ThaiPublica > ประเด็นสืบสวน > เตรียมเสนอ สนช. แก้ กม. ปลดล็อกประมูลดิวตี้ฟรีต้นปี’62 ไม่ต้องปฏิบัติตาม “พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ” ประชุมนัดพิเศษ 25 ธ.ค. นี้

เตรียมเสนอ สนช. แก้ กม. ปลดล็อกประมูลดิวตี้ฟรีต้นปี’62 ไม่ต้องปฏิบัติตาม “พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ” ประชุมนัดพิเศษ 25 ธ.ค. นี้

24 ธันวาคม 2018


นายประภาศ คงเอียด
ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กระทรวงการคลัง

ตามที่นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ “ทอท.” ได้ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทยว่า ทอท. เตรียมนำร่าง TOR โครงการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (ดิวตี้ฟรี) และโครงการบริหารจัดการพื้นที่เชิงพาณิชย์ในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและภูมิภาค เพื่อเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการ ทอท. ในเดือนมกราคม 2562 และคาดว่าจะได้ผู้ชนะการประมูลในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2562 นั้น

ทางสำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า ได้นำประเด็นดังกล่าวนี้ไปสอบถามนายประภาศ คงเอียด ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กระทรวงการคลัง ว่า ทอท. ได้เสนอโครงการดังกล่าวให้คณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (คณะกรรมการ PPP) พิจารณาหรือยัง

ต่อประเด็นนี้นายประภาศกล่าวว่า ที่ผ่านมา ทอท. ยังไม่ได้นำเสนอโครงการดังกล่าวนี้ต่อที่ประชุมคณะกรรมการ PPP เลย กรณีที่มีข่าว ทอท. เตรียมเสนอร่าง TOR ดังกล่าวต่อที่ประชุมบอร์ด ทอท. ช่วงเดือนมกราคม 2562 นั้น เข้าใจว่าเรื่องนี้ยังเป็นแค่แนวทางหนึ่งของ ทอท. เท่านั้น ทั้งนี้ ตาม พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 ได้กำหนดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการร่วมลงทุนต้องปฏิบัติตามขั้นตอนและกระบวนการที่กำหนดในกฎหมายฉบับนี้ (กฎหมาย PPP) ไม่ว่าจะเป็นกรณีของการให้เอกชนใช้ทรัพย์สินหรือให้เช่าพื้นที่ต่อ ซึ่งแตกต่างจาก ร่างพ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. …. ซึ่งอยู่ระหว่างการนำเสนอต่อที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยกฎหมาย PPP ฉบับใหม่จะไม่ครอบคลุมถึงเรื่องการใช้ประโยชน์ทรัพย์สินของหน่วยงานหรือการให้เช่าต่อ จึงไม่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย PPP ตนเข้าใจว่า ทอท. น่าจะเปิดประมูลโครงการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ภายหลังกฎหมาย PPP ฉบับใหม่มีผลบังคับใช้แล้ว

“แม้ ทอท. จะมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินราชพัสดุ หากมีการดำเนินโครงการร่วมลงทุนกับเอกชนในกิจการที่เกี่ยวกับการจัดทำโครงสร้างพื้นฐาน ก็ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ปี 2556 ซึ่งแตกต่างจากร่างกฎหมาย PPP ฉบับใหม่ ใช้บังคับเฉพาะกรณีที่มีการลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น แต่ไม่ครอบคลุมถึงกรณีการใช้ทรัพย์สินหรือให้เช่าต่อ ดังนั้น ในกรณีการให้เช่าหรือใช้ทรัพย์สิน จึงไม่ต้องปฏิบัติตามร่างกฎหมาย PPP ฉบับนี้ การนำเสนอโครงการและการอนุมัติจึงเป็นอำนาจหน้าที่ ความรับผิดชอบ และระเบียบของหน่วยงานนั้น นายประภาศกล่าว

