ThaiPublica > เกาะกระแส > “บิ๊กตู่” ไม่หวั่นชุมนุมหลังปลดล็อก เชื่อประชาชนคิดได้ – มติ ครม. อัดฉีดงบฯ 7,000 ล้าน พัฒนาเศรษฐกิจอีสานตอนบน

“บิ๊กตู่” ไม่หวั่นชุมนุมหลังปลดล็อก เชื่อประชาชนคิดได้ – มติ ครม. อัดฉีดงบฯ 7,000 ล้าน พัฒนาเศรษฐกิจอีสานตอนบน

13 ธันวาคม 2018


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th/

เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2561 มีการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ (ครม.สัญจร) ครั้งที่ 9 ณ ห้องประชุมเอนกประสงค์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น วิทยาเขตหนองคาย จังหวัดหนองคาย โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน โดยในช่วงเช้าก่อนการประชุม ครม. มีการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 (กลุ่มสบายดี ได้แก่ บึงกาฬ เลย หนองคาย หนองบัวลำภู และอุดรธานี) โดยมีคณะรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ ผู้แทนภาคเอกชน กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 เข้าร่วมประชุม

ทั้งนี้ ก่อนการตอบคำถามสื่อมวลชน นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำว่า “ครั้งนี้ไม่ได้มาทางการเมือง แต่เป็นการทำงานของรัฐบาลปรกติไม่ว่าเวลาใดก็ตาม ตราบใดที่เป็นรัฐบาลอยู่ก็มีหน้าที่พบปะเยี่ยมเยียนประชาชน จึงอย่ามองทุกอย่างเป็นการเมืองไปหมด”

ลง พท. บึงกาฬ ขอพรพระ – ให้บ้านเมืองปลอดภัยสงบสุข

โดย ครม.สัญจรครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ตรวจราชการระหว่างวันที่ 13-14 ธันวาคม 2561 ในพื้นที่ต่างๆ ของจังหวัดบึงกาฬ และจังหวัดหนองคาย โดยในช่วงเช้านายกรัฐมนตรีได้เปิดโครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ณ วัดโพธาราม ตำบลบึงกาฬ อำเภอเมืองบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ เพื่อดูแลประชาชน อุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

นายกรัฐมนตรีพบประชาชน ณ สวนสาธารณะหนองบึงกาฬและบึงสวรรค์ จังหวัดบึงกาฬ ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

จากนั้นเดินทางไปพบปะประชาชนชาวจังหวัดบึงกาฬที่มาให้การต้อนรับประมาณ 5,000 คน ณ สวนสาธารณะหนองบึงกาฬและบึงสวรรค์ อำเภอเมืองบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ จากนั้น นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมผลงานการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลของจังหวัดบึงกาฬ ดังนี้ 1) โครงการถนนยางพารา ซึ่งได้ดำเนินการมาแล้ว 2 ปี  ณ บ้านตาลเดี่ยว อำเภอเซกา จังหวัดบึงกาฬ ความยาว 300 เมตร เป็นถนนระหว่างตำบล โดยมีคุณสมบัติที่ดีคือถนนปลอดฝุ่น ป้องกันการซึมผ่านของน้ำได้ดี และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากยางพารา 2) เกษตรแปลงใหญ่ 3) ข้าวครบวงจร 4) ผลิตภัณฑ์ OTOP 5) การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์หนองเลิง 6) โครงการคืนถังขยะ

ในช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดโครงการก่อสร้าง ปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาค อําเภอเมืองหนองคาย-อําเภอสระใคร เพื่อตอบสนองความต้องการของภาคประชาชนและภาคเศรษฐกิจ และช่วยแก้ปัญหาภัยแล้งอย่างยั่งยืน โดยการปรับปรุงขยายดังกล่าว จะช่วยเพิ่มกำลังผลิตขึ้นอีก 24,000 ลบ.ม.ต่อวัน ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้น้ำ 30,000 ราย หรือประมาณ 150,000 คน รองรับความต้องการใช้น้ำของประชาชนและภาคธุรกิจอุตสาหกรรมอย่างเพียงพอและครอบคลุมถึงความต้องการในอนาคต 10 ปีข้างหน้า พร้อมพบปะประชาชนในพื้นที่ที่มารอต้อนรับกว่า 1,000 คน

จากนั้นเดินทางไปเยี่ยมชมนิทรรศการหมู่บ้าน OTOP นวัตวิถี  ซึ่งเป็นการแสดงถึงวิถีชีวิตของชุมชนริมโขง และชุมชนชาวไทยพวนบ้านโพธิ์ตาก ก่อนเดินทางต่อไปยังหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมชุมชนบ้านเดื่อ เยี่ยมชมวิถีชีวิตชุมชน เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนริมฝั่งแม่น้ำโขง และได้กล่าวทักทายประชาชนและผู้นำท้องถิ่นที่มารอต้อนรับกว่า 500 คน ก่อนเดินทางออกจากวัด นายกรัฐมนตรียังไหว้ขอพรปู่วงศ์มณีศรีนาคา พระศรีอริยเมตไตรโย (พระใหญ่ทันใจ) โดยกล่าวอธิษฐานว่า “ขอพรให้บ้านเมืองปลอดภัย สงบสุข”

