ThaiPublica > เกาะกระแส > “บิ๊กตู่” เล็งออก ม.44 “คลายล็อก” พรรคการเมือง – มติ ครม. อนุมัติเติมเงิน “บัตรคนจน” เพิ่มอีก 4 เดือน

“บิ๊กตู่” เล็งออก ม.44 “คลายล็อก” พรรคการเมือง – มติ ครม. อนุมัติเติมเงิน “บัตรคนจน” เพิ่มอีก 4 เดือน

28 สิงหาคม 2018


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
ที่มาภาพ: http://www.thaigov.go.th/

เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2561 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เป็นประธาน

เล็งออก ม.44 “คลายล็อก” พรรคการเมือง – ยัน เลือกตั้ง “ก.พ. 62”

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีการแก้ไขคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 53/2560 เพื่อให้พรรคการเมืองสามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองในบางส่วนได้ ว่า วันนี้มีการหารือร่วมกันของ คสช. ในประเด็นคลายล็อกให้กับพรรคการเมือง ว่าจะทำอย่างไรให้ไปสู่การเลือกตั้งตามหนทางที่มีอยู่ โดยยืนยันว่ารัฐบาล คสช. ไม่ได้มุ่งหวังจะทำให้การเลื่อกตั้งล่าช้าไปจากโรดแมปที่วางไว้ มีการหารือกันในเรื่องการเตรียมการคลายล็อกเมื่อร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. …. และร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (พ.ร.ป. ส.ส.-ส.ว.) โปรดเกล้าฯ ลงมา

โดยจะเปิดให้สามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้บางเรื่อง เช่น การประชุม การแก้ข้อบังคับ การตั้งกรรมการพรรค การรับสมาชิกพรรคการเมือง รวมถึงการแก้ไขข้อขัดข้องที่พรรคการเมืองเสนอมา เช่น ทุนประเดิมพรรค หาสมาชิกตามห้วงเวลา การสรรหาผู้สมัครแต่ละพรรค และไพรมารีโหวต

“ทั้งหมดยังเป็นไปตามกรอบเวลาเดิม เลือกตั้งเร็วที่สุด คือ เดือนกุมภาพันธ์ 2562 ซึ่งการเลือกตั้งนั้นจำเป็นต้องพิจารณาตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอมาว่าวันเลือกตั้งที่เหมาะสมควรเป็นวันอาทิตย์ เพื่อให้เกิดความสะดวกต่อประชาชนในเรื่องของการลงคะแนนเสียง และการเตรียมการต่างๆ โดยขอให้เป็นวันอาทิตย์ของทุกสัปดาห์ ฉะนั้น อาทิตย์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ ที่กำหนดไว้คือ วันที่ 24 ดังนั้นจึงยังเป็นไปตามกรอบเวลาเดิม เร็วสุดตามนั้น” นายกรัฐมนตรีกล่าว

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องดูว่าจากนี้เป็นต้นไปจะดำเนินการอย่างไรต่อไป วันนี้กำลังรอกฎหมายลูกอีก 1 ฉบับ ที่จะได้รับการโปรดเกล้าฯ ลงมาในเดือนกันยายน 2561 จากนั้นยังคงมีเวลาอีก 90 วันที่จะปลดล็อกและดำเนินการต่างๆ ก็จะทำในช่วงเดือนกันยายน-ธันวาคมนี้ ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาทั้งหมด เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมสำหรับทุกพรรคการเมืองที่มีอยู่ในปัจจุบัน

ด้าน พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวเพิ่มเติมว่า การคลายล็อก 6 ข้อ ที่ให้ประชุมพรรคการเมืองได้นั้นจะเริ่มได้เลย และจะมีคำสั่งออกมาอาจจะเป็นวันนี้หรือพรุ่งนี้ ขอให้ดูในรายละเอียดของคำสั่งที่จะออกมา

“6 ข้อที่จะคลายล็อกให้ประชุมพรรคการเมืองได้ ไม่จำเป็นต้องรอ แต่การชุมนุมเกิน 5 คน ยังไม่สามารถทำได้ เมื่อถามย้ำอีกว่า การปลดล็อกให้ชุมนุมเกิน 5 คนได้ จะมีเมื่อไหร่ พล.อ. ประวิตร กล่าวย้อนว่า แล้วแต่สื่อ จะให้มีเมื่อไหร่ ตนตอบไปตั้งนานแล้วว่าไม่ให้ชุมนุมเกิน 5 คน ส่วนกรอบเวลาที่เหมาะสมจะเป็นช่วงไหนนั้นยังไม่รู้ คงต้องถึงช่วงเลือกตั้ง” รองนายกรัฐมนตรีกล่าว

