ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “บิ๊กป้อมรอด ป.ป.ช. ตีตกนาฬิกาหรู ชี้ ไม่มีมูลเพียงพอ” และ “สหรัฐฯ เตือนพลเมือง สนามบินมะนิลาไม่สอดคล้องมาตรฐานICO”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “บิ๊กป้อมรอด ป.ป.ช. ตีตกนาฬิกาหรู ชี้ ไม่มีมูลเพียงพอ” และ “สหรัฐฯ เตือนพลเมือง สนามบินมะนิลาไม่สอดคล้องมาตรฐานICO”

29 ธันวาคม 2018


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 22-28 ธ.ค. 2561

  • บิ๊กป้อมรอด ป.ป.ช. ตีตกนาฬิกาหรู ชี้ ไม่มีมูลเพียงพอ
  • สื่อทำเนียบฯ งดตั้งฉายาบิ๊กตู่ แจง บ้านเมืองยังไม่ปรกติ รอเป็น ปชต.
  • ครม. ไฟเขียว พ.ร.บ.คู่ชีวิต คู่รักหลากหลายทางเพศจดทะเบียนได้ แต่ยังไม่อนุญาตรับบุตรบุญธรรมร่วมกัน
  • ร้อง กกต. สอบ “อุตตม” เป็นหัวหน้าพรรคแต่ไม่ได้เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ
  • สหรัฐฯ เตือนพลเมือง สนามบินมะนิลาไม่สอดคล้องมาตรฐานไอเคโอ
  • บิ๊กป้อมรอด ป.ป.ช. ตีตกนาฬิกาหรู ชี้ ไม่มีมูลเพียงพอ

    พล.อ. ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
    ที่มาภาพ: https://social.tvpoolonline.com/

    เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการ ป.ป.ช. แถลงข่าวอย่างเป็นทางการว่า ที่ประชุมมีมติ 5 ต่อ 3 เห็นว่าการครอบครองนาฬิกาหรูของ พล.อ. ประวิตร ไม่มีมูลเพียงพอที่จะระบุว่าเป็นการจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ โดยพบพยานหลักฐานว่านาฬิกาส่วนใหญ่เป็นของ นายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ นักธรุกิจชื่อดัง ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของ พล.อ. ประวิตร อีกทั้งการสอบปากคำพยานบุคคล พบว่า นายปัฐวาท เป็นผู้มีฐานะทางการเงิน และมีนิสัยชอบช่วยเหลือกลุ่มเพื่อน จึงปรากฏข้อมูลว่า มีการให้ยืม นาฬิกากับ พล.อ. ประวิตร และกลุ่มเพื่อนอยู่บ่อยครั้ง

    ส่วนการพิจารณากรณีครอบครองแหวนประดับที่มีมูลค่าจำนวน 12 วง ที่ประชุมได้รับคำชี้แจงจาก พล.อ. ประวิตร ว่า มี 3 วงที่ได้รับเป็นมรดกมาจากบิดา ในขณะที่ดำรงตำแหน่งในปัจจุบัน ส่วนที่เหลือตรวจสอบพบว่าเป็นเพียง แหวนรุ่น แหวนวัตถุมงคล ที่มีมูลค่าไม่มากนัก ป.ป.ช. จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ว่ากรณีแหวนประดับ ไม่จำเป็นต้องแสดงในบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.

    ต่อเรื่องดังกล่าว นายศีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์กรพิทักษ์รัฐธรรมมนูญไทย ได้ประกาศว่าhttp://bit.ly/2Rl32S5 จะล่ารายชื่อประชาชน 20,000 รายชื่อ เพื่อปลดกรรมการ ป.ป.ช. ทั้ง 5 ราย

    สื่อทำเนียบฯ งดตั้งฉายาบิ๊กตู่ แจง บ้านเมืองยังไม่ปรกติ รอเป็น ปชต.

    พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
    ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

    เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่า ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล ออกแถลงการณ์คำชี้แจงเรื่อง ตั้งฉายา รัฐบาล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ประจำปี 2561 ตามที่ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาลมีธรรมเนียมปฏิบัติในการตั้งฉายาของรัฐบาล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ในช่วงปลายปี

    เพื่อสะท้อนการทำงานของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในรอบปี อย่างไรก็ตามแม้รัฐบาลปัจจุบันจะบริหารราชการแผ่นดินมานานแล้วกว่า 4 ปี แต่ก็เป็นรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง จากการหารืออย่างรอบด้าน บวกกับพิจารณาตามธรรมเนียมปฏิบัติ ดังนั้นผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาลจึงมีมติงดตั้งฉายารัฐบาลและรัฐมนตรีประจำปี 2561

    เพราะนอกจากจะเป็นหลักปฏิบัติตามธรรมเนียมที่ยึดกันมา ยังมีข้อจำกัดทางข้อกฎหมายและบรรยากาศการเมืองในภาวะที่ยังถือว่าไม่ปกติ อีกทั้งยังมีความเห็นว่าหากมีการตั้งฉายารัฐบาล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี อาจถูกนำไปขยายความขัดแย้ง เชื่อมโยงหรือขยายผลในทางการเมือง ซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้เลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย จนอาจตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้

    ทั้งนี้ หลักปฏิบัติที่ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาลปฏิบัติสืบต่อกันมาตั้งแต่เริ่มแรก ว่าจะไม่มีการตั้งฉายารัฐบาล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำปี กรณีที่เป็นรัฐบาลรักษาการ ภายหลังนายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภาฯ หรือกรณีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงจนรัฐบาลยังทำงานไม่ครบปี กรณีรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจหรือรัฐประหาร และกรณีสถานการณ์บ้านเมืองที่อยู่ในภาวะไม่ปกติ

    อย่างไรก็ตามการงดตั้งฉายารัฐบาลและรัฐมนตรีประจำปีของผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาลเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง เช่น ในปี 2549-2550 รัฐบาล พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่มาจากการรัฐประหาร ในปี 2551 รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ในปี 2556 รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เนื่องจากมีการประกาศยุบสภา ในปี 2557 รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มาจากการรัฐประหาร เป็นต้น

    ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาลหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ในปี 2562 นี้ ภายหลังประเทศมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ จะได้สะท้อนการทำงานของรัฐบาล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ประจำปี ตามธรรมเนียมสืบต่อไป

    ครม. ไฟเขียว พ.ร.บ.คู่ชีวิต คู่รักหลากหลายทางเพศจดทะเบียนได้ แต่นังไม่อนุญาตรับบุตรบุญธรรมร่วมกัน

    เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2561 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถลงผลการประชุมครม.ว่าที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการร่างพระราชบัญญัติคู่ชีวิตตามที่กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เสนอ ภายหลังจากที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการจดทะเบียนคู่ชีวิต ที่ได้ทำการหารือและพิจารณาร่วมกับภาคส่วนต่างๆ รวมทั้งทำการศึกษาค้นคว้าและเปรียบเทียบกฎหมายของประเทศต่างๆ ที่ให้สิทธิการสร้างครอบครัวแก่กลุ่มบุคคลหลากหลายทางเพศ เช่น ฝรั่งเศส, สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น นำมาพิจารณาประกอบกับบริบทสภาพสังคมของประเทศไทย ในการพิจารณาจัดทำร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว

    นายณัฐพรกล่าวว่า โดยเงื่อนไขในการจดทะเบียนคู่ชีวิตประเทศส่วนมากกำหนดให้การจดทะเบียนคู่ชีวิตสามารถทำได้ในกรณีที่บุคคลทั้งสองฝ่ายเป็นเพศเดียวกันสมรสกัน, ไม่มีความสัมพันธ์เป็นญาติสืบสายโลหิตระหว่างกัน ซึ่งประเทศไทยได้กำหนดหลักเกณฑ์ในลักษณะเดียวกันไว้ในร่างพระราชบัญญัติ