ไม่หวั่นชุมนุมหลังปลดล็อก เชื่อประชาชนคิดได้

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีกระแสข่าวหลังปลดล็อกจะเริ่มมีการเตรียมชุมนุมทางการเมือง ว่า เรื่องนี้ไม่ต้องไปถามใคร เพราะประชาชนและสื่อทุกคนรับทราบอยู่แล้ว จึงขอให้ติดตามว่าใครพูดดีหรือไม่ดี และใครพูดจริงไม่จริง แต่หลักการของรัฐบาลคือการรักษาความสงบเรียบร้อยก่อนการเลือกตั้ง เมื่อเลือกตั้ง และหลังเลือกตั้ง ที่บ้านเมืองต้องสงบเรียบร้อย ซึ่งการยกเลิกคำสั่ง คสช. ก็แสดงให้เห็นว่าเราได้เปิดเสรีภาพให้มีการดำเนินการได้อย่างอิสระ แต่ทุกคนควรรู้ว่าบ้านเมืองอยู่ในห้วงเวลาใด จึงอย่าเอาคนนั้นคนนี้มายุ่งเกี่ยวกับตน

“การเตรียมชุมนุมก็แล้วแต่เขา ประชาชนคงรู้เอง ผมคิดว่าวันนี้ประชาชนฉลาด มีความเข้าใจมากยิ่งขึ้นในการทำให้บ้านเมืองสงบสุขมากยิ่งขึ้น ประชาชนจะตัดสินเอง และเจ้าหน้าที่จะบังคับใช้กฎหมายปกติ ซึ่งหลายเรื่องต้องเตือนไว้ก่อน ไม่ได้มาขู่ทั้งสิ้น” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ด้าน พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าว่า เมื่อปลดล็อกแล้วเขาให้เคลื่อนไหวทางการเมืองได้  และคนเห็นว่าจะไม่เกิดปัญหาใน กทม. คนก็โฆษณาไปอย่างนั้น ต่างคนต่างพูดไม่มีอะไรทั้งนั้น โดยยอมรับว่าตอนนี้ก็มีการเคลื่อนไหวบ้าง เป็นเรื่องทางการเมือง เพราะให้ทำกิจกรรมทางการเมืองได้แล้ว จะให้ตนทำอย่างไร ใครอยากจะพูดอะไรก็พูด แต่อย่าบิดเบือนแล้วกัน ถ้าไม่บิดเบือนข้อเท็จจริงก็ไม่มีอะไร ใครมีหน้าที่อะไรก็ทำหน้าที่ของตัวเอง นักการเมืองมีหน้าที่หาเสียงก็หาเสียงไป ไม่เห็นจะเป็นอะไร

นอกจากนี้ พล.อ. ประวิตร  ระบุว่า 4 รัฐมนตรีที่ทำงานกับพรรคพลังประชารัฐนั้นไม่มีการพูดเรื่องลาออกกับตน ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นการตัดสินใจของทั้ง 4 รัฐมนตรีเอง

เมินคำพูด “เฉลิม” ชี้วิจารณ์ไม่สร้างสรรค์

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีที่ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง ออกมาวิจารณ์ว่ายังไม่ทันมีการเลือกตั้งพรรคพลังประชารัฐก็มีการเตรียมแย่งเค้กเก้าอี้รัฐมนตรี และเชื่อว่าพลังประชารัฐจะไม่มีทางชนะอย่างแน่นอน ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นความคิดเห็นของนักการเมือง ส่วนตนไม่มีความเห็น และไม่อยากรู้จักนักการเมืองสักคน โดยเฉพาะผู้ที่พูดไม่สร้างสรรค์

ย้อนถาม “เพื่อไทย” แก้ รธน. อย่างไร

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีที่พรรคเพื่อไทยชูนโยบายแก้รัฐธรรมนูญและยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ว่า เรื่องแก้รัฐธรรมนูญและยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติใครให้ไปถามผู้ที่พูดว่าจะแก้ได้อย่างไร เพราะกว่าจะผ่านการพิจารณามาได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งรัฐธรรมนูญยังไม่ใช้เต็มที่ รวมถึงยุทธศาสตร์ชาติก็ยังไม่เริ่ม

นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ตำบลบ้านเดื่อ อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย / สักการะหลวงพ่อใหญ่อุทุมพร ณ วัดอุทุมพร / นายกรัฐมนตรีชมการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน และเยี่ยมชมวิถีชีวิตชุมชน การส่งเสริมการท่องเที่ยวริมฝั่งโขง และผลิตภัณฑ์สินค้า OTOP ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

“ทำกันแทบตายกว่าจะออกมาแล้วจะมายกเลิก ดังนั้นเป็นเรื่องของประชาชนที่จะเห็นเป็นประโยชน์หรือไม่ อย่างไรก็ตาม วันนี้กำลังทำทุกอย่างให้ก้าวหน้า สิ่งสำคัญที่สุดคือทุกคนต้องช่วยกันขยายความเข้าใจ ไม่ใช่ขยายข้อความบิดเบือนให้ประชาชนสนใจข่าวเท่านั้น แต่ต้องช่วยปฏิรูปบ้านเมืองและสร้างหลักคิดของคนไทยทุกคนด้วย ไม่เช่นนั้นทำอะไรให้ตายก็ไม่เกิดผลอะไรทั้งสิ้น ถ้าข่าวการเมืองก็ให้ไปรอการเมืองกรุงเทพฯ” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ด้าน พล.อ. ประวิตร ระบุว่า รัฐธรรมนูญยังไม่ได้ใช้เลย ก็พูดไป ประชาชนอย่าไปสับสนก็แล้วกัน รัฐธรรมนูญยังไม่ทำให้เกิดความขัดแย้ง ขอถามว่ามีอะไรที่รัฐธรรมนูญทำให้เกิดความขัดแย้งแล้วบ้าง ให้ทำงานไม่ได้ก่อนค่อยมาแจ้ง

เมื่อถามว่า ห่วงหรือไม่เพราะเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญมาจากข้อเสนอของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ พล.อ. ประวิตร กล่าวว่า แล้วนายทักษิณอยู่ที่ไหน เรื่องของเขา เป็นคนที่อยู่นอกประเทศแล้วมาเสนอ ไปแก้ตัวเอาตัวเองให้รอดก่อน

เผย พปชร. ยังไม่ส่งเทียบเชิญนั่งนายกฯ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีที่นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ระบุว่าหลังปลดล็อกก็ถึงเวลาเทียบเชิญเป็นนายกฯ โดยระบุว่า “แล้วเขาเชิญหรือยัง เขาบอกจะเชิญเมื่อไหร่ ถึงเวลาจะเชิญ แล้วถ้าเชิญแล้วผมจะรับเปล่าก็ยังไม่รู้ และยังไม่มีในใจ”

เมื่อถามว่า ขณะนี้ได้ทูลเกล้าฯ พระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งแล้วหรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า เมื่อถึงเวลาก็จะมีประกาศราชกิจจานุเบกษาออกมาเอง ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน

“แจกซิมคนจน” อย่ามองเอื้อเอกชน

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีที่กระทรวงการคลังเตรียมจะเสนอการแจกซิมโทรศัพท์มือถือแก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่ออุดหนุนค่าใช้บริการอินเทอร์เน็ตเฉพาะส่วนที่เป็นข้อมูล แต่ไม่รวมถึงค่าโทรศัพท์ ว่า เรื่องดังกล่าวคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กำลังพิจารณาอยู่

อย่างไรก็ตาม ตนขอให้ทุกคนเข้าใจและอย่ามองว่าการทำเรื่องนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการด้านโทรคมนาคมรายใหญ่ได้ประโยชน์ เพราะในเมื่อไม่มีผู้ประกอบการรายเล็กมาทำ แต่ภาคเอกชนรายใหญ่เป็นผู้ประกอบการ เขาต้องได้ผลประโยชน์ทางธุรกิจของเขาบ้าง เพียงแต่ต้องดูว่าการใช้ซิมโทรศัพท์มือถือนั้นมีเพื่อประโยชน์ในการทำอะไร

“เราไม่ได้ต้องการให้เอาแค่การโทรศัพท์พูดคุยกัน แต่ต้องการให้ประชาชนได้มีโอกาสเรียนรู้ในเรื่องดิจิทัลแล้วนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ทุกอย่างไม่ใช่เริ่มต้นใหม่แล้วจะทำได้ง่าย แต่ต้องปรับเปลี่ยนกันไป ขอให้ทุกคนช่วยกันตรงนี้” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ยาเสพติดทะลัก วอนสื่อช่วยรณรงค์ – ยันรัฐออกมาตรการคุมเข้มแล้ว

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีปัญหายาเสพติดกลับมาเยอะขึ้น ว่า เรื่องยาเสพติดสื่อต้องช่วยกันสร้างความชัดเจน ทำอย่างไรจะให้เรารังเกียจยาเสพติดให้ได้ ทำอย่างไรจะดูแลผู้เสพให้เลิกยาเสพติดให้ได้ ถ้าเราลดดีมานด์ไม่ได้ ซัพพลายก็จะเกิดแบบนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลดำเนินการมาโดยตลอด ทั้งการจับกุม ดำเนินคดี โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ทำมาอย่างเข้มข้น พอมีมากขึ้นก็บอกรัฐบาลไม่สนใจ สื่อต้องคิดใหม่ และการที่เรียกร้องให้ใช้มาตรการเด็ดขาด

“ปัจจุบันเราก็มีกฎหมายทุกตัว เด็ดขาดทั้งนั้น มีบทลงโทษทุกระดับ ตลอดชีวิตก็มี ติดคุก 10 ปี 20 ปีก็มี ที่สำคัญต้องช่วยกันสร้างการรับรู้ให้ประชาชนเข้าใจกฎหมาย การบริหารประเทศไม่ใช่อยู่ที่รัฐบาลอย่างเดียว แต่ทุกคนต้องช่วยกัน เพราะทุกคนมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบประเทศเหมือนกัน เพียงแต่คนละหน้าที่เท่านั้น” นายกรัฐมนตรีกล่าว

มติ ครม. มีดังนี้

นางเปรมฤทัย วินัยแพทย์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ, นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน, นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน, นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

อัดฉีดงบฯ 7,000 ล้าน พัฒนาเศรษฐกิจอีสานบน

ครม. มีมติเห็นชอบในหลักการจากผลการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 ในช่วงเช้า ตามเสนอของภาคเอกชนใน 5 ด้าน ได้แก่ การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและการแก้ไขปัญหาอุทกภัย การยกระดับการผลิตและการสร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิต การท่องเที่ยว และการพัฒนาคุณภาพชีวิต รวมเป็นเงินงบประมาณที่กว่า 7,000 ล้านบาท ต่อเนื่องจากที่การประชุม ครม.สัญจร ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2561 ที่ได้รับอนุมัติงบประมาณทุกด้านรวมประมาณ 10,000 ล้านบาท

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบในหลักการด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ เพื่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านในด้านการค้า การลงทุน การค้าชายแดน และการท่องเที่ยว รวมถึงการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในพื้นที่

โดยมีโครงการที่ศึกษาความเหมาะสมด้านเศรษฐกิจ วิศวกรรม มีจำนวน 6 โครงการ ได้แก่

  1. การก่อสร้างถนนเลี่ยงเมืองเลย (BYPASS LOEI)
  2. ทางเลี่ยงเมืองเชียงคาน (BYPASS CHAING KHAN)
  3. การลงทุนระบบขนส่งแบบบูรณาการ (ระบบ รถ ราง เรือ และการสร้างท่าเรือชายฝั่งแม่น้ำโขง) เพื่อการท่องเที่ยวและการพัฒนาเศรษฐกิจในกลุ่มจังหวัด
  4. การพัฒนาโครงข่ายทางหลวงเชื่อมโยงจังหวัดอุดรธานี-จังหวัดบึงกาฬ ระยะทาง 139 กิโลเมตร
  5. การก่อสร้างสะพานคู่ขนานสะพานมิตรภาพน้ำเหืองไทย-ลาว ด่านพรมแดน บ้านนากระเซ็ง อำเภอท่าลี่ จังหวัดเลย
  6. การก่อสร้างสะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว จังหวัดเลย เพื่อรองรับการเติบโตในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของกลุ่มจังหวัด รวมถึงโครงการขยายช่องทางจราจร จำนวน 5 โครงการ และโครงการเพิ่มมาตรฐานทางหลวงโดยการขยายไหล่ทาง จำนวน 6 โครงการ รวมทั้งการปรับปรุงชั้นโครงสร้างทางและผิวทาง ทางเท้าและระบบระบายน้ำ

“นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม ยังได้รายงานให้ที่ประชุม ครม. ทราบถึงความคืบหน้าการลงทุนโครงการรถไฟทางคู่เส้นทางขอนแก่น-หนองคาย ระยะทาง 167 กม. วงเงิน 26,647 ล้านบาทว่าจะมีการเสนอรายละเอียดให้ที่ประชุม ครม. อนุมัติในเดือน ม.ค. ที่จะถึงนี้ และก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2565 นี้ พร้อมกับยืนยันถึงการเดินหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หนองคาย หรือรถไฟไทย-จีน ช่วงที่2 นครราชสีมา-หนองคาย โดยโครงการนี้มีกำหนดจะแล้วเสร็จในปี 2570 ใช้งบประมาณลงทุนประมาณ 2 แสนล้านบาท แต่ยังไม่ลงในรายละเอียดว่าจะเป็นรัฐบาลไทยลงทุนทั้งหมดหรือร่วมลงทุนทางการจีนหรือเอกชน” นายพุทธิพงษ์กล่าว

รับลูกเอกชนฯ เร่งสร้างสะพานรถไฟข้ามโขง

ด้านนางวิลาวัณย์ กนกศิลป์ ประธานหอการค้าจังหวัดหนอกงคาย เปิดเผยว่า การเสนอครั้งนี้เน้นไปที่การเชื่อมโยงด้านโลจิสติกส์ เช่น การเชื่อมระหว่างอุดรและบึงกาฬในระยะทาง 30 กิโลเมตร ซึ่งจะสามารถย้อนเวลาได้จากเดิมที่เคยใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงเหลือเพียง 1 ชั่วโมงในการเดินทางระหว่างเมือง และสิ่งที่ประชาชนและภาคเอกชนในพื้นที่คาดหวังคือ สะพานรถไฟที่รองรับทั้งรถไฟทางคู่และรถไฟความเร็วสูง ที่จะช่วยแก้ปัญหาการจราจรบนสะพานมิตรภาพฯ

ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการเพิ่มเติมในที่ประชุมให้พื้นที่ช่วยจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วน โครงการเร่งด่วนและที่มีความจำเป็นก่อน เพื่อให้การใช้งบประมาณและการพัฒนาท้องถิ่นเกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญในการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ และได้มีการจัดสรรงบประมาณตั้งแต่ปี 2562-2564 ไว้รองรับแล้ว โดยการพัฒนาเครือข่ายคมนาคมให้คำนึงถึงการเชื่อมโครงข่ายเมือง จากนอกเมือง-ในเมือง เช่น การพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะซึ่งจะช่วยแก้ปัญาการจราจรในตัวจังหวัดที่คับคั่ง รวมทั้งการรณรงค์สร้างวินัยการจราจร

และรัฐบาลได้ตอบรับที่จะเร่งดำเนินการการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงเพื่อการเดินรถไฟและรถไฟความเร็วสูง ซึ่งจะเป็นความร่วมมือ 3 ประเทศ ทั้งจีน สปป.ลาว และไทย รวมทั้งการพัฒนาสนามบิน ลานจอดและอาคารที่พักผู้โดยสารรองรับผู้โดยสารที่จะขยายตัว โดยเน้นย้ำให้ทุกโครงการดูแลเรื่องงบประมาณ ดำเนินการให้เป็นไปตามแผนแม่บทและยุทธศาสตร์ชาติ และเร่งชี้แจงประชาชนทราบเป็นระยะเกี่ยวกับขั้นตอนต่าง ๆ ด้วย

เห็นชอบโครงการพัฒนาแหล่งน้ำฯ 3 โครงการ

นายพุทธิพงษ์กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและการแก้ไขปัญหาอุทกภัย ตามที่กลุ่มจังหวัดเสนอ ซึ่งประกอบด้วย 3 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำเพื่อลงแม่น้ำโขง ห้วยบางบาด จังหวัดบึงกาฬ  2) โครงการศึกษาแหล่งน้ำในพื้นที่จังหวัดบึงกาฬ เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัย 3) โครงการปรับปรุงระบบระบายน้ำและปรับปรุงภูมิทัศน์ห้วยหมากแข้ง จังหวัดอุดรธานี

ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำในที่ประชุมว่า ด้วยกลุ่มจังหวัดนี้มีแหล่งน้ำธรรมชาติจำนวนมาก รัฐบาลเห็นถึงความสำคัญของแหล่งน้ำธรรมชาติ เร่งปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำที่เป็นประตูเชื่อมต่อกับลาว เพื่อการระบายน้ำลงแม่น้ำโขงให้ทัน รวมทั้งโครงการป้องกันตลิ่งให้เข้าไปดูด้วย  ทั้งนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดจะต้องเร่งเข้าไปดูแลเพราะรัฐบาลได้จัดสรรงบต่างๆ ลงไปให้จังหวัด และให้มีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าใครเป็นรัฐบาล

ปั้น IEC อีสานตอนบน – นายกฯ สั่ง พณ. หนุน e-commerce

นายพุทธิพงษ์กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบการยกระดับการผลิตและการสร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิต ตามที่กลุ่มจังหวัดเสนอ ประกอบด้วย (1) โครงการพัฒนาการเกษตรครบวงจร ส่งเสริมการผลิตพืชผักและสมุนไพร การเลี้ยงโคคุณภาพสูง (2) โครงการพัฒนาและยกระดับตลาดผ้าบ้านนาข่าสู่การเป็น smart market รองรับการเป็นศูนย์กลางตลาดผ้าในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (3) โครงการศูนย์การเรียนรู้และออกแบบสร้างสรรค์ผ้าทอมือลุ่มน้ำโขง  (4) โครงการส่งเสริมการผลิตผ้าไหมและผ้าพื้นเมือง การจัดสร้าง “วิชชาลัยผ้าทอเมืองลุ่มภู” การประชาสัมพันธ์และสร้างภาพลักษณ์ผ้าทอเมืองลุ่มภู

นอกจากนี้ ยังมีการเสนอการขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 เพื่อพัฒนาต่อเนื่องจากการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี ประกอบด้วย 2 กิจกรรม คือ ให้ผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมได้รับสิทธิประโยชน์เท่ากับผู้ประกอบการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน และการสำรวจและศึกษาเพื่อก่อสร้างถนน local road เพื่อเพิ่มเส้นทางสัญจรและรองรับการเติบโตของชุมชนรอบนิคมฯ ในอนาคต

“นายกรัฐมนตรีได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลให้มีการจัดการให้ดี ปรับแผนงานให้เหมาะกับงบประมาณ ส่งเสริมประชาสัมพันธ์สร้างภาพลักษณ์ โดยเฉพาะเรื่องการค้าออนไลน์ หรือ e-commerce ขอให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเร่งให้ความรู้ พัฒนาทักษะเพื่อให้ประชาชนในชุมชน รวมทั้งประชาชนฐานราก รู้จักและใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ และมอบหมายให้ พล.อ.อ. ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลในพื้นที่นี้ เป็นผู้ติดตาม ช่วยเร่งรัดดำเนินโครงการด้วย” นายพุทธิพงษ์กล่าว

