ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “ชงแก้ กม. ‘ขับรถไม่พกใบขับขี่-ใบขับขี่หมดอายุ’ ปรับ 5 หมื่น และ “ทรัมป์เตือน หากถอดถอนตนจากตำแหน่ง ‘ตลาดโลกล่มสลาย-วุ่นวายทางการเมือง'”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “ชงแก้ กม. ‘ขับรถไม่พกใบขับขี่-ใบขับขี่หมดอายุ’ ปรับ 5 หมื่น และ “ทรัมป์เตือน หากถอดถอนตนจากตำแหน่ง ‘ตลาดโลกล่มสลาย-วุ่นวายทางการเมือง'”

25 สิงหาคม 2018


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 18-24 ส.ค. 2561

  • ชงแก้ กม. “ขับรถไม่พกใบขับขี่-ใบขับขี่หมดอายุ” ปรับสูงสุด 5 หมื่น
  • บี้คลัง จำนำข้าวขาดทุนจริงหรือไม่ ทำไมไม่มีในรายการเงินแผ่นดิน
  • รัฐเพิ่มงบให้ ทบ. สร้างพิพิธภัณฑ์ไม้มีค่าเป็น 6.2 พันล้าน
  • ป.ป.ช. คาด อีกสองเดือนสรุปสำนวนนาฬิกาหรู
  • ทรัมป์เตือน หากถอดถอนตนจากตำแหน่ง “ตลาดโลกล่มสลาย-วุ่นวายทางการเมือง”
  • ชงแก้ กม. “ขับรถไม่พกใบขับขี่-ใบขับขี่หมดอายุ” ปรับสูงสุด 5 หมื่น

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์มติชนออนไลน์ (https://www.matichon.co.th/politics/news_945752)

    เว็บไซต์เนชั่นทีวีรายงานว่า เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ต.อ. กฤษณะ พัฒนเจริญ รอง โฆษก ตร. เปิดเผย ถึงกรณี กรมการขนส่งทางบกจะดำเนินการเสนอปรับแก้กฎหมาย พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 และ พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ. 2522 เข้าด้วยกันให้เป็นกฎหมายฉบับเดียว อีกทั้งมีการเพิ่มอัตราโทษค่าปรับให้สูงขึ้น เกี่ยวกับการขับขี่รถที่ไม่พกพาใบอนุญาตขับขี่และใบอนุญาตขับขี่หมดอายุ ว่า

    จากกรณีดังกล่าวนั้น กรมการขนส่งทางบกได้เสนอปรับแก้กฎหมายทั้ง 2 ฉบับดังกล่าวเข้าด้วยกันเพื่อให้เป็นกฎหมายเดียว ง่ายต่อการกำกับดูแล รวมทั้งเร่งปรับปรุงรายละเอียดของกฎหมาย ให้ทันสมัยและสอดคล้องพฤติกรรมขับขี่ของผู้ใช้รถใช้ถนนให้มากขึ้นในยุคปัจจุบัน

    พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ตามกฎหมายใหม่ ที่กรมฯ นำเสนอ ได้มีการแก้ไขปรับเพิ่มโทษสำคัญๆ ใน 3 มาตรา ประกอบด้วย

    1. มาตรา 64 ขับรถโดยไม่มีใบอนุญาต ตามกฎหมายเดิมลงโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับสูงสุดไม่เกิน 1,000 บาท แต่กฎหมายใหม่เสนอให้ปรับเพิ่มโทษเป็น จำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับสูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท
    2. มาตรา 65 ขับรถในระหว่างใบอนุญาตสิ้นอายุ ถูกพักใช้ หรือเพิกถอนใบอนุญาต หรือถูกยึดใบอนุญาต ตามกฎหมายเดิมลงโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท แต่กฎหมายใหม่เสนอให้เพิ่มโทษจำคุกเข้ามาด้วย คือ จำคุกไม่เกิน 3 เดือน ส่วนโทษ ปรับเพิ่มขึ้นเป็นสูงสุดไม่เกิน 50,000 บาท
    3. มาตรา 66 ขับรถโดยไม่แสดงใบอนุญาต ตามกฎหมายเดิมปรับไม่เกิน 1,000 บาท แต่ตามกฎหมายใหม่ เสนอให้ปรับสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท

    เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่า ต่อข้อเสนอดังกล่าว พล.ต.ต. เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ ผู้บังคับการตำรวจสันติบาล 3 ในฐานะคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงว่า จำนวนเงินดังกล่าวเป็นเพียงอัตราโทษปรับสูงสุดที่ระบุไว้เท่านั้น การไม่พกใบขับขี่ จำนวนเงินที่จะเปรียบเทียบปรับ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของพนักงานสอบสวน และกรณีไม่มีใบขับขี่ การเปรียบเทียบปรับจะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล และกฎหมายดังกล่าวยังไม่มีผลบังคับใช้ อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ

    นอกจากนี้ เฟซบุ๊ก THE STANDARD ได้รายงานถึงคำแถลงของ พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 21 ส.ค.2561 มีมติเห็นชอบ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขอและการออกใบอนุญาตขับรถ และการขอต่ออายุและการอนุญาตให้ต่ออายุใบอนุญาตขับรถ พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ

    โดยวันนี้รัฐบาลให้ความสำคัญกับการลดอุบัติเหตุบนท้องถนน เพราะฉะนั้นทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์จะต้องมีการควบคุมให้ผู้ใช้รถมีความพร้อมจริงๆ จึงมีการปรับแก้ไขในกฎกระทรวงเดิมซึ่งมีตั้งแต่ปี 2548 ให้รัดกุมยิ่งขึ้น

    ยกตัวอย่างเช่น ใบรับรองแพทย์ที่จะใช้ประกอบการขอและต่อใบอนุญาตขับรถเนื่องจากการตรวจสุขภาพเพื่อออกใบรับรองแพทย์สำหรับใช้เป็นหลักฐานประกอบการขอรับใบอนุญาตขับรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ เป็นการตรวจเบื้องต้นว่าบุคคลนั้นไม่เป็นผู้ทุพพลภาพ ไร้ความสามารถ จิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ และไม่เป็นโรค 5 โรค ได้แก่ โรคเรื้อนในระยะติดต่อหรือระยะที่ปรากฏอาการเป็นที่น่ารังเกียจแก่สังคม วัณโรคในระยะอันตราย โรคเท้าช้างในระยะที่ปรากฏอาการอันเป็นที่น่ารังเกียจแก่สังคม ติดยาเสพติดให้โทษ และโรคพิษสุราเรื้อรัง เท่านั้น 

    แต่ใบรับรองแพทย์ดังกล่าว ไม่สามารถคัดกรองบุคคลในการขับขี่รถ อันส่งผลให้ไม่สามารถช่วยลดอุบัติเหตุหรือสร้างความปลอดภัยให้ผู้ขับขี่และผู้ใช้รถบนถนนได้ 

    อีกทั้งโรคที่เป็นสาเหตุก่อให้เกิดอุบัติเหตุไม่ได้ถูกนำมาอยู่ในรายการตรวจสุขภาพ และยังปรากฏข้อเท็จจริงอีกว่า ผู้มายื่นขอรับใบอนุญาตขับรถหรือต่ออายุใบอนุญาตขับรถบางรายมีสภาพจิตใจ หรือบุคลิกภาพที่ไม่ถึงขั้นวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือน แต่มีความปกติทางอารมณ์ที่ไม่เหมาะสมจะอนุญาตให้เป็นผู้ขับรถได้

    จึงมีการกำหนดเพิ่มเติมให้ใบรับรองแพทย์ที่จะนำมาใช้ประกอบการขอ หรือต่อใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคลต้องแสดงให้เห็นว่า นอกจากผู้ขอไม่มีโรคประจำตัวแล้ว ยังไม่มีสภาวะของโรคที่ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมเห็นว่าอาจเป็นอันตรายขณะขับรถ 

    และกำหนดให้การขอต่อใบอนุญาตขับรถทุกกรณีต้องใช้ใบรับรองแพทย์ โดยใบรับรองแพทย์มีอายุใช้ได้ตามที่แพทย์ผู้รับรองกำหนด แต่หากแพทย์ไม่ได้กำหนดอายุไว้ ให้ใช้ได้ไม่เกิน 1 เดือน นับแต่วันที่ออกใบรับรองแพทย์