    นายณัฐพร กล่าวอีกว่า ส่วนกระบวนการบันทึกทางทะเบียน ทุกประเทศให้กระทำการบันทึกความเป็นคู่ชีวิต ทางทะเบียนโดยการบอกกล่าว จัดทำข้อตกลง และยื่นคำขอจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ สำนักทะเบียนซึ่งในส่วนของประเทศไทยร่างพระราชบัญญัติฯ กำหนดให้การจดทะเบียนคู่ชีวิต ทำที่สำนักทะเบียน ตามที่กระทรวงมหาดไทยกำหนด

    สำหรับสิทธิและหน้าที่ของคู่ชีวิต แต่ละประเทศได้มีการกำหนดสิทธิและหน้าที่ระหว่างคู่ชีวิตที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับ บริบทของแต่ละประเทศ เช่น สิทธิและหน้าที่ในการอุปการะเลี้ยงดูซึ่งกันและกัน ,การจัดการทรัพย์สินร่วมกัน ,ความรับผิดชอบในหนี้ร่วมกัน ,การรับมรดก, การรับบุตรบุญธรรม,การเปลี่ยนคำนำหน้านาม,การเปลี่ยนชื่อสกุล,การให้ความยินยอมรักษาพยาบาล,การดำเนินคดีอาญา,การลดหย่อนภาษี,สวัสดิการสังคม,การได้สัญชาติ,การอนุญาตเข้าเมือง ฯลฯ

    นายณัฐพรกล่าว ว่าสำหรับประเทศไทยนั้นร่างพระราชบัญญัติฯ ได้กำหนดให้คู่ชีวิตมีสิทธิและหน้าที่ช่วยเหลือ อุปการะ เลี้ยงดูกัน รวมทั้งให้มีสิทธิในฐานะคู่ชีวิต เช่น สิทธิในการยินยอมรักษาพยาบาล,อำนาจจัดการศพ, การดำเนินคดีอาญาแทนคู่ชีวิต,การเรียกร้องสินไหมทดแทนจากการขาดไร้อุปการะ,การจัดการทรัพย์สิน, การรับมรดก แต่ไม่รวมถึงการรับบุตรบุญธรรม, การเปลี่ยนคำนำหน้านาม, การเปลี่ยนชื่อสกุล รวมทั้งสวัสดิการของรัฐ เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีความสัมพันธ์กับกฎหมายหลายฉบับ รวมถึงงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งต้องใช้เวลาในการเตรียมการตลอดจนปรับแก้กฎหมาย และระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในเบื้องต้นร่างพระราชบัญญัติ จึงไม่ได้รวมประเด็นดังกล่าวไว้

    ส่วนการยุติความสัมพันธ์ในฐานะคู่ชีวิต ทุกประเทศกำหนดในลักษณะเดียวกันคือการเป็นคู่ชีวิต สามารถสิ้นสุดลงได้ด้วยความตาย, การแต่งงานหรือจดทะเบียนคู่ชีวิตกับบุคคลอื่นและกระบวนการฟ้องร้องทางศาล ซึ่งกำลังพระราชบัญญัติได้กำหนดไว้ในทิศทางเดียวกัน

    นายณัฐพรกล่าว ว่ากระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ได้นำผลการเปรียบเทียบกฎหมายต่างประเทศที่มีลักษณะเดียวกันมาพิจารณาเพื่อให้สอดคล้องกับสมการปัจจุบันและเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย เป็นการดำเนินการลักษณะค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มต้นจากการรับรองสถานะและจดทะเบียนคู่ชีวิตเพื่อเป็นการรับรองสิทธิเบื้องต้นก่อนจะพัฒนาไปสู่การสมรสที่เท่าเทียมกัน ซึ่งจะส่งให้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาต่อไป

    ร้อง กกต. สอบ “อุตตม” เป็นหัวหน้าพรรคแต่ไม่ได้เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ข่าวสด (http://bit.ly/2RhsQyH)

    เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่า เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 25 ธ.ค. 2561 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ เดินทางมายื่นข้อมูลเพิ่มเติมให้กับคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) หลังจากได้ยื่นเรื่องให้ กกต. ตรวจสอบเรื่องคุณสมบัติการเป็นหัวหน้าพรรคของนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โดยข้อมูลที่นำมายื่นในวันดังกล่าวเป็นข้อมูลที่นายสุรพร ดนัยตั้งตระกูล กรรมการบริหารพรรค ยอมรับว่า นายอุตตม ไม่ได้เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและสมาชิกพรรค ในวันที่พรรคพลังประชารัฐมีการประชุมใหญ่และเลือกนายอุตตมเป็นหัวหน้าพรรค ดังนั้นจึงถือว่านายอุตตมเป็นคนนอกที่มารับตำแหน่ง ถือเป็นคนนอกตามมาตรา 28 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ที่ห้ามไม่ให้บุคคลภายนอกพรรคการเมืองเข้ามาครอบงำ ชี้งำ ซึ่งมีโทษถึงขั้นยุบพรรค

    “นายสุรพร อาจจะรีบออกมาโต้เร็วเกินไป เราก็แสวงหาข้อเท็จจริงต่อไปที่บอกว่า 13 ต.ค. ผมก็แก้ว่าเป็น 13 พ.ย. ส่วนที่บอกว่าเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญก็ไม่ใช่ เพราะเป็นกฎหมายพรรคการเมืองและระเบียบ กกต. ปี 60 รวมถึงแบบแนบท้ายระเบียบ ของให้กลับไปดู พ.ก.3 และ พ.ก.4 ซึ่งท่านต้องเซ็นต์ชื่อว่าได้รับเลือกเป็นกรรมการบริหารพรรค และต้องยืนยันความเป็นสมาชิกตามมาตรา 16 ซึ่งคำสั่ง คสช.ก็ไม่ใช่ เพราะคำสั่งที่ 53 อนุญาตให้พรรคการเมืองจัดตั้งใหม่หาสมาชิกได้เลย ส่วนพรรคเก่าให้แค่ยืนยันสมาชิกและจ่ายค่าบำรุงพรรคภายใน 30 วัน มิเช่นนั้นจะถือว่าหมดสิทธิ์การเป็นสมาชิกในพรรค ไปย้อนดูได้เลยคำสั่ง คสช.มีเจตนารมณ์ชัดเจน” นายเรืองไกรกล่าว

    ส่วนประเด็นที่ผมมีนัยยะทางการเมืองจากการยื่นเรื่องดังกล่าวนั้น นายเรืองไกรกล่าวว่า ผมเรืองไกรเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่ได้รับลูกพรรคการเมือง สิ่งที่ผมทำไปคนเดียวมาคนเดียวไม่ให้ใครรู้ เพื่อไม่ให้ข้อมูลถูกนำไปใช้ก่อนมายื่นเรื่อง ถ้าตนวาระซ่อนเร้นจริงคงไม่มายื่นคำร้องเมื่อวาน จะรอให้ระดมทุนหาเงิน ส่งรายชื่อผู้สมัครลงรับเลือกตั้งหลัง พ.ร.ฏ.เลือกตั้ง ส.ส. มีผลบังคับใช้ต้นปี

    แล้วเสนอเชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีก่อนจึงค่อยร้อง แต่วันนี้ยังให้โอกาสพรรคพลังประชารัฐจะถูกจะผิดอย่างไร กกต.มีหน้าที่ไปดำเนินการ ถ้า กกต.ดำเนินการขาด หรือตกไป ก็ต้องแก้ไขหรือยกเลิก ส่วนที่ไปสมัครเป็นสมาชิกก็ช่วยไม่ได้ อ่านกฎหมายเหมือนๆกัน และตอนนี้จะไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคอื่นก็คงไม่ทัน 90 วันแล้ว

    “สำหรับ พล.อ. ประยุทธ์ ถ้าอยากเล่นการเมือง ก็ต้องหาพรรคใหม่ให้เสนอชื่อ ด้วยความหวังดี เพราะจริงๆแล้วคนอื่นอาจจะไม่อยากให้สืบทอดอำนาจ แต่ผมอยากให้ท่านทำงานต่อไป ไม่เช่นนั้นจะสร้าง ส.ว. 250 คนทำไม และถ้าผมมีโอกาสเป็น ส.ส. อยากมีโอกาสตั้งกระทู้ซักถาม พล.อ. ประยุทธ์ ภาษาการเมืองท่านจะอยู่หรือจะตายบนเวทีการเมือง ไม่อยากให้ท่านไปเฉยๆ

    เพราะทีผ่านมา 4-5 ปี เวทีแม่น้ำ 5 สายท่านก็พูดไปคนเดียว ผมต้องการให้ท่านเป็นนายกฯ ต่อ เพราะเวลาเป็นแล้วตอนผ่านกฎหมายฉบับแรก บนเวทีสภาที่มีผ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล มันเป็นอย่างไร”นายเรืองไกรกล่าว

    สหรัฐฯ เตือนพลเมือง สนามบินมะนิลาไม่สอดคล้องมาตรฐานไอเคโอ

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์เดลินิวส์ (http://bit.ly/2RkTUwU)

    เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. ว่า กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐอเมริกา ออกคำแนะนำเกี่ยวกับการเดินทางท่องเที่ยวเมื่อวันพุธ ระบุว่า ความปลอดภัยที่ท่าอากาศยานนานาชาตินินอย อาคีโน ชานกรุงมะนิลา “ไม่สอดคล้อง” กับมาตรฐานขององค์การบินพลเรือนระหว่างประเทศ หรือไอเคโอ (ICAO) จึงขอให้ “เพิ่มความระมัดระวัง” เมื่อเดินทางผ่านเข้าออกสนามบินนินอย อาคีโน

    แถลงการณ์ของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ กล่าวว่า คำแนะนำยึดหลักการประเมิน โดยคณะผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยของสำนักงานความปลอดภัยด้านการขนส่งสหรัฐ (ทีเอสเอ) โดยไม่ระบุผลการตรวจสอบ

    ครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกว่าเป็นสนามบินที่แย่ที่สุดในโลก จากความสกปรกของห้องน้ำและสภาพอาคารชำรุด ท่าอากาศยานนานาชาตินินอย อาคีโน เป็นประตูทางผ่านหลักไปสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

    นายเอ็ด มอนเรียล ผู้จัดการใหญ่สนามบินนินอย อาคีโน กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดี ว่า ทางการฟิลิปปินส์จะปฏิบัติตามาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินสากล และจะรีบแก้ไขความบกพร่อง ทีมผู้ตรวจสอบของทีเอสเอเดินทางเยือนฟิลิปปินส์ในเดือน ก.ย. และพบข้อบกพร่องในสนามบินนินอย อาคีโน หลายจุด

    สนามบินนินอย อาคีโน ติดอันดับสนามบินที่แย่ที่สุดในโลก ของเว็บไซต์การท่องเที่ยว The Guide to Sleeping in Airports ระหว่างปี พ.ศ. 2554-2556 ส่งผลให้รัฐบาลฟิลิปปินส์ต้องทำการปรับปรุงซ่อมแซมครั้งใหญ่ นอกจากนั้นสนามบินแห่งนี้ยังขึ้นชื่อทางด้านเที่ยวบินล่าช้า และ รปภ. สนามบินรีดไถเงินจากผู้โดยสาร

    ปี 2556 มือปืนดักยิงนอกอาคารสนามบินนินอย อาคีโน สังหารประชาชน 4 ศพ รวมถึงนายกเทศมนตรีเมืองขนาดเล็ก เรื่องดังกล่าวถูก ส.ส. นำไปอภิปรายในรัฐสภา และโจมตีว่ากล้องวงจรปิดบริเวณที่เกิดเหตุเสียใช้การไม่ได้