  • นายกฯ เตือน “มาร์ค” ระวังคำพูด ชี้ให้รอดูวันเลือกตั้ง – มติ ครม. ผ่านกฎหมาย PPP ใหม่ เน้นส่งเสริม-รวดเร็ว-ชัดเจน-โปร่งใส
  • “บิ๊กตู่” ไม่หวั่นชุมนุมหลังปลดล็อก เชื่อประชาชนคิดได้ – มติ ครม. อัดฉีดงบฯ 7,000 ล้าน พัฒนาเศรษฐกิจอีสานตอนบน
  • ส่วนความคืบหน้าในกระบวนการผ่านร่าง พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนฉบับใหม่ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนใดนั้น นายประภาศกล่าวว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้ถือเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล หลังจากที่ประชุม ครม. วันที่ 13 ธันวาคม 2561 มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.การร่วมลงทุนฯ ทางสำนักนายกรัฐมนตรีได้ส่งเรื่องเสนอที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาตินัดพิเศษ พิจารณาวาระแรกในวันอังคารที่ 25 ธันวาคม 2561 เวลา 13.00 น. คาดว่าร่างกฎหมายฉบับนี้จะผ่านการพิจารณาของ สนช. และมีผลบังคับใช้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2562

    สำหรับเหตุผลความจำเป็นที่ต้องมีการแก้ไข พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 เนื่องจากกฎหมายร่วมลงทุนฯ ที่มีผลบังคับใช้ในปัจจุบันกำหนดขอบเขตโครงการที่ให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐไว้อย่างกว้างขวาง ทำให้โครงการร่วมลงทุนที่ไม่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะต้องปฏิบัติตามกระบวนการตามที่กำหนดในกฎหมาย โดยเฉพาะมาตรา 7 กำหนดว่า “พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้กับการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ ยกเว้นการให้สัมปทานตามกฎหมายปิโตรเลียม และการให้ประทานบัตรทำเหมืองแร่” ทำให้โครงการร่วมลงทุนระหว่างเอกชนกับรัฐทุกโครงการต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กำหนดใน พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนฯ ปี 2556 ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ระดับ กล่าวคือ โครงการขนาดเล็กที่มีมูลค่าการลงทุนต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในประกาศว่าด้วยการให้เอกชนร่วมลงทุนฯ โดยรัฐมนตรีกระทรวงต้นสังกัดเป็นผู้มีอำนาจพิจารณาอนุมัติ, โครงการขนาดกลางที่มีมูลค่า 1,000-5,000 ล้านบาท กลุ่มนี้จะมีการใช้ดุลยพินิจพิจารณาว่า โครงการร่วมลงทุนประเภทใด ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ใน ประกาศว่าด้วยการให้เอกชนร่วมลงทุนฯ หรือต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของ พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ปี 2556 ส่วนโครงการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าเกิน 5,000 ล้านบาท ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.ร่วมลงทุนฯ ปี 2556

    ดังนั้น เพื่อให้การกำหนดขอบเขตของโครงการที่อยู่ในข่ายต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น กระทรวงการคลังจึงนำเสนอร่าง พ.ร.บ.การแก้ไขกฎหมายร่วมทุนฯ ฉบับเดิม โดยปรับปรุงบทบัญญัติในมาตรา 7 ใหม่ กำหนดให้โครงการร่วมลงทุนที่เกี่ยวกับจัดทำโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะต้องปฏิบัติตามกระบวนการของ พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ แต่ไม่รวมถึงโครงการที่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติหรือทรัพย์สินของรัฐ

    สำหรับโครงการร่วมลงทุนที่อยู่ภายใต้ร่าง พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ฉบับใหม่ ยังแบ่งการดำเนินโครงการออกเป็น 2 ระดับ คือ 1) โครงการที่มีมูลค่าตั้งแต่ 5,000 ล้านบาทขึ้นไป ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในร่าง พ.ร.บ. ฉบับใหม่ (ร่างมาตรา 8) และ 2) โครงการที่มีมูลค่าต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท ให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการประกาศกำหนด (ร่างมาตรา 9)

    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม