างไร เพื่อชาติอย่างไร ดำรงไว้ซึ่งสถาบันหลักของเรา ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างไร นี่คือหลักการของรัฐบาล หลักการของนายกรัฐมนตรี และเป็นหลักการของพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดซึ่งร่วมกันทำงานในเวลานี้

วอนอย่าปลุกปั่น ปม “รัฐประหารเมียนมา”

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงกรณีที่มีชาวเมียนมารวมถึงคนไทยร่วมตัวชุมนุมในไทย เพื่อต่อต้านการยึดอำนาจในเมียนมา ว่า ตนไม่อยากให้มีการชุมนุมในเรื่องนี้นะครับ เพราะว่าเป็นเรื่องที่เราต้องมีความระมัดระวังในเรื่องนี้พอสมควร

“ฝากไว้ด้วยสำหรับคนบางกลุ่มที่พยายามเข้าไปยุ่งเกี่ยว ไปยุยงปลุกปั่นอะไรทำนองนี้ ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นโดยเด็ดขาด เพราะเป็นเรื่องของอาเซียนด้วย ผมคงไม่พูดอะไรมากกว่านี้ ส่วนการประชุมการหารือพิเศษร่วมกันตามที่นากรัฐมตรีมาเลเซียและประธานาธิบดีอินโดนีเซียเรียกร้องนั้นกันก็ต้องหาวิธีการว่าจะทำอะไรต่อไป เพื่อให้ทุกอย่างนั้นเดินหน้าไปได้”

แจงพาดพิง “เศรษฐีโทรคมนาคม” ไม่เกี่ยว “ทักษิณ”

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงข้อสงสัยในประเด็นที่ได้กล่าวถึงคนรวยจากโทรคมนาคม เมื่อปี 2530 จนมีการตีความไปถึงนายทักษิณ ชินวัตร ว่า เรื่องของเศรษฐกิจไทยที่ตนพูดมาเช้านี้ คือเรื่องปี 2520-2530 ตนต้องการให้เห็นว่าการพัฒนาประเทศมีการเปลี่ยนแปลงไปจากการเป็นประเทศที่มีรายได้จากภาคเกษตรอย่างเดียวในปี 2520 ในปี 2530 ก็ได้มีการพัฒนาปรับปรุงเปลี่ยนแปลง พัฒนาการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมมากที่ขึ้นจนกระทั่งปัจจุบันนี้ สรุปว่าเราก็ต้องมีสินค้าทั้งสองประเภทเกิดจากการเกษตรกรรม และอุตสาหกรรม

“ในวันนี้เราก็เตรียมการในเรื่องของเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) เข้าไปอีก ไปถึงในเรื่องของดิจิทัล ในเรื่องของเทคโนโลยีต่างๆ วันนี้เราก็เอาผลการวิจัยและพัฒนาออกมาสู่การผลิตสู่การใช้ในภาครัฐและภาคเอกชนต่อไป อย่าตีความที่ผมพูดเป็นเรื่องอื่น”

ต่อคำถามถึงการเปลี่ยนทรงผมใหม่ของนายกรัฐมนตรี พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ยืนยันไม่เกี่ยวกับการถือเคล็ดใด หรือเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจใดๆ ซึ่งในการอภิปรายตนก็พร้อมจะรับฟัง พร้อมชี้แจงในทุกเรื่อง

“ในเรื่องของทรงผมมันก็ขึ้นอยู่กับจำนวนผมที่ผมมีอยู่นะ ก็ยังไม่คุ้นตัวเองอยู่เหมือนกัน ไม่มีเคล็ดอะไรทั้งสิ้น”

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของโครงการต่างๆ ที่เสนอเข้ามาผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการคัดกรองไปแล้ว ไม่วาจะเป็นเงินกู้ หรือในเรื่องของคณะกรรมการ ในเรื่องของสำนักงบประมาณ ในนเรื่องของการใช้จ่ายงบกลาง งบประจำรายจ่ายประจำก็ตาม ขณะนี้กำลังพิจารณาอยู่ตามลำดับความเร่งด่วนของการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี 2564

โดยยืนยันว่า รัฐบาลนี้มุ่งหวังที่จะดูแลประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่ายทุกภาคส่วนทุกจังหวัดทุกพื้นที่ทุกท้องถิ่นเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังนะครับ นโยบายของรัฐบาลนี้คือเราจะร่วมมือกันในการที่จะทำให้ประเทศไทยเราเข้มแข็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจฐานราก เราต้องหาเป้าหมายให้เจอ หาศักยภาพให้พบ และหากลุ่มที่เราต้องดูแลสนับสนุนเขาอย่างไรเพื่อให้เขามีรายได้ที่พอเพียง เพราะว่าโลกกำลังเปลี่ยนค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ก็ทำควบคู่ไปกับการสร้างความเข้มแข็งให้กับตัวเอง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเองรวมไปถึงการใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในเรื่องของความมีเหตุมีผล ความพอประมาณ มีภูมิคุ้มกันที่ดี ความรู้และคุณธรรม สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลยืนยันว่าทำงานด้วยหลักการนี้มาตลอดเวลาที่ผ่านมาจนถึงวันนี้

“ขอให้มีความสุขในช่วงตรุษจีนนะครับซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้ ขอให้มีความสุขสุขภาพแข็งแรง ได้ลาภยศสรรเสริญทุกประการทั้งคนไทยเชื้อสายจีนและประชาชนชาวจีนด้วยนะครับ”

มติ ครม. มีดังนี้

ผศ. ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประสำนักนายกรัฐมนตรี และนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ซ้าย-ขวา)
ที่มาภาพ www.thaigov.go.th

ชู BCG โมเดลขับเคลื่อน ศก.ไทย–ก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก่อนการประชุมคณะ ครม. นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมนิทรรศการผลงาน Bio-Circular-Green Economy หรือ BCG: พลังเศรษฐกิจใหม่ พัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน” ประกอบด้วย “ผลิตภัณฑ์น้ำตาลไอโซโมทูโลส, นวัตกรรมช่วยควบคุมระดับน้ำตาลให้สมดุล” “ผลิตภัณฑ์ไบโอเมทานอลจากวัตถุดิบเหลือทิ้ง” และ“ผลิตภัณฑ์สมุนไพรจากสารสกัดตรีผลา” โดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยนายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ร่วมในครั้งนี้ด้วย

นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนที่มีส่วนร่วมช่วยกันขับเคลื่อน BCG Model ทำให้เกิดการพัฒนาวิจัยผลงานต่างๆ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถขยับสถานะเป็นประเทศที่มีรายได้สูง หลุดพ้นจากประเทศกับดักรายได้ปานกลาง ที่สำคัญคือ มุ่งลดความเหลื่อมล้ำภายในประเทศ กระจายรายได้ ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก เช่น การส่งเสริมเกษตรกรด้วยการนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ มาทำให้เกิดคุณค่าแทนการเผาทิ้ง ซึ่งจะช่วยลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 และการปล่อยก๊าซ CO2 ซึ่งเป็นวิกฤตระดับโลกอีกด้วย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังเสนอให้ดึงทรัพยากรทางชีวภาพที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ทั้ง 6 ภาค มาใช้ประโยชน์เพื่อให้ประชาชนในชุมชนได้ใช้ประโยชน์จาก BCG Model ให้มากที่สุด ทั้งนี้ ต้องเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างรัฐบาล ส่วนราชการและภาคเอกชนด้วย นายกรัฐมนตรียังย้ำในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ว่า ได้ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเดินหน้าปรับหลักเกณฑ์การลงทุนเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ส่งเสริม “ไทยลงทุนไทย” พร้อมทั้งปรับแก้กฎหมายต่างๆ เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงโอกาสมากยิ่งขึ้น หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดคลี่คลายลงไทยจะเป็นประเทศที่ “ล้มแล้วลุกไว”

นายกรัฐมนตรียังกล่าวเชิญชวนให้ทุกคนช่วยกันใช้ผลิตภัณฑ์จาก BCG Model เช่น น้ำตาลพาลาทีนสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ผลิตภัณฑ์สมุนไพรในรูปแบบยาสีฟันและแชมพูสระผม พร้อมยินดีร่วมประชาสัมพันธ์ด้วยนำผลิตภัณฑ์มาใช้เองด้วย

สั่งทุกกระทรวงเตรียมข้อมูล รับศึกอภิปราย

นายอนุชา กล่าวต่อว่า ก่อนการประชุม ครม. พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้คณะรัฐมนตรีเตรียมความพร้อมในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ร่วมถึงนายกรัฐมนตรีด้วยในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะมีการเลื่อนประชุม ครม. จากปกติในวันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 มาเป็นวันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 แทน เนื่องจากมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลต่อเนื่อง 4 วัน ตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงคืนทุกวัน และจะมีการลงมติกันในวันสุดท้าย โดย นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องและรับผิดชอบไปจัดเตรียมข้อมูล รวมทั้งรัฐมนตรีในกระทรวงต่างๆที่ไม่อยู่ในรายชื่อถูกอภิปราย ก็ขอให้ไปจัดเตรียมข้อมูลด้วยเช่นกัน

ตั้งงบ ฯปี 65 กว่า 2.5 หมื่นล้าน เพิ่มค่าอาหารกลางวันนักเรียน 5%

นายอนุชากล่าวต่อว่า ส่วนในวันนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบหลักการของการปรับค่าอาหารกลางวันของนักเรียนเพิ่มอีกร้อยละ 5 เป็นอัตรา 21 บาท/คน/วัน ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 สำหรับโครงการอาหารกลางวันของนักเรียน ระดับชั้นอนุบาลปีที่ 1 ถึงระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งมีจำนวนโรงเรียน 49,861 โรงเรียน และจำนวนนักเรียน 5,894,420 คน ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 25,436 ล้านบาท ซึ่งจะแบ่งอุดหนุนให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 23,562 ล้านบาท และจัดสรรให้สำนักปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สำหรับนักเรียนเอกชนอีก 1,874 ล้านบาท

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ค่าอาหารกลางวันของนักเรียนครั้งนี้ ปรับเพิ่มเฉลี่ยร้อยละ 5 เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ ค่าใช้จ่าย และค่าวัตถุดิบในการประกอบอาหารที่มีราคาสูงขึ้น และคำนึงถึงปริมาณและคุณค่าทางโภชนาการในการประกอบอาหารกลางวันให้แก่นักเรียน ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการปรับค่าอาหารกลางวันของนักเรียนอัตราใหม่ได้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้ และจะทันต่อการเปิดเทอมครั้งที่ 2 ในปีการศึกษา 2564 ในวันที่ 1 พฤศจิกายน นี้ด้วย

ผ่านร่าง พ.ร.บ.การศึกษา 3 ฉบับ ส่งกฤษฎีกาตรวจถ้อยคำ

นายอนุชากล่าวว่า เรื่องถัดมา ที่ประชุม ครม. เห็นชอบการพิจารณาความสอดคล้องของร่างพระราชบัญญัติ 3 ฉบับ คือ 1. ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. … 2. ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. … ซึ่งทั้งสองฉบับเกี่ยวข้องกับรัฐบาล และ 3. ร่าง พ.ร.บ.ให้ประชาชนเข้าชื่อ เพื่อเสนอรัฐบาลพิจารณา โดยนายกฯได้มีการพูดคุยเมื่อสัปดาห์ก่อน โดย ครม. ได้มีมติเห็นชอบ และมอบหมายให้คณะกรรมการกฤษฎีกาไปตรวจถ้อยคำและรายละเอียดของร่าง พ.ร.บ. ทั้ง 3 ฉบับ เพื่อนำเสนอ ครม. ครั้งถัดไป

รับทราบข้อเสนอวุฒิฯ จัดการศึกษา รองรับ “New Normal”

นายอนุชากล่าวว่า นอกจากนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ได้รับทราบข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเร่งด่วนของคณะกรรมาธิการการศึกษา วุฒิสภา ว่าด้วยการบริหารการจัดการศึกษาในช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่เหมาะสมกับสังคมไทย โดยมีข้อเสนอแนะทั้งมาตรการเร่งด่วนและมาตรการระยะยาว อาทิ มาตรการเร่งด่วนกระทรวงศึกษาธิการ ควรกระจายอำนาจจากส่วนกลางไปยังศึกษาธิการจังหวัด เพื่อให้เขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษาร่วมตัดสินใจวางแผน เลือกรูปแบบการจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับบริบทบนพื้นฐานความปลอดภัยของนักเรียนและบุคลากรภายในโรงเรียนภายใต้ “ความปกติใหม่” จัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจ โควิด-19 ทุกสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา

สำหรับ มาตรการระยะยาว จัดทำหลักสูตรป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อโควิด-19 หรือ โรคติดต่ออื่นๆ กำหนดมาตรการเปิด-ปิดโรงเรียนให้สอดคล้อง และยืดหยุ่นต่อความรุนแรงของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จัดเตรียมอุปกรณ์ให้นักเรียนที่มีความเสี่ยงที่จะเสียโอกาสจากการเรียนทางไกล ในกรณีที่โรงเรียนต้องปิดเพราะพื้นที่มีการระบาดรุนแรง เป็นต้น ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการได้บริหารการจัดการศึกษาในช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ตามข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเร่งด่วน รวมทั้งได้กำหนดกำหนดมาตรการระยะยาวเพื่อรองรับสถานการณ์อื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันไว้แล้ว

ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กำหนดแนวทางการจัดการเรียนการสอนทางไกล ใน 4 ระยะ คือ

  • ระยะที่ 1 การเตรียมความพร้อม สำรวจความพร้อมในด้านอุปกรณ์การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต การขออนุมัติการใช้ช่องรายการโทรทัศน์ระบบดิจิทัลจาก
  • ระยะที่ 2 การทดลองจัดการเรียนการสอนทางไกล ผ่านช่องรายการโทรทัศน์ในระบบดิจิทัล โดยการแพร่สัญญาณจาก DLTV
  • ระยะที่ 3 การจัดการเรียนการสอน หากสถานการณ์คลี่คลายให้ดำเนินการเรียนการสอนปกติในโรงเรียนโดยให้เว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) และ
  • ระยะที่ 4 การทดสอบและศึกษาต่อ ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบและคัดเลือกเข้าศึกษาต่อ นอกจากนี้ ยังเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจผู้บริหาร ครู นักเรียน ผู้ปกครอง ในการผลิตสื่อและเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อรองรับการจัดการเรียนการสอนทางไกลของโรงเรียน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กรณีที่จัดการเรียนการสอนแบบปกติ (Onsite) ต้องปฏิบัติตามมาตรการทั้ง 6 ข้อของสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด 1) วัดไข้ 2) ใส่หน้ากาก 3) ล้างมือ 4) เว้นระยะห่าง 5) ทำความสะอาด และ 6) ลดความแออัด

นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรียังรับทราบรายงานของคณะกรรมาธิการการศึกษาวุฒิสภา เรื่อง แนวทางการบริหารจัดการการศึกษาหลักสูตรอาชีวศึกษาในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และโรคอุบัติใหม่ โดยกรณีที่ไม่มีการระบาดของ COVID-19 หรือโรคติดเชื้อไวรัสชนิดอื่น สถานศึกษาอาชีวศึกษาทุกแห่งดำเนินการจัดการศึกษาในรูปแบบ Onsite เพื่อให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับครูผู้สอนเป็นการจัดการศึกษาในลักษณะเต็มรูปแบบตามหลักสูตรอาชีวศึกษา และกรณีที่มีการระบาดของ COVID-19 หรือโรคติดเชื้อไวรัสชนิดอื่น ให้สถานศึกษาอาชีวศึกษาจัดการศึกษาที่หลากหลาย ทั้งในรูปแบบ Onsite ควบคู่ไปกับรูปแบบ On-Air และแบบ Online โดยคำนึงถึงปัจจัยแวดล้อมและความพร้อมของสถานศึกษาอาชีวศึกษาแต่ละแห่ง

ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) จะร่วมกับสถานศึกษา จัดทำคู่มือสร้างความเข้าใจและการเรียนการสอนตามหลักสูตร พัฒนาครูผู้สอนและพัฒนาผู้เรียน ให้เอื้อต่อการเรียนรู้ในวิถีความปกติใหม่ (New Normal) เพื่อให้สถานศึกษาอาชีวศึกษาผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษาให้มีสมรรถนะและตอบสนองความต้องการของสถานประกอบการและตลาดแรงงานได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

อนุมัติ 8.8 พันล้าน จ่ายประกันรายได้สวนปาล์มโลละ 4 บาท

ผศ. ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติโครงการประกันรายได้แก่เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันปี 2564 วงเงิน 8,807 ล้านบาท ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยยังคงเงื่อนไขการจ่ายเงินเหมือนกับปี 2662-2563 คือจ่ายให้เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร ประกันรายได้ครัวเรือนละไม่เกิน 25 ไร่ กิโลกรัมละ 4 บาท ระยะเวลาโครงการตั้งแต่มกราคม-กันยายน 2564

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวอีกว่า เบื้องต้นกระทรวงพาณิชย์ขอจัดสรรงบประมาณ 4,613 ล้านบาท เนื่องจากราคาตลาดของปาล์มน้ำมันปรับตัวสูงกว่าราคาประกันรายได้ ซึ่งราคาประกันอยู่ที่กิโลกรัมละ 4 บาท ขณะที่ราคาตลาดเฉลี่ย 6.90 บาท

จัดงบฯ 2.8 หมื่นล้าน จ่ายชาวนาไร่ละ 500 บาท

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติเพิ่มกรอบวงเงินงบประมาณโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 จำนวน 28,046 ล้านบาท โดยสนับสนุนทุนการผลิตและการดูแลรักษาข้าวในอัตราไร่ละ 500 บาท สูงสุดไม่เกิน 20 ไร่ หรือไม่เกิน 10,000 บาทต่อครัวเรือน ระยะเวลาโครงการตั้งแต่เดือน สิงหาคม 2563 – พฤษภาคม 2564

นอกจากนี้ ครม. มีมติเห็นชอบจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 188.95 ล้านบาท สำหรับโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต๊อก ในส่วนที่ยังไม่ได้รับการเบิกจ่ายของปีการผลิต 2560/61 จำนวน 2.2 แสนบาท และปีการผลิต 2561/62 จำนวน 188.73 ล้านบาท

ต่อมาตรการหนุนเขต ศก.พิเศษชายแดนภาคใต้ถึงสิ้นปี 66

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติการขยายเวลามาตรการสำหรับเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ออกไปอีก 3 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 – 31 ธันวาคม 2566 จากเดิมที่สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2563 โดยพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจฯ ประกอบด้วย จังหวัดยะลา จังหวัดปัตตานี จังหวัดนราธิวาส จังหวัดสตูล และ 4 อำเภอ ของจังหวัดสงขลา คือ อำเภอจะนะ อำเภอนาทวี อำเภอสะบ้าย้อย อำเภอเทพา

โดยมาตรการที่ขยายเวลาออกไปอีก 3 ปี ประกอบด้วย 3 ด้าน คือ

  1. มาตรการทางภาษีและค่าธรรมเนียม เช่น ลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เหลือร้อยละ 0.1 ลดภาษีเงินได้นิติบุคคล เหลือร้อยละ 3 ลดภาษีเงินได้ หัก ณ ที่จ่าย และภาษีธุรกิจเฉพาะ(จากการขายอสังหาริมทรัพย์) เหลือร้อยละ 0.1 ลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของผู้มีความสามารถสูง เหลือร้อยละ 3 รวมถึงลดค่าธรรมเนียมการโอนอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายที่ดินในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ เหลือร้อยละ 0.01 และลดค่าธรรมเนียมการโอนอสังหาริมทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ เหลือร้อยละ 0.01
  2. มาตรการด้านการเงินคือ มาตรการพักชำระหนี้ของ ธ.ก.ส. โดยลูกค้าที่เคยเข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้และยังมีหนี้คงเหลือ ไม่ต้องชำระเงินต้น และรัฐบาลจะเป็นผู้ชำระดอกเบี้ยแทนไม่เกิน 200,000 บาท เป็นระยะเวลา 3 ปี และมาตรการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของ ธอส. ขยายวงเงินเป็น 8,000 ล้านบาท
  3. มาตรการด้านประกันภัย ได้แก่ โครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากภัยก่อการร้ายในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจฯ โครงการเมืองต้นแบบ สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยภาครัฐจะชดเชยค่าเบี้ยประกันภัย สำหรับการประกันภัยความเสี่ยงโดย ครม. ยังเห็นชอบให้จัดสรรงบกลาง ปี 2564 จำนวน 50 ล้าน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนนี้

ชะลอเรียกคืนเบี้ยคนชรากว่า 6,700 คน

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวถึงผู้สูงอายุกว่า 6,700 คน ถูกเรียกเงินคืนกรณีเบี้ยคนชราว่า ครม. ได้ทราบข้อเสนอจากคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว โดยแบ่งเป็น 2 ประเด็นสำคัญ ได้แก่

  • ชะลอการดำเนินการเรียกคืนเบี้ยยังชีพคืนจากผู้สูงอายุที่มีความซ้ำซ้อนกับสวัสดิการอื่น
  • ให้กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น กทม. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา หาแนวทางช่วยเหลือเยียวยาผู้สูงอายุ และช่วยกันกำหนดเกณฑ์กลางให้สอดคล้องกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และหาแนวทางแก้ไขปัญหา

เห็นชอบลงทุนส่วนต่อขยาย “รถไฟฟ้าสายสีชมพู” 4,230 ล้าน

นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. เห็นชอบการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนการออกแบบและการก่อสร้างงานโยธา การจัดหาระบบรถไฟฟ้า การให้บริการการเดินรถไฟฟ้าและซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี กรณีโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช-เมืองทองธานี

สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช-เมืองทองธานี นี้นั้นมีกรอบวงเงินลงทุน 4,230.09 ล้านบาท ซึ่งทางการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และบริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด (NBM) ผู้รับสัมปทาน โดยได้มีการเจรจาต่อรองเงื่อนไขต่างๆ ของโครงการฯ เพื่อแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนโครงการ พร้อมทั้งเสนอคณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย คณะกรรมการกำกับดูแลโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี พิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และหลังจากที่การแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนแล้วเสร็จ รฟม. จะดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์ และการขอใช้พื้นที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งมอบให้ผู้รับสัมปทานดำเนินการก่อสร้างส่วนต่อขยายตามแผนงานต่อไป

ซึ่ง รฟม. ได้ศึกษารายละเอียดความเหมาะสมของโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช-เมืองทองธานี พบว่า โครงการเป็นประโยชน์ต่อการให้บริการและการดำเนินงานของรฟม.รวมทั้งเป็นประโยชน์สาธารณะ และสอดคล้องกับโครงข่ายระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในภาพรวม โดยแนวเส้นทางโครงการส่วนต่อขยาย มีจุดเริ่มต้นบนถนนแจ้งวัฒนะเชื่อมต่อกับสถานีศรีรัช (PK-10) ของโครงการส่วนหลัก ก่อนเลี้ยวขวาวิ่งเข้าสู่พื้นที่เมืองทองธานีไปตามถนนแจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 39 ขนานกับทางพิเศษอุดรรัถยา ผ่านวงเวียนเมืองทองธานี ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานี MT-01 และวิ่งต่อเนื่องไปยังจุดสิ้นสุดโครงการบริเวณทะเลสาบเมืองทองธานี ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานี MT-02 ระยะเวลาก่อสร้าง 37 เดือน เปิดให้บริการ เดือนกันยายน 2567 มีผลตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจ หรือ EIRR ร้อยละ 12.9 ผลตอบแทนด้านการเงิน หรือ FIRR ร้อยละ 7.1 ประมาณการผู้โดยสาร ณ ปีที่เปิดให้บริการ 13,785 คน-เที่ยว/วัน

สำหรับสาระสำคัญของการแก้ไขสัญญาประกอบด้วย

  • ประเด็นเรื่องการปรับปรุงรูปแบบสถานีศรีรัช NBM ยอมรับในการดำเนินการก่อสร้างสถานีศรีรัช รวมทั้งส่วนปรับปรุงและรับผิดชอบค่าก่อสร้างที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงงานทั้งหมด ประเด็นเรื่องการจ่ายเงินค่าตอบแทนให้แก่ รฟม. ตามสัญญาร่วมลงทุน ทาง NBM ยังคงชำระค่าตอบแทนให้แก่ รฟม. ตามสัญญาโครงการส่วนหลัก และจะชำระผลตอบแทนเพิ่มเติมกรณีรวมโครงการส่วนหลักและส่วนต่อขยายให้แก่ รฟม.โดยอ้างอิงปริมาณผู้โดยสารในสัญญาโครงการส่วนหลัก
  • ประเด็นอัตราค่าโดยสารและการปรับอัตราค่าโดยสาร ทาง NBM ยอมรับการกำหนดอัตราค่าโดยสารและการปรับอัตราค่าโดยสารของโครงการส่วนต่อขยายให้สอดคล้องตามหลักการในสัญญาโครงการส่วนหลัก
  • ประเด็นเรื่องการดำเนินโครงการส่วนต่อขยายจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อระยะเวลาดำเนินการตามสัญญาโครงการส่วนหลัก ทางNBM ยอมรับให้คงระยะเวลาดำเนินโครงการส่วนหลักในระยะที่ 1 และ 2 ตามสัญญาโครงการส่วนหลัก ถึงแม้จะมีการก่อสร้างของโครงการส่วนต่อขยาย
  • ประเด็นเรื่อง การให้รฟม.มีส่วนแบ่งผลตอบแทนจากการเชื่อมต่อกับอาคารและพื้นที่ของเมืองทองธานี NBM จะดำเนินการภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยต้องได้รับการอนุมัติเป็นลายลักษณ์อักษรจาก รฟม. ก่อน และสิทธิในรายได้จากการพัฒนาเชิงพาณิชย์รวมถึงการเชื่อมต่อ เป็นไปตามสัญญาส่วนหลัก
  • ประเด็นผู้รับสัมปทานมีหน้าที่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตจากการดำเนินโครงการส่วนต่อขยาย ทาง NBM จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายอื่นๆ ทั้งหมด ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตจากการดำเนินโครงการส่วนต่อขยาย

“ที่ประชุม ครม. พิจารณาเห็นว่าในส่วนของโครงการต่อขยายจะเป็นการเชื่อมต่อการเดินทางจากรถไฟฟ้าเส้นหลักกับการเข้าพื้นที่เมืองทองธานี ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัย เป็นสถานที่ราชการ อาคารสำนักงาน มหาวิทยาลัย ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม ซึ่งจะมีการเดินทางเข้าออกพื้นที่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงจะเป็นการช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพโครงข่ายขนส่งมวลชนในภาพรวมอีกด้วย”

อนุมัติสร้างทางหลวงพิเศษ “เอกชัย – บ้านแพ้ว” 19,700 ล้าน

นางสาวไตรศุลีกล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีอนุมัติดำเนินงานก่อสร้างโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 82 สายบางขุนเทียน-บ้านแพ้ว ช่วงเอกชัย-บ้านแพ้ว ในส่วนของงานโยธาวงเงินค่าก่อสร้างทั้งสิ้น 19,700 ล้านบาท ระยะทางรวม 16.4 กิโลเมตร ระยะเวลาดำเนินการระหว่างปี 2564-2567 เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาจราจรติดขัดและเป็นการแบ่งเบาปริมาณการจราจรบนถนนทางหลวงหมายเลข 35 (ถนนพระราม 2) และก็จะเป็นการเพิ่มโครงข่ายการเดินทางสู่พื้นที่ภาคใต้

มีรูปแบบของการก่อสร้างเป็นทางยกระดับบนเกาะกลางของทางหลวงถนนพระราม 2 ขนาด 6 ช่องจราจร ทิศทางละ 3 ช่องจราจร มีจุดขึ้นลง 4 แห่ง ได้แก่ ด่านมหาชัย ด่านสมุทรสาคร 1 ด่านสมุทรสาคร 2 และด่านบ้านแพ้ว สำหรับอัตราค่าธรรมเนียมค่าผ่าน แบ่งออกเป็น รถยนต์ 4 ล้อ อัตราแลกเข้า 10 บาท โดยจะเพิ่มขึ้น 2 บาทต่อกิโลเมตร ส่วนรถ 6 ล้ออัตราแลกเข้า 16 บาท จะเพิ่มขึ้น 3.2 บาทต่อกิโลเมตร และรถมากกว่าหกล้อ มีอัตราแรกเข้า 23 บาท จะเก็บเพิ่มขึ้น 46 บาทต่อกิโลเมตร โดยจะมีการเก็บค่าอัตราค่าผ่านทางในระบบ M-Flow คือเป็นการจัดเก็บค่าผ่านทางแบบอัตโนมัติโดยไม่มีไม้กั้น