เมื่อถามถึงกรณีผู้นำท้องถิ่นไปพูดคุยกับกลุ่มสามมิตร พล.อ. ประวิตร กล่าวว่า เขาอยู่พรรคไหน เวลานี้ในงานเสวนาต่างๆ ก็มีการพูดเรื่องการเมืองแล้วทำไมจึงไม่ไปเอาเรื่องเขา เราปล่อยให้มีการเสวนากันได้ตั้ง 40-50 คน

เมื่อถามถึงกรณีที่ปรากฏเพจเฟซบุ๊ก ชื่อ “มุมน่ารักของลุงป้อม” พล.อ. ประวิตร ตอบว่า “ไม่ทราบว่ามีเพจแบบนี้ มีแต่เพจที่เขาว่าผม”

ปัดปรับ ครม. – เผยยังเหลือมีเวลาเดือน

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบเรื่องการปรับ ครม. ว่า ตนเป็นหัวหน้ารัฐบาลตนยังไม่รู้เลยว่าจะปรับใคร ยืนยันว่ายังไม่ปรับอะไรทั้งสิ้น สำหรับบทบาทความชันเจนของตนในเดือนกันยายนนี้ที่เคยกล่าวไว้นั้น ตนบอกไว้ได้เลยว่าขอติดตามความเคลื่อนไหวของทุกพรรคการเมืองก่อน แล้วจึงจะกำหนดบทบาทของตนให้ถูกต้อง ตอนนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรทั้งสิ้น ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวทิ้งท้ายเบาๆ ว่า “ก็ยังมีเวลาอีกตั้งหลายเดือน”

ไม่ขอก้าวล่วง กต. ประมูล “อีพาสปอร์ต” เฟส 3

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีประกาศยกเลิกการประกวดราคาจ้างผลิตและบริการจัดทำ “อีพาสปอร์ต เฟส 3” เนื่องจากมีเอกชนผ่านคุณสมบัติเพียงรายเดียว ว่า กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องของหน่วยงาน เขาทำตามขั้นตอนตามกฎหมาย ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการแข่งขันประกวดราคาอย่างแท้จริง เป็นประโยชน์ต่อการใช้จ่ายงบประมาณอย่างคุ้มค่า

“ในเรื่องนี้ก็ต้องไปดูว่าที่มีปัญหาความขัดแย้ง บริษัทได้เรียกร้องมาต้องไปดูหลักการและเหตุผลของกระทรวงการต่างประเทศ ฉะนั้น รัฐบาลไม่ก้าวล่วงส่วนนี้ ก็ทำให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้นตามกฎหมายที่มีอยู่” นายกรัฐมนตรีกล่าว

แจงปม ประมูลงานสร้าง Terminal สุวรรณภูมิ เฟส 2

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีที่บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. มีมติเห็นชอบให้กลุ่มนิติบุคคลที่มีนายดวงฤทธิ์ บุนนาค เป็นผู้ชนะการออกแบบโครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารสนามบินสุวรรณภูมิหลังที่ 2 (terminal 2) ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดในการประกวดการออกแบบ ว่า ตอนนี้ได้ให้ ทอท. ได้มีการหารือตรวจสอบร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่าเรื่องดังกล่าวจะเดินหน้าอย่างไรต่อไป ซึ่งต้องมีการหารือทางด้านกฎหมายด้วย ทั้งประเด็นและขั้นตอนต่างๆ ว่ามีการยื่นแบบถูกต้องหรือไม่อย่างไร

“รัฐบาลนี้เข้ามาเพื่อแก้ไขปัญหา เมื่อมีการร้องเรียน มีเรื่องที่เป็นประเด็นในสังคมก็ต้องสอบสวน ดำเนินการให้ถูกต้องเสีย หน้าที่ของรัฐบาลนี้เป็นอย่างนี้ทุกเรื่อง” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ยันประมูลสัมปทานดิวตี้ฟรีไม่เอื้อกลุ่มไหน-เน้นการแข่งขัน

ต่อคำถามเรื่องการเปิดประมูลร้านค้าปลอดภาษี (duty free) จะมีแนวทางอย่างไรเพื่อไม่ให้ถูกกล่าวหาว่าเอื้อประโยชน์ให้เอกชนรายใดรายหนึ่ง ว่า รัฐบาลนี้มีวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์อยู่แล้วว่า ไม่เอื้อประโยชน์ให้กับใคร ทุกหน่วยงานจะต้องทำตามขั้นตอนให้ถูกต้องโปร่งใส

“วันนี้ก็ทราบว่ามีผู้ประกอบการหลายรายทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ให้ความสนใจในเรื่องนี้ ก็อยู่ในขั้นตอนการดำเนินงานต่อไป ส่วนความไม่ไว้วางใจในอดีตที่ผ่านมาก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบันก็ต้องแก้ไขให้เกิดความชัดเจนขึ้น เพราะทุกอย่างก็เป็นไปตามกฎหมาย การอนุมัติอะไรต่างๆ เราก็ต้องแก้ไขว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนเกิดความไว้วางใจ เกิดการแข่งขัน ซึ่งเป็นเรื่องของหน่วยงานที่ต้องรับผิดชอบ” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ไม่เห็นด้วย “เพิ่มโทษปรับ” คนไม่พกใบขี่