    ประการต่อไป ผู้ที่ประสงค์จะขับรถจักรยานยนต์ที่มีกำลังสูงหรือบิ๊กไบค์ จะต้องมีการผ่านการฝึกอบรมและทดสอบการขับรถ โดยร่างกฎกระทรวงฉบับใหม่ได้เพิ่มเติมข้อกำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะขับรถจักรยานยนต์ที่มีกำลังสูง (บิ๊กไบค์) ต้องผ่านการอบรมและทดสอบการขับรถตามที่อธิบดีประกาศกำหนดเป็นการเพิ่มเติม 

    บี้คลัง จำนำข้าวขาดทุนจริงหรือไม่ ทำไมไม่มีในรายการเงินแผ่นดิน

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ข่าวสด (https://www.khaosod.co.th/politics/news_1459854)

    เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่า เมื่อวันที่ 18 ส.ค. 2561 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกวุฒิสภา เปิดเผยว่า ตามที่ สนช. (สภานิติบัญญัติแห่งชาติ) ได้มีวาระประชุมรับทราบรายงานการเงินแผ่นดินสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 2558 และ 2557 เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2561 โดยมีการเปิดเผยเอกสารประกอบการพิจารณาไว้ด้วยจำนวน 41 หน้า ซึ่งรายงานการเงินแผ่นดินดังกล่าว ตรวจสอบรับรองโดย สตง. (สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน) แล้ว และคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับทราบเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2561 ตามที่ รมว.คลังเสนอ ซึ่งในรายงานดังกล่าวแสดงไว้ชัดเจนว่าไม่มีผลขาดทุนจากโครงการรับจำนำข้าว ณ วันที่ 30 ก.ย. 2557 จำนวน 536,908.30 ล้านบาทรวมอยู่ด้วยแต่อย่างใด ทั้งนี้ ตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง คดีแดงที่ อม. 211/2560 เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2560 หรือคดีโครงการรับจำนำข้าว ปรากฏว่าในหน้า 62 ได้ระบุถึงผลขาดทุนจำนวน 536,908.30 ล้านบาทไว้ด้วย ดังนั้นผลขาดทุนดังกล่าวหากมีจริง ก็ควรมีอยู่ในรายงานการเงินแผ่นดิน ณ วันที่ 30 ก.ย. 2557 ด้วยเช่นกัน

    นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า แต่ตามข้อมูลที่ ครม. เสนอ สนช. มีเพียงตัวเลขค่าใช้จ่ายสูงกว่ารายได้ 301,100.79 ล้านบาท โดยไม่มีเรื่องผลขาดทุนจากโครงการรับจำนำข้าวปรากฏอยู่ในเอกสารทั้ง 41 หน้าแต่อย่างใดเลย กรณีดังกล่าวจึงมีข้อสังเกตว่าผลขาดทุนจำนวน 536,908.30 ล้านบาทที่ถูกนำไปกล่าวอ้างในคดีนั้นไม่มีอยู่จริงใช่หรือไม่ เพราะหากผลขาดทุนจำนวน 536,908.30 ล้านบาท มีอยู่จริงตามข้อมูลที่ปรากฏในคำพิพากษา ผลขาดทุนดังกล่าวก็จะต้องนำไปบันทึกบัญชีไว้ในรายงานการเงินแผ่นดินด้วย ซึ่งจะทำให้มีตัวเลขค่าใช้จ่ายสูงกว่ารายได้เป็นจำนวน 536,908.30 + 301,100.79 = 838,009.09 ล้านบาท

    ด้วยเหตุนี้ นายเรืองไกรกล่าวว่า ตนจึงจะไปยื่นหนังสือให้ รมว.คลังได้ตรวจสอบและชี้แจงต่อสังคมต่อไป 

    รัฐไฟเขียวเพิ่มงบให้ ทบ. สร้างพิพิธภัณฑ์ไม้มีค่า เป็น 6.2 พันล้าน

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ (https://mgronline.com/politics/detail/9610000083415)

    เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า วันที่ 21 ส.ค. 2561 แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (14 ส.ค. 2561) เห็นชอบให้กองทัพบก และสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ดำเนินการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดการดำเนินการตามโครงการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ไม้มีค่าเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน

    ทั้งนี้ ประกอบด้วยรายละเอียดในส่วนของการก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ และส่วนที่กองทัพบกได้รับผลกระทบ เป็นกรณีจำเป็นอันเนื่องมาจากต้องเปลี่ยนแปลงสถานที่ก่อสร้าง โดยในส่วนของกรอบวงเงินงบประมาณที่เพิ่มขึ้น เป็นค่าใช้จ่ายในส่วนของงานก่อสร้างที่มีการปรับปรุง แบบเพิ่มเติมในพื้นที่แห่งใหม่ งานคืนสภาพพื้นที่ก่อสร้างเดิม และค่าชดเชยงานก่อสร้างระหว่างงวด 

    “อนุมัติให้เปลี่ยนแปลงกรอบวงเงินโครงการฯ จากกรอบวงเงินเดิม จำนวน 4,746,849,158.96 บาท เป็นกรอบวงเงิน 6,284,301,600 บาท เพิ่มขึ้น 1,537,452,441.04 บาท ตามวงเงินผูกพันตามสัญญาค่างานที่จะดำเนินการ และค่างานในส่วนที่เพิ่มขึ้น และอนุมัติการขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ พ.ศ. 2557-2563 เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2557-2566”

    โครงการดังกล่าว สำนักงบประมาณได้เห็นด้วยกับการเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ในส่วนของการก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ฯ และส่วนที่กองทัพบกใต้รับผลกระทบจากเดิมที่คณะรัฐมนตรีมีมดิอนุมัติโว้ เนื่องจากกองทัพบก มีความจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงพื้นที่ก่อสร้าง พร้อมทั้งก่อสร้างอาคารประกอบเพื่อรองรับการใข้งานดังกล่าว ประกอบกับคณะกรรมการบริหารจัดการไม้มีค่าเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน ได้มีมติเมื่อ (11 พ.ค. 61) เห็นชอบการเปลี่ยนแปลงรายละเอียด เพื่อให้การดำเนินโครงการบริหารจัดการฯ เป็นไปอย่างต่อเนื่องและบรรลุวัตถุประสงค์ตามเป๋าหมายที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

    มีรายงานว่า สำหรับโครงการก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ไม้มีค่า เดิม ครม. (6 ต.ค. 2558) อนุมัติให้ สปน.เปลี่ยนแปลงรายละเอียดการดำเนินการในส่วนของการก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์และส่วนที่กองทัพบกได้รับผลกระทบ ภายในกรอบวงเงิน 4,746,849,158.96 บาท ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2557-2563 ประกอบด้วย งานปรับปรุงในส่วนของกองทัพบกที่ได้รับผลกระทบ วงเงิน 2,960,589,644 บาท งานก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ วงเงิน 1,667,440,000 บาท และงานอื่นๆ วงเงิน 118,819,514.96 บาท

    โดย ครม. (20 ก.ย. 2559) ได้รับทราบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2559-2563 รายการค่าก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ฯ ระยะที่ 1 ภายใน วงเงิน 999,000,000 บาท ระยะเวลาก่อสร้าง 1,260 วัน โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2559 จำนวน 180,000,000 บาท ส่วนที่เหลือ จำนวน 819,000,000 บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560-2563 และอนุมัติการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2560-2563 รายการค่าควบคุมงานก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ฯ ระยะที่ 1 วงเงิน 17,516,300 บาท โดยให้ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 จำนวน 2,535,400 บาท ส่วนที่เหลือจำนวน 14,980,900 บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561-2563

    ต่อมา สำนักงบประมาณเห็นชอบความเหมาะสมของราคาค่าก่อสร้างอาคารที่ได้รับผลกระทบของกองทัพบก (อาคารหอประชุมกองทัพบกและอาคารกรมสวัสดิการทหารบก) และค่าจ้างควบคุมงานก่อสร้างอาคารของกองทัพบก ในวงเงินทั้งสิ้น 2,803,633,500 บาท ประกอบด้วย ค่าก่อสร้างอาคารที่ได้รับผลกระทบของกองทัพบก (อาคารหอประชุมกองทัพบกและอาคารกรมสวัสดิการทหารบก) วงเงิน 2,765,000,000 บาท ดำเนินการในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2559-2563 และค่าจ้างควบคุมงานก่อสร้างอาคารหอประชุมกองทัพบก วงเงิน 38,633,500 บาท ดำเนินการในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2559-2563