ด้านนายสวาท ธีระรัตนนุกูลชัย ประธานหอการค้าอุดรธานี เปิดเผยว่า เพื่อให้ภาคอีสานตอนบนเติบโต ล่าสุดยังได้มีการหารือกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ทำแผนโครงการไออีซี (Isan Economic Corridors) ซึ่งจะเป็นพื้นที่เศรษฐกิจเหมือนกับโครงการอีอีซีที่รัฐบาลกำลังส่งเสริมอยู่ แต่ในพื้นที่อีสานนี้จะเน้นเรื่องของบริการเป็นหลัก

เอกชนลงทุนเพิ่ม รองรับนักท่องเที่ยว หลังรถไฟจีน-ลาวเสร็จ ปี 64

นายพุทธิพงษ์กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบในหลักการ ด้านการท่องเที่ยว ตามที่กลุ่มจังหวัดเสนอ ประกอบด้วย (1) โครงการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกแหล่งท่องเที่ยวบ้านเชียง (2) โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติภูเก้า-ภูพานคำ (3) โครงการการก่อสร้างแลนด์มาร์กประติมากรรมพญานาคราชคู่ มิตรภาพแห่งลุ่มแม่น้ำโขง ณ วัดอาฮงศิลาวาส ตำบลไคสี อำเภอเมืองบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมในที่ประชุมว่า การท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมที่ช่วยเสริมรายได้ให้ประเทศ ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวทั้งจากอาเซียนและภูมิภาคอื่นของโลกมาท่องเที่ยวประเทศไทยและกลุ่มจังหวัดภาคอีสานเพิ่มมากขึ้น ในพื้นที่ยังส่งเสริมการท่องเที่ยวทางน้ำ ดังนั้น ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันเล่าเรื่อง (story) อะไรทำได้ขอให้ทำก่อน และอาหารอีสานก็เป็นที่นิยมของชาวต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น สามารถขึ้นลิสต์รายการอาหารของโลก เมื่อวานนี้ยังนำคณะรัฐมนตรีไปชิมปลาจุ่ม บ้านเดื่อด้วยตนเอง จึงให้นำของดีของทุกจังหวัด ทุกตำบล ทุกหมู่บ้าน ทั่วประเทศมาทำการตลาดด้วย

ด้านนายสวาทเปิดเผยว่า การเชื่อมต่อทางรางจากจีนสู่ลาวจะทำให้นักท่องเที่ยวจากจีนใต้ที่มีกว่า 300 ล้านคน ที่ปัจจุบันเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศลาวประมาณ 5 แสนคนต่อปี เข้ามายังพื้นที่อีสานตอนบนเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเพิ่มมูลค่าการท่องเที่ยวอย่างก้าวกระโดด ทั้งนี้ กลุ่มจังหวัดจะต้องมีการพัฒนาทางด้านบริการไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารหรือโรงแรมที่พักให้ได้มาตรฐานเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะไหลเข้ามาในปี 2564 หลังจากที่ทางรถไฟที่เชื่อมโยงจากจีนมายังลาวเสร็จสิ้น ซึ่งปัจจุบันจำนวนนักท่องเที่ยวจีนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นประมาณ 4% หลังจากมีมาตรการฟรีวีซ่า ดับเบิลวีซ่า และรีเอนทรีวีซ่า ขณะที่นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม ได้รายงานว่าทางประเทศไทยเองจะพัฒนารถไฟทางคู่จากกรุงเทพฯ มาถึงหนองคายแล้วเสร็จในช่วงเวลาเดียวกัน

นายสวาทกล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนเฉพาะจังหวัดอุดรธานีได้เสนอขอให้เร่งรัดโครงการอาคารพักผู้โดยสารหลังที่ 3 ของสนามบินจังหวัดอุดรธานี ซึ่งอยู่ในแผนของกระทรวงคมนาคมอยู่แล้ว วงเงินลงทุน 3,000 ล้านบาท โครงการท่าเรือบกเพื่อรับซื้อสินค้าเกษตรในพื้นที่ดำเนินการลงทุนโดยเอกชนวงเงินลงทุน 1,400 ล้านบาท มีการรายงานความคืบหน้านิคมอุตสาหกรรมอุดรธานีพื้นที่ 2,000 ไร่ วงเงินลงทุน 4,000 ล้านบาทขณะนี้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไปได้ 60% แล้ว และนักลงทุนจีนก็ให้ความสนใจเข้ามาลงทุนพอสมควร

เห็นชอบโครงการยกระดับคุณภาพชีวิตอีสานตอนบน

นายพุทธิพงษ์กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบโครงการด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต ตามที่กลุ่มจังหวัดเสนอ ประกอบด้วย การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการบริการประชาชน ได้แก่ (1) โครงการพัฒนาถนนรอบทะเลบัวแดง (2) โครงการก่อสร้างสนามกีฬาภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน (สามพร้าว) ระยะ 2 (3) โครงการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Udonthani City) (4) โครงการพัฒนาพื้นที่จอดรถส่วนบุคคลขาเข้า-ขาออก และจัดการจราจรเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับรถยนต์และผู้ใช้บริการเข้า-ออก ระหว่างประเทศ ณ ด่านพรมแดน สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 1 อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย

การพัฒนาด้านสาธารณูปโภค ได้แก่ ปรับปรุงระบบประปาอุดรธานี-หนองคาย-หนองบัวลำภู  โครงการก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียชุมชนริมแม่น้ำโขง เทศบาลตำบลเชียงคาน อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย  และการพัฒนาระบบสาธารณสุข เช่น  โครงการศูนย์การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสานประจักษ์ศิลปาคม  การเพิ่มศักยภาพการให้บริการผู้ป่วยห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลหนองบัวลำภู  โครงการยกระดับศักยภาพโรงพยาบาลบึงกาฬ เป็นต้น

ไฟเขียวร่าง กม.พีพีพีใหม่ จูงใจเอกชนร่วมทุน

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษา รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. …. โดยมีสาระสำคัญ เป็นการแก้ไข พ.ร.บ.ให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 ในประเด็นที่สำคัญ เช่น

การแก้ไขชื่อกฎหมายเป็น “ร่างพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ….” เพื่อให้มีการกำหนดโยบายที่ชัดเจนแน่นอนในการจัดทำโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ กำหนดเป้าประสงค์การร่วมลงทุนให้มีการจัดทำและดำเนินโครงการอยู่บนฐานของความเป็นหุ้นส่วน โดยเน้นการใช้ความเชี่ยวชาญและนวัตกรรมของเอกชนในโครงการร่วมลงทุนและการถ่ายทอดความรู้และความเชี่ยวชาญไปยังหน่วยงานภาครัฐ

“กฎหมายดังกล่าวจะมีการกำหนดนโยบายของรัฐที่ชัดเจนและแน่นอนในการจัดทำโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ ซึ่งเป็นภารกิจของรัฐ อันส่งผลให้โครงการร่วมลงทุนที่ไม่อยู่ในกิจการที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ เช่น โครงการพัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์ ไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมายดังกล่าว เนื่องจากเรื่องนี้มีกฎหมายดูแลเฉพาะอยู่แล้ว” นายณัฐพร กล่าว

นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กระชับ โปร่งใส ง่ายต่อการตรวจสอบ และหน่วยงานเจ้าของโครงการสามารถเสนอต่อคณะกรรมการและ ครม. เพื่อกำหนดกรอบระยะเวลา หรือพิจารณาแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะทำให้กระบวนการพิจารณาอนุมัติโครงการรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยร่นระยะเวลาของขั้นตอนต่างๆ ให้สั้นลง เช่น มาตรา 41 กำหนดไว้ว่า เมื่อได้รับผลการคัดเลือกเอกชนแล้วให้หน่วยงานเจ้าของโครงการนำส่งร่างสัญญาให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณาภายใน 15 วัน จากนั้นสำนักงานอัยการสูงสุดต้องส่งร่างกลับให้เจ้าของโครงการภายใน 45 วัน เป็นต้น

อีกทั้งได้กำหนดให้มีมาตรการส่งเสริมการร่วมลงทุนให้แก่โครงการร่วมลงทุนอย่างเหมาะสมภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง เช่น สิทธิประโยชน์ที่เป็นไปได้ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน สิทธิการเช่าที่ดินหรืออสังหาริมทรัย์ในโครงการร่วมลงทุนที่มีระยะเวลาการเช่าไม่เกิน 50 ปี

“เนื่องจาก พ.ร.บ. ฉบับปี 2556 มีบัญญัติเรื่องขอบเขตของโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐกว้าง ทำให้เกิดโครงการร่วมลงทุนที่ไม่ได้อยู่ในกิจการที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ ซึ่งเป็นภารกิจของรัฐต้องเข้าสู่กระบวนทางตามกฎหมาย หรือบางโครงการเข้ามาแล้วไม่เข้าข่าย ทำให้คณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (บอร์ดพีพีพี) เสียเวลาในการพิจารณา และขาดมาตการส่งเสริมการร่วมลงทุน ส่งผลให้การดำเนินโครงการล่าช้า เอกชนไม่สนใจเข้าร่วมลงทุน ซึ่งร่าง พ.ร.บ.การร่วมทุนฯ ฉบับใหม่นี้จะสร้างแรงจูงใจให้เอกชนมาลงทุนในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล” นายณัฐพรกล่าว

เพิ่มพื้นที่ปลูกข้าวโพดฯ แทนนาข้าวอีก 4 จังหวัด

นายณัฐพรกล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบการขยายพื้นที่โครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนา เนื่องจากพบว่ามีจังหวัดที่มีศักยภาพและมีความพร้อมในการรับซื้อผลผลิตข้าวโพดเพิ่มเติมอีก 4 จังหวัด ได้แก่ เลย มุกดาหาร ยโสธร และอำนาจเจริญ จากที่เคยอนุมัติไปแล้ว 33 จังหวัด เป้าหมาย 2 ล้านไร่ โดยสนับสนุนสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 ต่อปี ระยะเวลา 6 เดือน วงเงินไร่ละ 2,000 บาทไม่เกิน 15 ไร่ต่อราย โดยใช้วงเงินงบประมาณเดิมที่เคยอนุมัติไปจำนวน 286.6 ล้านบาท

นอกจากนี้ สมาคมประกันวินาศภัยไทย และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มีความพร้อมและยินดีที่จะสนับสนุนเบี้ยประกันภัยไร่ละ 65 บาท โดยจะได้รับการชดเชยหากเกิดความเสียหายคิดเป็น 1,500 บาทต่อไร่ ซึ่งปัจจุบันมีเกษตรกรสนใจเข้าร่วมโครงการแล้วประมาณ 90,000 ราย คิดเป็นพื้นที่ 8 แสนไร่ คิดเป็นปริมาณข้าวโพด 1 ล้านตัน

“ข้อดีของโครงการนี้นอกจากจะลดปริมาณการปลูกข้าวที่ไทยมีกำลังการผลิตเกินความต้องการอยู่ประมาณ 2 ล้านตันต่อปี ทำให้ราคาข้าวดีขึ้นขณะเดียวกันเป็นการเพิ่มผลผลิตของข้าวโพดที่จะใช้เป็นอาหารสัตว์ ที่ยังน้อยกว่าความต้องการประมาณ 2-3 ล้านตันต่อปี โดยจะมีการประสานกับภาคเอกชนให้มีการรับซื้อผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทั้งหมดจากผู้เข้าร่วมโครงการด้วย” นายณัฐพรกล่าว

ยกเว้นค่าทางด่วนวันหยุดปีใหม่ 8 วัน

นายณัฐพรกล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบการยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และหมายเลข 9 ตั้งแต่เวลา 0.01 น. ของวันที่ 27 ธันวาคม ถึง เวลา 24.00 น. ของวันที่ 3 มกราคม 2562 รวม 8 วัน

นายกรัฐมนตรีเยือน สปป.ลาว

นายกฯ ประชุมร่วม ไทย-ลาว เน้นเชื่อมโยงไร้รอยต่อ

พล.ท. วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการเข้าประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ (Joint Cabinet Retreat: JCR) ไทย-ลาว ครั้งที่ 3 ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ระหว่างวันที่ 13-14 ธันวาคม 2561

ทั้งนี้ การประชุม JCR ไทย-ลาว เป็นกลไกการหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีสองฝ่าย มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้นำร่วมกันกำหนดวิสัยทัศน์ในการพัฒนาประเทศและแสวงหาแนวทางความร่วมมือในการรับมือกับความท้าทายในอนุภูมิภาค/ภูมิภาคร่วมกัน โดยประเด็นสำคัญที่นายกรัฐมนตรีจะหยิบยกในการประชุมฯ ได้แก่ ย้ำการยกระดับความสัมพันธ์เป็น “หุ้นส่วนเพื่อความเจริญและการพัฒนาอย่างยั่งยืน” เน้นการร่วมส่งเสริมพลวัตการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของสองประเทศ การเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อ ประกอบด้วย 3 เสาความร่วมมือ ได้แก่

    1. ความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคง ไม่ให้ผู้ไม่หวังดีใช้ไทยและลาวเป็นฐานบ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยของอีกประเทศ การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และการยกระดับจุดผ่านแดนระหว่างสองฝ่ายให้เท่าเทียมกัน

    2. ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ เสริมสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจร่วมกันผ่านการเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อตามแผนแม่บท ACMECS ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกันเพื่อรับมือความท้าทายในภูมิภาค เสริมสร้างความเชื่อมโยงทางกายภาพ (ถนน/สะพาน) ควบคู่กับความเชื่อมโยงทางกฎระเบียบ สนับสนุนนักลงทุนไทยไปลงทุนในลาว โดยตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการค้าเป็น 2 เท่า (11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในปี 2564

    3. ความร่วมมือด้านสังคมและการพัฒนา สนับสนุนให้ลาวหลุดพ้นจากการเป็นประเทศพัฒนาน้อยที่สุด ให้ลาวใช้ประโยชน์จากโครงการเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในลาวมากขึ้น จัดทำแผนแม่บทการพัฒนาการเชื่อมโยงด้านการท่องเที่ยวข้ามแดนไทย-ลาว ยืนยันการดูแลแรงงานลาวอย่างเต็มที่ตามกฎหมายไทย

โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีจะได้พบหารือกับนายบุนยัง วอละจิด ประธานประเทศของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยจะได้หารือเกี่ยวกับการฉลองครบรอบ 70 ปี ความสัมพันธ์ไทย-ลาว ในปี 2563 การส่งเสริมความเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อไทย-ลาว (เปลี่ยนลาวจาก land-locked เป็น land-linked)และการร่วมจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาการเชื่อมโยงด้านการท่องเที่ยวข้ามแดนไทย-ลาว ไม่ให้เขตแดนเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา

อ่าน มติ ครม. ประจำวันที่ 13 ธันวาคม 2561เพิ่มเติม