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีที่กรมการขนส่งทางบกจะเสนอปรับแก้ไขกฏหมายพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 เพิ่มโทษบุคคลที่ไม่พกใบอนุญาตขับขี่ ว่า เรื่องนี้เป็นความคิดของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รัฐบาลไม่จำเป็นต้องมาศึกษารายละเอียด หน่วยงานเองต้องดูว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมอย่างไร โดยส่วนตัวนั้นตนยังไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้ ต้องไปหาประเด็นอื่นมาด้วย เพราะว่าประเด็นนี้ตนสามารถตอบคำถามได้เพียงอย่างเดียวว่า เพิ่มความรับผิดชอบให้กับคนที่ต้องพกพาใบขับขี่หรือไม่ ก็ต้องต่อทะเบียนรถให้ถูกต้อง ซึ่งเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์หลายอย่างด้วยกัน เช่น เพื่อไม่ให้มีการขโมยรถ หรือคนไม่มีใบอนุญาตมาขับรถ

“ไม่ใช่หลายอย่างที่ในโซเชียลมีเดียเอาภาพการชนไปโทษว่า เรื่องใบขับขี่ไม่เกี่ยวข้องกัน มันก็คนละเรื่องกันหมด อย่าสร้างความเข้าใจผิดๆ แบบนี้ให้กับประชาชน วันหน้าการแก้ปัญหาก็ไปไม่ได้ ทุกอย่างต้องอาศัยกฎหมาย แต่วันนี้ต้องดูว่ามีความเหมาะสมอย่างไร ซึ่งผมยังไม่เห็นด้วยในประเด็นนี้ ก็ต้องหารือกันต่อไป ต้องมองหลายมุมมองด้วยกัน ผมยืนยันวันนี้ผมยังไม่ได้อนุมัติอะไรทั้งสิ้น” นายกรัฐมนตรีกล่าว

เตือนแรงงานไทยต้องเคารพกฎหมายต่างชาติ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีแรงงานไทยลักลอบไปทำงานในเกาหลีใต้ จนกระทรวงยุติธรรมเกาหลีใต้มีแนวคิดยื่นเรื่องพิจารณายกเลิกนโยบายฟรีวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวชาวไทย ว่า การแก้ปัญหาต้องให้คนไทยเคารพกติกาของต่างประเทศ เมื่อไปทำงานประเทศไหนก็ต้องเคารพกติกาประเทศเขา สำหรับประเทศไทยก็เช่นกันที่ผู้จะเข้ามาทำงานแล้วไม่มีวีซ่า ก็ต้องถูกจับกุมดำเนินคดีเช่นกัน เพราะทุกประเทศมีกฎหมายของตนเอง

“ผมมีอย่างเดียวก็คือเตือนคนไทยที่ไปทำงานต่างประเทศว่า ทำให้ถูกต้องตามกฎหมายก็จบแล้ว หลายเรื่องเราเอามาพันกันไปหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีรายได้น้อย แต่ไม่ว่าจะรายได้น้อย รายได้ปานกลาง หรือรายได้สูง ก็ต้องเคารพกฎหมายเช่นเดียวกันทั้งหมด” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ชี้ 4 นักธุรกิจไทยติดคุก ขอดูกฎหมายแองโกลาก่อน

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีญาตินักธุรกิจไทย 4 คน ติดคุกในสาธารณรัฐแองโกลา ขอความช่วยเหลือให้ได้รับสิทธิในการประกันตัวและตั้งทนายความสู้คดี ว่า เรื่องนี้ก็ต้องดูกฎหมายของประเทศแองโกลานั้นว่าอย่างไร โดยได้ยกตัวอย่างกรณีของประเทศไทย ที่ปัจจุบันมีนักโทษต่างชาติ หลายประเทศติดคุกอยู่ในไทยเช่นกัน ทุกประเทศก็ต้องการคนของเขากลับไป ซึ่งกฎหมายไทยนั้นมีกระบวนการต่างๆ ในเรื่องของคดีอาญาอยู่แล้ว จะต้องให้กระบวนการของกฎหมายไทยดำเนินการให้เสร็จสิ้นก่อน เมื่อเสร็จสิ้นแล้วจึงจะว่ากันอีกครั้งว่าจะทำอย่างไรต่อไป

“เราต้องเคารพในสิทธิและกฎหมายของแต่ละประเทศไปด้วย ไม่เช่นนั้นคงอยู่ไม่ได้ ฉะนั้นต้องไปดูว่ากฎหมายแองโกลาว่าอย่างไร” นายกรัฐมนตรีกล่าว

แจงปม 3 สารพิษ – เร่งรัดเกษตรอินทรีย์ ย้ำผู้บริโภคต้องมาก่อน

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงความคืบหน้าในการพิจารณายกเลิกสารเคมี 3 ชนิด พาราควอต คลอร์ไพริฟอส ไกลโฟเซต ว่า รัฐบาลพยายามแก้ปัญหานี้มาตลอด ซึ่งรัฐบาลนี้มีเจตนามุ่งมั่นที่จะดูแลผู้บริโภคอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเห็นได้ว่ารัฐบาลเร่งรัดในเรื่องการดำเนินการเรื่องเกษตรอินทรีย์ แต่อย่างไรก็ตามเกษตรอินทรีย์ยังไม่สามารถทำได้ในบางพื้นที่ เพราะมีการใช้สารเคมีมาโดยตลอด จึงต้องเริ่มจากการลดการใช้สารเคมีก่อน เป็นสินค้า GAP ก่อนจะเป็นอินทรีย์จะต้องเป็นเช่นนี้ก่อน ค่อยๆ ลดไปเรื่อยๆ จนไปสู่อินทรีย์

“ต้องพิจารณาแยกแยะให้ออกว่าจะต้องทำอย่างไร การปรับลดไม่ยาก วันนี้จะต้องไปทบทวนดูทั้งหดม ซึ่งได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลตรงนี้แล้ว ฉะนั้นรัฐบาลในฐานะที่อยู่ตรงกลาง ก็มีหน้าที่ 2 ทางด้วยกัน 1) รัฐบาลจำเป็นต้องคุ้มครองผู้บริโภค 2) ดูความต้องการของภาคการเกษตรว่าต้องการอะไร เรื่องการขาดแรงงาน ปัญหาการกำจัดวัชพืช ซึ่งรัฐบาลต้องไปหาอะไรก็ตามมาชดเชยการกำจัดวัชพืชนี้ ซึ่งกำลังให้มีการทดลองสิ่งที่มาใช้ทดแทน ซึ่งเราต้องมองทั้ง 2 มุม แต่ท้ายที่สุดเจนนารมย์ของรัฐบาลคือ คุ้มครองผู้บริโภคให้มากที่สุด ฉะนั้น ทุกอย่างต้องมีวิธีการในการแก้ปัญหาต่างๆ ให้เกิดความชัดเจนขึ้นให้ได้โดยเร็วที่สุด” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ปัดซื้อเวลาเคลียร์ “บ้านพักตุลาการ” ย้ำเตรียมสร้างใหม่ที่เชียงราย

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวชี้แจงถึงกรณีบ้านพักตุลาการ ที่ดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ ว่า ตนบอกไปแล้วว่าสร้างใหม่แน่นอน ก็ต้องไปดูว่าจะทำอย่างไรกับผู้ที่เข้าอยู่แล้ว กรณีนี้ต้องเห็นใจซึ่งกันและกันบ้าง รัฐบาลไม่ได้มุ่งหวังว่าจะยืดเวลาไป แล้ววันหน้าก็จะให้อยู่แบบเดิม ตอนนี้ได้มีการตั้งคณะทำงานที่จะดำเนินการออกแบบ และเสนอของบประมาณขึ้นมาใหม่ สำหรับสร้างบ้านพักตุลาการแห่งใหม่ ที่ จ.เชียงราย ในพื้นที่ที่เขามีอยู่

สั่ง ทบ. ปลดชนวน – เคลื่อนย้าย “ระเบิดยักษ์”

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีการตรวจพบระเบิดยักษ์สมัยสงครามโลก บริเวณการก่อสร้างรถไฟทางคู่เส้นนครปฐม-หัวหิน จ.ราชบุรี โดยอาจมีผลกระทบต่อการก่อสร้างทางรถไฟเส้นทางดังกล่าว ว่า วันนี้ได้พูดคุยกับฝ่ายความมั่นคงแล้ว โดยจะให้กรมการทหารช่างและอาวุธของกองทัพบกเข้าไปตรวจสอบดูว่าจะทำอย่างไรได้ต่อไป

ทั้งนี้จะต้องพิจารณราว่าอยู่ในขีดความสามารถจะเคลื่อนย้ายหรือปลดชนวน และความอันตราย ว่าอันตรายแค่ไหนอย่างไร ซึ่งหลายประเทศรวมถึงประเทศมหาอำนาจที่มีการขุดเพื่อก่อสร้างทางรถไฟหรือรถไฟฟ้า ก็มีการพบระเบิดสมัยสงครามโลก เพราะสมัยก่อนมีการสู้รบกันทั้งโลก อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ก็ต้องหาวิธีการแก้ไข แต่ขณะนี้ต้องหลีกเลี่ยงไปก่อน

“จริงๆ แล้วก็อยู่มาตั้งนานแล้ว พอเจอก็ดีแล้วจะได้แก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน ถ้าผู้เชี่ยวชาญไทยแก้ไม่ได้ อันตรายก็ปรึกษาต่างประเทศว่าจะช่วยกันอย่างไร ขอขอบคุณคนที่ไปเจอและมาแจ้ง คิดว่าในโลกนี้ก็ยังมีระเบิดและทุ่นระเบิดแบบนี้อีกหลายประเทศด้วยกัน จึงต้องแก้กันไป เพราะไม่ได้เปิดเผยให้มองเห็น เว้นแต่เราไปขุดหรือไปทำอะไร ซึ่งที่นี่ก็ทำทางรถไฟจึงไปเจอขึ้นมา โดยบริเวณสะพานก็เป็นพื้นที่เสี่ยงในอดีตที่ผ่านมาที่มีการทิ้งระเบิด ซึ่งบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยาเรายังเจอเยอะแยะไปหมด” นายกรัฐมนตรีกล่าว

มติ ครม. มีดังนี้

พ.อ. อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ และ พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

เก็บภาษีผลตอบแทนกองทุนรวม 15%

พ.อ. อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐฒนตรี กล่าวว่า ครม. มติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ซึ่งเป็นการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้จากการลงทุนในตราสารหนี้ผ่านกองทุนรวมตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เนื่องจากในปัจจุบันดอกเบี้ยที่ได้รับจากการฝากเงินหรือผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนโดยตรงในตราสารหนี้มีภาระภาษีที่มากกว่าการลงทุนผ่านกองทุนรวม อันทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในระบบภาษี ดังนั้น เพื่อสร้างความเป็นธรรม กระทรวงการคลังได้พิจารณาปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้จากการลงทุนในตราสารหนี้ผ่านกองทุนรวมให้มีภาระภาษีเท่าเทียมหรือใกล้เคียงกันกับการฝากเงินหรือการลงทุนในตราสารหนี้โดยตรง โดยอยู่บนพื้นฐานที่ไม่ทำให้ประชาชนมีภาระในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายเพิ่มขึ้น

สาระสำคัญของร่างกฎหมายดังกล่าวได้กำหนดให้กองทุนรวมที่ตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตรา 15% จากเดิม 10% นอกจากนี้ ยังได้ปรับปรุงการจัดประเภทเงินได้ในประมวลรัษฎากร เพื่อให้ภาระภาษีของนักลงทุนต่างประเทศที่ได้รับผลตอบแทนจากกองทุนรวมเท่าเทียมกันกับภาระภาษีของนักลงทุนในประเทศที่เสียอยู่แล้วในปัจจุบัน อันจะช่วยเพิ่มความเป็นธรรมในระบบภาษีและไม่บิดเบือนรูปแบบของการลงทุน

ทั้งนี้ เมื่อมีผลใช้บังคับแล้ว กระทรวงการคลังจะเสนอกฎหมายลำดับรอง เพื่อให้การดำเนินการตามหลักการข้างต้นครบถ้วนสมบูรณ์ โดยกฎหมายลำดับรองมีสาระสำคัญ เช่น

  •  ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่กองทุนรวมสำหรับรายได้อื่นๆ อันจะทำให้กองทุนรวมมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเฉพาะรายได้จากดอกเบี้ย ส่วนลด และเงินได้ที่มีลักษณะเดียวกันกับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ของเงินได้ ซึ่งผู้จ่ายเงินได้จะเป็นผู้หักภาษี ณ ที่จ่ายและนำส่งกรมสรรพากร โดยกองทุนรวมไม่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีอีก ยกเว้นกรณีที่กองทุนรวมได้รับเงินได้ดังกล่าวจากต่างประเทศ กองทุนรวมต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีในส่วนของรายได้จากต่างประเทศนั้น แต่สามารถนำภาษีเงินได้ที่เสียไปในต่างประเทศมาเป็นเครดิตภาษีหักออกจากภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ต้องเสียในประเทศไทย แต่ต้องไม่เกินกว่าจำนวนภาษีในประเทศไทย
  • ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) สำหรับรายได้ทั้งหมด เพื่อเป็นการส่งเสริมการออมเพื่อการเกษียณอายุ
  • ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่กองทุนรวมสำหรับการฝากเงินหรือการลงทุนในตราสารหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนกฎหมายมีผลใช้บังคับ รวมถึงดอกเบี้ยและส่วนลดของตราสารหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนกฎหมายมีผลใช้บังคับด้วย
  • ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินส่วนแบ่งของกำไรให้กับนักลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่ได้รับจากกองทุนรวมตราสารหนี้ เพื่อไม่ให้มีภาระภาษีซ้ำซ้อน

นอกจากนั้น จะมีการเสนอกฎหมายลำดับรองยกเลิกการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทที่ได้รับเงินส่วนแบ่งของกำไรจากกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้การประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มีภาระภาษีเท่าเทียมหรือใกล้เคียงกันกับการประกอบธุรกิจในรูปแบบบริษัท

อนึ่ง กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพากรอยู่ระหว่างหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์และสมาคมบริษัทจัดการลงทุนเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการจัดตั้งกองทุนรวมที่เสนอขายเฉพาะกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) และการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่กองทุนรวมดังกล่าวหากมีการจัดตั้งขึ้น เพื่อให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพซึ่งปัจจุบันมีการลงทุนในกองทุนรวมไม่มีภาระภาษี อันจะเป็นการส่งเสริมการออมเพื่อการเกษียณอายุเช่นเดียวกันกับกรณี RMF

อนุมัติ เติมเงิน “บัตรคนจน” เพิ่มอีก 4 เดือน

นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า หลังจากที่กรมบัญชีกลางได้ดำเนินการตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในระยะที่ 2 ของโครงการด้วยการอนุมัติให้มีการเพิ่มวงเงินให้กับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่แสดงความประสงค์จะพัฒนาตนเองในแบบประเมินและเมนูการพัฒนารายบุคคล โดยจะได้รับวงเงินเพิ่มสำหรับการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษาและวัตถุดิบเพื่อการเกษตรกรรม จากร้านธงฟ้าประชารัฐ และร้านอื่น ๆ ที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด

ซึ่งผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี ได้รับวงเงินเพิ่ม จำนวน 200 บาท/คน/เดือน และผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้เกิน 30,000 บาทต่อปี ได้รับวงเงินเพิ่ม จำนวน 100 บาท/คน/เดือน ทั้งนี้ การเพิ่มวงเงินดังกล่าว ดำเนินการมาแล้ว 6 เดือน (ตั้งแต่เดือนมีนาคม-สิงหาคม 2561) ซึ่งสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือนให้กับผู้มีสิทธิได้ระดับหนึ่ง

ทั้งนี้ สำหรับ 4 เดือนที่เหลือ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้มีการปรับเปลี่ยนจากการเพิ่มวงเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 200/100 บาท เป็นการเติมเงินรายเดือนเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีสิทธิแทน เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกและกำลังซื้อให้ผู้มีสิทธิ สามารถนำเงินจำนวนดังกล่าวไปใช้จ่ายได้ตามความต้องการ เช่น ยารักษาโรค อาหาร รวมทั้งสามารถใช้เงินที่เติมลงบัตรในส่วนนี้ เพื่อชำระค่าสินค้าหรือบริการกับหน่วยงานหรือร้านค้าที่วางเครื่อง EDC ของโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือร้านค้าทั่วไป ที่วางเครื่อง EDC ที่มีสัญลักษณ์ PromptCard หรือร้านค้าที่รับชำระเงินผ่าน Mobile Application “ถุงเงินประชารัฐ”

ทั้งนี้ ผู้มีสิทธิที่เริ่มใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐในการชำระค่าสินค้าหรือบริการจากเงินที่เติมลงบัตรเป็นครั้งแรก จะต้องเปลี่ยนรหัส 6 หลักเดิม (เลขประจำตัวประชาชน 6 หลักสุดท้ายบนหน้าบัตร) จากเครื่อง ATM หรือ เครื่อง ADM หรือ สาขาของ บมจ.ธนาคารกรุงไทยก่อนจึงจะสามารถใช้ได้ สำหรับผู้ที่ได้ใช้รหัส 6 หลักในการชำระค่าสินค้าหรือบริการ ผ่าน Mobile Application “ถุงเงินประชารัฐ” แล้ว สามารถใช้รหัสเดียวกันนี้ได้ทันที โดยไม่ต้องเปลี่ยนรหัสอีก ตลอดจนใช้ถอนเงินในส่วนนี้ได้ และควรเก็บรักษารหัสไว้อย่างดีเพื่อความปลอดภัย อย่างไรก็ดี การปรับเปลี่ยนเป็นการเติมเงินรายเดือนเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีสิทธิยังคงวัตถุประสงค์เดิม คือเพื่อช่วยบรรเทาปัญหาค่าครองชีพให้กับผู้มีรายได้น้อย และยังเป็นการส่งเสริมการเข้าสู่สังคมไร้เงินสด

เห็นชอบโครงการอินเทอร์เน็ตคนจน

รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง ระบุว่า ครม. ได้เห็นชอบในหลักการเบื้องต้นโครงการอินเทอร์เน็ตสำหรับผู้มีรายได้น้อยภายใต้โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 (โครงการอินเทอร์เน็ตสำหรับผู้มีรายได้น้อยฯ) ว่า “สืบเนื่องจากโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 กระทรวงการคลังได้จัดทำมาตรการบรรเทาค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และมาตรการยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ นอกจากนี้ เพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาความยากจน และเพื่อสนับสนุนให้ผู้มีรายได้น้อยผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของภาครัฐ ข้อมูลส่งเสริมการพัฒนาตนเองของผู้มีรายได้น้อย และข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพ เช่น สภาพดินฟ้าอากาศ ราคาสินค้าเกษตร เป็นต้น กระทรวงการคลังจึงได้เสนอโครงการอินเทอร์เน็ตสำหรับผู้มีรายได้น้อยฯ เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2561 โดยผ่านการหารือร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) และสำนักนายกรัฐมนตรี”

ทั้งนี้ พ.อ. อธิสิทธิ์ กล่าวว่า โครงการดังกล่าวเป็นเพียงการเสนอหลักการเบื้องต้น ยังไม่มีรายละเอียดแต่อย่างใด ซึ่งกระทรวงการคลังจะต้องนำไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้ง ก่อนจะนำข้อเสนอกลับมาให้ ครม. เห็นชอบอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม มีรายงานเพิ่มเติมว่า  พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีข้อสั่งการไปยังกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) จัดตั้งคณะทำงานร่วมกับผู้ตรวจราขการสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อติดตามและประเมินผลการดำเนิน โครงการติดตั้งอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง หรือ โครงการเน็ตประชารัฐ ที่มีข้อร้องเรียนเรื่องคุณภาพของสัญญาณ และการเข้าถืงการใช้งานด้วย และรายงานให้นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีทราบภายใน 1 เดือน

นอกจากนั้น ยังให้จัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจ ร่วมกับหน่วยงานและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ และธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น เพื่อทำหน้าที่บูรณาการและขับเคลื่อนการดำเนินงานต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุผล ใน 2 เรื่องหลักทื่สำคัญ คือ สังคมไร้กระดาษ (paperless) และ สังคมไร้เงินสด (cashless)

ทั้งนี้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่ง ประกอบด้วย ให้กระทรวงมหาดไทย เร่งดำเนินการจัดทำฐานข้อมูลกลาง ซึ่งเชื่อมโยงข้อมูลพื้นฐาน ที่สำคัญจากหน่วยงานของรัฐและเอกชนผ่านเลขประจำตัวประชาชน โดยมีระบบรองรับให้หน่วยงานอื่น สามารถเข้าถืงและใช้ประโยชน์ข้อมูลได้ เมื่อได้รับความยินยอม (consent)จากเจ้าของข้อมูล และในกรณีที่ตัองมีการยืนยันตัวตนก็ให้สามารถทำได้โดยอาศัยข้อมูลทางชีวนิติ (biometrics) เช่น ลายนิ้วมือ ม่านตา เป็นต้น

ขณะเดียวกันยังให้กระทรวงการคลัง พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดมาตรการจูงใจ เช่น มาตรการด้านภาษีและค่าธรรมเนียม เป็นต้น เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนและผู้ประกอบการขึ้อขายสินคา ชำระเงิน หรือทำธุรกรรมอื่น ๆ ผ่านระบบพร้อมเพย์ (PromptPay) มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้การดำเนินการต่าง ๆ เพื่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมเศรษฐกิจดิจิทัล และรัฐบาลดิจิพัลตามนโยบาย 4.0 เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว

สำหรับโครงการติดตั้งอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง หรือเน็ตประชารัฐ ทาง บมจ.ทีโอที ได้ติดตั้งโครงข่ายครบ 24,700 หมู่บ้านเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ 18 ธ.ค. 2560 และผ่านขั้นตอนของการตรวจรับไปแล้วหลายพื้นที่ ทั้งนี้ยังได้รับจัดสรรงบประมาณกว่า 4,000 ล้านบาท เพื่อทำโครงการเพื่อสร้างการรับรู้ และสร้างเทรนเนอร์ให้ทุกหมู่บ้านเพื่อสอนการใช้งานที่ถูกต้องและปลอดภัย วงเงิน 450 ล้านบาท และอีก 600 ล้านบาท จากงบกลาง ค่าใช้จ่ายส่งเสริม และสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ ประจำปีงบประมาณ 2560

โดยมีแผนลากสายไฟเบอร์ออปติกเชื่อมโครงข่ายเน็ตประชารัฐให้โรงเรียน 4,200 แห่ง รวม 420 ล้านบาท และ โรงพยาบาลสร้างเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) อีก 800 แห่ง เป็นเงิน 160 ล้านบาท ซึ่งจะติดตั้งให้เสร็จภายในเดือนกันยายน 2561

ไฟเขียวร่าง พ.ร.บ.ระบบสุขภาพปฐมภูมิ – ลดรายจ่าย รพ. ปีละ 2 แสนล้าน

พ.อ. อธิสิทธิ์ กล่าวว่า ครม. ได้มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ระบบสุขภาพปฐมภูมิ เนื่องจากปัจจุบันระบบสุขภาพของไทยเน้นในเรื่องการรักษาฟื้นฟู มากกว่าการป้องกันโรคและเน้นการดูแลสุขภาพในระดับโรงพยาบาลชุมชนและโรงพยาบาลขนาดใหญ่ทั่วไปมากกว่าระดับศูนย์สุขภาพชุมชน จึงต้องปฏิรูประบบสุขภาพที่เน้นการป้องกันเพื่อลดรายจ่ายของประชาชนและประเทศในระยะยาว โดยในสาระของร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ จะกำหนดให้มีคณะกรรมการระบบสุขภาพปฐมภูมิ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน เพื่อกำกับดูแลเชิงนโยบาย และกำหนดหลักเกณฑ์การให้บริการตรวจสุขภาพแบบปฐมภูมิ

นอกจากนี้ ยังให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานกลางในการขับเคลื่อนกลไกต่างๆ ตามร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ ให้เกิดผล โดยต้องคำนึงถึงหลักการมีส่วนร่วมของประชาชน ให้กำหนดกลไกการจัดบริการสุขภาพปฐมภูมิ เช่น สิทธิได้รับบริการปฐมภูมิอย่างเป็นธรรม และมีคุณภาพ หรือสิทธิการได้รับบริการสาธารณสุขตาม สวัสดิการหรือสิทธิที่บุคคลนั้นได้รับตามกฎหมาย มีการกำหนดให้ควบคุมคุณภาพ และมาตรฐานของหน่วยงานบริการปฐมภูมิ

พ.อ. อธิสิทธิ์ กล่าวอีกว่ากฎหมายได้กำหนดบทเฉพาะกาลระยะเวลา 10 ปี ให้จัดหน่วยบริการปฐมภูมิในสัดส่วนที่เหมาะกับจำนวนผู้รับบริการและพื้นที่ โดยให้กระทรวงสาธารณสุข ร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการและสถาบันอุดมศึกษา ดำเนินการให้มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและผู้ประกอบวิชาชีพทางการแทพย์ดูแลประชาชนในพื้นที่อย่างเหมาะสม และคาดว่าจะใช้เงินในการดำเนินการ เช่นการสร้างบุคคลากรทางการแพทย์และระบบบริหารจัดการกว่า 50,000 ล้านบาท แต่จะสามารถลดค่าใช้จ่ายในสถานพยาบาลรัฐได้ 227,570 ล้านบาท

แต่งตั้ง-โยกย้าย ขรก.ระดับสูง 5 หน่วยงาน

พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติแต่งตั้งข้าราชการในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงหลายกระทรวง ดังนี้

  1. กระทรวงยุติธรรม เสนอแต่งตั้ง 3 ราย ได้แก่ นายนิยม เติมศรีสุข ที่ปรึกษาการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ไปเป็น เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ปปส.), พ.ต.ท. พงษ์ธร ธัญญสิริ ผู้ตรวจราชการกระทรวง ไปเป็น รองปลัดกระทรวง และนายสมณ์ พรหมรส ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ไปเป็น อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสริภาพ ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ
  2. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เสนอแต่งตั้ง นายก้องศักด ยอดมณี เป็นผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย
    ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป
  3. ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) รับโอน พล.ร.ต. สมเกียรติ ผลประยูร ผู้ชำนาญการสำนักนโยบายและแผน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ไปเป็น รองเลขาธิการ ศอ.บต.
    ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
  4. กระทรวงวัฒนธรรม เสนอแต่งตั้ง 3 ราย ได้แก่ นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ รองปลัดกระทรวง ไปเป็น อธิบดีกรมการศาสนา, นายชาย นครชัย รองปลัดกระทรวง ไปเป็น อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม และนายกฤษฎา คงคะจันทร์ ผู้ตรวจราชการ ไปเป็น รองปลัดกระทรวง
    ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2651 เป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ และสับเปลี่ยนหมุนเวียน
  5. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เสนอแต่งตั้ง 5 ราย ได้แก่ นายสมคิด สมศรี อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ไปเป็น อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน, นางธนาภรณ์ พรมสุวรรณ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ ไปเป็น อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ, นางไพรวรรณ พลวัน รองปลัดกระทรวง ไปเป็น อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ, นายอภิชาติ อภิชาตบุตร ผู้ตรวจราชการกระทรวง ไปเป็น รองปลัดกระทรวง และนางสุภัชชา สุทธิพล ผู้ตรวจราชการกระทรวง ไปเป็น รองปลัดกระทรวง

    ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ

อ่านมติ ครม. ประจำวันที่ 28 สิงหาคม 2561 เพิ่มเติม