    “สำหรับผลการดำเนินงาน (30 ก.ย.60) การก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ฯ คิดเป็นร้อยละ 14.71 การก่อสร้างหอประชุมกองทัพบก ผลงานก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ 7.50 และได้มีการยุติการก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2560 เนื่องจากจะมีการย้ายสถานที่ก่อสร้างไปยังที่ดินพระราชทาน สำหรับการก่อสร้างอาคารสวัสดิการกองทัพบกแห่งใหม่ไม่ได้รับ ผลกระทบมีผลงานก่อสร้าง (31 ก.ค. 61) คิดเป็นร้อยละ 56.66”

    ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2560 นายกรัฐมนตรีเข้าเฝ้าฯ รับพระราชทานโฉนดที่ดินวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 79 ไร่ 2 งาน 60.9 ตารางวา เพื่อพระราชทานให้กองทัพบกใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างอาคารโครงการพิพิธภัณฑ์ไม้มีค่าเพื่อประโยชน์ ชองแผ่นดิน โดยกองทัพบกได้ปรับแผนการดำเนินงานก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ไม้มีค่าฯ และหอประชุมกองทัพบก พร้อมทั้งรายละเอียดงบประมาณในการย้ายไปก่อสร้างในสถานที่แห่งใหม่ ประกอบด้วย งานก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ ระยะที่ 1 ต้องการงบประมาณเพิ่มเติม วงเงิน 187,841,372.29 บาท รวมเป็น 1,204,292,972.29 บาท โดยงบประมาณที่เพิ่มขึ้นประกอบด้วย งบประมาณที่จะต้องเพิ่มเติมให้ครบวงเงินตามสัญญาเดิม เป็นค่างานก่อสร้างที่บริษัทคู่สัญญาได้ดำเนินการไปแล้วในพื้นที่เติม, งบประมาณที่จะตองเพิ่มเติมงานก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ฯ ระยะที่ 1 ในพื้นที่แห่งใหม่ วงเงิน 59,000,000 บาท เป็นค่างานปรับพื้นที่พร้อมถมดินในพื้นที่แห่งใหม่, งานก่อสร้างหอประชุมกองทัพบก และกรมสวัสดิการทหารบก ต้องการงบประมาณเพิ่มเติม วงเงิน 1,068,147,063.26 บาท รวมเป็น 3,844,236,707.26 บาท

    สำหรับรูปแบบจำลองอาคารพิพิธภัณฑ์เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ (พิพิธภัณฑ์ไม้มีค่า) ความเป็นมา เนื่องด้วยทางรัฐบาลตระหนักถึงความสําคัญของไม้ของกลางที่คดีสิ้นสุด และตกเป็นของแผ่นดิน ซึ่งได้ถูกเก็บรักษาไว้โดย 3 หน่วยงานราชการ ได้แก่ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมป่าไม้ และกรมศลุกากร จํานวนไม้ดังกล่าวในปัจจุบันมีปริมาณมาก หน่วยเก็บรักษาต้องสูญเสียงบประมาณจํานวนมากในการดูแลรักษาในแต่ละปี 

    คณะกรรมการบริหารจัดการไม้มีค่า จึงได้มีแนวคิดที่จะก่อสร้างอาคารสําหรับจัดแสดงสมบัติของชาติขึ้น โดยนําไม้มีค่าที่เป็นทรัพย์สินของแผ่นดินมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อแผ่นดิน และเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม วัตถุประสงค์ เพื่อเป็นอาคารสําหรับจัดแสดงงานศิลปะ ทั้งประติมากรรม จิตรกรรม ตลอดจน งานฝีมือต่างๆ ของช่างไทย รวมถึงเป็นแหล่งเรียนรู้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์เชิงศิลปะ และสามารถใช้เป็นอาคารรับรองแขกของรัฐบาลเพื่อแสดงถึงเอกลักษณ์ทางศิลปะของประเทศ 

    “เดิมกำหนดสถานที่พื้นที่บริเวณหอประชุมกองทัพบก เทเวศร์ ซึ่งอยู่ในบริเวณเกาะรัตนโกสินทร์ พื้นที่รวม 19 ไร่ 1 งาน รูปแบบและพื้นที่ใช้สอย อาคารพิพิธภัณฑ์เพื่อเฉลิมพระเกียรติฯ รูปแบบสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์เพื่อให้มีความสอดคลอ้งกับการแสดงออกถึงความเป็นไทย”

    สำหรับรูปแบบอาคารจัดวางเป็นลักษณะ 3 มุขจั่ว คือมีมุขตรงกลาง มุขด้านซ้าย และด้านขวา ภายนอกอาคาร ผนังบุด้วยหินอ่อน และมีจั่ว รวยระกา ลวดลายปูนปั้น ทาสี พระปรมาภิไธย โลหะหล่อปิดทอง เป็นองค์ประกอบ อาคารมีความสูง 2 ชั้น โดย ชั้นแรกประกอบด้วย ส่วนพิพิธภัณฑ์, ห้องรับรอง และสํานักงาน ชั้นสองประกอบด้วย ส่วนจัดแสดง, ส่วนรบัรอง และห้องประชุม ความจุ 700 ที่นั่ง สําหรับการประชุม และ 350 ที่นั่ง สําหรับการจัดเลี้ยง นอกจากนี้ยังมีชั้นจอดรถใต้ดิน 2 ชั้น สามารถจอดรถได้ 150 คัน พื้นที่ใช้สอย รวมทั้งอาคาร 13,500 ตารางเมตร 

    ภายในตกแต่งเล่าเรื่องราววรรณคดีเชิงประวัติศาสตร์ โดยใช้พระราชวังแวร์ซายส์ ประเทศฝรั่งเศส เป็นต้นแบบ จัดวางองค์ประกอบแบบตะวันตก แต่ใช้ลวดลายแบบไทย การประดับตกแต่งแต่ละห้องแตกต่างกัน ใช้เรื่องราวของวรรณคดี คติความเชื่อความรู้ ในอดีต การเมือง การปกครอง เรื่องราวของประวัติศาสตร์ชาติไทยโดยการใช้ศิลปะจากช่างสิบหมู่ของกรมศลิปากร และศิลปาชีพ ส่วนประติมากรรมที่ใช้เป็นสัตว์หิมพานต์ มีรูปลักษณะสัตว์ผสมมนุษย์ สัตว์ผสมเทวดา หรือมีลักษณะเป็นเทวดา

    ป.ป.ช. คาด อีกสองเดือนสรุปสำนวนนาฬิกาหรู

    ที่มาภาพ : https://social.tvpoolonline.com/

    เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2561 เวลา 10.30 น. พล.ต.อ. วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการป้องกันและปรามปราบการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการแสวงหาข้อเท็จจริงกรณีนาฬิกาหรูของ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า ยังไม่ได้รับรายงานความคืบหน้า เรื่องนี้จะต้องถามเลขาฯ ป.ป.ช. ล่าสุดทราบเพียงว่ามีการส่งหนังสือไปขอข้อมูลกับบริษัทนาฬิกาที่ต่างประเทศผ่านสถานทูตไทย เรื่องนี้จะจบได้เมื่อไหรก็ขึ้นอยู่กับคำตอบที่ได้รับ และการวินิจฉัยของกรรมการ ป.ป.ช.

    ด้านนายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาฯ ป.ป.ช. กล่าวว่า บริษัทผู้ผลิตนาฬิกาในต่างประเทศยังไม่ได้ส่งรายละเอียดนาฬิกาที่ขอไปมาให้เราแต่อย่างใด และต้องยอมรับว่าการขอข้อมูลจากต่างประเทศนั้นมักจะล่าช้า และไม่สามารถกำหนดเงื่อนไขเรื่องเวลากับทางบริษัทนาฬิกาได้ แต่ ป.ป.ช. คาดการณ์ว่า ภายใน 2 เดือนนับจากนี้ ผลการตรวจสอบจะชัดเจนมากขึ้นจนอาจนำไปสู่การสรุปสำนวนและชี้แจงให้สาธารณชนทราบได้ 

    ทรัมป์เตือน หากถอดถอนตนจากตำแหน่ง “ตลาดโลกล่มสลาย-วุ่นวายทางการเมือง”

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์เดลินิวส์ (https://www.dailynews.co.th/foreign/662254)

    เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2561 ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์พิเศษในรายการโทรทัศน์ของสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์ เมื่อวันพฤหัสบดี ว่าหากสภาคองเกรสมีมติถอดถอนเขาออกจากตำแหน่งผู้นำสหรัฐ สถานการณ์ดังกล่าวจะนำไปสู่การล่มสลายของตลาดโลก และการเกิด “ความวุ่นวายทางการเมือง” ทั้งนี้ บทบัญญัติที่ 2 มาตรา 4 ของรัฐธรรมนูญสหรัฐ ระบุว่าเจ้าหน้าที่รัฐ รวมถึงประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี อาจถูกสภาคองเกรสลงมติถอดถอน ในกรณีเป็นกบฏ ฉ้อโกง และกระทำผิดทางอาชญากรรม

    อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้น้อยมากที่แกนนำของทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตจะหารือเกี่ยวกับการถอดถอนผู้นำสหรัฐในช่วงเวลานี้ เนื่องจากทุกฝ่ายกำลังให้ความสำคัญมุ่งไปที่การหาเสียงสำหรับการเลือกตั้งกลางเทอมที่จะมีขึ้นในวันที่ 6 พ.ย. 2561 นี้ก่อน ซึ่งจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่ทั้ง 435 ที่นั่ง สมาชิกวุฒิสภา 35 จาก 100 ที่นั่ง และการแข่งขันชิงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐใน 39 รัฐ

    กระแสสังคมเรื่องการให้ฝ่ายนิติบัญญัติถอดถอนทรัมป์ออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐเป็นที่ถกเถียงกันมาระยะหนึ่งแล้ว แต่เป็นที่พูดถึงมากขึ้นในสัปดาห์นี้ เมื่อนายไมเคิล โคเฮน อดีตที่ปรึกษาทางกฎหมายคนสนิทของผู้นำสหรัฐฯ คนปัจจุบัน ให้การรับสารภาพต่อศาลรัฐบาลกลางในนครนิวยอร์ก ว่า “ผู้สมัครรับเลือกตั้งคนหนึ่ง” ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เมื่อปี 2559  สั่งให้เขาจ่ายเงินจำนวนหนึ่งแก่ “ผู้หญิง 2 คน”  เพื่อ “ประนีประนอม” ต่อการที่ผู้หญิงทั้งสองคนอ้างว่าพวกเธอมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้สมัครคนนั้น ซึ่งหมายถึง น.ส.สเตฟานี “สตอร์มี” แดเนียลส์ นักแสดงภาพยนตร์ผู้ใหญ่ และ น.ส.คาเรน แมคดูกัล อดีตนางแบบเพลย์บอย ซึ่งทั้งคู่ยืนยันการเคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับทรัมป์

    นอกจากนี้ คณะลูกขุนของศาลรัฐบาลกลางในเมืองอเล็กซานเดรีย รัฐเวอร์จิเนีย มีมติว่า นายพอล มานาฟอร์ต วัย 69 ปี อดีตประธานแคมเปญหาเสียงของทรัมป์ มีความผิดจริงใน 8 กระทงที่เกี่ยวข้องกับคดีอาชญากรรมการเงินและการหลบเลี่ยงภาษี ซึ่งเชื่อมโยงกับการจัดทำแคมเปญหาเสียงเลือกตั้งผู้นำสหรัฐ ขณะที่ทรัมป์กล่าวในเวลาต่อมา ว่าจริงอยู่ที่เขาสั่งให้โคเฮนจ่ายเงิน “ปิดปาก” แดเนียลส์และแมคดูกัล แต่เป็นเงินส่วนตัวของเขาที่ไม่ได้ใช้ในแคมเปญหาเสียง พร้อมทั้งตำหนินายเจฟฟ์ เซสชันส์ อีกครั้ง ว่าทำหน้าที่ รมว.กระทรวงยุติธรรม “ได้แย่มาก” จากการที่เซสชันส์อนุมัติการให้สำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) สืบสวนสอบสวนข้อครหารัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อ 2 ปีที่แล้ว