ทั้งนี้ จะใช้จ่ายเงินทุนค่าธรรมเนียมค่าผ่านทางตามแผนประมาณการรายจ่ายที่จะขอทำความตกลงกับกระทรวงคมนาคมภายหลังจากที่ได้รับการอนุมัติจาก ครม. ตามขั้นตอนต่อไป ซึ่งรูปแบบการลงทุนจะใช้รูปแบบของการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (พีพีพี)

“คาดว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจโดยมีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ เท่ากับ 23,264 ล้านบาท อัตราผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 19.7 อย่างไรก็ตามในส่วนของผลตอบแทนทางการเงินนั้น มีความเหมาะสมและมีความคุ้มค่าต่อการลงทุนทางการเงินในเกณฑ์ต่ำ โดยมีอัตราผลตอบแทนทางการเงินร้อยละ 2.6 แต่เมื่อพิจารณาผลตอบแทนทางการเงินของโครงการตลอดทั้งสายคือช่วงบางขุนเทียน-เอกชัย-บ้านแพ้ว พบว่ามีความเหมาะสมและมีความคุ้มค่าต่อการลงทุนทางการเงิน โดยมีอัตราผลตอบแทนทางการเงินร้อยละ 7.1”

ยกเลิก กม.เก่า 7 ฉบับ

นางสาวไตรศุลีกล่าวว่า ครม. พิจารณาให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ยกเลิกกฎหมายบางฉบับ โดยคณะกรรมการพัฒนากฎหมายได้พิจารณากฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันแล้วเห็นว่า มีกฎหมายบางฉบับที่หมดความจำเป็นและไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบันหรือมีความซ้ำซ้อนกับกฎหมายอื่นที่ตราขึ้นในภายหลัง จำนวน 7 ฉบับ

ดังนั้น เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามบทบัญญัติใน ม.77 ของ รธน. จึงได้จัดทำร่าง พ.ร.บ. เพื่อยกเลิกกฎหมายซึ่งมีลักษณะดังกล่าว รวม 7 ฉบับ ได้แก่

  1. พ.ร.บ.จัดการฝึกและอบรมเด็กบางจำพวก พุทธศักราช 2479
  2. พ.ร.ก.ควบคุมและดำเนินงานภารธุระการทำเหมืองแร่ทองคำ พุทธศักราช 2483
  3. พ.ร.บ.ส่งเสริมกิจการไฟฟ้า พุทธศักราช 2484
  4. พ.ร.บ.กำหนดวิธีปฏิบัติแก่บุคคลซึ่งเผยแพร่ข่าวอันเป็นการทำให้เสียสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศไทยกับประเทศที่มีสนธิสัญญาทางไมตรีกับประเทศไทย ในภาวะสงคราม พุทธศักราช 2488
  5. พ.ร.บ.กำหนดวิธีการระงับการค้ากำไรเกินสมควรจากราชการ พ.ศ. 2491
  6. พ.ร.บ.จัดการฝึกและอบรมเด็กบางจำพวก (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2501
  7. พ.ร.บ.การผลิตผลิตภัณฑ์ซีดี พ.ศ. 2548

จัดงาน 100 ปี สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส

นางสาวไตรศุลีกล่าวว่า ครม. เห็นชอบการจัดกิจกรรม “พระมหาสมณานุสรณ์” โดยรัฐบาลไทย และองค์การยูเนสโกร่วมฉลอง 100 ปี แห่งการสิ้นพระชนม์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พุทธศักราช 2564 โดยให้หน่วยราชการแต่ละหน่วยใช้งบประมาณของตนเองในปีงบประมาณ 2564 ในการดำเนินงานหรือทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อจัดทำงบประมาณเพิ่มเติมได้ พร้อมให้แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการจัดกิจกรรมฯ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน

โดยจะมีกิจกรรม เช่น การจัดนิทรรศการเผยแพร่พระประวัติ วัตรปฏิบัติ และพระกรณียกิจของพระมหาสมณเจ้าฯ ซึ่งเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 10 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และทรงมีพระคุณูปการทั้งด้านการศาสนา การบริหารจัดการคณะสงฆ์ และการศึกษาของประเทศชาติ ทรงเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร.) ทรงมีพระนิพนธ์ด้านวิชาการทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ

อ่านมติ ครม. ประจำวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564เพิ่มเติม